ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Antho The Avengers] Thor*Loki [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #5 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take V - Redeem the sin -

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 57


     

     

     

     

    Redeem the sin

     

     

     

     

    Deleted Scene :: Take V

    - Redeem the sin -

     

     

     

     

     

     

    ข้าเดินไปตามทางภายในยานที่เป็นดั่งฐานทัพของหน่วยชิลด์ เมื่อเหลือบมองเข้าไปในห้องห้องหนึ่งแล้ว ข้าก็พลันได้สบตาเข้ากับหนึ่งในหมากตัวสำคัญ...

     

    นักวิทยาศาสตร์ผู้สำรวมเรียบร้อย ข้าเผยอยิ้มเมื่อนึกถึงอีกครึ่งหนึ่งซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อได้สังเกตเห็นแววตาหวาดระแวง...จนแทบเป็นความไม่ไว้ใจอย่างสุดซึ้งจากบรูซ แบนเนอร์

     

    ทหารชาวมิดการ์ดนำพาข้าเข้ามาอยู่ในห้องกระจกแก้ว เมื่อสัมผัสก็บ่งบอกได้ทันทีว่าด้วยพละกำลังของข้าแล้ว คงไม่อาจทำลายมันลงได้ หากขณะที่กำลังกวาดตามองไปรอบๆ อยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น...เป็นเสียงที่ข้าเกือบจะคุ้นเคย

     

    “บอกไว้เลยเพื่อความชัดเจน หากพยายามหนี ปึงปันจนผนังแก้วเป็นรอย...” ชายผิวดำผู้มีนัยน์ตาขวาเพียงข้างเดียวเดินหน้าเคร่งเข้ามา สาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าเครื่องมืออะไรสักอย่างแล้วกดปุ่ม

     

    พื้นใต้กรงแก้วนั้นเปิดออกเผยให้เห็นปุยเมฆขาวที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านใต้ฝ่าเท้า “ร่วงลงไปจากระยะสามหมื่นฟิต ในกรงเหล็กกล้า รู้นะจะเป็นยังไง”

     

    ข้าปรายตามองอย่างไม่ใคร่จะสนใจอะไรนัก...เพราะถึงอย่างไร ข้าก็ไม่ได้คิดจะหลบหนีอยู่แล้ว...อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

     

    “มด” นิค ฟิวรี่ ขี้มาที่ข้า

     

    “ฝ่าเท้า” แล้วจึงชี้ไปที่แผงควบคุม

     

    ข้ายิ้มอย่างไม่ถือสา พวกมันจะว่าอย่างไรข้าไม่เคยสน ข้าอาจชั่วร้ายจริงเช่นที่มนุษย์ประณาม แต่แล้วอย่างไร ในโลกนี้มีใครบ้างเล่าที่ไม่ชั่วร้าย? พวกเขากล่าวประณามข้าทั้งๆ ที่ในมือก็ยังถืออาวุธฆ่าคน

     

    นอกจากความสมเพชแล้วข้าก็ไม่อาจให้อะไรแก่พวกมันได้อีก...

     

    “เป็นห้องจองจำที่ล้ำมาก แต่คงไม่ได้สร้างสำหรับข้า”

     

    “สำหรับอะไรที่พลังมหาศาลกว่าแก”

     

    “อ้อ เคยได้ข่าว” แหล่งข่าวของข้าก็ใช่ใครที่ไหนอื่นไกล คลินท์ บาร์ตันนั่นอย่างไร “อสูรกายคลั่งที่ดิ้นรนคงสภาพมนุษย์ ตานี้เจ้าคงจนตรอกจริงๆ ถึงกับต้องร้องขอให้อมนุษย์ไร้สติมาปกป้อง”

     

    วาจาข้ายั่วยวนกวนโทสะด้วยความจงใจ บอกตามตรงว่าการโดนจับมาขังแบบนี้มันไม่น่าอภิรมย์อะไรนักหรอก และการละเล่นฆ่าเวลาที่มอบความหรรษาให้มากพอก็เห็นจะมีเพียงแค่การต่อปากต่อคำกับคนด้านนอก...ที่ทำท่าเหมือนว่าตนเองกำลังได้เปรียบเสียเต็มประดาเพียงอย่างเดียว

     

