ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Rainbow garden - Chanyeol x Minseok & ETC

    ลำดับตอนที่ #2 : [RB] Part 1 - ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ม.ค. 57


    Part 1 ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง






    ท้องฟ้ากว้างแหวกเมฆออกเป็นบริเณกว้างเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งย่างเท้าลงจากรถไฟสายตรงที่มุ่งหน้าจากโซลลงมาทางตอนใต้ของเกาหลีใต้ บ้านเกิดที่เขาจากไปเรียนในตัวเมืองเมื่อนานแสนนาน

    หกปีที่ไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่เลย อากาศก็ยังคงร้อนไม่เปลี่ยนแปลง

    กลิ่นเค็มของทะเลลอยพัดติดจมูกเมื่อชานยอลเดินพ้นสถานีรถไฟ เจ้าตัวกระชับกระเป๋าแล้วเดินไปด้านตรงข้ามกับตัวเมืองเพื่อไปดูทะเลสีแสดเพราะตอนนี้ใกล้ค่ำเต็มที เขาเดินตรงมายังสะพานปลา ทิ้งกระเป๋าหนักแสนหนักลงพื้นไม้ก่อนจะยืดตัวแล้วสูดอากาศสดชื่นเข้าปอดเสียลึกจนเกือบสำลัก ก่อนจะได้ยินเสียงนกนางนวลสะบัดปีกก้อง

    ~จีกึม มัก โซรี เนออ อุลรยอโก แฮโย~~~~

     

    เจ้าตัวหันควับก่อนจะพบตาแก่ในหมวกฟางนั่งตกปลาด้วยคันเบ็ดเส้นเดียว ร้องเพลงที่เขาคิดว่าเป็นเพลงของนักร้องสาวแต่กลับเปล่งออกมาด้วยเสียงทุ้มแก่ และเพลงมันก็ดูทันสมัยเกินที่ตาแก่ตกปลาจะมาร้อง รู้สึกขัดกันเป็นบ้า

    แล้วอยู่ดีๆตาแก่ตกปลาก็หัวเราะร่วน แล้วพูดกับเขาอย่างเป็นมิตร

    “คงคิดว่าไม่เข้ากับฉันล่ะสินะ”

    ปาร์คชานสะดุ้งตกใจ นี่อ่านความคิดเขาออกเหรอว่ะ  “เปล่านะครับ คุณปู่ทำไมถึง...”

    “ก็หน้าเจ้ามันบอกนะสิ อ่า...เมื่อไรจะได้ปลาหมึกยักษ์นะ” ตาแก่ยกคันเบ็ดขึ้นมองอย่างนึกสงสัยก่อนจะหย่อนต่อ สร้างความสงสัยให้กับชานยอล เจ้าตัวเลยเดินเข้าไปเสนอความคิดอย่างขัดเสียมิได้

    “เอ่อ..คุณปู่ครับ ผมว่าตกไปจนถึงวันเมื่อรืนก็ไม่ได้ปลาหมึกยักษ์หรอกครับ”

    “ฮืม? ทำไมว่าแบบนั้นละพ่อหนุ่ม...”

    “ถึงผมจะจากทะเลไปเรียนนานแต่ผมก็คิดว่า...คงไม่ได้ปลาหมึกยักษ์ข้างฝั่งหรอกครับ”

    “นี่พ่อหนุ่มเป็นชาวประมงรึไง?

    “เปล่าครับ”

    “งั้นก็พ่อของพ่อหนุ่มเป็นชาวประมง?

    “ก็เปล่าอ่ะครับ”

    “งั้นแม่พ่อหนุ่มก็คงเป็น....”

    “ก็เปล่าอีกล่ะครับ...”

