ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Antho The Avengers] Thor*Loki [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #6 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take VI - Endways -

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 57


     

      


    Redeem the sin

     

      

     

    Deleted Scene :: Take VI

    - Endways -

     

     

     

    ข้าสงบสติอารมณ์ พยายามอย่างมากที่จะลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไป และทุกครั้ง...เมื่อข้าต้องการรวบรวมสมาธิ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการใช้เวทมนต์ กรงแก้วนี้แม้จะแน่นหนาสำหรับกายหยาบ หากทว่ามันหาได้ปิดกั้นพลังเวทไม่ ข้าเชื่อมสายพลังไปยังคทาที่ถูกเหล่ามนุษย์ริบไป พลันเสียงของสรรพสิ่งก็ดังขึ้นในห้วงภวังค์

     

    เหล่ามนุษย์เริ่มแตกคอกันเอง โต้เถียงกันด้วยอัตตาที่ไม่มีวันจบสิ้น ข้าหลับตาสดับฟังเสียงของวิญญาณ เสียงซึ่งออกมาจากหัวใจ หาใช่ริมฝีปากที่มีเพียงลม

     

    ปกป้องโลก ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ชีวิตที่สงบสุข ความอยุติธรรม ไม่พอใจ โกรธเกรี้ยว หวาดระแวง 

     

    ...แต่กลับไม่มีความเกลียดชัง...

     

    ข้าเผยอเปลือกตามองไปยังความว่างเปล่า เทซเซอแรคต์กำลังปลุกปั่นพวกเขา...ให้แตกแยกกันเอง

     

    ข้าสั่งการทางจิตให้เหล่ามนุษย์ที่ถูกสะกดจนจ่อมจมอยู่ใต้อาณัติบุกเข้ามา และรอคอยเวลา...ให้ถึงแก่กาลอันสมควร

     

    เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น ข้าก็พลันรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนน้อยๆ ใต้ฝ่าเท้า สัมผัสได้ถึงความโกลาหลวุ่นวาย และสดับได้ถึงเสียงอสูรกายที่กรีดร้องคำราม...จนอดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มออกมา

     

    ใช้เวลานานกว่าที่คิด กว่าที่จะมีใครสามารถเข้ามาถึงสถานที่ที่คุมขังตัวข้าได้ หากทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากกรงแก้วใส เสียงทุ้มก้องที่ข้าคุ้นเคยดีก็ตวาดร้องขึ้น

     

    “ไม่!!!”

     

    ธอร์ -ที่โผล่มาจากไหนไม่ทราบ- ตะโกนแล้วกระโจนเข้าใส่ อันที่จริงข้าเข้าใจ ข้ามองแววตาของเขาแล้วก็เข้าใจได้ในทันที ธอร์ไม่ได้กลัวข้าหลุดจากที่คุมขัง...แต่กลัวว่าข้าจะหายไปจากเขาอีกครั้ง และครั้งนี้อาจจะเป็นการจากลาตลอดกาล...

     

    แม้การเคลื่อนไหวของพระเชษฐาจะรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ หากทว่าพลังเวทของข้าก็ใช่จะด้อยกว่า เสี้ยววินาทีที่อ้อมแขนแกร่งนั้นทำท่าจะรวดรัดตัวข้าเข้าไปกอด ข้าก็ใช้เวทถึงสามบทพร้อมๆ กัน หนึ่งคือสร้างภาพลวงทิ้งเอาไว้ สองคือพรางกายมิให้เห็น และสามคือการเคลื่อนที่ในพริบตา ซึ่งก็ทำให้ข้าหลบรอดจากธอร์มาได้อย่างง่ายดาย โดยที่ตัวเขาเองนั้นเป็นฝ่ายถูกคุมขังแทน

     

    “...เมื่อไหร่จะรู้ทันไอ้มุขนี้สักที...”

     

    ข้าอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างระอา พระเชษฐาที่เสียรู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจนับมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว ก่อนเงื้อค้อนมิโอลนิร์ขึ้นแล้วทุบลงไปบนผนังแก้วจนมันเป็นรอย

     

    เสียงกึงหนักๆ เหมือนกลไกอะไรสักอย่างทำงานดังขึ้นพร้อมการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนทั้งเขาและข้าต่างชะงักไป

     

    ข้าสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเผยยิ้มเดินไปทางแผงควบคุม “หึ มนุษย์เชื่อว่าเทพตายไม่เป็น” ดวงตาสีฟ้าที่จับจ้องมองมาไม่คลาดคลานั้นแฝงไปด้วยริ้วรอยกรุ่นโกรธ บ่งบอกและตอกย้ำให้ข้ารู้...ว่าตนเองมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปได้แล้ว “ต้องลองพิสูจน์”

     

    ทว่ายังไม่ทันที่จะได้กระทำสิ่งใดต่อ เสียงปึงปังจากทางเข้าก็เรียกสายตาของข้าให้หันไปมอง ทันเห็นว่าคนของตนล้มลงไปและไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย

     