    “จนตรอกแค่ไหนน่ะเหรอ แกกำลังจะเปิดศึกกับโลก ชิงขุมพลังที่แกก็อาจจะคุมไม่อยู่” ข้ายิ้มฟังคำพูดของมนุษย์ผู้ริอาจคิดปลุกเทซเซอแรคต์ขึ้นมา จนเป็นเหตุให้ข้าต้องถ่อมาถึงมิดการ์ดเช่นนี้โดยไม่แสดงอาการอะไร “ปากพล่ามเรื่องสันติ แต่ฆ่าคนเพื่อความสะใจ แกนั่นล่ะที่ไล่ต้อนฉันจนจนตรอกขนาดนี้ ระวังจะมาเสียใจทีหลัง”

     

    ...มันหมดเวลาของการเสียใจทีหลังไปนานแล้ว...นานมากเหลือเกินจนข้าแทบลืมเลือนไปจนหมดสิ้น และจากนี้ไป...ผู้ที่จะต้องเสียใจทีหลังคือพวกมันนั่นเอง

     

    “โอ้โห คงยั๊วะมากที่อีกนิดเดียวก็จะบรรลุเป้า ที่จะมีเทสเซอแรคต์ ครอบครองอำนาจ พลังที่ไร้ขีดจำกัด มีไว้ทำไม เพื่อแสงสว่างอุ่นๆ แด่คนทั้งโลก และเพื่อที่จะถูกพลังอำนาจของจริงตบกะโหลก”

     

    ข้ามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง...ที่ก็คงได้ประจักษ์กันมานักต่อนักแล้ว วาจาข้าทำมันสะอึกนิ่งงันไปวูบหนึ่ง รวดเร็วจนแทบไม่สังเกตเห็น แต่ย่อมไม่คลาดไปจากสายตาของข้า

     

    ...ผู้ที่พยายามครอบครองอำนาจของเทซเซอแรคต์คือพวกมัน...หาใช่ข้า...

     

    ...เพื่อแสงสว่างอุ่นๆ แด่คนทั้งโลก...และเพื่ออำนาจในการทำลายล้างเพื่อให้ตนได้ยิ่งใหญ่เหนือใคร...

     

    ถ้าพวกมันไม่คิดจะปลุกเทซเซอแรคต์ ปล่อยให้ขุมพลังนั้นหลับใหลอยู่ใต้พิภพไปตลอดกาล ข้าก็คงไม่ต้องวางแผนมากมายถึงเพียงนี้...ไม่ต้องกระทำเรื่องใหญ่โตมากมายถึงเพียงนี้

     

    ข้ารู้ดีว่าธอร์ไม่มีทางมาก้าวก่ายเรื่องในมิดการ์ดหากไม่มีเหตุผลักดัน พระเชษฐาหาได้ตระหนักไม่ว่าถ้ามนุษย์สามารถเปิดประตูมิติได้ ทั้งเก้าโลกจะเกิดความวิบัติปั่นป่วนมากเพียงใด

     

    ข้าจึงจำต้องมา...เพื่อแสดงให้ธอร์ได้เห็น...และนำพาเทซเซอแรคต์กลับคืนสู่สถานที่ที่มันคู่ควร...

     

    ...นั่นคือเรื่องที่ข้าคิดมาตลอดตั้งแต่แรก คือทางที่ข้าเลือกจะเดิน คือสิ่งที่ข้าตัดสินใจและลาจากแอสการ์ดมา...

     

    “ฮึ ถ้าพลังอำนาจของจริงรู้สึกเซ็ง อยากได้การ์ตูนอ่านก็บอกแล้วกัน”

     

    ...ข้ายิ้มโดยไม่เอ่ยกระไร รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าธอร์เฝ้ามองดูอยู่...ไม่ด้วยวิธีใดก็ด้วยวิธีหนึ่ง...หากคำพูดของข้าสะกิดใจให้พระเชษฐางี่เง่านั่นตระหนักขึ้นมาบ้างก็คงดี...

     

    แต่ข้าเองก็รู้จักธอร์ดีเกินกว่าจะฝันลมๆ แล้งๆ เช่นนั้น

     

    จึงได้แต่ต้องเดินหน้าตามแผนต่อไป

     

    ...

