คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Redeem the sin :: Deleted Scene :: Take III - Determine -
Redeem the sin
Deleted Scene :: Take III
- Determine -
หลังเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นผ่านพ้น ข้าได้ตัดสินใจเลือกทางเดินให้แก่ตน
และผลของการเลือกนั้น...
คือการที่ข้าจากแอสการ์ดมา
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
...ข้าเป็นยักษ์น้ำแข็งผู้ไร้หัวใจ...
เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว ข้าไม่เคยเลือกวิธีการ
ข้าใช้พลังเวทอันมากมายมหาศาลของตนถล่มดาวเล็กดาวน้อยไปมากมายหลายสิบหลายร้อย หรือบางทีอาจจะถึงพัน ไม่ว่าดาวดวงนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ข้าทำมีเพียงการฆ่าล้างและทำลาย ราวกับวิปลาสบ้าคลั่งไปแล้วก็มิปาน
...บางครั้งข้าก็สงสัย...หรือข้าอาจจะวิปลาสไปแล้วจริงๆ
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ ธอร์ตามกลิ่นข้ามาได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่เร็วพอที่จะจับตัวข้าได้ ซึ่งแน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการให้เป็น
“โลกิ!!!” หากมีบ้างบางครั้งเช่นกัน...ที่เขาจะมาทันได้เห็นแผ่นหลังของข้าก่อนจะจากไป
รอยยิ้มของข้าที่สะท้อนอยู่บนดวงเนตรสีฟ้านั้นช่างชั่วร้ายเกินทานทน
ธอร์ตามหาข้าอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม หากทว่าแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยประกายเจิดจรัสยิ่งกว่าดวงดาว สีหน้าหมดอาลัยตายอยากในค่ำคืนสุดท้ายที่ข้าได้เห็นหายวับไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่แววตาของพระเชษฐายามจ้องมองข้าหายลับจากไปกลับย้ำเตือนข้าอยู่ทุกคราว่ามันคือความจริง
...เพราะมันคือแววตาของผู้ที่หวาดกลัวอย่างสุดหัวใจว่าอาจจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีกต่อไป...
แผนการของข้าเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในสมอง เมื่อถึงเวลาเลือกหมากตัวต่อไป...หมากที่ต้องแข็งแกร่งพอให้ข้าหยิบใช้ และโง่พอจะไม่ทำให้แผนการของข้าพ่ายพัง ข้าจึงเลือกปรากฏกายต่อหน้าชาวชิทอรี่...เผ่าพันธุ์ไร้รากซึ่งเร่ร่อนอยู่ในความมืดมิดแห่งห้วงอวกาศ แยกตัวโดดเดี่ยว ไม่เป็นพันธมิตรกับพิภพใด และละโมบโลภมากต้องการขุมพลังซึ่งมิใช่ของตน
...ข้าปรากฏตัวต่อหน้าตัวเลือกที่ดีที่สุด...ด้วยสภาพของจอมเวทผู้อ่อนแอ แสร้งทำเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ให้พวกมันเก็บข้ากลับไป
เพื่อหลอกล่อให้พวกมันตายใจ ข้าจึงต้องกดพลังเวทของตนเองให้ต่ำที่สุด ให้พวกมันเข้าใจไปว่าข้าอ่อนแอ เต็มไปด้วยแค้น และต้องการชำระ
...ข้าเป็นยักษ์น้ำแข็งไร้หัวใจ...
...เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนาแล้ว ข้าไม่เคยเลือกวิธีการ...