    “กรุณาถอยออกมา” ชายผู้นั้นเอ่ยพร้อมทั้งจ่อสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายอาวุธมาทางข้า เมื่อเห็นสายตาของข้าที่จับจ้อง เขาจึงชูมันขึ้นพร้อมทั้งรอยยิ้มบางๆ “เข้าตามั้ย? เราเริ่มคิดค้นต้นแบบเพราะเจอเดรสทอยเยอร์ของพวกคุณ อานุภาพเป็นไงผมไม่รู้ จะลองของหน่อยมั้ย”

     

    ข้าเผยยิ้มบาง...แล้วจึงเสือกปลายแหลมของคทาเข้ากลางหลังของชายผู้นั้นจนเลือดอาบย้อมอัญมณี

     

    “ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     

    ข้าทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงร้องนั้น ทำเหมือนมองไม่เห็นแววตาเกรี้ยวกราดจนแทบเป็นความเคียดแค้นของพี่ชาย ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร...ทั้งที่มือกำลังสั่นเทา

     

    เสียงสายลมครวญหวีดหวิวดังจนหูแทบอื้อทันทีที่พื้นใต้กรงนั้นเปิดออก

     

    วินาทีที่ข้าจะกดปล่อยกรงนั้นลงไปจากยาน ข้าอดไม่ได้ที่จะลังเล...มนุษย์เชื่อว่าเทพอย่างเราไม่มีวันตาย แต่ข้ารู้ดียิ่งกว่าใครว่ามันไม่เป็นความจริง

     

    ข้าเหลือบมองดวงตาสีฟ้าของธอร์ ...มันเต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนแรง...มุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นข้าจึงค่อยวางใจและเชื่อว่าอย่างธอร์คงไม่มีทางตายกับเรื่องแค่นี้

     

    ข้ากดปุ่มปล่อยกรงลงไปทั้งที่มือยังคงสั่นเทา

     

    ...

     

    “คุณแพ้แน่ๆ” เสียงพร่าแผ่วของมนุษย์ใกล้ตายดังขึ้น เรียกให้ข้าหันไปมอง ข้าเหยียดรอยยิ้มเย้ยหยัน เพราะรู้ดีว่าศึกนี้ข้าไม่มีวันแพ้

     

    “แพ้เหรอ”

     

    ...เพราะจุดหมายของข้าหาใช่ชัยชนะ... 

     

    “เป็นธรรมชาติของคุณ”

     

    ...หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้ข้าเกลียดมนุษย์จากก้นบึ้งของหัวใจล่ะก็ สิ่งนั้นคงเป็นวาจาของพวกมันนั่นเอง...

     

    ที่เอ่ยราวกับรู้ดี ที่เอ่ยราวกับมองเห็น ที่เอ่ยราวกับ...มานั่งอยู่กลางใจข้าก็มิปาน

     

    ธรรมชาติของข้ามักพ่ายแพ้ ใช่ มันเป็นเช่นนั้นเสมอ ตั้งแต่สมัยก่อน ข้าพ่ายแพ้อยู่ร่ำไป ทั้งๆ ที่ข้าเฉลียวฉลาดกว่าพระเชษฐา แต่พระบิดาก็ยังคงเลือกเขา ทั้งๆ ที่ข้าจบศึกได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ชาวแอสการ์ดก็ยังชื่นชมบูชาธอร์อยู่ร่ำไป มันเป็นเช่นนี้เสมอมา และคงเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล

     

    ข้ากัดริมฝีปากแน่น ยังคงโต้ตอบวาจาด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน มิยอมจำนน “ฮึ  ยอดมนุษย์รวมไม่ได้ ป้อมปราการลอยฟ้ากำลังร่วงลงสู่พื้น ตรงไหนที่จะทำให้ข้าแพ้ล่ะ”

     

    “คุณขาดความเชื่อมั่น”

     

    ราวกับเลือดทั้งหมดเหือดหายไปจากร่างกาย เนื้อตัวของข้าเย็นเยียบ สั่นเทา

     

    “อย่างข้า...”

     

    ตูม!!! 

     

    โดยที่ไม่ทันได้ระมัดระวัง โดยที่ไร้การป้องกันอย่างสิ้นเชิง ข้าถูกชายผู้ใกล้ตายนั้นลอบทำร้าย ทั้งจุกและเจ็บจนแทบพยุงกายขึ้นไม่ไหว โชคดีที่อาภรณ์นี้เป็นเกราะกำบังชั้นเยี่ยมของเหล่าทวยเทพ มิเช่นนั้นข้าคงบาดเจ็บหนักยิ่งกว่านี้เป็นแน่

     

    “ยิงแล้วเป็นอย่างนี้เอง...”

     

    ข้าได้ยินเสียงมันเอ่ยพึมพำ...และหลังจากนั้นก็มีเพียงความเงียบงันตลอดกาล

     

     

    ...

