ตอนที่ 55 : 42 : อุปกรณ์ต้องสาป (100%)
จากอีกมุมมองหนึ่ง ร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่บนภูเขาสูงชันมองการระเบิดครั้งใหญ่จากสถานที่ห่างไกล ซีเรียกระชับผ้าคลุมแน่นปกปิดตนเองจากสายตาของใครหลายๆคน ตอนนี้เธอออกเดินทางร่วมกับคาราวานกลุ่มหนึ่งที่ไหว้วานให้มาช่วยซึ่งจะจ่ายเงินอย่างงามให้ และมั่นใจว่าจะไม่มีใครตายในการเดินทางนี้จึงมีคนยอมร่วมทางประมาณ 10 กว่าคนได้ หญิงสาวไม่ได้กำลังหนี แต่กำลังตามหาบางอย่างอยู่...
บางอย่างที่สำคัญต่อศึกสงครามในครั้งนี้ ความทรงจำทั้งหมดของเธอ
เมื่อไม่นานมานี้ได้พบกับเซลีนีอีกครั้ง ขอให้ดึงความทรงจำของตนออกมาดู แต่ปรากฏว่ามันว่างเปล่า มีเพียงแค่ตอนยังเป็นซีเรีย ความทรงจำของเลย์ลาขาดๆหายๆอีก ขอให้เจ้าหล่อนแอบเข้าไปดึงความทรงจำของเบฮิร่าปรากฏว่ายังมีภาพ แต่การเกี่ยวข้องกับราชาลูซิเฟอร์ว่างเปล่าเช่นกัน
ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ต้องหาอุปกรณ์เวทย์มนตร์ในการดึงความทรงจำออกมา แต่ว่ากันว่ามันเป็นของต้องสาป เลยต้องเสียเงินในการจ้างวานคนเยอะสักหน่อย
“เฮ้น้องสาวเลิกเหม่อได้แล้ว!! ท้องฟ้าเริ่มแปรปรวนแบบนี้รีบหลบเข้าถ้ำก่อนเร็ว!!”
“อ...เอ๊ะ?”
“อย่ามาเอ๊ะ! รีบหลบเร็วเข้า!!”
ชายหน้าเหี้ยมแขนซีเรียที่ยืนเหม่อมองหลบเข้าไปในถ้ำแถวนั้นอย่างไว ก็นะ ถ้าเกิดว่าปล่อยให้ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนเสียชีวิตขึ้นมาแล้วใครจะจ่ายเงินค่าเหนื่อยให้พวกเขาที่ถ่อขึ้นเขามากันล่ะ!?
สุดท้ายวันนี้ก็ต้องหลบมาพักในถ้ำแถวนั้นรอจนกว่าพายุจะหยุด พวกผู้ชายแยกกันไปทำหน้าที่กางเต็นท์ที่พัก ส่วนกลุ่มหนึ่งไปคุยเรื่องสถานที่อุปกรณ์เวทย์มนตร์ต้องสาป
“เท่าที่ดูเราน่าจะอยู่บริเวณนี้” ชายคนหนึ่งชี้จุดหนึ่งบนแผนที่
“จากที่ดูแล้วน่าจะใช้เวลาไม่ถึง 2 วันก็คงถึง”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี” ซีเรียกระชับผ้าคลุมหัวของตนเองแน่น
“จะว่าไปเจ้าอยากได้อุปกรณ์ต้องสาปนั่นทำไม? มันสำคัญมากรึ?” อดถามขึ้นมาไม่ได้
หญิงสาวนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้า “มันคือตัวแปรสำคัญในมหาสงคราม... ข้าจำเป็นต้องใช้มันในการย้อนดูอดีต”
ใช่... มันคือตัวแปรสำคัญในสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน
ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ที่จักรวรรดิเจิดจรัสได้เกิดการปฏิวัติขึ้นด้วยน้ำมือขององค์ชายลำดับ 4 เร็น ฮาคุริว ร่วมมือกับเมไจแห่งความเสื่อม จูดัล เพื่อสังหารแม่มดแห่งอัลซาเมน ทหารทุกหน่วยที่อยู่ฝั่งฮาคุริวนั้นถูกปลูกฝังเมล็ดพันธุ์และเปลี่ยนให้มาอยู่ฝ่ายตนเองทั้งหมด
จนกระทั่งจูดัลกับฮาคุริวจะผ่านทางกลับถูกแม่ทัพแก่ทั้ง 2 ขวางไว้
“ท่านห้ามผ่านทางนี้”
“ถอยไปซะ!!! พวกเจ้ามันก็ตาแก่งี่เง่าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือศัตรูที่แท้จริงของประเทศนี้!!” ฮาคุริวตวาดใส่ทั้งสอง
“เรารู้อยู่แล้ว”
“!?”
