คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take IV - Start -
Redeem the sin
Deleted Scene :: Take IV
- Start -
เรื่องทั้งหมดหลังจากนั้น ข้าคาดว่าพวกเจ้าคงจะรู้ดียิ่งกว่าข้าเสียอีก หืม อยากฟังข้าเล่ามากกว่า? เอาเถอะ ข้าจะเล่าให้ฟังก็ได้
เมื่อข้าข้ามผ่านห้วงมิติอันไกลโพ้นมาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าชาวมิดการ์ดที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มชิลด์ ข้าก็สังเกตเห็นได้ถึงความสับสนวุ่นวาย สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดระแวดระวังของเหล่ามนุษย์ที่อยู่รอบกาย
ข้ายืดกายขึ้นเต็มความสูง ใบหน้ายังไม่คลายรอยยิ้ม แม้ร่างกายจะกำลังอ่อนแรงลงด้วยพลังเวทที่ถูกใช้ออกไปมากมาย...ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน
“คุณ! กรุณาวางอาวุธลงซะ!”
เสียงของมนุษย์ผู้หนึ่งดังขึ้น เรียกให้ข้าก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ หากทันทีที่ข้าละสายตา ประสาทสัมผัสก็รับรู้ได้ถึงนิ้วที่กำลังเหนี่ยวไกปืน ข้าพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้คทาเสียบเข้ากลางอกของมนุษย์ผู้จองหอง ริอาจแตะต้องเทพเช่นข้าอย่างไร้ปรานี
ข้ารู้ตัวดีว่าควรรุกให้เร็ว ซึ่งอันที่จริงแล้วมันค่อนข้างผิดวิสัยข้ามากทีเดียว แต่เพื่อสิ่งที่ปรารถนาแล้ว...ข้าก็ย่อมยอมฝืนทำ ข้าสะกัดการโจมตีของมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งมีดวงตาคมปลาบมิต่างจากเหยี่ยว... มองเข้าไปในดวงตาที่ส่องประกายเด็ดเดี่ยวของเขา แล้วจึงแย้มรอยยิ้มพราย “...เจ้ามีหัวใจ...”
ข้าใช้คทาสัมผัสที่หน้าอกของชายผู้นั้น ส่งผ่านพลังเวทเพื่อควบคุมสัมปชัญญะ ร้อยเอ็นเข้ากับแขนขาตุ๊กตา ส่วนที่เหลือก็เพียงแค่ชักใย...อย่างที่ข้าถนัดเช่นเคย
แม้ข้าจะหันหลังให้อยู่ หากทว่าประสาทสัมผัสก็ใช่ว่าจะจดจ่ออยู่กับเรื่องตรงหน้าเสียหมด ผู้บัญชาการของคนกลุ่มนี้หยิบเทซเซอแรคต์ออกจากอุปกรณ์วิทยาการของพวกมนุษย์แล้วใส่มันลงในกระเป๋าสีเงิน ก่อนทำท่าจะผละออกไปอย่างเงียบๆ
“ไม่เอาน่า ข้าต้องใช้มัน”
ชายผู้นั้นหยุด...เหมือนจะรู้ว่าดิ้นรนไปก็ตายเปล่า หากทว่าการนิ่งงันของเขาหาใช่การยอมจำนนไม่ เมื่อเสียงทุ้มดุดันนั้นยังคงเอ่ยขึ้น “อย่าให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้เลย”
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก” ข้ายิ้ม...ฉาบใบหน้าด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่ยี่หระต่อสิ่งใด “ข้ามาไกลเกินกว่าจะคว้าน้ำเหลว ข้าคือโลกิ แห่งแอสการ์ด และข้าคือผู้แบกรับภารกิจอันทรงเกียรติ”
เมื่อฟังสิ่งที่ตนเอ่ยออกมาแล้วข้าก็ได้แต่ลอบหัวเราะขำอยู่ในใจ...ภารกิจอันทรงเกียรติ... ภารกิจที่ข้ามอบหมายให้แด่ตนเองโดยมิได้รับความเห็นชอบจากผู้ใด... แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต้องทำมันอยู่ดี
“โลกิเหรอ อนุชาแห่งธอร์?”
ข้าหันไปมองชายชราผู้รู้ฐานะของข้าอย่างน่าประหลาดใจนั้นครู่หนึ่ง พลันความสงสัยก็หายไปเมื่อเห็นนักวิทยาศาสตร์ชาวมิดการ์ดผู้ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือพระเชษฐาเมื่อคราก่อน ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่เขาจะรู้ว่าข้าคือใคร
อนุชาแห่งธอร์...ฐานันดรที่ข้าพยายามลืมเลือน
“เราไม่มีสิ่งใดบาดหมางกับพวกท่าน”
เสียงชายที่เป็นหัวหน้าดังขึ้นเรียกข้าให้ตื่นจากภวังค์ เมื่อหันไปมองเขา...ข้ากลับพบเห็นสายตาท้าทายอำนาจและไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด
“เหล่ามดก็ไม่ได้บาดหมางกับฝ่าเท้า...”