     

     

    ข้าก้าวขึ้นไปบนยานลำเล็กที่ถูกเตรียมเอาไว้ อาจเป็นเพราะข้าใช้คทาแทงชายผู้นั้น พลังเวทจึงยังคงเชื่อมโยงอยู่อย่างบางเบา ข้าได้ยินเสียงของนิค ฟิวรี่ที่พยายามเรียกสติลูกน้องตน หากทว่าข้ารู้ดี...เหมือนกับที่เขาก็คงรู้ไม่ต่างไปจากข้าเช่นเดียวกัน

     

    ...ฟิล โคลสันได้เหยียบย่างเข้าไปในนิฟไฮม์แล้ว...

     

    ข้าหลับตา...เสียงพร่าแผ่วนั้นดังก้องอยู่ในภวังค์

     

    “แบบนี้ก็ดีหัวหน้า มันไม่มีวันสำเร็จ ถ้าไม่มีเหตุผลักดัน” 

     

    บางที...ไม่สิ ไม่ใช่บางที

     

    แต่ข้าไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์เหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    สตาร์กทาวเวอร์ เป็นสถานที่ที่เหมาะจะให้ข้าใช้ประกาศเจตจำนงต่อหน้าชาวมิดการ์ดยิ่งนัก ทำไมข้าจะไม่ใช้มันล่ะ? ในเมื่อหนึ่ง...ข้าได้เหยียบหน้าเจ้าไอรอนแมนที่แสนกวนโทสะนั่น สอง...เกิดเรื่องวุ่นวายกลางเมืองใหญ่เช่นนี้ บรรดาผู้นำประเทศคงรู้สึกเหมือนโดนเหยียบหน้าตามสตาร์กไปติดๆ นั่นล่ะ

     

    ข้าทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ เคลื่อนไหวเล็กจิ๋วประหนึ่งมดเดินสวนกันขวักไขว่ และทันในนั้นเอง ร่างของมนุษย์ในชุดเกราะเหล็กก็ทิ้งตัวลงมาบนทางที่ยื่นออกจากตัวตึก

     

    ข้ายิ้ม ก่อนเดินเข้าไปภายในห้องหับอันหรูหราซึ่งเจ้าของห้องเองก็ไม่ได้ออกปากว่าอะไร และแน่นอน...ต่อให้ว่าข้าก็ไม่สนใจอยู่ดี

     

    “ช่วยบอกทีว่าเจ้ามาร้องขอความเมตตา”

     

    “เอ่อ ที่จริงจะมาข่มขวัญ”

     

    การพูดคุยกับมนุษย์ผู้นี้เป็นสิ่งที่ข้าไม่ค่อยโสภาเสียเท่าไหร่ โทนี่ สตาร์กเป็นผู้ชายที่ฉลาด ถึงแม้ถ้าดูจากการกระทำของเขาแล้วจะรู้สึกว่าเขางี่เง่ามากๆ ก็ตาม แต่ชายผู้นี้มีดวงตาอันเฉียบคมซึ่งผิดไปจากกิริยามารยาทที่เขาแสดงออก อีกทั้ง...เขายังมีวาจาที่สามารถต้อนให้ข้าแทบจนมุม ในอีกทางหนึ่ง...เขาเป็นคนที่มีบางสิ่งคล้ายคลึงกับข้ามากทีเดียว

     

    ต้องการเป็นที่ยอมรับ...คงเป็นสิ่งนั้นกระมัง

     

    -ดิ อเวนเจอร์-

     

    ข้าทำหน้างงงันกับชื่อที่เหมือนจะคุ้น หากก็ไม่คุ้นนั่น ก่อนที่จะนึกออกเมื่อได้ยินคำขยายความจากคนตรงหน้า

     

    “คำเรียกกลุ่มเราน่ะ คล้ายๆ ชื่อทีมรวมยอดมนุษย์ดาวโลก อะไรเงี้ย”

     

    “อ้อ เคยเจอแล้ว” ข้ายิ้มขัน มันคือกลุ่มที่ข้าเพิ่งไปสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายเอาไว้จนแทบแตกสลายซ่านกระเซ็นนั่นเอง

     

    “ใช่ ต้องสักพักนึงถึงจะเข้าขากัน อันนี้ยอมรับ งั้นมาไล่ว่ามีใครบ้าง พี่ชายนาย เทพสายฟ้า”

     

    ข้าสะบัดหน้าหนีทันทีที่ได้ยินนามนั้น มันเป็นกิริยาที่ข้าแสดงออกโดยไม่ได้เจตนา หากทว่าโชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สังเกตเห็นจึงยังพูดพล่ามต่อไปอย่างไม่เว้นช่วงหายใจ

     

    “ทหารจอมพลัง ตำนานมีชีวิตที่ใช้ชีวิตเป็นตำนาน บุรุษผู้อัดแหลก เมื่อเม้งแตกเอาไม่อยู่ ยอดมือสังหารอีกสอง ซึ่งนาย ระดับเทพ สามารถปลุกปั่นทุกคนให้หัวฟัดหัวเหวี่ยงได้” แม้ถ้อยคำจะเหมือนชื่นชม หากน้ำเสียงกลับเป็นตรงกันข้าม

     

    “ก็มันเป็นแผน”

     