“เรารู้ว่าใครคือต้นเหตุของเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นและใครที่ฆ่านายท่านที่จากไป... พวกเรารู้ดีอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเราก็เป็นคนของจักรวรรดิเจิดจรัสอยู่ดี พวกเราต้องขัดขวางการที่จักรวรรดิซึ่งสร้างโดยจักรพรรดิฮาคุโทคุแตกออกเป็นส่วนๆ!”
แม่ทัพวัยชราพยายามอธิบายให้ฮาคุริวเข้าใจ แต่สุดท้ายก็เป็นไปไม่ได้
ความแค้นที่มีต่อเกียคุเอ็นมันมากเกินไปกว่าจะถอยหลัง...
“องค์ชายฮาคุริว...”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกให้ทั้งคู่หันไปมอง จูดัลหรี่ตามองอย่างรังเกียจก่อนจะอธิบายให้ฮาคุริวรู้จัก “คู่หมั้นของโคเอน เลย์ลาที่กลับมาเกิดใหม่ชื่อเบฮีร่า”
“ท่าน...เลย์ลา” หอบด้วยความเหนื่อยจากการโดนเฟนิกซ์จำกัดพลัง “จะมาห้ามข้ารึไง”
เบฮีร่าส่ายหัว ยืนนิ่งอยู่สักพักน้ำสีใสไหลอาบใบหน้า... “แก้แค้นแทนข้าที...ปลดปล่อยข้าจากพันธการเหล่านี้ทีเถอะค่ะ... นับตั้งแต่คืนชีพกลับมาข้าโดนบังคับให้อยู่ข้างกายนางและเชื่อฟังตลอดเวลา ข้าต้องการ... เป็นอิสระสักที”
“....เข้าใจแล้ว ถ้ายังไงออกไปจากอาณาเขตนี่ซะ เดี๋ยวตายนะยัยใบ้” จูดัลเรียกชื่ออีกฝ่ายเหมือนเมื่อก่อนด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะปลดปล่อยท่านเอง” ฮาคุริวพยุงตัวเองเข้าห้องโถงไปกับจูดัล
ทั้งสองต่างเชื่อใจในคำพูดของเบฮีร่าโดยไม่ได้สงสัยเลยสักนิด เพราะว่าเลย์ลาในอดีตนั้นไม่เคยโกหกใคร เธอพูดความจริงตลอดแต่ไม่มีใครเชื่อใจ แถมยังเคยโดนเกียคุเอนหลอกใช้แบบนั้นก็ย่อมต้องการแก้แค้นเป็นธรรมดา
“ท่านเบฮีร่ารีบหลบมาทางนี้เร็วครับ!!”
“!! จ จ้ะ!”
ทหารกลุ่มหนึ่งและพวกสาวใช้รีบพาเบฮีร่าหลบออกมาจากสงครามไปด้านหลังจากพระราชวังเพื่อความปลอดภัย
ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบกับใครบางคนที่ยืนรออยู่...
“!! ศัตรู!?” ทหารจับดาบขึ้นมาป้องกันเบฮีร่าที่หลบอยู่กับสาวใช้ ผู้ยืนรออยู่กลับสวมผ้าคลุมปิดหน้าตาไม่พูดไม่จาจนหญิงสาวผมสองสีนิ่งไป
“เจ้าคือ...ว่าที่เจ้าเมืองนูลลาสินะ”
หญิงสาวว่าที่เจ้าเมืองนูลลายืนเงียบ “....เจ้าคือใคร”
“? ลืมข้าแล้วเหรอ?”
“รู้ไหมเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร!! คนผู้นี้คือท่านเบฮีร่าคู่หมั้นท่านโคเอนเชียวนะ!!”
“เจ้าคือใคร...”
“ก็บอกไปแล้วไงว่า---!“
“เจ้า...คือใคร”
เบฮีร่ายืนมองหญิงสาวที่ยังคงยืนถามอยู่ตรงนั้นไม่หยุด ก่อนจะก้าวออกมาประจันหน้ากับซีเรียโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามของสาวใช้และทหาร
“ข้าคือเบฮีร่า ผู้ที่เป็นเลย์ลากลับมาเกิดใหม่”
“เจ้าคือใคร...”