ควรรู้ว่า...ข้าเกลียดการถูกท้าทายมากพอกันกับการถูกข่มขู่...
“จะเหยียบขยี้เราอย่างนั้นหรือ”
หากมนุษย์เหล่านี้คิดจะขัดขวางความปรารถนาของข้า ข้าก็ไม่คิดจะปรานีเช่นกัน หากไม่มาอยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ข้าย่ำเหยียบ...ข้าย่อมไม่ไล่บี้เขาจนสุดทาง
แต่ดูเหมือนคนเหล่านี้จะไม่ได้สำเหนียกเลยแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่เรียกข้ามาคือเทซเซอแรคต์...ขุมพลังที่พวกมันพยายามควบคุม หากข้ารู้ดี...มันไม่มีวันสำเร็จ ไม่มีวัน...
ระหว่างการพูดคุย ข้าก็ใช้พลังเวทควบคุมนักวิทยาศาสตร์ชราผู้นั้นและคนของมันอีกคนหนึ่ง ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยนี้ย่อมดีกว่าหากข้าจะหาลิ่วล้อไว้รับใช้เยอะสักหน่อย
“ท่านครับ ผบ.ฟิวรี่แกล้งถ่วงเวลา เพราะที่นี่กำลังจะระเบิด ตึกสูงร้อยฟุตจะถล่มใส่ เขาจะฝังเราทั้งเป็น” ชายผู้มีนัยน์ตาดั่งเหยี่ยวเอ่ยกับข้าพลางก้าวเข้ามาหา พร้อมทั้งประโยคยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์ที่ก้มลงมองค่าต่างๆ ที่แสดงขึ้นบนหน้าจอสี่เหลี่ยม
“งั้นก็...” ข้าพยักหน้าให้เป็นสัญญาณ เสียงปืนจึงดังขึ้นในทันที ข้าเห็นร่างของผู้บัญชาการแห่งหน่วยชิลด์ล้มลงไป หากกลับไม่ได้สนใจมันเท่าที่ควร ข้าเดินตามลูกน้องทั้งสามออกจากห้อง และไม่ลืมที่จะสั่งให้หนึ่งในนั้นคว้ากระเป๋าที่บรรจุเทซเซอแรคต์ติดมือมา
ข้าเลือกที่จะนั่งอยู่ในสถานที่ซึ่งเปิดโล่ง เพื่อที่จะได้สามารถใช้อำนาจเวทมนต์ได้อย่างเต็มที่
แม้การบุกชิงเทซเซอแรคต์จากเงื้อมมือมนุษย์คราวนี้จะสำเร็จได้อย่างงดงาม หากทว่าข้ากลับไม่อาจวางใจได้ลง
ข้ารู้ดีว่าเมื่อเลือกจะมาเยือนมิดการ์ดแล้ว ธอร์จะต้องหาทางกระเสือกกระสนพาตัวเองข้ามมิติมาจนได้ แม้ว่าการข้ามมิติคราวนี้จะไกลโพ้นและกินระยะเวลายาวนานยิ่งกว่าครั้งไหน หรือจะต้องเหนื่อยยากยิ่งกว่าเพียงใดก็ตาม
แต่ข้าก็รู้ว่าท่านจะไม่มีวันละความพยายาม...ข้าเองก็เช่นกัน
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและอดทน ข้าแทบจะมองเห็นเส้นด้ายสีแดงที่ขึงจนตึง ...รอเพียงวันที่ด้ายนั้นจะขาดสะบั้นลง
ข้ามองนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ภายใต้การสะกดสั่งการอย่างช่ำชอง ศาสตร์ของมนุษย์เป็นเรื่องไม่สันทัด จึงย่อมเหมาะกว่าถ้าจะให้มนุษย์จัดการ
ระหว่างที่ข้านั่งมองภาพความวุ่นวายประหนึ่งมดที่ขวักไขว่ในรัง พลันกระแสพลังเย็นเยียบและเหี้ยมโหดสายหนึ่งก็ไต่ขึ้นมาบนไขสันหลัง ภาพที่สะท้อนในดวงตาของข้าหาใช่ห้องเล็กๆ ที่มีมนุษย์อยู่เต็มไปหมดอีกต่อไป หากกลับเป็นสถานที่อันรกร้างว่างเปล่า มีแต่หินโสโครกซึ่งข้าคุ้นเคยดี พร้อมกับเสียงแหบแห้งเหมือนหญ้ากรอบที่โดนเหยียบแสนน่ารำคาญ “เหล่าชิทอรี่เติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
“ให้มันเติบใหญ่จนพร้อม ข้าจะนำมันออกศึกอันทรงเกียรติ”
“ออกศึก! สู้รบกับกองทัพก๊องแก๊งที่โลกเนี่ยนะ!?”