    “แล้วพ่อหนุ่มทำไมตอบอย่างมั่นใจขนาดนั้นล่ะ...!  เห่ยๆ กินเบ็ด กินเบ็ดแล้ว!!” ปลายเบ็ดกระตุกหนักราวกับจะลากชายแก่คนนั้นลงทะเล ชานยอลเห็นก็กระโดดพรวดเข้าไปช่วยดึงก่อนจะต้องตาโตเบิกกว้างกับสิ่งที่พบ

    *ซ่า!!!!!!*


    ร่างของปลาหมึกยักษ์โผล่พรวดมาจากไหนไม่รู้ลอยเคว้งกลางอากาศ แหวกว่ายกลางอากาศพร้อมเหล่าฝูกนางนวลกระพือปีกสะบัดขึ้นฟ้ายามอาทิตย์อัสดงสีแสด ก่อนตาแก่จะสะบัดสายเบ็ด กระตุกขึ้นมาหล่นตุบลงบนสะพาน ปาร์คชานยอลร้องลั่น ตะลึงงันกับภาพที่เห็น ปลาหมึกยักษ์ขนาดย่อมดิ้นพล่านๆน่าขยะแขยงเสียจนแทบกรี๊ด

    “เอ้อ ตัวกำลังดี พอดีสี่คนกะอีกหนึ่งตัวเลยสินะ คืนนี้ได้กินซาชิมิปลาหมึกยักษ์ฝีมือคยองซูแล้ว”

    จะด้วยกลวิธีใดๆที่จับมาได้อย่างชอบกลหรือความชาญฉลาดเขาก็มิอาจทราบได้ ปาร์คชานยอลตกอยู่ในความตื่นตะลึงมองดูชายแก่สู้กับเจ้าปลาหมึกลงถังแช่แข็ง เขางงงวยก่อนจะชี้นิ้วถาม

    “นี่คุณปู่เป็นชาวประมงเหรอ....เฮ่ย!! ” ชานยอลสะดุ้งเฮือก เมื่อปลาหมึกยักษ์พยายามโชว์หนวดออกมาร้องขอชีวิต

    “เปล่า ฉันเป็นชาวสวนน่ะ” 

    “ห๊ะ!

    “ชาวสวนปลูกดอกไม้อ่ะนะ พ่อหนุ่ม”  ก่อนจะจบด้วยท่าทางที่เท่ห์สุดขีด เก็บของขึ้นบ่าแล้วเดินเข้าฝั่ง แต่ก็มิวายไม่ลืมร้องเพลงที่แสนจะขัดกับบรรยากาศแสนร้อนอบอ้าวของกลางหน้าร้อนในช่วงนี้

    ทันทีทันใดชานยอลก็พึ่งจะรู้ตัวว่าพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเสียแล้ว

    “เห้ย!!!!!! รถเข้าเมือง!!!!!!!!

     

    .

     

    จักรยานสามล้อโดยแรงถีบของเด็กวัยเจ็ดขวบขี่ผ่านเขาไปอย่างแข็งขันแต่อยู่ๆเจ้าเด็กนั้นก็หันมาขว้างไม้ไอติมแถมยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ แสบเกินไวเสียจนชานยอลแทบอยากวิ่งไปเตะ แต่เจ้าเด็กบ้าก็ขี่จักรยานหนีเขาไปทันซะแล้ว

    เจ้าตัวตะโกนด่าใส่ไล่หลังก่อนจะสะบัดกระเป๋าลงบนเก้าอี้สาธารณะแล้วนั่งลงอย่างหัวเสีย นี่ตกรถแล้วยังจะโดนเด็กรังแกอีก ชีวิตเขามันไม่แย่เกินไปเรอะเนีย นี่ไม่คิดเลยว่าผ่านมาหกปีมันก็ยังไม่พัฒนาขึ้นเลยแม้แต่น้อย แล้วนี่จะกลับบ้านยังไงว๊ะ! ยิ่งอยู่ท้ายเมืองด้วย

     “อะไรว่ะ! แล้วจะกลับบ้านยังไงว่ะ ว๊ากกก โทรศัพท์ก็ดันมาแบทหมด”

    เขานึกภาพ ถ้าคุณแม่สุดที่รักรู้ว่าเขามาเลทแล้วยังตกรถ กลับไปเจอต้องโดนกินหัวแน่ๆ ยังมิวายเรื่องที่ลาออกจากงานกระทันหันแล้วหนีกลับมาบ้านที่อยู่ๆดีคุณแม่ก็รู้เข้าเสียอีก

    นี่กะมาพักซ่อมใจนะ แต่รู้สึกเหมือนจะกลับมาสร้างแผลใจเสียมากกว่า ...คิดไปชานยอลก็รู้สึกเจ็บที่ใจ

    “ฮือ ...เอาไงดีวะ สิบห้าโล นี่ต้องเดินเอาเหรอว่ะ!