    ข้าเก็บอารมณ์เอาไว้ภายใต้รอยยิ้ม แล้วจึงหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องที่ยกสุราขึ้นดื่มด้วยท่าทางผ่อนคลายเสียเต็มประดา ผิดกับแววตาเอาเรื่องเบื้องหลังขอบแก้ว

     

    “เป็นแผนที่ห่วย พอทุกคนคิดได้ ซึ่งได้แน่ นายจะโดนหนัก”

     

    ข้ารู้สึกได้ถึงพลังงานที่พุ่งขึ้นสูง ประตูมิติด้านนอกนั่นพร้อมเปิดออกได้ทุกเมื่อ แม้จะน่าเสียดาย(ซะเมื่อไหร่) แต่ข้าคงไม่อาจอยู่ต่อปากต่อคำกับโทนี่ สตาร์กไปได้ตลอดวัน เมื่อชิทอรี่มา...ข้าจะต้องคอยเฝ้ามอง และควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามเกม

     

    ดังนั้น...ข้าจึงตัดปัญหาด้วยการควบคุมเขาเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

     

    “พรรคพวกเจ้าไม่ว่างไล่ล่าข้าหรอก เพราะเจ้าจะไปไล่ล่ามันก่อน”

     

    คทาในมือข้าส่องแสงสว่างเรืองรอง หากกลับเต็มไปด้วยอันตราย และเมื่อมันสัมผัสเข้ากับแผ่นอกกว้างนั้น...

     

    กึง 

     

    เสียงคล้ายเหล็กกระทบกันดังขึ้น ข้าเลิกคิ้วประหลาดใจ และลองอีกที

     

    กึง 

     

    “ทุกทีมันได้นี่” ข้าพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสียและค่อนข้างจะเป็นกังวล ข้ารู้ดีว่าคทานี้มีลูกเล่นซ่อนเอาไว้ หากในฐานะจอมเวทอันดับหนึ่งแล้ว ข้าไม่มีทางเสียรู้ให้กับลูกไม้กระจอกๆ นั่นแน่ แต่...ถ้ามันดันเหนือชั้นกว่าข้าล่ะ? พลังของข้าใช้ไม่ได้ผลแล้วงั้นหรือ?

     

    ก่อนที่ข้าจะกลัดกลุ้มกังวลยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยักไหล่ขึ้น ก่อนเอ่ย

     

    “ปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพ ไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้ชายหนึ่งในห้า... อึก..!” ข้ารู้แล้ว...เป็นเพราะมันนั่นเอง ...ปัญหาไม่ได้เกิดจากคทาหรือพลังเวทของข้าแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ-โทนี่ สตาร์กและปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพของเขา-นั่นเอง “จาร์วิส ตอนนี้เลย”

     

    “พวกเจ้าทุกตัว ต้องตาย ต่อหน้าข้า” ข้าชูร่างมันขึ้นสูงก่อนเดินไปทางหน้าต่างบานใส ...ตึกนี้สูงใช่เล่น ถ้าตกลงไปคงมีแต่ตายกับตาย

     

    “ปฏิบัติการ ปฏิบัติการ!!”

     

    และข้า...ก็ไม่ลังเลเลยที่จะโยนมันลงไป

     

    เพล้ง!!! 

     

    เมื่อร่างนั้นร่วงลงไปแล้ว ข้าก็ได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวจากด้านหลัง หากยังไม่ทันได้หันไปมองว่ามันคืออะไร สิ่งนั้นกลับพุ่งผ่านหน้าข้าไปเสียก่อน ...มันคือชุดเกราะเหล็กสีแดงนั่นเอง...

     

    ข้าชะโงกหน้าจากระเบียงมองลงไปยังเบื้องล่าง หากยังไม่ทันได้กวาดตามองหา วัตถุสีแดงสด...ไอรอนแมนก็บินขึ้นมาอยู่ตรงหน้าข้าด้วยความรวดเร็ว

     

    “ยังมีอีกคนที่แกทำให้เขายั๊วะ ...เขาชื่อว่าฟิล”

     

    ฝ่ามือนั้นยิงลำแสงบางอย่างออกมา ข้าที่ชะงักไปด้วยชื่อของ “ฟิล” จึงโดนเข้าเต็มๆ คิดได้แต่เพียงว่าโชคดีแล้วที่เบื้องหลังของข้าเป็นห้องที่ปูพรมหนานิ่ม ไม่ใช่นอกระเบียงที่สูงจนต่อให้เป็นเทพก็อาจตกลงไปคอหักตายได้

     

    ข้ารู้ว่ามันงี่เง่ามาก...งี่เง่าสุดๆ แต่...ทั้งๆ ที่ข้าควรจะเกรี้ยวกราดที่ไอรอนแมนดันรอดมาได้ หากเพราะนามของฟิล โคลสัน...สหายของธอร์ที่ร่วงหล่นลงสู่นิฟไฮม์ด้วยน้ำมือของข้า กลับทำให้ข้า...รู้สึกโล่งอกที่บุรุษในชุดเกราะเหล็กนั้นยังไม่ตาย

     

    ช่างเป็นความหวั่นไหวที่สมควรตายจริงๆ

     