เมื่อข้าสร้างกระจกส่องมิติแสดงให้พวกชิทอรี่เห็นว่าสิ่งที่พวกมันต้องการอยู่ที่มิดการ์ด พวกมันก็ยอมรับข้าอย่างง่ายดาย ความกระหายอยากในขุมพลังอำนาจนั้นแผ่ซ่านส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมาจนข้าแทบจะต้องเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
พวกชิทอรี่มอบกองทัพให้แก่ข้า แลกกับการที่ข้าต้องนำเทซเซอแรคต์ไปมอบแด่พวกมันเมื่อความปรารถนาของข้าสิ้นสุดลง พวกมันเข้าใจว่า...จุดมุ่งหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน ข้าอาฆาตแค้นในตัวพี่ชาย จึงต้องการทำลายดวงดาวอันเป็นที่รักของธอร์ ส่วนชิทอรี่หมายตาเทซเซอแรคต์ซึ่งถูกครอบครองโดยมนุษย์ แต่พวกมันไม่อาจไปเยือนมิดการ์ดได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องส่งจอมเวทเช่นข้าไปแทน
ไม่ว่าจะอย่างไร...พวกมันก็ต้องพึ่งพาข้าอยู่ดี
ยามเมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่กุมอำนาจสูงส่งแห่งเผ่าพันธุ์เร่ร่อน ข้าอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ หากสิ่งที่ข้าแสดงออกมีเพียงความยะโสโอหัง เย่อหยิ่งถือดี และเต็มไปด้วยความชั่วร้ายไม่ต่างไปจากพวกมัน
ธานอสทำให้ข้าได้เห็นพลังอำนาจที่แท้จริงของเทซเซอแรคต์ ขุมพลังที่เป็นต้นกำเนิดของพลังทั้งปวง โลกทั้งเก้าที่เติบใหญ่ใต้ต้นไม้แห่งชีวิตราวกับอยู่เพียงใต้ฝ่ามือ ราวกับจะสามารถเชื่อว่า...ขอเพียงแค่ควบคุมเทซเซอแรคต์ได้ โลกทั้งเก้าก็จะตกอยู่ใต้การครอบครองของคนผู้นั้นอย่างง่ายดาย
เหตุที่ธานอสให้ข้าดูพลังเหล่านั้นมิใช่เพื่อปลุกปั่นในตัวข้า...ข้ารู้ดี ว่ามันคือคำขู่ของชายที่ริอาจคิดครอบครองจักรวาล
ข้าหอบหายใจหนัก นิมิตนั้นทำให้อกของข้าบีบรัดอัดแน่น แต่ข้าก็ยังแสยะยิ้ม...มอบสายตากระหายอยากในอำนาจให้แก่ธานอส
“แล้วข้าจะรอชมผลงานของกองทัพเจ้า ชิทอรี่”
บนหมากกระดานนี้...ข้ากำหนดให้ชิทอรี่เป็นเพียงเบี้ยที่ไร้พิษสงและความสำคัญ
สิ่งเดียวที่ข้ามองเห็นคือจุดมุ่งหมายแห่งตน
ไม่ว่าจะมิดการ์ด มนุษย์ หรือชิทอรี่ก็ล้วนแล้วแต่ไร้ความหมาย เป็นเพียงหมากที่ถูกข้าจับวาง ก้าวเดินไปตามการชักนำโดยที่พวกมันไม่รู้ตัว
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
ข้าขอลองชมแสนยานุภาพแห่งกองทัพชิทอรี่ ซึ่งก็ได้รับคำตอบตกลงอย่างง่ายดายจนข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ...และระแวงระวังไปในคราวเดียว
ข้ารู้ดียิ่งกว่าใครว่าโลกนี้มีคำลวงซึ่งไม่อาจจับพิรุธได้จนกว่าจะถูกแทงข้างหลังอยู่จริง
ไม่รู้ว่าธอร์ทำได้อย่างไร...หากในคราวนี้เขากลับหาข้าเจออย่างรวดเร็ว ก่อนที่ข้าจะได้แตะเท้าลงบนแผ่นดินของดาวเคราะห์ที่เป็นเป้าหมายเสียอีก
กองทัพในครานี้มีเพียงไม่กี่ร้อยตน เพราะข้าไม่ได้ต้องการทำศึกจริง แต่ถึงกระนั้น...เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายมาเพียงลำพังต่อชิทอรี่เกือบพันก็ทำให้ข้ารู้สึกอยากหัวเราะดังๆ ให้แก่ความโง่เง่าของพระเชษฐาผู้นี้เสียให้ได้
ข้ายืนอยู่ด้านหลังกองทัพ บนโขดหินที่สูงชันจนสูงเด่นเหนือชิทอรี่ตนอื่น สองมืออันว่างเปล่าไพล่จับกันหลวมๆ ไว้ด้านหลัง พยายามทำเป็นไม่ยี่หระต่อดวงตาสีฟ้าที่เป็นประกาย...แทบจะลุกโพลงด้วยเปลวเพลิง
“เจ้าเห็นชิทอรี่เหล่านี้ไหม ธอร์?” ข้ายิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นของข้าคนเก่า “คิดเห็นอย่างไรกับกองทัพของข้าบ้าง?”