“ทรงเกียรติ ม้วนเดียวจบ ถ้าหากกองกำลังของเจ้าไร้เทียมทานเยี่ยงที่เจ้าโม้” ข้ายิ้มหยัน ความพ่ายแพ้ของเหล่าชิทอรี่นับร้อยที่สยบอยู่แทบเท้าธอร์เมื่อหลายวันก่อนยังคงเป็นแผลสดใหม่ในใจของพวกมัน และแน่นอนว่าข้าย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติม
“กังขาในพวกข้ารึ! กังขาในเขาผู้นั้น บุรุษผู้นั้นคืนทางให้กับเจ้า...”
ผิดแล้ว ไม่เคยมีใครชี้นำทางให้แก่ข้า ใต้ฝ่าเท้าของข้านั้นคือเส้นทางที่ข้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้เลือกเองทั้งสิ้น เช่นที่มหาบิดาเคยกล่าว...
...ข้าล้วนแล้วแต่เป็นผู้เลือกเอง...
แต่มันไม่จำเป็นต้องรู้ มันจงใจหยามหยันอดีตของข้าเพื่อให้ข้าอดสูและอับอาย พยายามเติมเชื้อพยาบาทให้แก่ข้าผู้ซึ่งมันเข้าใจว่าจนตรอกไม่มีทางไป แน่นอนว่าข้าไม่สนลมปากของมัน หากทว่าเกมของข้ายังไม่จบ...และข้ายังต้องใช้พวกมันอีก ดังนั้นจึงได้แต่เต้นไปตามเกมที่ตนเองวางไว้ต่อไป...
“ข้าคือกษัตริย์! กษัตริย์ตัวจริงแห่งแอสการ์ด! ถูกหักหลัง!!”
“เป้าหมายของเจ้าช่างมักน้อย เกิดจากความคิดฝันแบบเด็ก”
เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่กว่าที่มันเข้าใจนัก...แต่เมื่อฟังยามมันพล่ามถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้วข้าก็ว่าเพลินดี...ดังนั้นจึงไม่ได้ขัดอะไร ทั้งที่ใจอยากหัวร่อจะแย่
แต่สันดานข้าเป็นเช่นนี้เอง...เห็นคนโอหังแล้วอยากยื่นขาเข้าไปขัดนัก ดังนั้นข้าจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เทซเซอแรคต์ยังไม่อยู่ในมือเจ้า”
มักชะงักลงทันที กระแสความเกรี้ยวกราดแทบจะก่อตัวเป็นไฟลุกโหมอยู่รอบกาย หากข้าไม่แม้กระทั่งจะกะพริบตายามเมื่อมันก้าวมาประชิดเบื้องหน้า “อย่าขู่ให้ยาก” ...เพราะข้าเกลียดการถูกข่มขู่ที่สุด “ตราบใดที่ทวารยังไม่เปิด ตราบที่กองกำลังของเจ้ายังไม่พร้อมรับใช้ข้า เจ้าก็แค่ลมปาก”
ข้าเห็นมันพยายามข่มความโกรธอย่างสุดกำลัง เช่นที่ข้าเคยบอก...พวกมันมิอาจขาดข้าไปได้ ขาดข้า เทซเซอแรคต์ก็จะหลุดลอยไปจากมือพวกมันตลอดกาล
ข้าได้ยินเสียงมันกัดฟันกรอด เสียงเอ่ยแหบแห้งเล็ดรอดไรฟัน “เจ้าจะได้ออกศึกดังหวัง ชาวดาวแอสการ์ด แต่หากเจ้าปราชัย จนทำให้เทซเซอแรคต์หลุดลอยจากมือพวกข้า” ใบหน้าข้าสัมผัสได้ถึงมืออันแข็งกระด้างและเยียบเย็นประหนึ่งหิน แม้จะอยากสะบัดหนีด้วยความขยะแขยงหากทั่วทั้งร่างกลับไม่ยอมขยับตาม
“จะไม่มีมิติไหน ไม่มีจันทราดวงใด ไม่มีหลืบเหวไหนที่เจ้าจะหลบเขาได้” ความเจ็บปวดสายหนึ่งพุ่งเข้าจู่โจมโดยที่ข้าไม่อาจสะกัดกั้นสายพลังที่แทรกซึมเข้ามาได้ ข้าปิดตาแน่น แทบส่งเสียงกรีดร้อง หากกลับไม่มีอะไรหลุดออกมาจากลำคอนอกจากลมหายใจที่เกิดจากการสำลักของตนเอง “ความเจ็บที่เจ้าเคยรู้จัก เขาจะทำให้เจ้ารู้ว่ามันช่างหอมหวาน เมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าต้องเจอ!!”
