ตอนที่ 6 : 4 : เพื่อนเก่า...เมื่อนานมาแล้ว
4
เพื่อนเก่า...เมื่อนานมาแล้ว
“เลย์ลาจัง วันนี้ว่างรึเปล่า?”
ดวงตากลมโตสีแดงชาดหันไปมองผู้มาเยือนคนเดิม องค์หญิงคนเล็กของจักรวรรดิโคเกียคุยืนยิ้มอยู่กับคะโคบุนคนสนิทของเธอและจูดัล มือที่กำลังเขียนอักษรลึกลับเหล่านั้นทั้งหมดหยุดการกระทำลง เปลี่ยนไปเป็นเก็บกระดาษเหล่านั้นและจัดที่นั่งให้ ทั้ง 3 คนเข้ามาในห้องของเธอ
“คือว่าพวกเราจะชวนเลย์ลาจังออกไปที่บัลแบดกันน่ะจ้ะ พอดีว่าที่นั่นเปลี่ยนเป็นของจักรวรรดิเจิดจรัสแล้ว จะไปด้วยกันไหม?”
เด็กสาวมองเธอด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ซึ่งเลย์ลาคาดได้เลยว่าโคเกียคุคงคิดว่าเธอกลายเป็นเพื่อนแน่นอน แต่ก็ถือเป็นการดีที่ตัวเธอจะได้เรียนรู้อะไรอย่างอื่นด้วยเช่นกัน
จูดัลยืนพิงประตูมองเธอ “ถ้าไม่ไปก็นั่งก้มหน้าก้มตาเขียนเจ้าพวกนั้นให้โคเอ็นต่อไปละกัน”
“........” เธอก้มหน้านิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง
ด้วยเหตุนี้ทั้ง 3 คนจึงแต่งตัวให้เหมือนประชาชนธรรมดาๆของจักรวรรดิเจิดจรัสและนั่งพรมเหาะของจูดัลมาลงยังบัลแบดที่เคยเกิดการจลาจนจนทำให้ผู้คนล้มตายแต่เพราะการช่วยเหลือขององค์ชายอาลีบาบา ซารูจาทำให้ที่นี่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ทว่า....ตอนนี้ที่แห่งนี้ได้ตกเป็นของจักรวรรดิเจิดจรัส เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทั้งบ้านเมือง การค้าขาย ความคล้ายคลึงของบัลแบดนั้นยังคงเหลืออยู่เพียงแค่น้อยนิด
แม้กระทั่งทาสก็ยังคงมี อีกทั้งยังถูกต้องตามกฎหมาย....
“ยอดเลย อีกไม่นานท่านพี่ก็จะมาปกครองที่นี่สินะ!!” ดวงตากลมโตสีทับทิมเปล่งประกายด้วยความดีใจกับตัวเมือง
“อะ... องค์หญิงอย่าทำตัวเด่นแบบนั้นสิครับ!”
“ยัยอัปลักษณ์ก็เป็นงี้แหล่ะ ตื่นเต้นไปได้ งี่เง่าชะมัดเลย เนอะเลย์ลา”
“...........” ไม่มีคำตอบจากบุคคลที่ท่านเรียก...
น่าเบื่อชะมัด... จูดัลคิดในใจเกี่ยวกับเลย์ลา
“นี่ๆ เลย์ลาจังไปตรงนั้นกันเถอะ!” เด็กสาวรีบวิ่งไปไม่รออีกฝ่าย เป็นเดือดเป็นร้อนให้คะโคบุนต้องวิ่งตามไป ...ปล่อยให้นักบวชหนุ่มและเลย์ลายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เลย์ลายกมือขึ้นชี้ไปทางที่ทั้ง 2 คนนั้นเดินไปพลางมองจูดัลด้วยดวงตาไร้แวว
“เออๆ รู้แล้ว ไปก็ไปเอ้า!”
เจ้าหล่อนพยักหน้าน้อยๆแล้วเดินตามอีกฝ่ายที่เดินนำหน้าไป แต่ขณะที่เดินอยู่นั้นเธอได้สวนทางกับชายหนุ่มร่างสูงกำยำผิวสีแทนสวมผ้าคลุมสีดำ
ตึก... เสียงฝีเท้าของชายหนุ่มคนนั้นหยุดลงและหันไปมองบุคคลที่เดินผ่านตนไปเมื่อสักครู่นี้จนอีกฝ่ายเดินหายลับตาไป...