     

    ข้าเฝ้ารอให้ถึงเวลาอันเหมาะอันควรอย่างสงบ ถ้าจะมีสิ่งใดที่ข้าสามารถเอ่ยได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเหนือกว่าผู้ใด สิ่งนั้นคงเป็นความเยือกเย็นนี้เอง ข้ารอคอย...ไม่รีบร้อน เพราะข้าได้เลือกจุดจบเอาไว้แล้ว เหลือเพียงแค่ค่อยๆ ทอดน่องเดินไปให้สุดทาง

     

    เท่านั้นก็เพียงพอ

     

    จงมองเสีย ธอร์ 

     

    มองให้ชัดด้วยสองตาของท่าน...ว่ามนุษย์นั้นเป็นเช่นไร 

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ข้าลืมตาขึ้นจากห้วงภวังค์เมื่อรู้สึกได้ถึงตัวตนหนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหลัง “น้อยคนนักที่จะลอบเข้ามาใกล้ข้าได้” ข้ายิ้ม หันไปสบตากับดวงตาสีเทาประหนึ่งม่านหมอกอันงดงามของนาง -- นาตาชา โรมานอฟ -- สายลับและนักฆ่าผู้แปดเปื้อนคาวเลือดอันโสมม

     

    “แต่คุณก็รู้ว่าฉันจะมา” เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง ข้าเห็นอดีตที่ผ่านพ้นและกองซากศพสุมมากมายใต้ฝ่าเท้า หากในดวงตาของนางเองนั้น...กลับสะท้อนเพียงภาพของชายคนเดียว “คุณทำอะไรกับเจ้าหน้าที่บาร์ตัน”

     

    “ก็เพียงแค่เปิดโลกทัศน์ให้เขา”

     

    ข้าได้ยินเสียงลมหายใจที่ชะงักไป นางหรี่ตามองข้า เอ่ยคำถามต่อด้วยน้ำเสียงที่...เจือแววกังวล “หลังจากคุณได้ชัย ครองบัลลังก์กษัตริย์บนยอดเขา โลกทัศน์ของเขาจะเป็นยังไง”

     

    “โอ้ ความรักเหรอ คุณโรมานอฟ” ข้าเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

     

    “ความรักมันของเล่นเด็ก ฉันติดค้างเขาอยู่”

     

    ...ความรักมันของเล่นเด็ก...ใช่แล้ว รักนั้นช่างเปราะบางยิ่งนัก เปราะบางยิ่งกว่าแก้วใส เพราะเพียงถูกสายลม...ถ้อยคำลมปากตกกระทบ...รักกลับพังทลาย แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวังได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก

     

    สิ้นหวัง...หากกลับไม่เคยชิงชังเช่นที่ใจนึกอยากให้เป็น

     

    ข้าเก็บอดีตลงเพียงในใจ เช่นที่ข้าเคยบอกไว้...เวลาของการเสียใจภายหลังได้จบสิ้นลงไปนานแล้ว

     

    “เล่ามา”

     

    นางจับจ้องแผ่นหลังของข้าไม่วางตา หากข้าก็เพียงแค่ทรุดกายนั่งลง

     

    “ก่อนที่จะมาทำงานกับชิลด์ ฉัน...ก็...สร้างชื่อให้ตัวเองไม่น้อย มีทักษะพิเศษส่วนตัวเฉพาะทาง พร้อมใช้มันไม่ว่าเพื่อใคร หรือกับใคร ถูกชิลด์กาหัวว่าเป็นตัวอันตราย เขาส่งบาร์ตันมาสังหารฉัน แต่เขาทำตรงกันข้าม”

     

    นางเป็นหญิงสาวที่เป็นนักสู้ เมื่อมองนาง ข้านึกถึงหนึ่งในสหายของธอร์...พวกนางมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน...อาจจะเป็น...ความเด็ดเดี่ยวในแววตานั้นกระมัง

     

    “ถ้าข้ารับปากไว้ชีวิตเขา เจ้าจะว่ายังไง” ข้าเอ่ยคำถามยั่วล้อ

     

    “ฉันไม่ปล่อยเขาหรอก” แม้นางจะเอ่ยคำตอบเช่นนั้น หากแววตากลับสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่าคนที่นางจะไม่มีวันปล่อย...คือ-ข้า-ต่างหาก

     

    “ให้ตาย ถูกใจจริงๆ!” ข้าหัวเราะร่วน “โลกแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่เจ้าต่อรองเพื่อชายคนเดียว”

     

    “ความยิ่งใหญ่ล่มสลายได้ทุกวัน ฉันคงไม่ร่ำไห้เพราะฉันเป็นรัสเซีย ...เมื่อก่อนนี้น่ะนะ”

     

    “แล้วที่เป็นตอนนี้ล่ะ”

     

    ...บางสิ่งบางอย่างในตัวข้ากำลังร่ำเตือนให้หยุด...แต่ตอนแรกข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มันช่างเบาบางนัก แต่เพียงไม่นาน...ไม่นานจริงๆ ข้าก็ได้รู้คำตอบ

     

    “มันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ฉันมีหนี้สินติดค้าง จึงอยากลบล้างให้หมด”

     

    ...ข้ามีหนี้สินติดค้าง... 

