ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Antho The Avengers] Thor*Loki [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #7 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take VII - Epilogue -

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 57


     
     
     
    Redeem the sin
     
     
     

     

     


    Deleted Scene :: Take VII

    - Epilogue -

     

     

     

     

    ธอร์ก้าวเข้ามาในห้องที่ใช้คุมขังข้า ซึ่งออกจะสร้างความแปลกใจให้ข้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวที่เขาได้รับอนุญาตจากมนุษย์พวกนั้น

     

    ข้าเหลือบมองเขาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเบือนหน้ากลับไปจ้องมองผนังสีขาวเปล่าๆ แสนน่าเบื่อหน่าย หากก็น่าปรารถนามากกว่าสายตาผิดหวังที่ธอร์ใช้มองข้าอยู่ในเวลานี้

     

    “เจ้าก่อเรื่องมากมาย...มากมายเหลือเกิน น้องข้า” ธอร์เอ่ยคล้ายรำพึง แต่ข้ารู้ดีว่าเขากำลังเอ่ยกับตน ธอร์ทรุดกายลงนั่งข้างๆ ก่อนจับใบหน้าของข้าให้หันกลับไปมองสบกับดวงตาสีฟ้าของเขา

     

    ข้าทำหน้าเฉยเมยใส่เขา ซึ่งข้ารู้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทนไม่ได้...ไม่อาจทนได้...และไม่มีวันทนได้...

     

    “พูดอะไรบ้างสิ น้องข้า”

     

    ข้ายิ้มเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ เปิดปากตามที่อีกฝ่ายปรารถนา “หนึ่งคำถามสำหรับเจ้านะธอร์” ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายขึ้นมาด้วยความยินดีที่คำแรกซึ่งเปล่งออกมาจากปากของข้าหาใช่ถ้อยคำผรุสวาทหรือการผลักไสไล่ส่ง “โจทย์คือ...เมื่อครั้งที่เจ้าบุกไปยังโยธันไฮม์ เจ้าบอกว่าไปเพื่อสำแดงอำนาจให้พวกยักษ์น้ำแข็งได้เห็น และสยบพวกมันให้อยู่แต่ในที่ที่ควร เมื่อเจ้ากลับมา เจ้ากลายเป็นรัชทายาทผู้โง่เง่า แต่ก็เป็นนักรบผู้กล้าหาญ”

     

    “หากเมื่อข้ามามิดการ์ดเพื่อสำแดงให้พวกมนุษย์ได้เห็น ให้พวกมันได้รู้ว่าควรอยู่แต่ในดินแดนของตน และไม่ควรแตะต้องเทซเซอแรคต์ ข้ากลับกลายเป็นทรราชและอาชญากรของทั้งสองดินแดน”

     

    ข้ายิ้มกว้างขึ้นเมื่อความยินดีหายไปจากใบหน้าของธอร์จนสิ้น “คำถามคือ...ทำไม?” ยกมือขึ้นลูบไล้เสี้ยวหน้าคมที่มีสีหน้าสับสนอย่างเห็นได้ชัด “ท่านเข้าใจคำถามใช่ไหม พี่ข้า...” น้ำเสียงอ่อนโยนของข้าเป็นยิ่งกว่าถ้อยคำสาปแช่ง...ข้าเดาว่าตอนนี้ธอร์คงปรารถนาที่จะให้ข้าตะโกนด่าใส่หน้าเขาเสียมากกว่าจะใช้น้ำเสียงอ่อนหวานเยี่ยงนี้

     

    “ข้า...” ธอร์เปิดปาก หากทว่าเขาก็เงียบไปอีกครั้ง

     

    ข้าหลับตาแล้วดึงมือกลับ เอนกายพิงผนังกำแพง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม... “ถ้าเจ้าตอบคำถามนี้ได้...ข้าอาจจะกลับไปเป็นน้องชายแสนเชื่องของเจ้าอีกครั้งนะ ธอร์ แต่รีบหน่อยล่ะ...เวลาของข้าคงเหลือไม่พอให้เจ้าผลาญเล่นนัก”

     

    คำตอบของคำถามนั้นช่างง่ายดาย แต่เชื่อเถอะว่าพี่ข้าจะไม่มีวันหามันเจอ

     

    หลังจากรอแล้วรอเล่า ธอร์ก็ยังไม่ลุกออกไปจากห้องสักที ข้าจึงลืมตาขึ้นมอง และแทบหยุดหายใจเมื่อพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายห่างออกไปเพียงฝ่ามือกั้นเท่านั้นเอง

     

    ข้าเก็บอาการตกใจของตนลงอย่างแนบเนียน แล้วนิ่งเงียบเฝ้ารอ

     

    “เจ้าจำคำสาบานที่ข้าให้ไว้ตอนที่ข้าได้พบเจ้าที่ดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งได้ไหม?”