“............เด็กคนนั้น...”
ทั้ง 4 คนเดินไปทั่วบัลแบด บ้างก็มีแวะซื้อของทานหรือแวะที่ร้านขายของ ถึงบางอย่างของที่นี่อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง และมีของของจักรวรรดิมากขึ้น แต่อย่างน้อยประชาชนของบัลแบดก็ยังอยู่ดีกินดีตามผลการเจรจาของราชาซินแบดกับอดีตจักรพรรดิองค์ก่อนของจักรวรรดิ
ความจริงแล้วนั้นวันนี้ที่พาเลย์ลามาด้วยนั้นเพราะเธอต้องการออกมาเที่ยวกับเลย์ลาและต้องการที่จะให้อีกฝ่ายยิ้มให้ได้
มือเรียวยาวหยิบขวดน้ำหอมรูปหัวใจขวดหนึ่งขึ้นมาจากร้านขายเครื่องสำอางของบัลแบดที่ยังเหลืออยู่เป็นกรณีพิเศษในตลาด “เลย์ลาจังอยากลองใช้มั๊ย น้ำหอมขวดนี้น่ะในบัลแบดหอมมากๆเลยนะ!” เด็กสาววางมันลงบนมือของอีกฝ่าย
หญิงสาวยืนนิ่งมองขวดน้ำหอมในมือ เธอนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยช้ำที่ข้อมือซึ่งเคยเกิดจากการที่โด่โซ่ล่ามไว้ และฉีดน้ำหอมลงบนหลังฝ่ามือ มือเรียวยาวเคลื่อนขึ้นไปที่ใบหน้าเพื่อให้ดมกลิ่นได้สะดวกขึ้น โดยมีองค์หญิงเล็กมองอย่างลุ้นระทึก
เลย์ลาเงยหน้าขึ้นมาและพยักหน้าให้โคเกียคุเป็นเชิงว่ากลิ่นใช้ได้ โคเกียคุยิ้มดีใจเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายถูกใจกับสิ่งที่ตนเลือกให้ เด็กสาวจึงเลือกของใช้อื่นๆให้เธอ
“ยัยป้านั่นมีความสุขมากเกินไปแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เคยบอกซักหน่อยว่ายอมเป็นเพื่อนด้วยแล้ว”
คะโคบุนหันไปมองจูดัล “คิดซะว่าเธอตอบตกลงไปแล้วละกันนะท่านนักบวช”
นักบวชหนุ่มจึงได้แค่ยักไหล่ตอบอีกฝ่ายและมองสาวๆที่ยืนคุยกัน ใบหน้าที่มีความสุขของโคเกียคุนั้นทำให้เขาแทบจะเผลอยิ้มออกมา แต่เขาก็ไม่ยอมยิ้มแล้วเดินไปแทรกทั้งคู่แทนเพื่อกลบอาการเหล่านั้น
องค์หญิงองค์เล็กจับมือของเลย์ลาแน่น พาเดินไปยังจุดต่างๆด้วยความสนุกสนาน พวกเธอแวะร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องสำอาง ร้านของใช้เวทย์มนตร์และร้านเครื่องประดับ แต่ถึงจะมีความสุขมากแค่ไหนก็ต้องมีเหนื่อย จึงมาหยุดพักอยู่ที่ร้านอาหาร
“สนุกจังเลย ของใช้ดีๆถูกๆเต็มไปหมดแถมพวกอาหารก็อร่อย” องค์หญิงองค์เล็กยิ้มอย่างมีความสุขให้กับคนที่ตัวเองเรียกว่าเพื่อน ในมือถือไม้เสียบเนื้อย่างส่งกลิ่นหอมกรุ่น
แน่นอนว่าเลย์ลาได้แต่พยักหน้าและกินไปนิ่งๆ
“องค์หญิง เลอะปากแล้วครับ”
โคเกียคุสะดุ้งโหยง “ไหน ตรงไหน” แต่ไม่ทันที่เธอจะปาดออก จูดัลก็เอื้อมมือมาหยิบเศษเนื้อที่ติดอยู่ข้างปากของอีกฝ่ายออกให้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้โคเกียคุถึงกับใจเต้นไปชั่วขณะ และมันอาจจะมากกว่านี้ถ้า...