“ข้าบอกว่าคือเบฮีร่า ผู้ที่เป็นเลย์ลากลับมาเกิดใหม่!!!”
“....โกหก” ในที่สุดก็เปลี่ยนคำพูด
“เอาอะไรมาวัดล่ะ? เจ้ามันก็ผู้แอบอ้างเหมือนกับคนอื่นๆ คิดจะอาศัยช่วงการปฏิวัติขององค์ชายฮาคุริวเพื่อฆ่าข้าล่ะสิท่า เจ้าคิดว่าข้าตายแล้วท่านโคเอนจะเป็นของเจ้ารึยังไงกัน?” เดินเข้ามาใกล้ๆอีกฝ่าย “โง่จริงๆเลยนะซีเรีย~♪”
ซีเรียกระชับผ้าคลุมปิดหน้าตา... “เจ้ามัน...ก็แค่ตุ๊กตารับใช้ของเกียคุเอ็น”
“ว่าไงนะ?”
“หรือข้าพูดผิดล่ะ... องค์หญิงจากอาณาจักรที่พ่ายแพ้สงครามเมื่อ 1 เดือนก่อน องค์หญิงเบฮีร่า แห่งอาณาจักรอลาวีห์”
“!!!”
วิ้ว...ครืน!!!! ไม่ทันที่เบฮีร่าจะได้พูดอะไรตอบกลับไป ลมกรรโชกรุนแรงจนต้องหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีร่างของซีเรียได้หายไปจากบริเวณนั้นเหลือไว้เพียงแค่ใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลมเท่านั้น เบฮีร่ายืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจากตรงนั้น ใบหน้านิ่งเฉย มือกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อด้วยความไม่คาดคิดว่าจะมีคนรู้ภูมิหลังของตนนอกจากเกียคุเอ็น...
ตูม!!!!!! เสียงระเบิดดังขึ้นจนทำให้เธอได้สติ เบฮีร่ากับพวกข้ารับใช้รีบออกมาจากบริเวณนั้น แสงที่สร้อยคอที่ได้มาจากเกียคุเอนเปล่งแสงเล็กๆก่อนจะดับวูบไป บ่งบอกว่าผู้มอบสร้อยได้จบชีวิตลง
แต่แทนที่จะเสียใจเหมือนเมื่อครู่เบฮีร่ากลับแอบลอบยิ้ม...
ย้อนกลับมาเหตุการณ์ปัจจุบัน ซีเรียกำลังนั่งอยู่บนโขดหินในถ้ำนั่นขณะที่พวกผู้ชายส่วนใหญ่เริ่มหลับพักผ่อน มือเรียวสัมผัสกับต่างหูตนเองมันเริ่มเรืองแสงมากขึ้นกว่าเดิมบ่งบอกว่าตอนนี้ใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางในอีกไม่ช้า
สาเหตุจริงๆของการตามหามีทั้งหมด 2 สาเหตุ ซึ่งอย่างแรกเหมือนที่กล่าวไป
อย่างที่ 2 คือเธอต้องการรู้ความทรงจำระหว่างลูซิเฟอร์กับอัลบะและอิลลาห์ ซึ่งจากการฉายภาพในการประชุมเมื่อครู่เธอถึงได้รู้ว่าจำเรื่องราวตรงนั้นไม่ได้
“ไม่ว่ายังไง...ก็ต้องหาให้พบ”
เมื่อพายุหยุดก็เริ่มเดินทางตามหาอุปกรณ์เวทย์มนตร์ต้องสาปกันต่อ ต้องฝ่าฟันดงสัตว์ประหลาดที่แอบซ่อนอยู่ตามโพรงถ้ำ หลบพายุฝน หลีกหนีจากแก๊สพิษ จนมาถึงหน้าโพรงถ้ำที่มีลูกแก้วสีดำตั้งอยู่ใจกลางถ้ำบนโขดหินที่เหมือนกับแท่นพิธี บรรยากาศโดยรอบดูน่าหวาดกลัว เสียงจากลูฟต่างพากันตักเตือน ห้ามให้เข้าไปภายใน
“เอาล่ะมาถึงแล้ว...” ชายคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถึงจะเตรียมใจมาแล้วแต่พอมาถึงก็อดหวั่นไม่ได้
“ปะ...เปลี่ยนใจกลับยังทันไหมเนี่ย...”
“จะบ้ารึไง!พวกเรารับเงินมาแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด!!”
