ตอนที่ 53 : 41 : สัญญา(ณ) [ภาคอัลมาทรัน - จบ]
นับตั้งแต่วันที่ราชาผู้ปกครองทวีปดำได้ขึ้นไปพื้นพิภพ เด็กสาวตัวน้อยผู้ถูกเก็บมาเลี้ยงได้รับชื่อใหม่ว่า ฮัลวา แม้ในยามแรกจะวุ่นวายกับการเลี้ยงเด็กไปซักหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้การต่อสู้ระหว่างเซลีนีกับมาเซนหยุดลงและมาดูแลฮัลวาแทน แถมเด็กน้อยไม่เรียกเขาว่า พ่อ แต่ดันเรียก พี่ แทน ด้วยเหตุผลแค่ว่าตนไม่มีพ่อกับแม่เลยเลือกที่จะมีพี่แทนมันจะดีกว่า ถึงมันจะดีในหลายๆความหมายก็ตาม เวลาผ่านไปเด็กสาวตัวน้อยได้เติบใหญ่จนกลายเป็นหญิงสาว เมื่อฮัลวาอายุได้ 17 ปีนั้น เธอถูกหยุดอายุไว้จึงไม่แก่ลงแต่อย่างใด แม้ว่าพลังเวทย์จะน้อย แต่เมื่อได้ร่ำเรียนเวทย์ต่างๆผสานกันเธอจึงกลายเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง ด้วยเหตุนั้นลูซิเฟอร์จึงสร้างไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สีขาวโทนสีฟ้าอ่อนรูปเกล็ดหิมะประดับอัญมณีสีฟ้าล้อมรอบปลายเกล็ด ด้านหลังเป็นวงกลมสีขาว มีที่คั่นระหว่างเกล็ดหิมะส่วนบนแก่ฮัลวา จึงทำให้สามารถเบิกเนตรที่ 3 ได้
กาลเวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปนานถึง 800 ปี....ในยามนี้บนโลกพื้นพิภพเต็มไปด้วยความโกลาหล เหล่ามนุษย์ผู้ครอบครองพลังเวทย์มนตร์อันมหาศาลเริ่มหลงระเริงลืมไปหมดสิ้นทั้งสิ่งที่เคยกล่าวไว้ อัลม่า ทรันได้ถูกยุติลงและถูกลืมเลือนหายไปจากความทรงจำของพวกมนุษย์ พวกเขาเริ่มใช้เวทย์มนตร์ในการบงการพวกต่างสายพันธุ์ โดยการสร้างนูโด (หอคอยแห่งความโง่เขลา) ในการแย่งชิงสติปัญญาจากสายพันธุ์อื่นๆให้ตกอยู่ในการควบคุม
แต่นูโดไม่สามารถควบคุมเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปดำอย่างมังกรแห่งการสรรค์สร้างและสิงโตแดงแห่งอิสเตกาได้
ลูซิเฟอร์นั่งหลับตาอยู่บนบัลลังก์ของตน เปลือกตาค่อยๆปรือขึ้นอย่างช้าๆ
“พวกเราจะขึ้นไปยังข้างบนเพื่อทำลายนูโดที่อยู่ใกล้กับทวีปดำแถบนี้ซะ...” เอ่ยเสียงราบเรียบ
“ค่ะ/ครับ” คนสนิททั้งสามขานรับคำสั่ง
นับเป็นเวลายาวนานนักที่ลูซิเฟอร์ไม่เคยคิดจะขึ้นไปยังเบื้องบน ในขณะที่เซลีนีกับมาเซนออกไปข้างนอกบ่อยครั้งเพื่อสาดส่องความเป็นไปตามเวลาที่แปรผัน ส่วนฮัลวาอยู่ข้างๆเขาเพื่อฝึกฝนเวทยมนตร์ จนกระทั่งวันนี้ที่พวกมนุษย์เหลิงตัวคิดที่จะมาสร้างใกล้กับทวีปดำซึ่งเป็นเขตการปกครองของเขา
แต่ถึงจะสร้างยังไงก็ไม่มีพลังมากพอที่จะสามารถพวกต่างสายพันธุ์ในทวีปดำนี่ได้