     

    ...จึงอยากลบล้างให้หมด...

     

    คำตอบของนางช่างคุ้นหูนัก ใช่ คุ้นหูมากทีเดียว จะไม่คุ้นได้อย่างไร ในเมื่อนั่น...ครั้งหนึ่ง...เคยเป็นคำตอบของข้าเอง

     

    เมื่อข้ามองนาง...ประหนึ่งเหมือนว่าข้ากำลังมองตัวเอง... มองตัวข้าที่ก้าวข้ามกองซากศพมากมาย ยืนอยู่เหนือเลือด เนื้อ และกระดูก ดื่มกินอาหารเช้าที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็น สรงสระชำระกายด้วยโลหิตสีแดงฉานที่ยิ่งล้างก็ยิ่งแปดเปื้อน และพร่ำบอก...ว่าข้าจะล้างมลทินแก่ตน...

     

    ข้าสละสิ่งอื่น ไม่เหลียวแลสิ่งใด ไม่ว่าจะมิดการ์ดหรือชิทอรี่ เช่นเดียวกันกับที่นางก็สนใจเพียงสิ่งเดียว...ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล

     

    “ได้เหรอ หนี้กรรมขนาดนั้นมันลบล้างได้ด้วยเหรอ” ข้าเอ่ยถาม...เสี้ยวหนึ่งคือความกังขาที่ฝังลึกอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ส่วนที่เหลือคือคำตอบซึ่งตัวข้าเองรู้ดี...ว่าไม่มีวันจะได้รับการให้อภัย “เรื่องลูกสาวเดรย์ครอฟ เซาท์เปาโล ไฟไหม้โรงพยาบาล ...บาร์ตันเล่าทุกอย่างแล้ว บัญชีเจ้ามันยากจะฟื้น หนี้กรรมมหาศาล คิดเหรอว่าช่วยชายคนเดียวที่จิตใจไม่ได้สูงไปกว่าเจ้า มันจะล้างได้ จิตสำนึกเจ้ามันจะมีแต่ต่ำสิ้นดี!”

     

    อารมณ์ที่สงบราบเรียบดุจผืนน้ำนิ่งมาตลอดของข้าปั่นป่วนบ้าคลั่ง เสียงของข้าสั่นสะท้านขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับแรงอารมณ์ ใจหนึ่งตะโกนบอกให้หยุดยั้งถ้อยคำที่กำลังจะหลุดพ้นจากริมฝีปาก หากทว่าอีกใจกลับต่อต้าน หมายเหยียบย่ำและตอกย้ำให้ความหวังและความปรารถนาลมๆ แล้งๆ แสนเลื่อนลอยจมธุลีดิน

     

    ไม่มีวันจะได้รับการให้อภัย

     

    จุดจบที่ปลายทางนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว และข้าเป็นผู้เลือกเอง

     

    “ทำเศษบุญแต่ขอล้างบาปทั้งชาติ น่าสมเพชนัก!” 

     

    ...คงไม่มีผู้ใดที่รู้ว่า...ทุกถ้อยคำนั้น...ทิ่มแทงหัวใจของข้าเอง...

     

    “เจ้าทั้งหลอกล่อ ทั้งฆ่า สนองบัญชาเหล่าคนลวงและฆาตกร แสร้งทำเป็นแยกตัว ถือหลักคุณธรรม เพื่อหักล้างความหฤโหด...แต่มันคือตัวเจ้า คือส่วนหนึ่งที่ไม่อาจจะเฉือน เชือดทิ้ง”

     

    ข้ามองตรงไปยังเบื้องหน้า หากสายตาของข้ากลับหาได้ผ่านเลยกระจกไปไม่ ทุกถ้อยคำที่เอ่ยประณาม ข้าตอกย้ำแก่บุคคลผู้สะท้อนเงาอยู่ในแก้วใส แก่ชายผู้หวังล้างมลทินให้สองมืออันเปื้อนบาป แก่ทรราช...ที่หวังปกป้องบ้านเมืองแห่งตน

     

    แก่เจ้าของดวงตาสีเขียว...เฉกเช่นเดียวกับพิษงู ที่เวลานี้มันกำลังกัดกร่อนข้าจนแทบสิ้นใจ

     

    ...ด้วยความหวังอันแสนเลื่อนลอยว่าสักวันอาจได้รับการให้อภัย...