“แต่ข้ายังไม่อยากตาย!! เท่าที่ได้ยินมาคนที่ก้าวเข้าไปในถ้ำจะหายตัวไปและไม่มีใครได้กลับออกมาอีก!! ข้าไม่ยอมเอาชีวิตไปทิ้งข้างในแน่ๆ!!!”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องเข้าไป” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เสียเงินจ้างวานมาไม่พอยังต้องมาทนรำคาญเสียงทะเลาะกันอีก! “รออยู่ตรงนี้จนกว่าข้าจะกลับออกมา ถ้ายังไม่ออกมาก็ไสหัวกลับเมืองไปได้เลย”
สิ้นคำเธอเดินมายืนอยู่หน้าทางเข้าก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปภายในโดยไม่หวั่นเกรงอันตรายใดๆ จะมากลัวตอนนี้ก็สายไปแล้ว... นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในตอนนี้
ชั่ววินาทีที่ก้าวเข้าไปภายในถ้ำนั่นเอง...
วิ้งงงงง...!!! ที่พื้นพลันปรากฏสัญลักษณ์ดาวแปดแฉกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว ซีเรียรีบเอื้อมมือคว้าลูกแก้วบนแท่นนั่นก่อนที่ร่างของเธอหายไปจากตรงนั้นมาโผล่อยู่เหนือโลกใบใหญ่สีฟ้าเทาไร้เสาสีทองที่พุ่งขึ้นมา ร่างทั้งร่างรู้สึกหนักอึ้งราวกับว่ากำลังโดนดึงดูดเข้าไปภายในนั้น!
.
.
.
.
.
ร่างของซีเรียโผล่มายังสถานที่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความมืด ท้องฟ้าที่ควรเป็นสีครามกลับกลายเป็นสีดำสนิท พื้นดินแห้งแล้งสีน้ำตาลไร้สีเขียวเจือปน พืชพรรณดูแปลกตาทั้งยังมีรูปร่างประหลาดไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ยกเว้นสถานที่หนึ่ง...อัลม่า ทรัน
“ที่นี่ที่ไหนกันแน่?”
ถอดผ้าคลุมปิดบังตนเองโยนทิ้งไว้แถวนั้น เปลี่ยนลูกแก้วในมือให้หายเข้าไปต่างหู รอบๆข้างเต็มไปด้วยโครงกระดูกของคน คาดว่าน่าจะเป็นคนที่หลงเข้ามาที่นี่ มองไปทางไหนก็ไร้วี่แววของมนุษย์ มีแต่สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดแอบหลบซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้และลูฟสีดำ แม้จะใช้พลังเวทย์ไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะทำให้พลังที่มีอยู่ลดลงไปแม้แต่น้อย เพราะเหตุนี้จึงไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนเข้ามาทำร้าย
แต่ประเด็นคือจะอออกไปจากที่นี่ได้ยังไง?
"ดูท่าจะแย่...." พึมพำเบาๆ จากที่ยืนนิ่งเฉยก็เริ่มขยับตัวเดินสำรวจบริเวณโดยรอบเลือกที่จะใช้เท้าเดินแทนที่จะนั่งไม้เท้าเวทย์ แต่ไม่ว่าจะเดินเท่าไหร่ก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นเลย
จนกระทั่ง....
แซ่ก... เสียงพุ่มไม้ไหว เท้าที่กำลังก้าวอยู่ชะงักลงในทันที เปลี่ยนต่างหูกลับมาเป็นไม้เท้าเวทย์เพื่อนำมาป้องกันตัว นึกประหลาดใจที่มีสิ่งมีชีวิตกล้าเข้าใกล้ตนเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูหรือมิตร
แซ่ก.... แซ่ก.... เสียงเริ่มใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ซีเรียตั้งการ์ดเตรียมพร้อมสู้ทุกเมื่อ ทว่าผู้ที่ออกมากลับกลายเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
“พวกเจ้า...”
ณ อีกด้านหนึ่งที่บัลแบดหลังจากการประชุมรวมตัวทั้ง 3 อาณาจักรจบลงด้วยการปฏิเสธการเป็นพันธมิตรได้เกินปัญหาครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อองค์ชายลำดับสี่ เร็น ฮาคุริวได้ก่อสงครามเพื่อยึดจักรวรรดิกลับมาเป็นของตนเองร่วมกับอดีตแม่ทัพแก่ทั้งสองและเมไจแห่งความเสื่อมจูดัล และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคืออาลีบาบากับอาละดินมุ่งหน้าไปหาทั้งคู่เพื่อเจรจาจนเกิดการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้ภาชนะโลหะกับเมไจ
ผลของการต่อสู้ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม….