ทั้ง 3 คนขึ้นไปทำลายนูโดที่อยู่ใกล้แถวนี้จนราบคาบด้วยเวลาเพียงไม่นาน ส่วนลูซิเฟอร์ปลอมแปลงเป็น 1 ในพวกจอมเวทย์อย่างง่ายดาย และการขึ้นมาบนโลกในคราวนี้ทำให้เขาได้พบกับสหายคนสำคัญที่ไม่คิดว่าจะได้พบ สามารถรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเด็กคนที่ตนเองพบคราวนี้คือชายผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกที่แสนโสมมนี้ให้กลายเป็นดีได้ ชายผู้ที่จะชี้นำเส้นทางแห่งความถูกต้องให้แก่พวกมนุษย์
บุตรแห่งเดวิด โซโลมอน โจฮาส อับบราฮัม
และการได้พบกันโดยบังเอิญวันนั้นส่งผลให้อีกฝ่ายมักจะแวะมาหาตนหลังจากที่โซโลมอนลงไปหามังกรแห่งการสรรค์สร้าง
“ไม่คิดว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วยแฮะ” โซโลมอนในวัยเยาว์มองไปรอบๆวิหารที่เขาเป็นคนสร้าง “ทั้งๆที่มองจากภายนอกไม่เห็นแท้ๆ”
“ข้ากางเขตไว้กันพวกจุ้นจ้านเข้ามา” ชายหนุ่มตอบอีกฝ่ายไป
โซโลมอนเข้าใจในสิ่งที่ราชาแห่งความมืดพูดอย่างง่ายดาย ในตอนแรกก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก ทว่ายิ่งนับวันยิ่งสนิท พูดคุยกันในเรื่องที่เข้าใจกันได้เพียงแค่ 2 คนจนทำให้พวกคนสนิทสงสัยว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
“เจ้าคิดว่านูโดคือสิ่งที่ผิดพลาดสินะ...”
“ใช่แล้ว” เด็กชายตอบ “สิ่งที่ข้าเฝ้ามองมาตลอดมันผิดพลาด... พวกต่างสายพันธุ์เองก็มีชีวิตของตน ทำไมถึงต้องมองว่าเป็นสิ่งต่ำต้อย แม้ในอดีตจะเคยล่าพวกเราแต่สิ่งที่พวกเราทำตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพวกนั้นในอดีตเลย...”
“นั่นสินะ...” “และสิ่งที่พวกเราทำกับท่านก็เป็นเรื่องไม่น่าอภัยเช่นกัน”
โซโลมอนพูดขัดลูซิเฟอร์ขึ้น “จริงอยู่ที่ท่านอาจจะแตกต่างจากพวกจอมเวทย์และมีอายุยืนยาวต่างกับคนอื่นๆ แต่ท่านก็มีความรู้สึกเหมือนกับคนอื่นๆแท้ๆ...”
ลูซิเฟอร์มองเด็กชายที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆตนเอง และยกมือขึ้นมาลูบหัวเบาๆ
“เจ้าเนี่ย... เป็นคนดีซะจริงๆ”
โซโลมอนเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มกว้าง “ท่านเองก็เป็นคนดีเหมือนกันนั่นแหล่ะ”
วันเวลาผ่านไปโซโลมอนไม่ได้มาหาตนเหมือนเมื่อวัยเด็กสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเมื่อใดที่หลับตาก็มักจะเห็นภาพของว่าที่ราชา นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ปฏิเสธเดวิด กลายมาเป็นพวกนักปฏิวัติทำลายนูโดช่วยเหลือพวกต่างสายพันธุ์ รวบรวมเหล่านักเวทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ครอบครองไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์
จนกระทั่งได้เจอกับว่าที่ราชินี...