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ข้าลืมตาพรึบ แสงสว่างสีขาวจากไฟประดิษฐ์ของมนุษย์แทรกซึมผ่านเปลือกตา ลมหายใจของข้าสั่นสะท้าน เม็ดเหงื่อเย็นๆ ผุดพรายเต็มใบหน้าที่ข้ารู้ว่ามันคงจะซีดเซียวไร้สีเลือดยิ่งกว่าที่เคยเป็น
ข้ากำคทาแน่นด้วยมืออันสั่นเทา...ความเกรี้ยวกราดที่ถูกหยามเกียรติแล่นริ้วขึ้นมาเป็นสาย
...แล้วสุดท้ายเจ้าจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ปราชัย!...
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
ความคืบหน้าในการสร้างประตูมิติดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว ไม่มีอะไรดีสำหรับการทำงานมากไปกว่าความสงบอีกแล้ว ข้าที่มักถูกธอร์ก่อกวนยามอ่านหนังสือและทำการทดลองเวทรู้ดียิ่งกว่าใครเลยทีเดียว
ข้าเบื่อที่จะนั่งอยู่ในฐานลับ...ห้องทดลอง หรืออะไรก็ตามแต่ที่มนุษย์เหล่านี้เรียก บางที...ข้าควรจะออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง
สถานที่สูดอากาศของข้ามาไกลถึงเยอรมัน ดินแดนหนึ่งในนับร้อยนับพันบนมิดการ์ดที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงที่ดินเพียงหนึ่งตารางวากันอยู่ร่ำไป
วงดนตรีบรรเลงอย่างไพเราะงดงาม สถานที่โอ่โถงและหรูหรา ไฟประดิษฐ์ส่องประกายระยิบระยับสะท้อนเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มฉาบหน้ากากของชนชั้นสูง
แน่นอน ข้าย่อมรู้ เพราะไม่มีใครในเก้าโลกที่จะชินชาและเชี่ยวชาญในการสวมหน้ากากไปกว่าข้าอีกแล้ว
อาภรณ์ชั้นสูงของมนุษย์คลี่ห่มคลุมร่าง และข้ารู้ว่ามันดูดี นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ดูสาวน้อยนางนั้นที่เต้นรำอยู่กับคู่ของหล่อนสิ มองข้าไม่วางตาเชียว
บรรยากาศเก่าๆ และเต็มไปด้วยความรื่นรมย์อันคุ้นเคยทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เพราะฉะนั้นข้าจะยอมบอกอีกหน่อยก็ได้ว่าแม้กระทั่งคู่เต้นของหล่อนก็ยังจับจ้องข้าไม่วางตาเช่นเดียวกัน
สายตาของชายหญิงที่มองมามีทั้งชื่นชมหลงใหลและอิจฉาริษยา สายตาที่ข้าไม่ใคร่จะเคยได้รับนัก...เพราะทุกครั้งในงานเลี้ยงเช่นนี้มักจะมีอีกร่างหนึ่งเคียงข้างข้าอยู่เสมอ ...และเขาผู้นั้นเองที่ดึงดูดสายตาทั้งหมดไปจากตัวข้า
...และบางที...อาจจะรวมถึงสายตาของข้าเองด้วยเช่นกัน...