    ไม่ทันที่ข้าหรือเขาจะได้เอ่ยอะไร ประตูมิติก็เปิดออก เหล่าชิทอรี่ที่เฝ้ารอให้ถึงเวลานี้มาตลอดพากันมุ่งหน้ากรูเข้ามาราวกับแร้งที่ได้กลิ่นศพ

     

    “กองทัพ...จริงด้วย”

     

    ข้าได้ยินเขาพึมพำเพียงแค่นั้น แล้วหนึ่งในดิอเวนเจอร์ก็ละความสนใจจากข้าไป

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    “โลกิ!! ปิดเทซเซอแรคต์ซะ ไม่งั้นข้าจะทำลายมัน!!!!!!!!” เสียงของธอร์ตวาดกร้าวขึ้นทันทีที่เหยียบย่างลงมาบนยอดตึกสูงชัน

     

    ข้าหันไปมองใบหน้าเครียดขึงนั้นแล้วก็เผยอยิ้ม “อย่าฝัน จะไม่มีการหยุดยั้ง งานนี้จะมีแต่ สงคราม!”

     

    “งั้นก็จัดให้”

     

    เช่นที่ข้าคาดไว้...การตายของสหายทำให้ธอร์ไม่ลังเลอีกแล้วที่จะลงมือกับข้า

     

    ข้ายิ้มรับสายตาเกรี้ยวกราด...เคียดแค้น ใช่แล้ว มันควรจะเป็นเช่นนี้ล่ะ

     

    “ย้าก!”

     

    เสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเสียดแหลมบาดหู

     

    เช่นที่เคยบอก...ข้าไม่ถนัดในการต่อสู้ประชิดตัว แต่ความที่ธอร์มักเลี่ยงจุดตายเสมอทำให้ข้าพอจะยื้อเวลาออกไปได้บ้าง ระหว่างที่กำลังพัวพันกันอยู่นั้นเองที่ข้ารู้สึกได้ถึงลางสังหารที่ลอยมาปะทะแผ่นหลัง ข้ายิงเวทใส่โดยเพิ่งมารู้ทีหลังด้วยซ้ำว่ามันคือยานของบรรดาก๊วนสหายชาวมิดการ์ดของธอร์นั่นเอง

     

    เมื่อหมดตัวลอบกัดแล้วข้าก็ต้องหันกลับมารับมือกับธอร์อีกครั้งโดยไม่มีแม้กระทั่งเวลาได้หยุดพักหายใจ

     

    เสียงปะทะ เสียงกรีดร้อง เสียงของความสับสนอลหม่านดังไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ข้าได้ยินมันทั้งหมด...ทั้งๆ ที่ข้าสามารถปิดหูปิดตาไม่รับรู้มันเสียก็ได้ หากทว่าข้าเลือกที่จะไม่ทำ

     

    เพราะนี่คือผลของการตัดสินใจของข้า ไม่ว่ามันจะออกมาเป็นเช่นไรข้าก็ควรรับมันเอาไว้ทั้งหมด แน่นอนว่าข้าไม่ได้คิดว่าจะมีเสียงยกย่องสรรเสริญหรอก แต่มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น...มีแต่เพียงเช่นนี้ที่ศักดิ์ศรีของข้าจะไม่ถูกความต่ำช้าเห็นแก่ตัวเหยียบย่ำจนย่อยยับพังทลาย

     

    ข้าถูกธอร์ตรึงเอาไว้ มือหยาบกร้านค้ำลำคอบังคับให้ข้าเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิวทัศน์เบื้องนอกที่เต็มไปด้วย...หายนะ

     

    “เจ้ามองไว้! มองไปรอบๆ!! การขึ้นเป็นใหญ่ของเจ้าหยุดความบ้าคลั่งนี้ได้เหรอ!!!?”

     

    ดวงตาของข้ามองเห็นควันไฟ หูของข้าได้ยินเสียงกรีดร้อง จมูกของข้าได้กลิ่นความตาย

     

    ข้ายอมรับ...ว่าเวลานั้นข้าหวาดกลัว หวาดกลัวมากว่าทุกสิ่งจะไม่เป็นไปตามที่ข้าตั้งใจเอาไว้ เหล่าชิทอรี่แข็งแกร่งผิดจากเมื่อหลายเดือนก่อนราวแอสการ์ดกับนิฟไฮม์ อีกทั้งยังหวาดกลัวความหวั่นไหวของใจข้าเอง แม้ข้าจะพร่ำบอกอยู่ตลอดเวลาว่าจะไม่ถอดใจ ว่าจะไม่ยอมแพ้ ว่าจะไม่มีวันถอยกลับ...แต่...แต่...บางครั้ง...บางครั้งข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าข้าเข้าไปบอกธอร์ตรงๆ ว่าให้นำเทซเซอแรคต์กลับไปเสีย บอกธอร์ไปตรงๆ ว่าหากมนุษย์สามารถเปิดประตูมิติได้แล้วทั้งเก้าโลกจะเกิดความวุ่นวายเพียงใด

     

    ...ทุกสิ่งทุกอย่างจะออกมาในรูปแบบไหนกัน...