“คราวหลังอย่ากินเลอะเทอะจะได้ไหมป้า ไม่ใช่เด็กซักหน่อยถึงกินเลอะเทอะไปทั่ว บ้าเปล่าเนี่ย”
ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดคำนี้ออกมา...
ผัวะ!!!!! เด็กสาวหยิบถาดแถวนั้นมาตีหัวจูดัล “ฉันรู้แล้วย่ะ!!!”
“อะไรอีกเล่า! อุตส่าห์เอาออกให้ไม่ขอบคุณซักคำ!!”
“แล้วใครบอกให้ช่วยล่ะยะ!!” หลังจากเงียบสงบมานานเดาว่าทุกคนคงจะรู้ว่าสิ่งที่ตามมาก็คงเป็นหลายๆคนคาดเดาได้ นั่นคือสงครามย่อยๆของทั้งคู่ที่ปะทุขึ้นกลางตลาด ทั้งคู่ทะเลาะกันเสียงดังโดยไม่สนใจคำห้ามปรามของคะโคบุน และไม่รู้เลยว่ากำลังมีคนกลุ่มหนึ่งจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาชิงชัง ซุบซิบนินทาวางแผนร้ายบางอย่าง
เลย์ลายืนนิ่งก่อนจะเห็นบางอย่างที่มีรูปร่างเหมือนกับนกบินผ่านหน้าตนไป ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินตามนกตัวนั้น..... โดยไม่รู้ว่ามีคนกลุ่มนั้นตามตนไปอย่างลับๆ
คะโคบุนกุมขมับด้วยความเหนื่อยกับสงครามย่อยๆที่ตนต้องเป็นคนห้ามทุกครั้งที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน หากเป็นเมื่อก่อนนั้นเป็นเพียงแค่บางวันแต่ช่วงนี้ไม่รู้เพราะเหตุอะไรถึงเกิดบ่อย “เฮ้อ...แล้วจะทำไงดีล่ะ ห้ามไม่อยู่เลย เธอพอจะมีวิธีช่ว....” เขาหันไปมองคนข้างๆตนเองที่คาดว่าน่าจะช่วยเขาได้ แต่ทว่า....
ตรงที่นั้นเหลือแต่ความว่างเปล่า...
“!!!!! องค์หญิง ท่านนักบวช หยุดทะเลาะกันเถอะครับ! ทาส เอ๊ย! คุณเลย์ลาหายไปแล้ว”
กึก! ทั้งคู่หยุดในทันที “อะไรนะ/คะโคบุน!!!”
ตึก...ตึก.... เสียงฝีเท้าก้าวเดินอย่างช้าๆ สายตายังคงจับจ้องที่นกตัวเล็กสีดำเหล่านั้น โดยไม่รู้ตัวว่าตนนั้นกำลังเดินเข้ามาในซอยเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน จนกระทั่งนกตัวนั้นพาเธอเดินมายืนยังใจกลางลานแห่งหนึ่ง เลย์ลาเอื้อมมือไปหามันอย่างช้าๆ...
.....ไปตายซะ.... สิ้นประโยคนกตัวนั้นได้สลายหายไปต่อหน้าเธอ แต่ทว่าเสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว
เลย์ลายืนนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อหันหน้าเพื่อจะเดินกลับไปทางเก่าปรากฏว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนขวางเธอไว้ เมื่อหญิงสาวจะเดินไปอีกทางก็มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งถืออาวุธเดินเข้ามารุมล้อม ถึงแม้เธอจะไม่รู้สึกกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอก็รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้แย่มาก
พวกชายฉกรรจ์เหล่านั้นพูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “พวกจักรวรรดิเจิดจรัส.... พวกจักรวรรดิเจิดจรัส...พวก..” รอบกายของพวกเขาล้อมไปด้วยฝูงนกมหาศาลสีดำอย่างเดียวกับที่เลย์ลาเห็นเมื่อครู่
“พวกจักรวรรดิเจิดจรัส.... ไปตายซะ!!!”