บาร์ตันยังไปไม่ถึงจุดหมาย ดังนั้นข้าจึงมีเวลาเสพอารมณ์สุนทรีย์กับบรรยากาศอันเกือบคุ้นเคยเช่นนี้อีกสักพัก โดยหาได้ตระหนักไม่ว่าเวลานั้นข้าอภิรมย์ด้วยกำลังคิดคำนึงถึง...-บ้าน-
ข้าได้รับสัญญาณจากบาร์ตัน ...และหลังจากนั้นก็หมดเวลาเดินเล่นสูดอากาศ
ข้าไม่ได้มองโลกในแง่ดีพอที่จะคิดว่าการปรากฏตัวอย่างเงียบๆ แต่โจ่งแจ้งของตนเองจะสามารถรอดพ้นจากหูตาของกองกำลังแห่งมนุษย์ได้ ขืนเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าข้าคงประเมินพวกมันสูงเกินไปกันพอดี และแผนของข้าในกาลต่อไปอาจจะพ่ายพัง
แต่...ต้องสารภาพตามตรงว่า แม้ข้าจะได้รับข้อมูลต่างๆ มากมายจากเจ้าหน้าที่คลินท์ บาร์ตันผู้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยชิลด์แล้ว หากก็ไม่อาจปะทะกับสิ่งที่ชาวมิดการ์ดเรียกว่า --ยอดมนุษย์-- อย่างซึ่งๆ หน้าได้
ข้าไม่สันทัดการต่อสู้ประชิดตัวและการใช้แรง ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว แม้มันจะเป็นส่วนหนึ่งของแผน หากข้าก็รู้ดีว่าต่อให้พยายามสู้อย่างจริงจังก็คงยื้อเวลาได้อีกแค่ไม่นาน อีกทั้งยังไม่นับว่าเวลานี้ข้าอ่อนแรงทั้งกำลังกายและพลังเวท ด้วยข้าไม่เคยหยุดพักผ่อนนับตั้งแต่ฝ่าเท้าแตะลงบนผืนดินมิดการ์ดแม้สักวินาทีเดียว
ข้าขึ้นมานั่งอยู่บนยานของพวกมัน เงียบงันไม่ปริปาก ไม่มีทีท่าจะดิ้นรนขัดขืน ไม่มีวี่แววว่าจะหลบหนี ซึ่งเรื่องนี้ก็คงทำเอายอดมนุษย์ทั้งสองนั้นถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ข้าได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาที่ถกเถียงกัน แม้ว่ากว่าครึ่งจะเป็นถ้อยคำไร้สาระของมนุษย์ในชุดเกราะเหล็กก็ตาม
พวกมันทำท่าจะแตกคอกันเองตั้งแต่ข้ายังไม่ทันจะได้เริ่มทำอะไร! ช่างเป็นยอดมนุษย์ที่ดีเยี่ยมอะไรอย่างนี้ พวกเขาทำให้ข้าเบาแรงลงไปเยอะทีเดียว
ขณะที่ครุ่นคิดอะไรมากมายอยู่นั้นเอง ข้าก็มีอันต้องสะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นก้องกังวาน
เปรี้ยง!!!
สายฟ้าเจิดจ้าผ่าลั่นลงมาเหนือศีรษะ และโทนี่ สตาร์กก็ไม่พลาดที่จะได้มองเห็นอาการสะดุ้งของข้า “เป็นอะไร สายฟ้าแค่นี้กลัวเหรอ?” เสียงกวนประสาทเอ่ยถาม ตั้งใจจะล้อเลียนมากกว่าสงสัยใคร่รู้อย่างจริงจังจนข้าต้องแค่นยิ้มหยันตอบกลับไป
“ไม่ถูกโรคกับสิ่งที่ตามมาต่างหาก”
ตึง!!!
แม้ข้าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า -เขา- ต้องมา หากก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้มเบื้องบนด้วยสายตาตื่นตกใจ ข้ารู้...รู้ดียิ่งกว่าใครว่าเหนือพาหนะเหล็กกล้าลำนี้ ...ได้มีผู้ใดมาเยือน
แต่การรับรู้กับการเตรียมใจช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน
ประตูท้ายยานเปิดออก ...เจ้ามนุษย์หน้าโง่... ช่างไม่รู้อะไรบ้างเสียเลยว่าเขากำลังรอจังหวะนี้อยู่...
ร่างหนึ่งทิ้งตัวเข้ามาในยานด้วยเสียงฝีเท้ากึกก้อง ข้าได้ยินเสียงใครสักคนร้องถามว่า “จะทำอะไรน่ะ!” หากทว่ากลับไม่มีใครสนใจที่จะตอบคำถามของเขา ข้ามองสบเข้าไปในดวงตาสีฟ้า เห็นความรู้สึกต่างๆ ประดังประเดเต้นระริกไหวอยู่ในนั้นมากมายราวกับท้องทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลมมรสุมอันรุนแรง
และไม่ทันที่จะมีใครได้เอ่ยอะไร...ธอร์ก็ดึงคอข้าขึ้นเสมือนหนึ่งกำลังหิ้วลูกแมว แล้วกระโดดลงจากยานไปในทันที
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
“อั่ก!!!”
ร่างของข้ากระแทกลงบนพื้นหินทันทีที่พระเชษฐาจอมปลอมปล่อยมือ แรงเหวี่ยงกระแทกนั้นทำให้ร่างของข้าไถลไปอีกนิดหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเจ็บสิ้นดี วินาทีเดียวกันนั้นข้าเห็นแววเสียใจปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาสีฟ้าของธอร์
“อ..อึก...ฮะ ฮึๆ ฮ่าๆๆๆๆ”
อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความโง่เง่าของพระเชษฐาแห่งตน ยิ่งไปกว่านั้น...คือหัวเราะให้กับความขลาดเขลาของข้าเอง
ข้าควรรู้...ควรรู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าไม่ควรยอมให้ตนเองถูกเขาเจอตัวเลย
“เทซเซอแรคต์อยู่ที่ไหน” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”
“ข้าเหมือนอยู่ในอารมณ์ชวนหัวรึไง!”