    ปาร์คชานยอลหนุ่มสูงยาวเข่าดี หน้าตาเด่นเสียจนเกือบได้เป็นดาราหนัง แต่กลับต้องตกม้าตายเพราะความโอเวอร์แอคติ้งของตนที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดนไล่ตะเพิดราวกับหมูกะหมา ทอดถอนหายใจ...คิดถึงอาชีพแก้ขัดก่อนที่ได้ทำก่อนหน้านี้

    ขายตรงตู้เย็น...ยากเย็นล่ะเกิ๊น... มันไม่ใช่แนว!!!!!!!!

    ~~แง๊วว ...แง๊ววว~~~

    “เห้ยยยย!!!!!!! แมวววว”

    เจ้าตัวกระโดดโหยงทันควัน ชี้นิ้วด่า จ้องเจ้าแมวตากลมที่ทำท่าว่าจะกระโจนใส่เขาถ้าไม่ร้องห้าม ปาร์คชานยอลไม่ได้กลัวแมว แต่ก็แค่ไม่ถูกกับแมวเพราะเหตุผลบางอย่าง

    “ไอ้แมวบ้า ไปไกลๆนะเว้ย อย่าเข้ามานะเว้ย!! มียาแก้แพ้นะเว้ย!!!

     

    คำขู่ขวัญนั้นช่างน่ากลัวเสียเต็มประดา เจ้าแมวตากลมสีส้มขาวแสนบ๊องแบ๊วย่างก้าวด้วยอุ้งเท้าอวบตรงมาหาเขาราวกับเขาเป็นของเล่นชิ้นใหม่  ปาร์คชานยอล ปุถุชนผู้ไม้ถูกกะสัตว์หน้าขนทุกชนิดเดินถอยหลังอย่างหวาดผวา แต่เจ้าแมวกลับมองหน้าเขาก่อนชานยอลจะเห็นมันแสยะยิ้ม(เพราะคิดไปเองล้วนๆ) แล้วกระโจนใส่เขาแทบทันที

    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

    “โปจิ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!

    เขาลืมตามองก่อนจะเห็นใครบางคนตัวเล็กๆอุ้มเจ้าแมวยักษ์ไว้ในอก ขมวดคิ้วจ้องมองราวกับเจ้าแมวบ้านั้นเป็นเด็กในโอวาท เสียงเล็กน่ารักดุเสียงใส ใบหน้ากลมเล็ก แก้มยุ้ยบุ้ยปากอย่างอารมณ์เสียใส่เจ้าแมวก่อนมันจะโดดผล่อยหายไป

    “นี่! เจ้าโปจิ อยากอดข้าวรึไง!” คนตัวเล็กในชุดเสื้อกล้ามสีเหลือง กางเกงขาสามส่วนสีฟ้ายืนตะโกนด่าแมวลั่นก่อนจะหันมาช่วยเขา

    “นี่คุณเป็นอะไรรึเปล่า?” สองมือเล็กยื่นมาเพื่อจะช่วยเขา กับใบหน้าบ๊องแบ๊วน่ารักเสียจนชานยอลตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ต้องสะดุดเมื่ออยู่ดีก็จามออกมาเสียงดังลั่น

    *ฮัดเช่ย!!*  คันจมูกฟุดฟิด

     “พี่เป็นภูมิแพ้แมวนะ”

    “อ๊า..งั้นเหรอ”

    คนตัวเล็กเก็บมือเข้ามากอดอกไว้กับตัวเอง และดูท่าจะรู้ความเสียด้วยสิว่าตัวเองมีขนแมวติดอยู่ เจ้าตัวเลยวิ่งกลับไปที่รถสกูทเตอร์คนเล็กแล้วเอาผ้าขนหนูมาเช็ดเสื้อเช็ดแขนออก