ครืนนน!!!! ทั่วทั้งถ้ำสั่นสะเทือนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนข้ารับใช้ทั้ง 3 ตกใจเล็กๆและวิ่งไปดูราชาของตนที่ยังนั่งอยู่บนบัลลังก์
“ท่านลูซิเฟอร์!!!!” ฮัลวาวิ่งไปดูอาการอีกฝ่าย “ใจเย็นๆก่อนนะคะท่านลูซิเฟอร์ เป็นอะไรรึเปล่าคะ....”
“....” ทั้งมาเซนและเซลีนีเองก็มองด้วยสายตาเป็นหวงเช่นกัน
“เด็กคนนั้น... เด็กผมสีชมพูคนนั้น...”
“คะ?” เด็กสาวผมสีน้ำเงินเอียงคอมองด้วยความสงสัยกว่าเดิม
“.....เด็กคนนั้นคือลูกหลานของ...เพื่อนคนแรกในอดีตของข้า” นึกถึงเรื่องราวในวันนั้น วันเวลาที่เขาเริ่มโดนคนรังเกียจและมีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยกับตน “ไม่เคยคิด... ว่าว่าที่ราชินีของโซโลมอน.... คือลูกหลานของเด็กสาวคนนั้น...”
“ท่านลูซิเฟอร์....”
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว... ไปทำลายนูโดที่อื่นซะ” ถ่ายทอดคำสั่งให้ 3 ก่อนจะลุกขึ้นออกจากวิหารของตนไปยังภายนอก สวมผ้าคลุมมิดชิดปิดบังหน้าตาเข้าไปในที่พักของพวกโซโลมอนในตอนนั้น และกิจวัตรประจำวันคือการที่ตนแอบนัดคุยกับโซโลม่อนที่ตอนนั้นอายุได้ 17 ปี ต้องแอบหลบซ่อนกายหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คน สิ่งที่พวกเขาคุยกันคือเรื่องของที่อยู่ของพวกต่างสายพันธุ์ต่างๆที่อีกฝ่ายขอให้ลูซิเฟอร์ช่วย ทั้งเรื่องกระแสเวลาของความมืด ความเป็นไปของนกประหลาดที่เรียกว่า ลูฟ
จริงอยู่ที่ลูซิเฟอร์ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก ตัวตนของเขายังคงเป็นความลับต่อพวกมนุษย์และจอมเวทย์ แม้เวลาจะเปลี่ยนแปลงไป ความเชื่อต่างๆเริ่มหายไปความน่ากลัวที่ผู้คนมองเขายังคงไม่เปลี่ยน... ยังคงเป็นมารร้ายที่น่ากลัว ผู้เป็นกบฏต่อพระเจ้า
แต่กระนั้นเขาคือผู้ถ่ายทอดคำสั่งให้คนสนิททั้ง 3 ปลอมตัวไปช่วยโซโลมอนอยู่ทุกครั้งร่ำไป หากมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ลูซิเฟอร์จะกลายเป็นผู้ชี้นำเส้นทางให้แก่โซโลมอนจากเงามืด
ทว่ามีอยู่เพียงครั้งเดียวที่ไม่สามารถลงมืออะไรได้คือเหตุการณ์ทีเดวิดบุกทำร้าย เขาโดนอิลลาห์สาปให้ขยับเขยื้อนไม่ได้ โดนกักขังอยู่ในทวีปดำจนทุกอย่างสิ้นสุดลงนั่นยิ่งทำให้ความโกรธแค้นและความเจ็บปวดต่อการปกป้องอะไรไม่ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
จนกระทั่งวันแห่งการตัดสินชะตาและวันแห่งความสิ้นหวังมาถึง...
“อัลซาเมน!!! อัลซาเมน!!!!”