     

    แต่ข้าก็เหมือนโทนี่ สตาร์ก

     

    ...ต้องการเป็นที่ยอมรับ...

     

    ไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะลงเอยเช่นไร แต่มันก็จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน ทั้งประวัติศาสตร์ของแอสการ์ด และทั้งอาจเป็นสิ่งที่ชาวมิดการ์ดเรียกขานว่าตำนาน

     

    นามของข้าจะถูกกล่าวขานไปตลอดกาล

     

    ไม่ใช่อนุชาแห่งธอร์ ไม่ใช่บุตรแห่งลาฟฟี่หรือโอดิน

     

    หากเป็นข้าเอง

     

    แม้จะต้องเป็นเทพแห่งหายนะก็ตาม

     

    “มันสายไปแล้ว สายเกินจะหยุดมันได้แล้ว”

     

    ดวงตาของข้าบอกกล่าวแก่ธอร์มากกว่าถ้อยคำ บอกกล่าว...ว่านี่เป็นอีกครั้งที่เขามาสายเกินไป เช่นเดียวกับเหตุการณ์บนดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงนั้น...เช่นเดียวกับเหตุการณ์อีกหลายครั้งหลายครา...ที่เขาไม่เคยแก้ไขสิ่งใดได้ทันการณ์...

     

    “ไม่หรอก เราหยุดได้ ถ้าช่วยกัน”

     

    ข้าชะงักงันไป...ความหอมหวานของทางเลือกที่ง่ายกว่าช่างเย้ายวนจนยากนักที่จะปฏิเสธ แต่...

     

    ...ข้ายิ้ม...ชักอาวุธลับออกมาแทงเข้าไปที่ท้องของพระเชษฐาอย่างรวดเร็ว

     

    “เลี่ยนได้ใจ”

     

    หยาดน้ำหยดหนึ่งรินไหลผ่านแก้ม

     

    ...มันสายเกินไป... 

     

    สายเกินไปมากจริงๆ

     

    ธอร์ซึ่งทรุดลงไปไม่มีโอกาสได้เห็นมัน และข้าเองก็พอใจที่จะให้เป็นเช่นนั้น

     

    เมื่อลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ร่างสูงใหญ่กำยำก็ตรงเข้าจู่โจมอย่างไม่เปิดช่องว่างให้โต้ตอบ ข้าที่ถูกโยนลงพื้นนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะฝืนขยับร่างพลิกตัวลงจากยอดตึกนั้น และคว้ายานบินของเหล่าชิทอรี่ไว้

     

    ข้าทำทีเป็นทิ้งคทาไว้ที่นั่น

     

    หวังว่าในหมู่มนุษย์พวกนั้นจะมีใครสักคนที่ฉลาดพอจะเอามันไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ข้ายอมรับว่าค่อนข้างทึ่งที่เหล่า...อะไรนะ? เอ่อ ดิอเวนเจอร์ สามารถรับมือกับชิทอรี่เป็นกองทัพได้ แต่ก็ยอมรับเช่นกันว่ารู้สึกโล่งอกที่มันเป็นเช่นนั้น

     

    “...ส่งที่เหลือเข้ามา...” ข้าจำต้องเติมฟืนเพื่อเป็นเชื้อไฟ...นำพาให้หายนะโหมกระพือ

     

    โชคดีที่ข้ามีประสาทสัมผัสในฐานะจอมเวทอยู่มาก ไม่เช่นนั้นคงโดนลอบกัดจนตายไปนับครั้งไม่ถ้วนเรียบร้อยแล้ว ข้าคว้าลูกดอกที่พุ่งตรงมายังใบหน้าเอาไว้อย่างแม่นยำก่อนปรายตามองไปยังผู้ที่แผลงศรมันออกมา หากทว่ายังไม่ทันได้กระทำสิ่งใดต่อ ลูกดอกในมือนั้นก็ระเบิดออก ส่งให้ร่างของข้ากระเด็นเข้าไปในระเบียงของตึกสตาร์กอีกครั้ง...

     

    ...และเป็นอีกครั้งเช่นกันที่ข้าได้แต่พยายามมองโลกในแง่ดีว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้ร่วงลงไปข้างล่างนั่น...

     

    ข้าพยุงกายลุกขึ้น ยังไม่ทันได้ตั้งตัวติดหรือขับไล่ความมึนเบลอจากแรงกระแทกครั้งก่อนก็มีแรงกระแทกครั้งใหม่ซ้ำสองจนร่างกระเด็นเข้าไปภายในตึก...อย่างน้อยมันก็ยังปูพรมนุ่มๆ เอาไว้...