สิ้นคำคนกลุ่มนั้นพากันกรูเข้าหาตัวเลย์ลาพร้อมดาบในมือที่ง้างขึ้นเหนือหัว หญิงสาวไหวตัวทันจึงเบี่ยงตัวหลบจากวิถีดาบเหล่านั้น เลย์ลาไม่มีอาวุธพอที่จะต่อสู้ได้อีกทั้งเธอก็ไม่ได้แข็งแรงมากนัก ดังนั้นจึงพยายามหลบจากวิถีของมันให้ได้มากที่สุด จนเกือบจะหลุดออกจากวงล้อมนั้น ทว่าขณะที่หลุดออกมาสายตาของเธอก็เห็นชาย 2 คนที่หลบอยู่อีกมุมหนึ่ง เธอรีบเบี่ยงออกจากตรงนั้น
แต่มันช้าเกินไป... ฉัวะ! มีดสั้นเล่มเล็กปักเข้าที่ไหล่ขวาและขาซ้าย ความเจ็บที่แปลบไปทั่วร่างทำให้เธอล้มไปกองกับพื้น มือเรียวเล็กจับมีดที่ปักไหล่ขวาและขาซ้ายของตนออกและกุมบาดแผลที่ไหล่ไว้ เสื้อสีขาวชุ่มไปด้วยเลือดจนย้อมเป็นสีแดง
........เจ็บ.... หญิงสาวคิดในใจกับความรู้สึกที่รับรู้ได้ เลย์ลารู้ได้เลยว่าความรู้สึกที่กำลังได้รับนี้คือความเจ็บปวดที่เธอไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว เธอยังคงจ้องที่ข้อเท้าที่โชกไปด้วยเลือดของตน
“ตายซะเถอะ!!!!!!!!!” ชายฉกรรจ์ง้างดาบรูปเสี้ยวพระจันทร์เล่มใหญ่ขึ้นเหนือหัวหมายจะฆ่าให้ตายในภายดาบเดียว
ดวงตากลมโตไร้แววตาจ้องมองที่ชายฉกรรจ์ด้วยความเฉยชาทำให้เขาชะงักไปไม่น้อย มือที่ถือดาบอยู่สั่นไหว เหงื่อไหลลงมาตามใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเล “จะลังเลอะไรอีก! ยัยเด็กนี่คือคนของจักรวรรดิเจิดจรัสที่เปลี่ยนบัลแบดนะ!!!”
“!!!!” เมื่อได้ยินประโยคนั้นความลังเลก็หายไป เขากำดาบแน่นและฟาดฟันลงที่ตัวของเธอ
เคร้ง!! เสียงกระทบกันของดาบดังสนั่น ด้วยทวงท่าที่ดูคุ้นเคยนั้นทำให้เลย์ลาจ้องผู้ที่เข้ามาช่วยไม่วางตา เธอคือเด็กสาวผมเหยียดตรงสีน้ำตาลไล่โทนแดงตรงปลายคลอเคลียแผ่นหลัง ผมส่วนหนึ่งมัดรวบขึ้น อีกส่วนถักเปียผูกโบและมัดยางสีเขียวอ่อน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน ผิวสีน้ำผึ้งในชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนเสื้อคอวี ตกแต่งด้วยลูกไม้ คาดเข็มขัดทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำตาล
เด็กสาวจ้องหน้าชายฉกรรจ์ด้วยใบหน้าหงุดหงิด “นี่ลุง!! ถ้าลุงเกลียดพวกเจิดจรัสนักทำไมไม่บุกไปที่ถิ่นเขาเลยล่ะ! แทนที่จะดันมาตัวเป็นหมาลอบกัดแบบนี้น่ะ!!” เธอโวยวายใส่และปัดดาบของอีกฝ่ายกระเด็น
“เธอเป็นใคร เข้ามายุ่งทำไม!”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกชื่อให้ผู้ชายที่ทำร้ายเด็กผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ ไม่เคยมีคนสอนรึไงคำว่าสามัญสำนึกของความเป็นคน! รู้จักไหมลุงคำว่าหน้าตัวเมียน่ะ!!! คิดว่าแก้แค้นผู้หญิงคนนี้แล้วพวกนั้นจะยอมปล่อยบัลแบดให้เป็นอิสระเพื่อแลกกับผู้หญิงคนเดียวรึไงกัน!มีหวังกลายเป็นสงครามน่ะสิ!”