    “ทำแบบนี้พอจะช่วยอะไรได้ไหม?” คนตัวเล็กตรงหน้ายิ้มให้ก่อนเจ้าตัวจะลองสูดอากาศดูเล็กน้อย การแพ้สัตว์หน้าขนที่เรียกว่าแมวไม่ใช่เรื่องตลกเลยซักนิด

    “ก็พอได้และมั้ง”

    ปาร์คชานยอลคนตัวยักษ์เช็ดไม้เช็ดมือก่อนจะพยายามพยุงตัวขึ้นยืน ก็มีปลายนิ้วกลมๆของคนตัวเล็กยื่นมาแทบจิ้มหน้า เขาเงยมอง แก้มกลมๆนั้นพองขึ้นเล็กๆเพราะการวาดยิ้มพร้อมส่งผ่านท่าทีว่ายินดีช่วยเหลือ

    สองมือคว้าเข้าให้ก่อนที่คนตัวเล็กเกือบจะเซถลาล้มไปอีกทาง ปาร์คชานยอลก็คว้าไว้ทันพอดี

    “โอ๊ะ โอะ! ทำไมตัวหนักงี้อะ ตัวใหญ่ด้วย นี่สูงเท่าไรเนีย?

    “185 เซนติเมตร” ตอบเสร็จหลังจากยืนได้มั่นคงทั้งสองฝ่าย ปาร์คชานยอลก้มมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดอย่างที่คิด

    “อีกสองสามปีก็น่าจะสูงทันกันอยู่นะ”

    “ห๊ะ?

    “ก็กินนมเยอะๆ กับเล่นกีฬาบ่อยๆ นี่พี่จะบอกอะไรเราให้นะ ตอนพี่อยู่ม.ปลายพี่ก็สูงประมาณ 170 กว่า สูงกว่าเรานิดหน่อยเอง”

    ทำไมรู้สึกได้ยินเสียงจิ้งหรีดเร้เรไรชอบกล อยู่ดีบรรยากาศเงียบๆก็เข้ามาแทรกซะอย่างนั้น คนตัวเล็กยืนมองเขาตาปริบๆ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่สุดท้ายกลับเงียบไปดื้อๆ

    เอ่อ...นี้พูดอะไรผิดรึเปล่าว๊ะ...

    ยืนเกาหัวแกร็กๆอย่างมึนงงก่อนจะยิ้มให้อย่างโง่ๆ “นี่เรียนมัธยมYS ใช่ไหม?

    “อ่า ...ก็ใช่”

    “งั้นก็รุ่นน้องพี่เลยนะ มีอะไรไม่เข้าใจถามพี่ได้นะ”

    “อ่า งั้นเหรอ...อืม”

    แล้วความเงียบกริบก็เข้ามาแทรกอีกครา ปาร์คชานยอลงงตัวเองเล็กๆว่าทำไมไปรู้สึกเกรงใจรุ่นน้องตัวเองได้เล่า แถมยังไม่ต่อว่าเจ้าตัวที่ใช้ภาษาธรรมดากับเขาอีก ซึ่งปกติแล้วคนอย่างชานยอลนี่ยอมไม่ได้เลยนะที่เด็กที่อายุน้อยกว่าจะทำอะไรแบบนี้ แต่ครั้งนี้คงต้องยอมหน่อย ก็เห็นว่าเป็นเด็กดีมีน้ำใจ คงไม่เป็นไรนักหรอก

    “ว่าแต่นั่นแมวนายเหรอ?” ปาร์คชานยอลเปลี่ยนเรื่องคุยแก้ขัดเขินไปเรื่อยก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋ามาสะพายไหล่

    “จะว่าแบบนั้นก็ได้ มันชื่อโปจินะ คุณก็อย่าไปถือสาอะไรมันเลยนะ มันก็เล่นกับทุกคนไปเรื่อยนั่นและ”

    “งั้นเหรอ...เอ่อ แล้วเราชื่ออะไรละ พี่ชื่อปาร์คชานยอลนะ”

    “ชื่อมินซอกนะ คิมมินซอก” เจ้าตัวอมยิ้มจนแก้มยุ้ย น่ารักมากไปจนทำคนตรงหน้าติดสตันท์ ก่อนจะเดินตรงมาหาคนตรงหน้าเผื่อจะช่วยถือของ ปาร์คชานยอลกระโดดถอยไปหนึ่งเก้าอย่างไม่รู้ตัวเอง ก่อนจะได้สติ

    “เอ่อ...อ่อ ก็นายอุ้มแมว ฉันก็เลย...”