เหล่านักเวทย์ก่อการปฏิวัติ ล้มล้างผู้คนที่เข้าข้างราชาโซโลมอน สงครามได้เกิดขึ้นอีกครั้ง อิลลาห์ได้กลายเป็นความมืดหากได้ลงมายังอัลมาทรันทุกสิ่งก็จะสูญสิ้นไปจนหมด แม้ว่าราชาแห่งความมืดอย่างลูซิเฟอร์ไม่สามารถช่วยอะไรโซโลมอนได้มากนักนอกจากให้คนสนิททั้ง 3 ช่วยในการกำจัดจินแห่งความมืดที่ถูกสร้างขึ้นมา นอกจากนี้ทั้ง 3 คนเองก็มีพลังมากพอจะกลืนกินลูฟแห่งความมืด แปรเปลี่ยนให้เป็นพลังของตนเอง ลูฟดำเองก็เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของลูซิเฟอร์อยู่แล้ว
และขณะที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง ชั่วขณะนั้นเองได้มีหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาข้างเขา ซึ่งเธอก็คือ...อัลบะ
น้ำตาไหลอาบใบหน้าของเธอ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้า “อา... ในที่สุดข้าก็ได้พบท่าน ท่านผู้ปกครองแห่งความมืด ผู้ชี้นำเส้นทาง สหายรักของท่านพ่อของพวกเรา!”
“....ข้าไม่ได้เป็นสหายรักของอิลลาห์...”
“ไม่ค่ะ! ท่านคือผู้ที่เป็นสหายรักของท่านพ่อ! ท่านคือราชาผู้ชี้นำพวกเรา!!! ในตอนนี้โลกใบนี้มันโสมมเพราะความหยิ่งผยองของโซโลม่อน! มันทำให้ท่านพ่อของพวกเราต้อยต่ำ!!! ได้โปรดชี้นำพวกเราในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยเถอะค่ะ!”
ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความมืดมิดของอัลบะ นึกสงสัยว่าเสียงที่อัลบะได้ยินคือเสียงของอิลลาห์หรือเสียงแห่งความมืดในใจของเธอกันแน่...
พูดกันตามความจริงแล้วเขาเคยถูกอัลบะเห็นอยู่ครั้งหนึ่งตอนออกมากับเซลีนีเพื่อไปหาโซโลม่อน การพบกันครั้งนั้นถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะทำให้มันไม่เคยเกิดขึ้น
ทว่ามันก็สายเกินที่จะนึกย้อนไปในอดีต...
“ไม่ว่าเจ้าจะย้ำกี่ครั้ง... ข้าก็คงยืนยันคำเดิม...” เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้าของหญิงสาวที่คุกเข่าตรงหน้าเริ่มซีดเผือก... “ข้าไม่ใช่ผู้ชี้นำของพวกเจ้า!! หากข้าต้องเลือกชี้นำใครข้าขอเลือกโซโลมอน!!! ผู้ที่บาปหนาที่แท้จริงนั้นคือใคร!! ราชาโซโลมอนหรือว่าเจ้ากันแน่อัลบะ!!!!!”
เคร้ง!!! จบประโยคปลายคฑาสีทองกระแทกเข้ากับพื้น ร่างของลูซิเฟอร์ได้หายไปจากบริเวณนั้น ชั่ววินาทีก่อนที่เขาจะหายไปอัลบะเอื้อมมือไปหวังจะคว้าร่างของเขาไว้
แต่ก็สายเกินไปลูซิเฟอร์หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว...
“อัลบะ...” อิสนานในอดีตเดินมาแตะบ่าอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งไปเบาๆ “!!!!”
ชายหนุ่มถึงกับหน้าซีดเหงื่อตกเมื่อได้เห็นสีหน้าของหญิงสาวตรงหน้า อัลบะหยิบคฑาของราชินีชีบะที่แย่งชิงขึ้นมาและตะโกนด้วยน้ำเสียงกึกก้อง “เจ้าราชาโซโลมอนมันช่างบาปหนาเหลือเกิน!!!... มันบังอาจหลอกลวงผู้ชี้ทางของพวกเรา!!!”
[ณ โลกอีกมิติ]
วิ้งค์... ร่างของราชาผู้ปกครองทวีปดำปรากฏตัวขึ้นข้างๆโซโลมอนที่นั่งมองภาพของสงครามที่ถูกก่อขึ้นโดยคนสนิทของตน ทั้งอัลบะ อิสนาน วาฮิด ฟาลัน และเหล่าจอมเวทย์ที่คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนตนมาโดยตลอด...