สิ้นคำพวกผู้ชายถึงกับชะงักในทันที ในเมื่อมันจริงอย่างที่เธอพูด พวกจักรวรรดิเจิดจรัสน่ะไม่ยอมปล่อยที่ไหนไปง่ายๆเพื่อแลกกับคนเพียงคนเดียว อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงแบบนี้....
“แต่ถ้าพวกลุงไม่ยอมเลิกราและไม่ปล่อยผู้หญิงคนนี้ คงเห็นดีกับฉันเป็นแน่แท้... ว่าไงลุง ยังคิดอยากจะทำร้ายเด็กอีกไหม”
เด็กสาวลึกลับขู่อีกฝ่ายด้วยสายตา คำพูดและการกระทำ พวกผู้ชายยืนนิ่งเหงื่อไหลท่วมใบหน้า สองฝีเท้ารีบวิ่งออกตัวหนีไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้พวกเธออยู่กันเพียงลำพัง
“ปอดแหกชะมัด ทีเมื่อกี้ล่ะทำเป็นเก่ง น่าเกลียดที่สุด” เธอหันไปมองเลย์ลาแลละตวาดใส่หน้า
“เธอก็เหมือนกัน! เอาแต่นั่งเงียบเพื่อไร! ทำไมไม่ตะโกนขอความช่วยเหลือ!?”
แน่นอนว่าเลย์ลาไม่ตอบแต่ชี้ไปที่คอแล้วส่ายหัวเบาๆ เพียงแค่นั้นก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ได้ว่าเธอพูดไม่ได้
เป็นคนใบ้หรอกเหรอเนี่ย...แต่ว่าการแต่งตัวเหมือนองค์หญิงที่ชื่อฮาคุเอย์ถึงจะแตกต่างกันแค่สี ไม่แน่ว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นเจ้าหญิงก็ได้ ถ้าพาไปส่งอาจจะได้รางวัลตอบแทน...
เมื่อประมวลผลเสร็จ เด็กสาวลึกลับก็หยิบผ้ามาพันที่แผลที่ไหล่และข้อเท้าของเลย์ลา
“ฉันชื่อเฟอิซา รู้สึกเป็นเกียรติซะด้วยล่ะที่รู้จักชื่อของฉันแบบนี้” เมื่อเฟอิซาแนะนำตัวเสร็จ ตามมารยาทแล้วเธอควรบอกกลับ แต่ในเมื่อพูดไม่ได้จึงต้องเขียนให้อีกฝ่ายอ่าน นิ้วเรียวยาวค่อยๆเขียนชื่อของตนบนพื้น
“เลย์ลา?” อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ “เอาล่ะ เดี๋ยวฉันพาเธอไปส่งพวกจักรวรรดิละกัน พอรู้ไหมว่าก่อนมาที่นี่ไปทางไหน”
เลย์ลาพยักหน้าและชี้ไปอีกทาง
“ทางนั้นสินะ สำนึกในบุญคุณของฉันด้วยล่ะที่ช่วยเธอเนี่ย” สิ้นคำเฟอิซาพยุงเธอออกไปจากบริเวณนั้น โดยไม่รู้ว่าผู้ชายที่เป็นคนปามีดใส่เลย์ลานั้นสะกดรอยตามตนไป...
.....................................
“เลย์ลาจัง!!!!!” องค์หญิงลำดับที่ 8 พุ่งถลา(?)ใส่เลย์ลาในทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมากับเฟอิซาจากมุมหนึ่ง “ขอโทษนะที่ไม่ได้สนใจแล้วปล่อยให้หายไปน่ะ ....เลย์ลาจัง!ทำไมบาดเจ็บแบบนี้ล่ะ! คะโคบุนช่วยรักษาทีสิ!”
“ครับองค์หญิง” คนสนิทของเธอพาเลย์ลาไปนั่งอยู่แถวนั้นและช่วยรักษาในทันที
นักบวชหนุ่มจ้องเฟอิซาไม่วางตาก่อนดีดนิ้วแล้วชี้หน้าเธอ “นึกออกแล้ว! เธอนี่เอง!ยัยคนขายจอมตื้อที่ชื่อ ไฟซา!!”