    “อ่า ขอโทษ ลืมตัวไปหน่อย กะแค่จะช่วยถือของ ...เอ่อ ว่าแต่จะเข้าเมืองใช่ไหม?

    “อ่า...เอ่อ ประมาณนั้นและ”

    “งั้นเหรอ พอดีเลย ฉันกำลังจะกลับพอดี เดี๋ยวกลับกับฉันก็ได้ ตอนนี้รถเข้าเมืองมันหมดแล้วล่ะ”

    “จริงเหรอ? จะให้พี่ไปด้วยจริงอ่ะ!

    “อ่า จริงดิ! มาเลยเดี๋ยวไปส่ง ว่าแต่อยู่แถวไหนกันล่ะ”

    “ท้ายเมือง ข้างๆแม่น้ำนะ”

    “อ่า...อ่อ บ้านคุณนายปาร์คใช่ไหม?

    “ใช่แล้ว เราทำไมรู้ล่ะ”

    “ก็ไปส่งดอกไม้ให้บ่อยๆ พอดีเลย ทางเดียวกัน”

    “ย๊า! ขอบใจไอ้น้องชาย! แล้วก็ขอบใจเรื่องที่ช่วยพี่ลุกขึ้นด้วย” ปาร์คชานยอลกระโดดเหยงมากอดไหล่คนตัวเล็กก่อนจะหัวเราะคิกแล้วเดินโอบไหล่ไปจนไปถึงรถสกู๊ทเตอร์คันกำลังพอดีอย่างลืมตัว

    “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นี่ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?

    “อะไร? เป็นอะไร?

    “ก็ไหนว่าแพ้แมวไง กอดฉันนายไม่จามเหรอ?

    “เอ่อ จริงด้วย” *ฮัดชิ่ว!*

     

    .



     

    สองล้อเล็กบดถนนด้วยความเร็วแสนคงที่ สกูตเตอร์สีฟ้าสดสลับเทามุ่งตรงเข้ากลางเมืองอย่างไม่เร่งรีบนัก แบกรับน้ำหนักผู้โดยสารตัวใหญ่เกินมาตราฐานโดยมีสารถีตัวเล็กกว่าครึ่งเป็นคนขับ ใครมาเห็นคงได้ขำเพราะมันดูไม่เข้ากันเลยซักนิด

    “แน่ใจว่าไหวนะ ให้พี่ขับก็ได้นะ”

    “ไม่เป็นไร เอาไหว คนตัวใหญ่กว่านี้ก็เคยมาแล้ว”  คิมมินซอกบิดคันเร่งพอเป็นพิธีเพื่อข้ามลูกระนาดเล็กๆสองลูกบนถนนขนาดกลางที่มุ่งตรงเข้าตัวเมืองในยามหัวค่ำ กระเทือนคนด้านหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ

     “แฮะๆ ขอโทษทีนะ รถมันแก่แล้วนะ” คิมมินซอกสารถีจำเป็นแอบมองกระจกข้างอยู่เนือง แต่คนตัวโตก็เอาแต่ยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร

    นี่สงสัยจะไม่ได้กลับมาที่นี่นาน ดูมองนั่นมองนี่ยังกะไม่เคยเห็น

    “ที่นี่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยอะน่ะ”

    “เล็กน้อยจริงอ่ะ พี่ว่าไม่น่าใช่หรอก ตรงนั้นสมัยก่อนเป็นสนามเด็กเล่นใช่ไหมล่ะ แต่ก่อนเคยมาเล่นกะเพื่อนบ่อยๆ ตอนนี้กลายเป็นห้างใหญ่ซะแล้ว รู้สึกแปลกๆนะ”