“เจ้าจะยังคง... เอาแต่นั่งดูงั้นรึ”
โซโลมอนส่ายหัวน้อยๆ... “ข้าจะกลับไป... แม้ว่ามันจะไม่ทันแล้วก็ตามที”
ไม่ทันเวลาที่จะช่วยเหลือชิบะหญิงสาวที่ตนรักและเชื่อใจตนมาตลอด...
“มันยังคงทันเวลาเสมอ หากเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว” ยื่นมือไปหาอีกฝ่าย
“ลูซิเฟอร์...” จับมืออีกฝ่ายกลับ “นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกันตรงๆ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่สอนสั่งข้านะ... สหาย”
“พูดอะไรไม่สมกับเป็นเจ้าเลยสักนิด ...” นิ่งไปเล็กน้อย “....เรื่องบุตรเจ้าไม่ต้องห่วง”
ประโยคนั้นทำให้ราชาโซโลมอนคลี่ยิ้ม เพราะเขารู้ความหมายเป็นอย่างดี “ขอบคุณ”
วิ้งค์! ร่างของอีกฝ่ายหายไปจากโลกอีกมิติ ลูฟของโซโลมอนกลับเข้าไปยังร่างของตัวเองที่ยังนอนอยู่ในห้อง ในขณะที่ลูซิเฟอร์ยังอยู่ที่แห่งนั้นแทนอีกฝ่าย ดวงตาเรียวคมสีแดงจับจ้องอิลลาห์
“นี่รึคือสิ่งที่เจ้าปรารถนา...อิลลาห์” กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา คำตอบจากอิลลาห์ที่มีเพียงตนที่ได้ยินไม่เปิดเผยให้แก่ผู้อื่นได้รับรู้ ลูซิเฟอร์หน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำตอบนั้น “ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ขอปฏิเสธ! ข้าไม่ใช่ผู้ชี้นำของใครทั้งสิ้น! ข้าจะชี้นำเพียงแค่ความถูกต้องตามทางที่ข้าเลือกเท่านั้น!!!!”
ตะคอกใส่สิ่งที่อยู่ตนหน้า และหายไปจากสถานที่แห่งนั้น มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆร่างของราชินีชิบะที่ไร้ชีวิต มือเรียวเกลี่ยผมสีชมพูของอีกฝ่ายเบาๆออกจากใบหน้าเปื้อนเลือด แววตาสลดลงเล็กน้อย
“.....เซลีนี มาเซน ฮัลวา หยุดต่อสู้แล้วกลับได้ทวีปดำได้ พวกเราไม่มีสาเหตุที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว...” เอ่ยเสียงเบาก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากตรงนั้น
“ท่านลูซิเฟอร์!!” ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับหญิงสาววิ่งมาหา
เจ้าของชื่อหันไปมองคนเรียก “ซิทรี?”
“ท่านจะไปไหนครับ! ข้านึกว่าท่านจะมาช่วยราชาโซโลมอนเสียอีก!!” ซักพักใหญ่พวกต่างสายพันธุ์ตนอื่นๆก็เริ่มหันไปมองตน “ท่านเป็นสหายคนสนิทของราชาโซโลมอนนะครับ!!”
“....ข้าช่วยแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า ....ไปคุ้มกันอูโกะเถอะ” สิ้นคำก็หายไปจากบริเวณนั้น เช่นเดียวกับอูโกะที่กำลังมุ่งมาหาพวกตน ไม่นานโซโลมอนก็ปรากฏตัวขึ้นทำให้พวกต่างสายพันธุ์ต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ
แต่ความดีใจนั้นเป็นเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น... เพราะสุดท้ายพวกตนก็ต้องสูญเสียราชาโซโลมอนไปในการกำจัดอัลซาเมน...
บนเทือกเขาที่ห่างไกลออกไปร่างของราชาผู้ปกครองทวีปดำยืนมองสงครามครั้งสุดท้ายด้วยสายตาว่างเปล่า ผลกระทบจากการต่อสู้ครั้งนั้นไม่เกิดผลอะไรขึ้น ไม่แม้แต่จะสร้างบอร์กขึ้นมาป้องกันร่าง
ก่อนจะหันหลังกลับไปยังทวีปดำ...