     

    ข้าได้แต่ปลอบตัวเองอีกครั้ง

     

    อสูรกายตัวใหญ่สีเขียวคำรามก้อง บ่งบอกให้รู้ได้ในทันทีว่าแรงกระแทกเมื่อครู่นั้นเกิดจากอะไร ควรรู้ว่าต่อให้ใจเย็นเป็นน้ำแข็งในโยทันไฮม์แค่ไหน แต่ถ้าถูกทำแบบข้าแล้วก็ยากนักที่จะหาคนไม่โกรธได้...อันที่จริงข้าอยากจะบอกว่ามันไม่มีเลยด้วยซ้ำ และเมื่อมันทำท่าจะก้าวปึงปังเข้ามาหา ข้าจึงปรี๊ดแตก ตวาดไป “พอเลย!!!! พวกเจ้ามันต้องอยู่ใต้อาณัติข้า! ข้าน่ะเทพนะ! เจ้าสัตว์ปัญญาด้อย! ข้าจะไม่ยอมถูกซ้อมโดยเดรัจ...!”

     

    เสียงของข้าขาดหายไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ข้ารู้สึกเหมือนโลกพลิกกลับไปมาตลอดเวลาพร้อมทั้งรู้สึกถึงแรงกระแทกจากทุกส่วนของร่างกาย

     

    เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ข้าก็พบว่าตนเองกำลังนอนแผ่อยู่กลางห้องนั้นโดยมีอสูรกายตัวเขียวยืนค้ำหัวอยู่ ถ้าดวงตาของข้าไม่ฝ้าฟางจากแรงกระแทก หรือสมองถูกกระทบกระเทือนมากเกินไปจนประมวลผลผิดพลาด ข้าคิดว่าตนเองได้เห็นแววตาเหยียดหยามจากเจ้ายักษ์อัปลักษณ์นั่นค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว

     

    มันหันหลังให้ข้าอย่างหมดความสนใจก่อนจะพ่นเสียงออกมาอย่างดูถูกว่า “เทพกระจอก!”

     

    ...

     

    ...ข้าเกลียดพวกมัน!!!...เกลียดพวกมันทุกคนเลย!!!

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    มีใครสักคนสัมผัสคทา

     

    พลังเวทที่ถูกกระตุ้นเป็นสิ่งที่ปลุกให้ข้าฟื้นขึ้นมา หลังจากหมดสติไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบ

     

    ข้ารู้สึกได้จากสายพลังเวทที่เชื่อมโยงกันอยู่อย่างบางเบา หากแค่นั้นก็มากเกินพอ ยามเมื่อข้าปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นราวกับว่าข้าได้ไปยืนเหยียบอยู่บนยอดตึกนั้นเองก็มิปาน

     

    และขณะเดียวกันข้าก็ได้ยินเสียงจากอีกฟากฝั่งของทะเล...เสียงของความตายอันหนาหนักและน่าพรั่นพรึง...

     

    ข้าได้ยิน...เสียงของพวกผู้นำประเทศที่ตัดสินใจให้ส่งอาวุธนิวเคลียร์มาถล่มเกาะของตน

     

    ทั้งๆ ที่ยังมีประชาชนของตนอยู่ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะทำลายส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนรวม ข้าไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะเพราะถ้าเป็นข้า ข้าก็คงเลือกหนทางที่จะก่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดเช่นกัน มันเป็นการยากที่จะศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวซูปเปอร์ฮีโร่เพียงไม่กี่คน และฝากฝังชีวิตของตนไว้ในมือของกลุ่มคน...ที่พวกเขาเรียกว่าเป็นตัวอันตราย

     

    แต่ข้ารู้...ว่ามันจะไม่เป็นไร

     

    “ฉันปิดมันได้ มีใครได้ยินบ้างไหม ฉันปิดประตูมิติได้”

     

    มือเรียวบางหากทว่ามั่นคงนั้นกุมคทาเอาไว้แน่น จ่อปลายอัญมณีสีฟ้าของมันเข้ากับเครื่องมือที่ปลุกพลังของเทซเซอแรคต์ให้ตื่นขึ้นมา

     

    “ปิดมันเลย!”

     

    “อย่า! เดี๋ยว…!” เสียงของไอรอนแมนแทรกเข้ามา หากทว่าข้ากลับมองหาตัวเขาไม่เจอ

     

    “สตาร์ก พวกมันมาอีกเพียบเลย”

     

    “เขายิงนิวเคลียร์มา จะปะทะในอีกไม่ถึงหนึ่งนาที” เสียงเอ่ยรัวเร็วตอบกลับฟังดูร้อนรน แต่ประโยคถัดมาก็ทำให้ข้าได้รู้ว่าตนเองกังวลมากเกินไป “มีที่ชอบๆ ให้มันแล้ว”

     

    ข้าหันไปมองยังทิศทางที่ลางหายนะนั้นกำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามา วัตถุสีเงินวาววามบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทัน หากข้าก็ยังสามารถเห็นได้ถึงร่างสีแดงที่เกาะอยู่กับวัตถุสีเงินนั้นค่อนข้างชัดเจน

     

    เขามองไม่เห็นข้า แน่ล่ะ ในเมื่อความจริงแล้วตอนนี้ข้ากำลังนอนอยู่ที่ห้องอันหรูหรา...ที่ตอนนี้ยับเยินไปทั้งแถบนั่นนี่นา ดังนั้นต่อให้เขาพานิวเคลียร์นั่นเบี่ยงวิถีขึ้นเฉียดหน้าข้าไปเพียงนิดเดียว ก็ไม่มีใครมองเห็นอะไรอยู่ดี

     

    ข้าเงยหน้าขึ้นมองตามร่างนั้นซึ่งหายลับเข้าไปในประตูมิติ

     

    ธอร์...จงดูเสีย 

     

    แสงจากการระเบิดสว่างวาบ...อาวุธนั้นมีอำนาจทำลายล้างรุนแรงเสียจนทำให้ดาวเคราะห์เล็กๆ ดวงหนึ่งแทบล่มสลาย

     

    ธอร์ พี่ชายผู้โง่เขลาของข้า...ท่านเห็นหรือเปล่า... 