“ขอบคุณที่ยังจำได้ค่ะ แต่ฉันชื่อเฟอิซา ไม่ใช่ ไฟซา” เฟอิซากอดอกมองอย่างไม่สบอารมณ์
“โห.... ไม่ได้เจอนานแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลยนี่ แต่ก็ยังไม่ค่อยถูกใจฉันเท่าไหร่นะ พลังยังอ่อนอยู่เลย”
“ก็เรื่องของนายย่ะ!!!”
คะโคบุนใช้พลังจากภาชนะบริวารรักษาแผลให้เลย์ลา แต่ทว่า.... บาดแผลเหล่านั้นกลับไม่หาย “เป็นไปได้ยังไง...”
“ทำไมแผลถึงไม่หายล่ะ”
“ผิวหนังยัยนี่มันเป็นยังไงกันแน่เนี่...”
จูดัลชะงักเมื่อรับรู้ถึงลูฟสีดำจากที่แห่งหนึ่งได้แต่กลับไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน หากเป็นทุกทีรู้แต่คราวนี้กลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย...
ฟิ้ว!!!เคร้ง!! มีดสั้นที่พุ่งตรงมาถูกดาบของเฟอิซาปัดกระเด็นออกไป แต่มีดเหล่านั้นก็ยังไม่หยุดปาออกมา แต่ละครั้งที่ปาจำนวนกลับมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสร้างความรำคาญให้แก่เธอมาก
โคเกียคุหยิบปิ่นปักผมตนเองออกมาและเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นอาวุธดาบวารีจากภูษาเวทย์วีเนอาของเธอมาช่วยเฟอิซาอีกแรงหนึ่ง ไม่นานนักมีดเหล่านั้นก็ร่วงกราวไปกองอยู่ที่พื้น “ใครหลบอยู่ตรงนั้น!!!ออกมานะ!!!” องค์หญิงชี้ดาบไปทางทิศที่มีดสั้นเหล่านั้นพุ่งมา
ทว่า...มีเพียงแค่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น
“!!!! ป้า!!! ถอยออกจากตรงนั้นซะ!!!”
“เอ๋?”
เด็กสาวหันไปมองจูดัลที่ตะโกนเสียงดัง เพียงไม่นานก็มีเงาสีดำเข้ามาบดบังแสงจนตนเองต้องหันกลับไปมอง เบื้องหน้าคือมนุษย์คนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมสีดำทั้งตัวและสวมหน้ากากรูปกระโหลกสีขาวง้างดาบขึ้นเหนือหัวตน...
“!!!!!!” เคร้ง!!!!! คมดาบทั้งสองปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้น 2 แรงที่แตกต่างกันจนเกินไปทำให้ดาบของวีเนอาเริ่มมีรอยแตกร้าว “!! อะไรกัน! เป็นไปไม่ได้!”
“นี่มันตัวอะไรกันแน่เนี่ย!” คะโคบุนใช้ภาชนะบริวารของตนเองในการช่วยเหลือโคเกียคุ แต่พวกมันกลับโผล่ขึ้นมาจากเงามืดไม่หยุดหย่อนราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์
“ฉันก็อยากถามเหมือนกันเฟ้ย!! ไม่เคยเห็นไอ้ตัวพรรค์นี้มาก่อนด้วยซ้ำไป!!” นักบวชหนุ่มตะโกนในขณะที่ใช้เวทย์น้ำแข็ง “สัมผัสลูฟสีดำจากตัวพวกมันได้แต่ฉันกลับไม่รู้นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน!!!”
“มากันไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ! น่ารำคาญ!” เฟอิซาตะโกนดังลั่น ทันใดนั้นรูปดาว 8 แฉกที่กำไลข้อมือของเธอก็ส่องแสงสว่างออกมา เธอควบคุมมะโก่ยของตัวเองจากกำไลนั้นไปยังที่ดาบของตนและฟาดฟันมันออกไปทำให้เงาสีดำพวกนั้นถูกตัดขาดเป็นสองซีกนับสิบตน!!
“กี๊ซซซซซซซซซซ!!!!!!!!”