    “ทำไมถึงว่าแบบนั้นล่ะ”

    “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงสมัยตอนยังเด็กๆ พี่มาเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ สมัยนั้นสวนสาธารณะอะไรก็ยังไม่มีหรอกนะ เราคงเกิดไม่ทันหรอกมั้ง”

    “อ่า จริงเหรอ...อืม”

    สายลมเย็นอ่อนๆพัดพากลิ่นอายเก่าๆให้ชวนคิดถึง คิมมินซอกที่ความจริงแล้วคิดออกทุกอย่างที่ชานยอลพูด จะเพราะอะไรซะอีกล่ะ ความจริงคิมมินซอกอายุมากกว่าเจ้าตัวอีก แต่ก็แค่ไม่ได้บอกเฉยๆ นี่ชานยอลคงจำเขาไม่ได้จริงๆสินะ ตอนเด็กก็ออกจะเล่นด้วยกันบ่อย

    “อ่า...มองแล้ว คิดถึงจังแฮะ”

    “คิดถึงอะไรเหรอ?” มินซอกถามพร้อมกับเหลือบมองคนตัวยักษ์ด้านหลังเป็นระยะๆสลับกับมองถนน สีหน้าดูวุ่นวายและคงเสียดายมาก หมอนี่สีหน้ามันตลกชะมัด ถึงจะหล่อขึ้นกว่าแต่ก่อนมากก็ตามที

    “ก็สมัยก่อน พี่มีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่รู้ทำอะไรอยู่น่ะ เจ้าแบคฮยอนนั่น”

    “ทำไมงั้นเหรอ?” พอมินซอกได้ยินชื่อก็อดอมยิ้มไม่ได้ เมื่อวานยังไปแวะเวียนส่งข้าว ส่งไอติมให้คยองซูอยู่เลย เขาก็คิดตาม เจ้าพยอนแบคฮยอนนั่นตั้งแต่เล็กจนโตนี่แสบไม่เปลี่ยน

    “หมอนั่นแสบมากน่ะสิ ตอนเด็กๆตัวเล็กกว่าคนอื่นกลับวางท่าไล่หาเรื่องคนอื่นไปทั่ว แล้วอยู่ดีๆก็มีเรื่องฮาเรื่องหนึ่ง”

    คิมมินซอกเงี่ยหูอย่างสนอกสนใจ

    “ก็ตอนนั้นน่ะสิ หมอนั่นบอกว่าโตมาจะแต่งงานกะพี่ชายที่มาเล่นด้วยนะสิ”

    รถสกูตเตอร์กระตุกกึก คิมมินซอกเผลอกำเบรกโดยไม่ได้ตั้งใจ

    “นี่น้องเป็นอะไรรึเปล่า?

    “ป..เปล่า เอ่อ เหมือนมีอะไรตัดหน้านะ ไปต่อเนอะ”

    แล้วปาร์คชานยอลก็เล่าเรื่องที่ตัวเองคิดว่าตลกสุดแต่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องน่าอายสำหรับเขาสุดๆเลยน่ะสิ ก็เพราะอะไรน่ะเหรอ...พี่ชายคนนั้นที่ปาร์คชานยอลหมายถึงก็คือเขาในสมัยเด็กๆนั่นเอง

    “นี่นึกแล้วก็ยังขำไม่หาย นี่จำได้เลยว่าเคยตีกับหมอนั่นเพราะแย่งจะเล่นกะพี่เขาด้วย แต่เสียดายแฮะ”

    “เสียดายอะไรเหรอ...”

    “ก็พี่จำชื่อเขาไม่ได้ คิม คิม...อะไรนี่และ ตอนนั้นจำได้เลยว่าตัวเล็กน่ารักมาก หน้ากล๊มกลมยังกะซาลาเปา เผลอตกหลุมรักไปเลยล่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ อาจจะเป็นรักแรกเลยก็ได้มั้ง”

    ปาร์คชานยอลหัวเราะลั่นน้ำตาเล็ดก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรบ้าๆออกไป

    “แต่เปล่านะเว้ย! พี่ชอบผู้หญิง เปล่าชอบผู้ชาย แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้จริงๆ เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราอย่าไปบอกใครนะ...ว่าแต่แมวของเรา ปล่อยไว้ไม่เป็นไรเหรอ?