     

    อันที่จริงข้าลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ หากทว่าเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยออกมาเช่นนี้ มีหรือที่ข้าจะนึกไม่ออก “เจ้าคิดจะลงตรวน และปิดปากข้าสักทีหรือ?” ข้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เมื่อนึกขึ้นได้ว่าแรกเริ่ม...ธอร์ไม่ยินยอมให้มนุษย์พวกนั้นแตะต้องข้าแม้เพียงปลายก้อย ทั้งกุญแจมือและตรวนล่ามข้อเท้าถูกเทพเจ้าสายฟ้าบ้าพลังทำลายทิ้งเสียหมด จนข้าคิดว่าอีกนิดเดียวความอดทนของสมาชิกหน่วยชิลด์และทีมอเวนเจอร์ที่เหลือคงหมดลง และจับเขาขังพร้อมๆ กับข้าให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

     

    ธอร์ขมวดคิ้ว “สตาร์กคิดค้นอุปกรณ์อะไรบางอย่าง...เขาอธิบายอะไรมาเยอะแยะแต่ข้าไม่เข้าใจหรอก เท่าที่ข้าพอจับใจความได้ก็คือเขาเอาคทาของเจ้าไปตรวจหาอะไรสักอย่าง...ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็สร้างเครื่องพันธนาการที่จะกักพลังเวทของเจ้าออกมาได้ ...และพวกเขายืนกรานว่าเจ้าจะต้องถูกตีตรวน”

     

    “ข้ามองไม่เห็นปัญหาของท่านในเรื่องนี้นะฝ่าบาท ในเมื่อผู้ที่ถูกตีตรวนคือข้า หาใช่ท่าน” อันที่จริงข้าอยากบอกว่าความพยายามของพวกเขาช่างไร้ประโยชน์นัก ถ้าข้าคิดจะหนี ข้าคงไม่มานั่งอยู่ในห้องโล่งๆ ที่แสนน่าเบื่อนี้ทั้งๆ ที่สามารถใช้พลังเวทพาตนเองออกไปได้ทุกเมื่อหรอก

     

    “เป็นปัญหาสำหรับข้าแน่นอน” ธอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาสีฟ้ายังไม่ละไปจากใบหน้าของข้า ปลายนิ้วมือหยาบกร้านและแข็งเป็นไตไล้ไปตามใบหน้า ข้าไม่ได้สะบัดหนี ได้แต่จ้องตอบกลับไปด้วยแววตาไร้ความสำนึก

     

    หากทว่าแทนที่จะโกรธ แล้วเริ่มพล่ามถึงความเลวร้ายและผลลัพธ์ของสิ่งที่ข้ากระทำ ธอร์กลับเอ่ยออกมาอย่างทื่อๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “ข้าอยากจูบเจ้า”

     

    “........” สมองข้าหยุดทำงานไปชั่วขณะ ...ข้าคงฟังผิดไป จึงได้แต่ถามย้ำว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”

     

    “ข้าอยากจูบเจ้า ถ้าสตาร์กปิดปากเจ้าเอาไว้ข้าก็ไม่สามารถจูบเจ้าได้” ธอร์ยังมีหน้าขยายความ

     

    ข้าเหยียดยิ้มขืนๆ “นี่เป็นวิธีปั่นหัวข้าแบบใหม่หรือเปล่า?”

     

    “เปล่า แต่สตาร์กบอกว่าข้าอยากพูดอะไรกับเจ้าก็ให้รีบๆ พูดเสียให้หมด เพราะพวกเขาจะไม่ยอมลงให้ข้าอีกแล้ว” ลมหายใจอุ่นๆ ปะทะใบหน้าของข้าเมื่อเขาเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ ...เสียงทุ้มพร่ากระซิบ...ดั่งล่อลวง... “ข้าอยากจูบเจ้า”

     

    ถ้าจะมีใครสักคนที่มักจะทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งอยู่เสมอล่ะก็...คนคนนั้นคงเป็นธอร์อย่างไม่ต้องสงสัย...

     

    ข้าบอกไม่ได้ว่าตอนนั้นตัวเองเสียสติไปแล้วรึเปล่า หากทว่าเมื่อข้าคิดถึงอนาคตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า...ที่มีเพียงความตายแล้ว ข้ากลับเป็นฝ่ายหลับตา...แล้วประทับรอยจูบนั้นเสียเอง

     

    ธอร์เป็นผู้ทำให้รสจูบนั้นล้ำลึกกว่าเดิม เวลานี้เหตุผลใดๆ ก็ดูเหมือนจะอยู่นอกเหนือระบบความคิดโดยสิ้นเชิง แต่ที่แน่ๆ ข้ามั่นใจได้ว่าไม่มีพี่น้องโลกไหนที่จุมพิตกันอย่างดูดดื่มเช่นนี้

     

    ข้ามีเหตุผลให้ตัวเองอย่างเต็มที่...ข้าคือคนที่กำลังจะตาย ทำไมจะต้องสนใจอะไรอื่นอีกล่ะ? เหตุผลที่เขาอยากจูบข้า? ความเหมาะสมที่ข้าจูบเขา? ข้าไม่มีความจำเป็นต้องสนใจสักนิด แต่ธอร์ไม่ใช่... ส่วนลึกในใจซึ่งเป็นวิสัยปกติของข้าเกิดความสงสัยขึ้นมา หากข้าก็บอกตัวเอง...ไม่มีประโยชน์ที่จะหาคำตอบ...ในเมื่อข้ากำลังจะตาย