     

    ชิทอรี่ทั้งหมดที่อยู่ในมิดการ์ดพากันล้มระนาว ปิดฉากการต่อสู้ครั้งนี้โดยสิ้นเชิง

     

    ...ท่านจะครุ่นคิดบ้างไหม ถ้าหากวันใดวันหนึ่งมนุษย์เปิดประตูมิติออกได้ แล้วดาวที่ถูกทำลายนั้นคือแอสการ์ดจะเป็นเช่นไร... 

     

    และจบหมากกระดานนี้ของข้าลง...อย่างงดงาม

     

    พี่ชายผู้โง่เง่า ท่านทราบดีใช่ไหมว่ามนุษย์ไขว่คว้าหาจุดสูงสุดให้ตนเองเสมอ

     

    ท่านไว้ใจมนุษย์ แต่ข้าไม่ และชาวแอสการ์ดอีกมากมายก็คงไม่เช่นกัน ต่อให้ในตอนนี้มนุษย์จะไว้ใจได้แล้วอย่างไร กว่าที่พวกเขาจะเปิดประตูมิติออกได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสติปัญญาของข้า อาวุธและวิวัฒนาการของโลกนี้ก็คงก้าวไปไกลกว่าที่เป็นอยู่อย่างมากมาย และเหล่าคนที่ท่านรู้จักก็ย่อมล้มหายตายจากไปแล้วเช่นเดียวกัน

     

    ธอร์ ท่านเข้าใจหรือไม่ อายุขัยของมนุษย์ช่างสั้นนัก

     

    เพียงพริบตา เหล่าคนที่ท่านรักและไว้ใจก็จะเหลือแต่เถ้ากระดูกและป้ายวิญญาณ ทั้งที่สำหรับพวกเราแล้วมันเพิ่งผ่านไปเพียงพริบตาเท่านั้นเอง...

     

    "สู้เขา สตาร์ก" เสียงของสายลับสาวเอ่ยพึมพำ

     

    "ปิดเลย" ทันทีที่สิ้นคำสั่งของกัปตันอเมริกานั้น ข้าก็รู้สึกได้ถึงพลังเวทที่ขาดสะบั้นลง

     

    ข้าไม่ได้ยินเสียงพวกเขาแล้ว หากทว่ากลับยังไม่อาจละสายตาจากประตูมิติที่ค่อยๆ หดเล็กลงเรื่อยๆ ...พร้อมกันกับหัวใจของข้าที่ค่อยๆ เต้นช้าลงเช่นกัน

     

    ...จบแล้ว...

     

    ข้ายิ้มเมื่อเห็นร่างสีแดง...ที่ตอนนี้ยับเหมือนผ้าขี้ริ้วกำลังร่วงหล่นลงมาจากประตูมิติที่ปิดลง คงเป็นเพราะข้าอยู่สูงที่สุดจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้ร่างนั้นไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวหรือแม้กระทั่งครองสติเอาไว้ได้แม้แต่น้อย

     

    ...เห็นแก่ที่เขาไม่ทำให้แผนของข้าต้องพัง...ดังนั้นข้าจึงยื่นมือออกไปสร้างบาเรียล้อมรอบร่างนั้นเอาไว้ ถึงแม้ว่ามันคงจะน่าสงสัยน่าดูว่าทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่ร่วงกระแทกพื้นจากความสูงระดับ...อวกาศ

     

    แต่ก็ช่างปะไร

     

    ข้าหลับตา...ปล่อยให้ร่างของตนฟื้นจากห้วงนิทราแล้วค่อยๆ เอื้อมมือควานหาสิ่งที่จะช่วยพยุงร่างข้าให้ลุกขึ้นยืน

     

    เมื่อหันไปด้านหลังก็พบเข้ากับ...อะไรนะ? อ้อ -ดิอเวนเจอร์- ยืนอยู่กันครบทีม...ตามความคาดหมาย ข้ายิ้มใส่พวกเขาแม้มันจะยากอยู่สักหน่อย เมื่อต้องมีร่างกายที่เจ็บร้าวไปเสียทุกส่วนเช่นนี้

     

    “ถ้าเจ้ามาเพื่อสิ่งเดียวกัน ข้าขอดื่มก่อนสักกรึ๊บ”

     

    ...ฉลองให้กับความตาย...ที่กำลังจะมาเยือน...

     

    เชียร์ส

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

     

    :: To Be Continued :: 

    Deleted Scene :: VII

    Epilogue

     

     

     

     

     

     

     

     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×