    “อือ ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก เดี๋ยวถึงเวลาอาหารก็กลับมาเองและ”

    รักแรกงั้นเหรอ ฮ่ะ ฮ่ะ ...เรื่องนี้ทำเขาอึ้งไปได้หลายนาทีเลยทีเดียว

     

    เสียงสกูตเตอร์ฝ่าลมก็ยังคงดังคงเส้นคงวาแต่เสียงเจื้อยแจ้วของเพื่อนร่วมทางก็ยังไม่หยุดลงเลยซักนิด สารถีตัวเล็กขับรถอย่างระมัดระวังด้วยอารมณ์สนุกปนฮาอย่างไม่เปิดเผยทางสีหน้า พูดคำตอบคำกับผู้โดยสารจำไม พูดเก่งยังกะไม่เคยพูดมาก่อน  คิมมินซอกแอบขำ ถ้ารู้ว่าเขาเป็นใครหลังจากที่เจื้อยแจ้วเรื่องเด็กนี้แล้วจะเป็นยังไง

    นี่เขาไม่ได้แกล้งเจ้าเด็กจำไมนี้นะ ก็แค่เจ้าตัวเล่าเรื่องสนุก

    “เห็นว่าไปส่งดอกไม้บ้านพี่บ่อยๆ บ้านน้องเป็นร้านดอกไม้เหรอ?

    “อือ... ใช่ ทำสวนดอกไม้ด้วยนะ”

    “ช่วยที่บ้านเหรอ...” เขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักก่อนจะรู้ตัวว่าโดนลูบหัว

    “ฮ่าๆ เด็กดีจังนะ เด็กดี เด็กดี...” ปาร์คชานยอลพูดไปก็ลูบหัวเขาไปก่อนจะหันไปสนใจอย่างอื่นต่อ...

    นี่คงต้องบอกความจริงมันหน้าบ้านนี่แล้วซะละมั้งนะ ท่าจะไม่ไหวซะแล้วล่ะ ...คิมมินซอกคิดด้วยความจริงจัง

     

     

    เลียบแม่น้ำสายหลักของหมูบ้านมาเล็กน้อยก็เจอบ้านขนาดกลางของคุณนายปาร์คที่แสนจะคุ้นเคยในความรู้สึก คุณลูกชายปาร์คมองดูก่อนจะนั่งเตรียมใจรับคำด่าของแม่ เขาเงียบไปจนเด็กน้อยที่เขาพึ่งลูบหัวด้วยความเอ็นดูหันมาถามหลังจากทั้งคู่ลงจากรถ

    “ถึงบ้านแล้ว ถือของช่วยไหม?

    “อ๊ะ! ไม่ต้อง ไม่ต้อง เอ่อ...”

    ปาร์คชานยอลตบเนื้อตบตัวทำราวกับหาอะไรบางอย่าง คนตัวเล็กในชุดไปรเวทสีสดขมวดคิ้วมองด้วยสีหน้าประหลาด ก่อนเจ้ายักษ์ตรงหน้าจะเงยหน้ายิ้มแฉ่ง

    “เอ่อ เจอล่ะ นี้เงินนะ”

    “เฮ่ยๆ ไม่ต้องๆ แค่มาส่ง ช่วยเหลือกัน ฉันไม่ได้ต้องการเงิน”

    “อะไรกันเล่า นี่ก็ขับมาตั้งไกล เรื่องแค่นี้รับไว้เถอะน๊า อย่าเล่นตัวเลย เอาไปซื้อของที่น้องอยากได้นะ อย่าหนังสือผู้ใหญ่งี้” เจ้ายักษ์กอดคอคนตัวเล็กแล้วพยายามยัดเงินให้แต่มินซอกก็ไม่เอา

    “เหย~ อย่าทำเป็นเขินไปหน่อยเลย เรื่องแบบนี้พี่ทำบ่อย เอ่อแล้วก็อีกเรื่อง อายุน้อยกว่าต้องใช้ภาษาสุภาพนะรู้ไหม?” ชานยอลขยี้หัวคนตัวเล็กด้วยความเอ็นดูสุดๆอีกรอบก่อนจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คิมมินซอกชักจะไม่ไหวซะแล้วนะ...