ท่านไม่อยากหัวเราะแต่ข้าอยากนี่
ยิ่งเขาหงุดหงิดเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นเท่านั้น และไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของข้าจะยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดร้อนรนเพียงใด เพราะข้าไม่มีเค้าแววของผู้ปราชัยเลยแม้แต่นิดเดียว และธอร์ย่อมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถเข้าถึงตัวข้าได้จริงๆ หาใช่เพียงภาพลวงตา แน่นอนว่าไม่นับวันเวลาอันแสนยาวนานซึ่งข้าแฝงตัวอยู่ในวาลฮาลลาประหนึ่งเงาที่ไม่มีผู้ใดสามารถจับต้อง ถ้าทำได้...เขาคงอยากตีข้าให้สลบแล้วพากลับไปเสียเดี๋ยวนั้น
แต่หากจะมีผู้ใดที่ข้าไม่เคยจะคาดเดาการกระทำของเขาได้ คนผู้นั้นคงเป็นธอร์ เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ใช้สองมือจับไหล่ของข้ากระแทกเข้ากับแผ่นหินเบื้องหลัง กักร่างของข้าเอาไว้ในวงแขนแข็งแกร่ง มองสบลงมาด้วยดวงตาเป็นประกาย...ข้าอ่านอารมณ์เขาไม่ออก หรือต่อให้อ่านออกมันก็เป็นเรื่องที่ข้าไม่ปรารถนาจะรับรู้
“นึกว่าเจ้าสิ้นแล้ว...”
“แล้วเศร้าไหมล่ะ” ข้าเหยียดยิ้ม เอ่ยคำถามซึ่งตนเองรู้คำตอบดี
“เศร้ากันทั่ว บิดาของเรา...”
“บิดา...ของเจ้า...” ข้าเอ่ยขัดกลางประโยค และไม่คิดจะรอฟังเขาพูดจนจบ ไม่ ข้าไม่ต้องการ ไม่ว่าจะคำพูดโน้มน้าวใดๆ ก็ไม่อาจทำให้ข้าเปลี่ยนใจได้ และผลของมันรังแต่จะทำให้ข้าปวดใจขึ้นก็เท่านั้น “เขาไม่เล่าเรื่องพ่อแม่แท้ๆ ของข้าเหรอ”
“เราสองถูกเลี้ยงมาด้วยกัน เล่นด้วยกัน ออกศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ เจ้าจำไม่ได้เลยเหรอ!?”
...อดีตนั้นช่างแจ่มชัดนักพี่ข้า...และต้องขอย้ำอีกครั้งว่าความจำของข้าดีกว่าท่านมากมาย
“จำได้แต่ความมืด เพราะอยู่ใต้เงาความเก่งกาจของเจ้า และยังจำได้ เจ้าโยนข้าลงขุมอเวจี …ข้าผู้เป็นอดีตราชาและคู่ควร!”
รู้อะไรไหม เมื่อเจ้ายืนอยู่ในความมืด มืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด อย่างแรกที่เจ้าจะเห็นได้ท่ามกลางความมืดนั้นหาใช่ฝ่ามือของตนไม่ ...หากแต่เป็นแสงสว่าง… แม้มันจะเล็กจ้อยเพียงใดก็ตาม
และผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดนั้นคือข้าเอง ท่านเข้าใจหรือไม่ พี่ข้า
“ก็เลยจะทำลายดาวที่ข้ารักเพื่อชดเชยปมด้อยในใจอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง โลกอยู่ใต้การพิทักษ์ของข้า โลกิ!”
ถ้อยคำของพระเชษฐาผู้โง่เง่าเริ่มทำให้ข้าโกรธขึ้นมาเล็กน้อย ท่านรักดาวดวงนี้มาก ท่านปรารถนาจะพิทักษ์มิดการ์ดให้พ้นจากเพศภัยทั้งปวง หากท่านไม่คำนึงถึงผลที่อาจจะตามมา!
“ฮ่าๆๆๆ เจ้าพิทักษ์โลกได้อย่างดีน่าสรรเสริญยิ่งนัก มนุษย์ฆ่ากันเป็นผักปลาโดยที่เจ้าได้แต่นั่งทนดูไปวันๆ! ข้าจะปกครองพวกเขามันไม่ดีตรงไหนกัน”
ข้าจะบอกเจ้าเลยก็ได้ว่าถ้อยคำนั้นมีเพียงความลวง เพราะหนึ่ง ข้าไม่คิดจะปกครองมิดการ์ด เป็นราชาของเหล่ามดจะได้อะไรขึ้นมาเล่า? รังมดรึไง ข้าจะเอามันไปทำอะไรมิทราบ?
และสอง...