“โลกิ! กลับไปกับข้าเดี๋ยวนี้!!” แม้กระทั่งยามที่ถูกรายล้อมรอบด้วยกองทัพสัตว์ประหลาดมากมาย แต่ธอร์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกมันเลย ข้ารู้ หึหึ รู้ดีเชียวล่ะ ธอร์น่ะหรือ...คนอย่างธอร์น่ะหรือจะเห็นพวกมันอยู่ในสายตา
“กลับ?” ข้าเลิกคิ้วขึ้นเหมือนแปลกใจสุดแสน ทวนคำเสียงสูงด้วยท่าทางที่รู้ดีว่ากวนประสาทเขามากเพียงไร “ก็ได้”
ข้าเฝ้ามองดวงตาสีฟ้าที่เบิกกว้างอย่างยินดี ก่อนจะเอ่ยดับรอยยิ้มนั้นจนสิ้นว่า “ข้าจะกลับไปกับเจ้า มารับข้าให้ได้สิ”
สิ้นสุดประโยคของข้า เหล่าชิทอรี่ก็คำรามจนเกิดเป็นเสียงสะท้อนก้องแทบจะดังไปถึงห้วงอวกาศ ...แต่มันก็ไม่ดังพอจะกลบเสียงคำรามของธอร์...
ข้าทรุดกายนั่งลงบนโขดหิน ชันเข่าข้างหนึ่งแล้ววางแขนพาดลง เฝ้ามองการต่อสู้เบื้องล่างเหมือนไม่ใช่เรื่องของตน...แต่...ความจริงแล้ว ข้าไม่ละสายตาจากธอร์แม้สักวินาที
พระเชษฐาแลดูต่างไปจากครั้งล่าสุดที่ข้าได้เห็นใกล้ๆ ในห้องบรรทมของตนเอง ข้าบอกไม่ถูกเช่นกันว่าต่างอย่างไร หากทว่าดูเหมือนธอร์จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ข้าเริ่มขยับตัวอย่างมิอาจอยู่สุขได้เมื่อธอร์ฝ่ากองทัพชิทอรี่เข้ามาเรื่อยๆ จากหลายร้อย เหลือเพียงหลายสิบ และไม่นานมันก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่ตน
วินาทีถัดมา มิโอลนิร์ก็คำรามลั่นก่อนท้องฟ้าเบื้องบนจะปกคลุมด้วยเมฆหนา สายฟ้าสีขาวอันเจิดจ้าผ่าลงมาจนทำให้พื้นที่นั้นกลายเป็นความว่างเปล่าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ข้านั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองพระเชษฐาซึ่งก้าวเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากที่ไม่คลายลง
สีหน้าของธอร์ดูโล่งอกเมื่อคิดว่าคราวนี้คงได้ตัวข้ากลับไปเสียที เขามายืนอยู่ต่อหน้าข้าที่นั่งอยู่บนโขดหินซึ่งสูงกว่า จึงต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีฟ้านั้นหรี่ลงราวกับกำลังกลั้นยิ้มเต็มที่ “กลับได้แล้ว เจ้าเด็กเกเร”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ฟังราวกับว่าเรื่องที่ข้าทำลงไปช่างเล็กจ้อยเหลือแสน ข้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คงพูดได้ว่าในเก้าโลกนี้ไม่มีพระเชษฐาองค์ใดจะหลงอนุชามากไปกว่าธอร์อีกแล้ว
เมื่อเห็นข้าหัวเราะราวกับเด็กๆ เช่นนั้น ธอร์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างระอา มือใหญ่ที่เมื่อครู่ยังฟาดฟันกับเหล่าชิทอรี่ยื่นมือออกมา หมายจะอุ้มข้าลงไป
...แต่มันก็ทะลุผ่านร่างบนโขดหินนั้นอย่างง่ายดาย...