พวกมันกรีดร้องเสียงดังลั่นจนแสบแก้วหู พวกเขาจึงต้องหยุดการต่อสู้ลง ร่างทั้งร่างทรุดลงไปกองที่พื้น มือกุมที่หูแน่นเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียง แต่มันกลับยังเล็ดลอดเข้าไปจนทำให้ไม่มีสมาธิและขยับไม่ได้
“ปะ.... ปวดหู!!!”
“เสียงบ้าอะไรกันเนี่ย!!!!” จูดัลพยายามที่จะใช้เวทย์ของตนเอง แต่กลับขยับไม่ได้ดั่งใจคิด
“!! ละ.....เลย์ลาจัง!!! อันตราย!!!”
องค์หญิงคนเล็กตะโกนดังเมื่อเห็นเงามืดตนหนึ่งพุ่งไปทางเลย์ลาที่นั่งกุมหูอยู่ หญิงสาวเงยหน้ามองผู้ที่หมายชีวิตของตน ชั่วขณะที่ดาบนั้นกำลังจะฟันลงบนร่างของตนได้มีภาพหนึ่งซ้อนทับเข้ามาในหัวของเธอจนดวงตาเบิกกว้าง ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูเอ่ยชื่อใครบางคนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา...
“.......มา....เซน....”
ผัวะ!!!! ตูมมมมม!!!!!!..... ฝุ่นละอองคละคลุ้งตลบอบอวน เสียงดังสนั่นนั้นสร้างความตกใจให้แก่พวกโคเกียคุเป็นอย่างมาก ในเมื่อสิ่งที่พวกเขาได้เห็นเมื่อครู่คือเลย์ลาขยับปากพูดและตามมาด้วยเสียงดังสนั่นที่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ไม่นานนักฝุ่นละอองก็เริ่มจางลงสิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือเงามืดเหล่านั้นกลายเศษซากนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ชายผู้สวมหน้ากากรูปกะโหลกนั้นก็นอนแผ่อยู่บนพื้นจนร่างกายและเงาดำนั้นสลายกลายเป็นผงหายไป... ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเลย์ลาคือภาพของชายหนุ่มร่างกำยำที่ยืนอยู่ต่อหน้าตน มือแกร่งทั้งสองข้างสวมปลอกแขนสีทอง ดวงตาเรียวคมสีแดงหางตาชี้ขึ้น ผมหน้าปิดขาข้างขวา ผมสีแดงยาวและผ้าคลุมสีดำปลิวสยายไปตามสายลม
ซึ่งจากดวงตานั้นทำให้รู้ได้ว่าอีกฝ่ายคือ... ชาวเฟอร์นาลิส
ชายหนุ่มคนนั้นหันกลับมามองเลย์ลาก่อนจะถอดผ้าคลุมของตนจนตัวเองเหลือเพียงกางเกงขาพองและผ้าที่ผูกเอวไว้ เขาคุกเข่าคลุมตัวของเด็กสาว
“ในที่สุด... ข้าก็ได้พบกันท่าน...” ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าให้แก่เลย์ลา ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย...
“นายท่านของข้า... ”
ใบหน้า... น้ำเสียง... ลักษณะท่าทางนี้... เธอจำมันได้อย่างแม่นยำว่าอีกฝ่ายคือคนที่ตนเองเคยรู้จัก ภาพที่ตนเองเห็นเมื่อครู่นี้คือทาสที่เป็นชาวเฟอร์นาลิสคนหนึ่งที่คอยดูแลตนและเคยปกป้องจากการโดนทำร้ายเมื่อนานมาแล้วก่อนที่ตัวเองจะโดนขายไปอีกแห่ง...
เฟอร์นาลิส ที่มีชื่อว่า มาเซน.....
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

346 ความคิดเห็น
-
#218 โยนะ ฮิเมะ (จากตอนที่ 6)วันที่ 18 เมษายน 2558 / 13:32ว้าเลย์ลาจังเจอผู้มีพระคุณหรอเนี่ย ^^#2180
-
#11 Pun Pun NaKab (จากตอนที่ 6)วันที่ 13 มีนาคม 2557 / 21:02ตอนนี้ตื่นเต้นมากเลย >w<#110
-
#6 双子座_みかん (จากตอนที่ 6)วันที่ 4 มีนาคม 2557 / 00:01เฮ้ยยย !! สนุกมาก รอตอนต่อนะ!#60