...ข้าคิดว่า...ยังไม่บอกตอนนี้คงจะดีกว่า
“คิดว่าเจ้าเหนือกว่าพวกเขาเหรอ”
“แน่นอน”
“งั้นเจ้าก็พลาดสัจธรรมการปกครองแล้วล่ะ เจ้าไม่คู่ควรครองบัลลังก์”
เมื่อได้ยินถ้อยประโยคนั้น ข้ายอมรับว่าตนเองรู้สึกโกรธ...โกรธมากทีเดียว ที่ธอร์พูดราวกับว่าเขาฉลาดกว่าข้าเสียมากมายทั้งที่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม และเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้ตัว!
...บางครั้ง...เมื่อย้อนนึกดูแล้วข้าก็สงสัย...เหตุใดกันคำพูดของธอร์จึงสั่นคลอนอารมณ์ของข้าได้มากมายถึงเพียงนี้...
“ข้าได้เห็นหลายพิภพที่เจ้าไม่รู้จัก ข้าโตแล้ว! เจ้าบุตรแห่งโอดิน จากการพเนจร ข้าได้เห็นพลังแท้จริงของเทซเซอแรคต์! เมื่อข้าคุมมันได้...”
“ใครให้ดูพลังของมัน! ใครชักใยกษัตริย์จอมปลอม!!” ธอร์ตวาดกร้าว ตัดบทซึ่งข้าบรรจงเขียนขึ้นอย่างหยาบคาย และง่ายดายจนน่าหัวร่อ
“ข้าคือกษัตริย์ตัวจริง!!”
“ไม่ใช่ที่นี่! ส่งเทซเซอแรคต์มา! ละทิ้งความฝันอันตรายของเจ้าซะ!!!” มือซึ่งกุมไหล่ข้าเอาไว้บีบแน่นสั่นเทา ธอร์ยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าขาวซีดของข้าอย่างแผ่วเบา อารมณ์ที่ส่งผ่านจากปลายนิ้วหาใช่ความเกรี้ยวกราดเช่นที่ควรเป็น...หากมันกลับ...เป็นความทุกข์ระทมและห่วงใย...
...อุณหภูมิของมือนั้นรุ่มร้อนมิต่างจากไฟ...
“...กลับคืนบ้าน...”
...แทบแผดเผาให้ยักษ์น้ำแข็งเช่นข้าหลอมละลาย...
“ฮึ ข้าไม่มีหรอก”
ข้ายิ้ม...คงมีเพียงตัวข้าเท่านั้นที่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงใดจึงสามารถฉีกรอยยิ้มออกมาได้ ขอบตาร้อนผ่าวยิ่งกว่าสัมผัสจากฝ่ามือหยาบกร้าน...หากข้าจะไม่มีวันหลั่งน้ำตา...
ไม่มีวัน
ข้ารู้ดีว่าวาจาของตนนั้นร้ายกาจเพียงใด มันแผดร้อนดั่งพิษแห่งโยมุนกันด์[2] ฝังลึกลงในใจสร้างบาดแผลร้าวรานยิ่งกว่าเขี้ยวของเฟนริลร์[3] และมอบเพียงความสิ้นหวังแสนมืดมิดยิ่งกว่านิฟไฮม์แห่งเฮล[4]
ธอร์มีสีหน้าเจ็บปวด ขณะที่ข้าได้แต่เพียงแสยะยิ้มด้วยดวงใจค้างแข็ง ด้านชาเช่นนี้ก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นข้าคงโดนวาจาแห่งตนกัดกินจนสิ้นสูญทั้งวิญญาณ
...ข้าไม่มีวันยอมถอยหรอก ธอร์ ข้าได้เลือกจุดจบให้ตัวเองแล้ว...แม้กระทั่งท่านเองก็เป็นเพียงหมากให้ข้าจับเดินเท่านั้น...
ข้ามิอาจปล่อยให้พี่ชายพาตัวกลับไปตอนนี้ได้...นั่นไม่ใช่จุดหมายปลายทางแห่งข้า ดังนั้นข้าจึงได้แต่ถ่วงเวลารอให้มนุษย์สองคนนั้นมาถึง
และข้าก็คิดว่าน่าจะทำมันได้สำเร็จ...อย่างน้อยก็คาดเดาได้จากปฏิกิริยาของชายเบื้องหน้าที่ยกมิโอลนิร์ขึ้น หากข้ากลับเอ่ยต่อราวกับมิกลัวเกรงในพลังอำนาจของค้อนแห่งราชา...ซึ่งข้ารู้ดีว่ามันสามารถปลิดชีพข้าได้อย่างง่ายดายเพียงใด
“เจ้าต้องใช้ลูกบาศก์ส่งข้ากลับ แต่ข้าปล่อยมันไปแล้ว ที่ไหนก็ไม่รู้”
ธอร์เงื้อค้อนไว้เช่นนั้น หากกลับไม่อาจหักใจฟาดมันลงมาได้ ข้ารู้ รู้ดีว่าเขาเป็นเช่นนี้ และเพราะเขาเป็นเช่นนี้เอง ข้าจึงไม่อาจปล่อยมือจากเทซเซอแรคต์ได้ลง...จนกว่าจะถึงเวลา
ท้ายที่สุดแล้วมือแกร่งนั้นก็ลดมิโอลนิร์โดยที่ข้าไม่มีความจำเป็นต้องกระทำสิ่งใดเลย ธอร์พยายามสะกดกลั้นอารมณ์อยากฟาดข้าให้สลบแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังพูดกับเด็กที่เข้าใจอะไรได้ยากเย็นเสียเหลือเกินว่า “เจ้าฟังให้ดีนะน้องข้า! ข้า...”