อาลีบาบาโดนฮาคุริวใช้เคียวมัจจุรายของเบลเลี่ยนและถูกส่งไปยังที่อื่น
จูดัลถูกอาละดินใช้เวทย์ของโซโลมอนส่งไปยังสถานที่ที่ห่างไกล
ต่างฝ่ายต่างต้องสูญเสียคนสำคัญ...
“ฉันหวังว่าถ้าโมลเซียน่าได้เจอยูนันที่มหาหุบเหวแล้วได้ข้อมูลมาล่ะก็!?”
“อาละดิน! นายใช้เวทย์มนต์มาติดกัน 5 วันโดยไม่ได้พักแล้วนะ! ไม่เป็นไรแน่เหรอ!!”
โตโต้กับคนอื่นช่วยกันเอ่ยปากห้ามขอให้อาละดินพักผ่อนหลังจากใช้ปัญญาแห่งโซโลม่อนติดต่อกันโดยไม่พัก สีหน้าเริ่มย่ำแย่หอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่เขากลับเลือกที่จะปฏิเสธ ยังคงใช้พลังในการตามหาสถานที่ที่อาลีบาบาอยู่
แม้จะร้องไห้มากแค่ไหนเหนื่อยก็ไม่ยอมหยุด
ไม่มีวันยอมให้การคุยครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายของทั้งคู่
จนกว่าจะได้เบาะแสสถานที่ที่เพื่อนรักของตนอยู่!!
“มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้...” พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแหบแห้ง กลั้นน้ำตาเอาไว้ใช้ไม้เวทย์พยุงร่างใช้พลังนั้นอีกครั้ง ภาพความทรงจำในอดีตที่เคยร่วมเดินทางไปด้วยกันไหลย้อนกลับมา “จะ...จริงด้วย!! ผมจะต้องเจอเบาะแสแน่ถ้าผมตามหาลูฟในร่างของเขา!!”
นึกดีใจที่คิดเรื่องสำคัญออก แต่ทว่า...
“เอ๋...”
สิ่งที่เห็นกลับว่างเปล่า...มีเพียงความมืด
“ความทรงจำของลูฟอาลีบาบาคุง...มันว่างเปล่า....”
“อาละดิน...!?”
“มันไม่มีอะไรอยู่ที่นี่เลย...”
บ่งบอกว่าคนคนนี้ เพื่อนรักคนสำคัญของตนได้จากไปแล้ว...
นักเวทย์สาวทั้ง 3 ที่รับใช้โคฮาขอร้องให้อาละดินหยุดในฐานะที่ตนก็เป็นจอมเวทย์เช่นกัน พวกเธอรู้ว่าทำไปก็มีแต้ไร้ประโยชน์ เสนอวิธีอื่นในการกักเก็บลูฟของอาลีบาบาไว้ แต่อาละดินกลับเลือกที่จะปฏิเสธ
เพราะมันคือสิ่งที่อาลีบาบาเกลียดที่สุดเพราะมันคือวิธีที่พวกอัลซาเมนทำ...
“งั้นนายจะปล่อยให้เขามีชะตากรรมแบบนี้รึไง!!!” โอลบะหันไปโวยใส่อาละดิน
“.....”
“นายยอมรับมันได้เหรอ? นายอยู่ข้างอาลีบาบามานานมากกว่าพวกชั้นอีกไม่ใช่เหรอ!”
“.....”
“น...นายเป็นเพื่อนเขาใช่ไหม? นี่นายจะบอกให้ชั้นยอมปล่อยให้อาลีบาบาตายงั้นเหรอ...?” จนถึงตอนนี้ไม่มีคำพูดใดที่หลุดออกมาจากอาละดินจนสร้างความโมโหให้แก่โอลบะจนวิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย! “นี่นายยังใจเย็นอยู่แบบนี้ได้ยังไง!! ‘เมไจ’ มันเป็นตัวอะไรกันแน่!!!!...!!”
ฉับพลันชายหนุ่มกลับชะงักและผละออกมาจากเด็กชายวัย 10 ขวบ เมื่อสิ่งที่เห็นคือเด็กตรงหน้าที่ไม่เคยร้องไห้ในฐานะของเด็กปกติ
ในตอนนี้กลับร้องไห้เหมือนเด็กๆ...