    “นี่! มาทำอะไรเสียงดังหน้าบ้านคนอื่นนะ อ่าว! ชานยอลนี่ เอ๊ะ! และมินซอก ...มินซอกมากับลูกชายป้าได้ไงจ๊ะ”

     

    หญิงวัยกลางคนเดินลิ่วเข้ามาหาลูกชายตัวดีด้วยสีหน้าเตรียมด่าสุดๆ แต่ก่อนจะทำอะไรแบบนั้นก็หันมาต้องรับแขกคนสำคัญซะก่อน

    “นี่มินซอกมาได้ไงกันจ๊ะเนีย แล้วเจอกันได้ไง? แล้วนี่แกไปทำยังไงให้ไปลำบากคนอื่นเขาเนีย” คนตัวสูงหลบฝ่ามือไปอีกทาง มองด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

    “อ่อ พอดีรถหมดนะครับ ผมบังเอิญไปเจอพอดี ก็เลยพามาส่ง” คนตัวเล็กยิ้มแฉ่ง

    “ก็ผมไม่คิดนี่หน่าว่ารถมันจะหมดเร็ว”

    “ก็ใครบอกให้แกกลับมาช้าล่ะ แล้วเรื่องลาออกฉันก็ยังไม่ได้เคลียร์เลยน่ะ”

    “โถ่! แม่อ่า...ผมเสียใจอยู่น๊ะ”

    “ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนเลยนะ เห็นไหม กลับมาวันแรกก็เป็นภาระพี่เขาเลย นี่ขอบคุณพี่เขารึยัง เจ้าลูกบ้านี่!?

    “ฮ่า ฮ่า พี่ที่ไหน นี่รุ่นน้องผมนะ เรียนโรงเรียนเดียวกันด้วย” ปาร์คชานยอลขำกลิ้งก่อนจะลูบหัวคนตัวเล็กด้วยความหมั่นเขี้ยวอีกรอบ มินซอกหัวเราะเจื่อน

    *เพี๊ย!*

    “นี่! เจ้าลูกบ้า น้องแกบ้าบอที่ไหน นี้จำพี่มินซอกไม่ได้รึไง?!”  คุณแม่ตีมือเข้าให้พร้อมบ่น แล้วแกไปลูบหัวเขาทำไม! ปาร์คชานยอลมองกลับด้วยสีหน้าเหรอหราก่อนจะต้องมาช็อคที่สุดในชีวิต

    “ก็พี่คิมมินซอกหลานคุณปู่มินซู รุ่นพี่ที่ไปเล่นกะแกบ่อยๆตอนเด็กไง!

    คนตัวเล็กยิ้มเจื่อนๆก่อนจะหันไปทักทายรุ่นน้องอย่างเป็นทางการอีกที

    “แฮะๆ ยินดีที่ได้เจอกันอีกนะ ชานยอล ...แล้วก็ไม่ต้องใช้ภาษาสุภาพหรอกนะ พี่ไม่ถือหรอก”

    ตอนนี้ชานยอลรู้สึกราวกับยืนอยู่บนหน้าผาแล้วโดนคลื่นลูกยักษ์ซัดใส่เต็มหน้าก็มิปาน

     

    TBC.


    Note : ทำไมอัพเรื่องนี้ไว ก็ไม่ทราบเหมือนกันคะ แฮะๆ ยังไงก็ฝากความวุ่นวายของเด็กๆพวกนี้กันด้วยนะคะ คอมเมนต์กันได้น๊า อยากอ่านคะ นะค๊ะ 
    อยากคุยกะไรเตอร์ #สวนรุ้ง  ได้นะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×