ข้าไม่มีโอกาสได้รู้ว่าธอร์จะเอ่ยอะไรต่อ...เพราะร่างสีแดงที่ปรากฏในครรลองสายตา ชั่ววินาทีเดียวกับที่เกิดเสียงปะทะขึ้นดังลั่น ได้พาร่างของเทพแห่งสายฟ้าให้หายวับไปจากเบื้องหน้าในทันควัน
ข้ากะพริบตาปริบ ก่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความขบขัน ต้องขอขอบคุณ --ยอดมนุษย์-- อีกครั้งที่ได้ช่วยข้าไว้จากเงื้อมมือของธอร์
...อ้อมกอดที่ข้าอาจจะพลัดหลงก้าวเข้าไปหาได้อย่างง่ายดาย...
“ข้าฟังอยู่”
เมื่อทอดสายตามองลงไปเบื้องล่างก็สามารถเห็นแสงแปลบปลาบ รวมทั้งท้องฟ้าที่คำรามครั่นครืนได้อย่างชัดเจน ข้าทรุดกายนั่งลงบนโขดหิน เท้าคางมองแสงนั้นพุ่งใส่กันไปมาอย่างเบื่อหน่าย จนสุดท้ายแล้ว...ดูเหมือนว่าธอร์จะต้องการรักษาฉายาจอมทำลายล้างของตนเองไว้ให้ดีเยี่ยมไร้ที่ติ ผืนป่าสีดำเบื้องล่างจึงราบพนาสูรกลายเป็นสถานที่ล้านเลี่ยนเตียนโล่งไปในพริบตา
ข้าที่เฝ้ามองอยู่อดพึมพำไม่ได้ว่า “...พวกบ้าพลัง...”
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
[2] โยมุนกันด์ ตามตำนานคืองูยักษ์ที่เป็นลางบอกเหตุถึงวันแร็กนาร็อก (เกมที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันดีนั่นแล...ข้าพเจ้าไม่ได้ดักแก่ใช่ไหม...) ซึ่งเป็นวันมหาสงครามเทพ(โอดิน)และยักษ์(โลกิ) โยมุนกันด์เป็นลูกของโลกิ(ตามตำนาน) ถูกโอดินโยนทิ้งลงทะเลเพื่อป้องกันเหตุแร็กนาร็อก ขนาดตัวของโยมุนกันด์ยาวจนโอบมิดการ์ดได้ทั้งใบ ตามตำนาน ในวันแร็กนาร็อก ธอร์สังหารโยมุนกันด์ได้ แต่ก็จะถูกพิษของมันจนตายตกตามกัน
[3] เฟนริลร์ หมาป่าสีดำขนาดใหญ่ หนึ่งในบุตรของโลกิ เป็นลางบอกเหตุถึงวันมหาสงครามจึงถูกเทพจองจำเอาไว้ด้วยตรวนที่สร้างโดยคนแคระ ในวันแร็กนาร็อก เฟนริลร์คือผู้สังหารโอดินและกลืนกินลงไป แต่ก็จะถูกวีดาร์(บุตรของโอดิน)สังหาร แก้แค้นให้แก่บิดา
[4] เฮล บุตรีของโลกิผู้มีร่างครึ่งหนึ่งเป็นศพ เฮลก็เป็นหนึ่งในลางบอกเหตุที่จะทำให้เกิดสงครามแร็กนาร็อกขึ้น จึงถูกโอดินกักขังไว้ในนิฟไฮม์ ในวันมหาสงครามเฮลไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรง แต่คนตายในดินแดนของนางจะเข้าร่วมกองทัพกับโลกิเข้าห้ำหั่นกับเหล่าเทพ (ผู้ที่ไม่ได้ตายในสงครามจะมาอยู่ที่นิฟไฮม์ ส่วนนักรบผู้ตายจากสงครามจะไปอยู่ที่วาลฮาลลาเป็นกองทัพให้แก่โอดิน)
ความคิดเห็น