ธอร์หน้าผิดสี ชักมือกลับในทันทีที่เห็นร่างของข้าสลายหายไป “โลกิ!!!!” เสียงทุ้มกร้าวตะโกนก้องดังไปถึงชั้นฟ้า ข้าหลับตาลงแล้วรับฟังมันอย่างเงียบๆ
“เจ้ามาสาย ธอร์” ข้าเอ่ยพึมพำ เสียงที่เกิดจากเวทมนต์สะท้อนก้องจับทิศทางไม่ได้ “สายไปมาก รู้ไหม สายจนเกินจะแก้ไขอะไรแล้ว”
“ไม่หรอกโลกิ สำหรับเจ้า ไม่มีคำว่าสายเกินไป กลับไปกับข้าเถอะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ข้าจะปกป้องเจ้าจากทุกสิ่งเอง” เสียงธอร์สั่นสะท้าน อ้อนวอนเสียจนข้าอยากจะหัวเราะให้ดังไปถึงวาลฮาลลานัก นี่หรือเทพสายฟ้าผู้เป็นกษัตริย์แห่งแอสการ์ด นี่หรือธอร์...พี่ชายผู้มุทะลุบุ่มบ่ามในกาลเก่า
นี่หรือน้ำคำ...ที่มอบให้แก่ข้า...ผู้ทรยศ
“หากอยากให้ข้ากลับไป ก็มารับข้าให้ได้สิ ธอร์” ข้าเอ่ยประโยคเดิมเช่นก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง ไม่รู้ว่าต้องอาศัยความพยายามมากเพียงใดในการควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเทา
ก่อนที่ข้าจะใช้เวทข้ามมิติกลับไปฐานทัพของเหล่าชิทอรี่ เสียงของธอร์ก็ดังก้องขึ้นมาราวกับจะประกาศให้ทั่วทั้งจักรวาลได้รับรู้...เป็นพยาน
“คราวหน้า...คราวหน้า! ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปให้ได้! ข้าจะล่ามโซ่เจ้าไว้ไม่ให้หนีไปไหน! ข้าจะปิดปากไม่ให้วาจาเจ้าลวงหลอกผู้ใดให้เจ็บช้ำอีก! จำไว้!! โลกิ!!!”
ข้ายิ้ม เพราะนอกเหนือจากยิ้ม...ข้าก็ไม่รู้จะกระทำอันใดได้อีกแล้ว
...ข้าความจำดีเสมอพี่ชาย และผู้ที่มักลืมเลือนคำสัญญา...คือท่านเอง...
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
“เจ้า!!! พาพวกเราไปตาย!” ทันทีที่กลับมา เสียงคำรามกร้าวและเกรี้ยวกราดก็ดังสนั่นหวั่นไหว แต่ข้าไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน
“กองทัพเจ้าห่วยเอง” ข้ามองเจ้าชิทอรี่ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าและผู้แทนของธานอสด้วยสีหน้าเฉยเมย หากวาจากลับเต็มไปด้วยถ้อยคำเหยียดหยาม “กองทัพเจ้านับร้อย มิอาจต่อกรบุรุษเพียงผู้เดียว”
ข้าได้ยินเสียงกัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้นและหาคำโต้เถียงไม่ได้ “เอาให้มันดีอย่างที่คุยโวไว้หน่อย ชิทอรี่” ข้าหรี่ตาลงอย่างมาดร้าย แสยะรอยยิ้มกว้างอย่างหฤหรรษ์ รู้สึกเหมือนได้เอาคืนที่ถูกธานอสข่มขู่...นายของพวกมันผิดเองที่เลือกวิธีการที่ข้าเกลียดที่สุด
“เตรียมของทัพของเจ้าให้พร้อมกว่านี้...เจ้าคงไม่คิดว่ากองทัพกระจอกงอกง่อยนั่นจะสามารถครองจักรวาลได้จริงหรอกใช่ไหม?”
“แล้วเจ้าจะเสียใจ...เจ้าเด็กอวดดี” เสียงคำรามแหบพร่านั้นไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกหวั่นเกรงแม้เพียงเสี้ยวเดียว
“แล้วข้าจะภาวนาให้วันนั้นมาถึงโดยเร็ว”
ข้ายิ้ม อารมณ์ดีเสียจนต้องหัวเราะออกมา ไม่ไยดีต่อสายตาเคียดแค้นของชาวชิทอรี่ที่ถลึงจ้องมองก่อนสะบัดหน้าหายลับไป
...วันนี้เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นตั้งมากมาย คาดว่าค่ำคืนนี้ข้าคงนอนหลับฝันดี...