หน้าประตูทางเข้าห้องของอาลีบาบามีคนยืนล้อมอยู่ ทั้งโคเอน โคเมย โคฮา เฟอิซาและโคเกียคุ
“ฮึก..อาลีบาบาจัง..” องค์หญิงลำดับที่แปดร้องสะอึกสะอื่นด้วยความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียเพื่อนคนแรกของตนแม้รู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาร้องไห้แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้เฟอิซาทำได้เพียงแค่ปลอบเด็กสาวให้หยุดร้อง
ในอีกด้านหนึ่งโมลเซียใช้ภาชนะบริวารบินมาหายูนันโดยไม่ได้พักจนมะโก่ยในร่างเกือบหมดทำให้มีเลือดไหลออกจากตาแต่ไม่รุนแรงเท่ากับตอนที่เคยใช้พลังครั้งแรก
“ผมเสียใจที่ต้องบอกว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาลีบาบาเขาอยู่ไหน เสียใจด้วยนะโมลเซียน่า”
“ฉ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” หอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ชะงักไปเล็กๆเมื่อสัมผัสอะไรบางอย่างได้ “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมภาชนะของฉันไม่ตอบสนอง ...แปลกจัง”
“.....โมลเซียน่า จะดีกว่าถ้าเธอรีบกลับไปบัลแบดโดยเร็วที่สุด เราไปพร้อมกันเถอะ”
“? ค...ค่ะคุณยูนัน”
.
.
.
สิ่งที่ยูนันและโมลเซียน่าหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นเสียแล้ว เมื่อทั้งคู่กลับมายังบัลแบดปรากฏว่ากำลังมีการจัดพิธีศพของอาลีบาบา กลิ่นควันลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างสวมชุดงานศพของจักรวรรดิโคว ไม่มีใครในงานศพที่ไม่ร้องไห้เลยสักคนเดียว โมลเซียน่ารีบวิ่งเข้าไปดูร่างของอีกฝ่าย
“คุณอาลีบาบาคะ! คุณอาลีบาบา!!?” เขย่าร่างของอีกฝ่าย ก้มลงไปแนบอกฟังเสียงหัวใจแต่สิ่งที่ได้ยินกลับว่างเปล่า...
“พอเถอะ อาลีบาบาไม่หายใจอีกแล้ว” เฟอิซาเอ่ย
“นี่มันไม่จริงใช่ไหม...”
เด็กสาวเฟอนาลิสทรุดลงไปกองบนพื้นอย่างเหนื่อยอ่อนจนต้องถูกโตโต้พาออกไป ในตอนนี้หัวสมองว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก ใบหน้าซีดเผือกเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกลับสลายหายไปหมด
‘หลังจากนี้เธอเป็นอิสระแล้วนะโมลเซียน่า!’
“คุณอาลีบาบา...”
‘เธอสวยมากเลยล่ะโมลเซียน่า สวยจนฉันจำไม่ได้เลย’
“...คุณอาลีบาบา...”
‘สุดยอดไปเลยโมลเซียน่า!’
‘ว่าไงๆ ปลาแสนอร่อยอยู่ตรงหน้าแล้วนะโมลเซียน่า’
‘ฉันน่ะนะ...โมลเซียน่า’
“ฮึก...คุณอาลีบาบา...ฮึก...” น้ำสีใสเอ่อคลอดวงตาไหลอาบใบหน้า ความเจ็บปวดของการสูญเสียสิ่งสำคัญไปเมื่อครั้งวัยเยาว์ได้กลับมาอีกครั้ง ภาพความทรงจำในอดีตที่เคยอยู่ร่วมกับอาลีบาบาปรากฏขึ้นในความทรงจำนับไม่ถ้วน
หากนึกย้อนกลับไปได้เธออยากตามเขาไปหาฮาคุริวพร้อมกัน...
อยากอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือในทุกๆสิ่ง
“.....” มือเล็กๆกำแน่นก่อนที่จะปาดน้ำตา ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง... “ไม่ได้... เราจะมาท้อแบบนี้ไม่ได้ ต้องหาทาง ต้องหาทางพาคุณอาลีบาบากลับมา ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องหาทางให้ได้...”
ยังคงยึดมั่นในสิ่งที่ตนต้องการทำแม้ว่าความเป็นจริงจะโหดร้าย
“เราต้อง... ไปหาเขา” รีบวิ่งออกไปจากห้องพัก
เขาคนนั้น...คนที่บอกว่าเป็นพ่อของเรา...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แล้วอย่าลืมมาต่อน๊าจะรออ่านนะคร๊า><