     

    ข้าชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าหวาดผวา...จนแทบบิดเบี้ยวของสาวสวยเบื้องหน้า...ข้าหรี่ตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับงูที่ขู่ฟ่อว่า “ข้าจะไม่แตะบาร์ตัน จนกว่าจะให้เขาได้ฆ่าเจ้า อย่างอ้อยอิ่ง อย่างสาแก่ใจ ด้วยทุกวิธีที่เขารู้ว่าเจ้ากลัว เมื่อเสร็จ ข้าจะคืนสติให้เขาได้ชื่นชมผลงานตนเอง เมื่อเขากรีดร้องข้าจะเฉาะกะโหลกให้แยก นี่ล่ะข้อต่อรองของข้า ไอ้คนใจเสาะ!”

     

    ...ผู้ที่ใจเสาะขลาดเขลา...คือตัวข้าเอง...

     

    “เจ้าอสูรร้าย”

     

    นางผินหลังแก่ข้า ร่างสั่นเทาประหนึ่งกำลังร่ำไห้สะอื้น เมื่อไร้ดวงตาให้มองสบข้าจึงรู้ตัวว่าเผลอปล่อยให้อารมณ์ชักนำร่างกาย ข้ารู้ตัวเมื่อเกือบสายเกินแก้ การบันดาลโทสะในเวลานั้น...นับเป็นครั้งแรกที่ข้าเผลอเผยความในใจออกมา ข้าก่นด่าสตรีเบื้องหน้า แต่ที่สะท้อนในแววตากลับเป็นเงาแห่งข้าเอง

     

    นางก่นด่าข้าว่าปิศาจร้าย...เช่นนั้นข้าจึงผลิยิ้ม ใจข้าเต้นระรัว หวาดกลัวเหลือเกินว่าอาจจะมีใครสักคนจับความหวั่นไหวของตนได้ ด้วยเหตุนั้นจึงต้องพยายามเบี่ยงความสนใจของหญิงตรงหน้าออกจากเรื่องเมื่อครู่โดยเร็ว

     

    “ฮึๆ ผิดแล้ว อสูรน่ะมากับเจ้า”

     

    สายลับแห่งมิดการ์ดยืดตัวตรงทันทีที่ได้สดับฟังประโยคนั้น นางหันหน้ามาสบตาข้า ไร้ความหวั่นไหวหรือความโศกเศร้าเสียใจเช่นที่แสดงเมื่อครู่ “อ้อ แบนเนอร์ หมากของแก”

     

    “อะไรนะ” วินาทีแรก ข้างงงันกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายของนาง หากทว่าหญิงสาวไม่สนใจจะตอบคำถามของข้า นางเอ่ยรัวเร็วแผ่วเบากับอุปกรณ์สื่อสารที่ติดอยู่ ข้าไม่ได้ยิน แต่ก็พออ่านได้จากริมฝีปากว่านางพูดอะไร

     

    “โลกิมีแผนปลุกฮัล์คออกมา กักแบนเนอร์ไว้ในแลป ฉันกำลังไป จองฮ.ไว้ด้วย”

     

    เมื่อสั่งการเสร็จแล้ว นางจึงหันกลับมาสบตากับข้าผู้ซึ่งยังงุนงง หญิงสาวเชิดหน้าด้วยความเย่อหยิ่ง แล้วเอ่ยว่า

     

    “ขอบคุณ...ที่ร่วมมือเป็นอย่างดี”

     

    ...เมื่อนั้นเองที่ข้าได้เข้าใจว่าสิ่งที่เอ่ยออกไป...มีเพียงเงาของตนเท่านั้นที่รับฟัง...

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

     

    ยามเมื่อข้าอยู่เพียงลำพัง...เสียงสะท้อนก็ยังคงกึกก้องอื้ออึงอยู่ในหูไม่คลาย

     

     

    ได้เหรอ? หนี้กรรมขนาดนั้นมันลบล้างได้ด้วยเหรอ?

    บัญชีเจ้ามันยากจะฟื้น หนี้กรรมมหาศาล  

    ทำเศษบุญ แต่ขอล้างบาปทั้งชาติ   

    น่าสมเพชนัก!   

     

     

     ...คงไม่มีผู้ใดที่รู้ว่า...

    ...ทุกถ้อยคำนั้น...ทิ่มแทงหัวใจของข้าเอง...

     

     

     

    --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---

     

      

     

    :: To Be Continued :: 

    Deleted Scene :: Take VI

    - Endways -

     

     

     

     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×