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
น่าเสียดายที่ข้าไม่มีแม้แต่เวลาจะได้หลับตาพักผ่อน เรื่องฝันจึงลืมไปได้เลย
ในการเปิดประตูมิติขนาดใหญ่พอจะให้กองทัพสามารถผ่านไปได้จำต้องใช้พลังเวทสูง อีกทั้งขั้นตอนวิธีในการสร้างประตูยังยุ่งยากน่ารำคาญ แต่มันก็ไม่ได้น่ารำคาญมากไปกว่าการพยายามเชื่อมต่อวงเวทกับขุมพลังเทซเซอแรคต์ที่อยู่ห่างออกไปหลายล้านปีแสงสักเท่าไหร่
ข้าวางมือลงบนแผ่นหินสีดำขนาดมหึมา ส่งผ่านพลังเวทจากปลายนิ้วให้มันซึมซาบเข้าไปในเนื้อหินสีดำ แสงสีทองเป็นประกายท่ามกลางความมืดตรึงสายตาของเหล่าชิทอรี่ที่อยู่ด้านหลัง ข้าหัวเราะในใจเมื่อได้ยินเสียงสูดลมหายใจอย่างตื่นเต้นของพวกมัน
กระแสพลังก่อตัวขึ้นเป็นวงกลมขนาดใหญ่ อักขระเวทมากมายปรากฏขึ้นสลักลงในแผ่นหินนั้น สุดท้ายเมื่อแสงสีทองจางหายมันจึงทิ้งไว้เพียงร่องรอยเหลือบเขียวจางๆ ข้าเอ่ยประหนึ่งมันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที หากที่จริงแล้วข้าร่ายมนต์ถึงสามวันสามคืนเต็ม
เมื่อข้าถอนปลายนิ้วออกจากแผ่นหิน แสงสีฟ้าก็เริ่มผุดพรายระเรื่อขึ้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าประตูมิตินี้เชื่อมต่อกับขุมพลังเทซเซอแรคต์เรียบร้อยแล้ว
ไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่ แต่การสร้างประตูที่ใหญ่ขนาดนี้บั่นทอนพลังเวทของข้าไปอย่างมากมาย นอกเหนือจากนั้นยังส่งผลกระทบต่อร่างกายอีกด้วย เม็ดเหงื่อเย็นๆ เกาะตามผิวหน้าจนรู้สึกหนาวสะท้าน หากข้าไม่มีวันยอมแสดงความอ่อนแอต่อหน้าพวกมันอย่างเด็ดขาด
เมื่อเห็นประตูมิติพร้อมใช้งานแล้ว ธานอสซึ่งยืนอยู่ด้านหลังข้าจึงค่อยแสยะยิ้มก่อนหันไปกางแขนออก พวกชิทอรี่ด้านล่างส่งเสียงคำรามราวกับตอบรับ ก่อนจะเงียบลงสงัดเมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดด้านหลังข้าเริ่มเปิดปากพูด
“ลูกบาศก์เทซเซอแรคต์ได้ตื่นขึ้นแล้ว เวลานี้มันอยู่ในมิดการ์ด มนุษย์พยายามใช้พลังแห่งลูกบาศก์ ...แต่ไม่มีใครรู้วิธีใช้พลังนี้ได้ดีไปกว่าพันธมิตรของเรา” ธานอสยื่นสิ่งหนึ่งมาตรงหน้าข้า มันคือคทา...ปลายประดับด้วยอัญมณีสีฟ้า ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอ่อนๆ ของเวทมนต์จากมัน
ข้ายื่นมือไปรับไว้ ไล้ปลายนิ้วสำรวจตรวจสอบ แม้ผู้สร้างมันขึ้นมาจะพยายามกลบเกลื่อนกลิ่นอายแห่งเวทเพียงไรก็มิอาจตบตาจอมเวทอันดับหนึ่งแห่งแอสการ์ดเช่นข้าได้
คทานี้สร้างขึ้นมาโดยมีอำนาจดูดพลังเวทของผู้ที่ถือครองมันเพื่อนำไปเสริมสร้างอำนาจให้แก่ตน เหมือนอาวุธต้องสาปทั่วไป ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และต้องขอแสดงความเสียใจแก่ธานอสว่า...ข้าคุ้นชินกับพวกมันเสียยิ่งกว่าอาหารในท้องพระโรง
ข้ายิ้ม แสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ถึงความผิดปกตินี้ คำพูดของธานอสเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่รู้เช่นกันว่าเจ้านั่นปาถกฐาอะไรไปบ้าง ข้าอดคิดไม่ได้ว่าแม้กระทั่งคนงี่เง่าถึกทืออย่างธอร์ยังดูเหมือนจะมีความสามารถในการทำให้คนรู้สึกคล้อยตามได้มากกว่าเสียอีก
เสียงโห่ร้องคำรามของเหล่าชิทอรี่เป็นเหมือนสัญญาณเริ่มต้นสำหรับข้า
ข้าหลับตาลง ไม่รู้ด้วยเหตุใด ริมฝีปากของข้าจึงแสยะออกเป็นรอยยิ้ม...บางที อาจจะเป็นเพราะนอกเหนือจากยิ้มแล้ว ข้าก็มิรู้จะกระทำสิ่งใดได้อีก...
ทุกอย่างเริ่มขึ้นแล้ว
...ท่านมาสาย...อีกแล้ว ธอร์...
--- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † --- † ---
:: To Be Continued ::
Deleted Scene :: Take IV
- Start -
ความคิดเห็น