     

    เราผละจากกันเพียงช่วงสั้นๆ ลมหายใจหอบกระชั้น

     

    ธอร์ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง หากครานี้ข้าเบือนหน้าหนี พระเชษฐาไม่ดื้อดึงตื๊อตาม หากกลับฝังใบหน้าลงบนไหล่ของข้าแทน ท่อนแขนแข็งแกร่งกอดรัดแนบแน่น เสียงทุ้มพร่ากระซิบเอ่ยข้างหู “ข้าจะขอให้พวกเขาไม่ปิดปากเจ้า”

     

    ข้าได้แต่หัวเราะโดยไม่กล่าวอะไร

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ยามเมื่อข้าก้าวออกจากสถานที่คุมขังของกองกำลังแห่งมนุษย์ สายตาแหลมคมประหนึ่งหอกดาบต่างก็พากันหันมาจับจ้องจนแทบทิ่มแทงเข้าไปในผิวหนัง และอาจเป็นเพราะบางทีวาจาข้าคงยั่วโทสะพวกเขาเกินไป สุดท้ายแล้วพระเชษฐาจอมปลอมจึงตัดสินใจจะพันธนาการวาจาข้าเสีย ก่อนที่จะมีใครสักคนทนไม่ไหวแล้วย่องมาแอบใส่ยาพิษในอาหารให้ข้ากินแทน

     

    ดังนั้นเวลานี้นอกจากสายตาเฉยชาประหนึ่งจ้องมองมดปลวกแล้วข้าก็ไม่อาจมอบอะไรให้ใครได้อีก

     

    แต่อันที่จริงแล้วมนุษย์เหล่านั้นจะคิดเห็นอย่างไรต่อข้ามันไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่ข้ามุ่งมาดปรารถนากำลังจะกลายเป็นความจริง

     

    เสียงโซ่ที่ตรวนมือทั้งสองกระทบกันใสกังวานช่างบาดหู ข้าเดินตามพี่ชายไปด้วยฝีเท้ามั่นคงไร้ความสับสน มนุษย์คนหนึ่งยื่นเทซเซอแรคต์ให้พระเชษฐา ข้าจ้องมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเบือนมองเจ้าของมือที่ยื่นปลายอีกข้างของมันมาให้

     

    ...เพียงเท่านี้... 

     

    ข้ายื่นมือออกไปสัมผัสโลหะที่เยียบเย็นจนแทบทำให้สะกดอาการสั่นสะท้านไม่ไหว

     

    ข้าไม่ครั่นคร้ามต่อความตาย

     

    ข้าไม่หวั่นเกรงต่อความเกลียดชัง

     

    และข้าไม่ไยดีต่อถ้อยประณามสาปแช่งที่ร้องระงม

     

    สิ่งที่รอข้าอยู่เบื้องหน้าในอนาคตอันใกล้นี้ มีเพียงความตายอย่างไม่ต้องสงสัย และข้าก็ไม่ปรารถนาหนทางอื่นใดนอกเหนือจากนี้เช่นกัน

     

    ...เทซเซอแรคต์ก็จะได้กลับคืนสู่สถานที่ที่ควร... 

     

    ลูกบาศก์สี่เหลี่ยมในหลอดแก้วเปล่งแสงสีฟ้า พลังงานของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดสายลมพัดไหว และก่อนที่ข้าหรือใครๆ จะรู้ตัว แรงกระชากดึงรั้งมหาศาลก็พรากทัศนียภาพเบื้องหน้าให้หายไป

     

    ...และข้า...ก็กำลังจะกลับคืนสู่สถานที่ที่คู่ควรเช่นกัน...

     

    ข้าปิดเปลือกตาลง รสจูบของธอร์ยังคงเด่นชัดในความทรงจำ และนึกยินดีอย่างยิ่งที่มันเป็นเช่นนั้น

     

    เพราะสถานที่แห่งนั้นหาใช่อื่นใด

     

    ...นอกจากลานประหารนั่นเอง...

     

     

    †††††

     

     

    END OF REDEEM THE SIN

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     
     
     
     
     
     
    วันนี้ได้กลับบ้านเร็ว(ก่อน 2 ทุ่ม)ในรอบสัปดาห์ เปรมค่ะ มีสติพอจะนั่งไล่ลงฟิค ; w ; ฮู้ววว 
    พรุ่งนี้จะลงเรื่อง My king & Your King นะคะ 

    ในรวมเล่มจะมีตอนพิเศษของ Redeem the sin ที่ไม่ลงในเน็ตที่ไหน > w < ) ถ้าสนใจ เชิญคลิกที่ [B6] Pre Order - Movie Fictions [ไปรษณีย์ Only] ได้เลยค่ะ    
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×