[ทวีปดำ, วิหารของลูซิเฟอร์]
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปหลายปี ทรัพยากรของอัลมาทรันเริ่มหมดสิ้นจนพวกมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้ ต้องแอบหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดินเฉกเช่นในอดีต เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ก็ยุติลงเมื่ออูโกะได้เปิดเผยตัวของอาละดิน ใช้เขาในการทำให้เรื่องสงบลง และเรื่องที่จะโดนส่งไปยังโลกใหม่ลูซิเฟอร์เองก็รับรู้ด้วยเช่นกัน
แต่มันไม่จำเป็นสำหรับเขา...
“...ถึงเวลาแล้วสินะ...” สิ้นประโยคนั้นทั้ง 3 คนถึงกับนิ่งไปในทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่าเวลาที่ราชาตรงหน้ากล่าวไว้ได้มาถึงแล้ว เวลา.... ‘ของความตาย’
“ท่านลูซิเฟอร์คะ...” เซลีนีคุกเข่า “ข้าขอสัญญา...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะตามหาท่านให้พบ ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันปีก็จะหาท่านให้เจอ... และจะคอยรับใช้ท่านตลอดไปค่ะ”
“ข้าเองก็เช่นกัน ไม่ว่าท่านจะอยู่ในรูปลักษณ์ไหนข้าก็จะจงรักภักดีต่อท่านตลอดไป....”
“ข้าเองก็จะเป็นเมไจของท่านเพียงผู้เดียวค่ะ!!”
ทั้ง 3 คนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ราชาลูซิเฟอร์คลี่ยิ้มบางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะมอบคฑาสีทองของตนที่เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นต่างหูให้แก่เซลีนี ชั่ววินาทีที่สิ่งนั้นวางลงบนมือของเธอ... ร่างของอีกฝ่ายก็สลายหายไป
บนโลกใบใหม่ที่ทั้ง 3 ได้ไปถึงเป็นโลกที่คล้ายอัลมาทรันแต่กลับมีหลายอย่างที่แตกต่างไป
มังกรแห่งการสรรค์สร้างเซลีนีเมื่ออยู่บนโลกไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้จนกกว่าจะได้เจอกับราชาของตน เธอแยกเดินทางไปเพียงลำพัง ได้พบเซเฮราซาด อาศัยอยู่ที่เรม พบรักกับรัชทายาทลำดับ 1 อย่างเร็น ฮาคุยู และต้องสูญเสียทุกอย่างไปเพราะอัลซาเมน
ส่วนมาเซนกลับไปหาฝูงสิงโตแดงของตน สักพักก็ได้แยกออกมา และพบกับเฟอร์นาลิสหญิงคนหนึ่ง มีลูกสาว 1 คนซึ่งก็คือโมลเซียน่า
ในขณะที่ฮัลวาต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างมนุษย์ปกติ...
ซึ่งตัวราชานั้นเกิดขึ้นและดับสูญลงโดยที่ตนไม่รับรู้ถึงพลังในร่าง แต่การเกิดในแต่ละครั้งได้ทิ้งร่องรอยแห่งการดำเนินชีวิต หมู่บ้านที่ถูกสร้างขึ้นด้วยผู้นำที่มีความสามารถทั้งหลาย
จนกระทั่งเด็กสาวผมสีเงินตาสีแดงได้ถือกำเนิดขึ้น
“ได้โปรดบอกข้าที... ข้าคือใครกันแน่....” เด็กสาวผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
.
.
.
.
.
ภาพทั้งหมดที่ถูกฉายต่อจากนั้นคือเรื่องราวของเลย์ลา หญิงสาวผู้เป็นร่างอวตารของลูซิเฟอร์ผู้ที่รับรู้ถึงพลังในร่างแต่ไม่สามารถใช้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะการเกิดที่ผิดจากช่วงเวลาทำให้ความทรงจำหักเห ไม่สามารถควบคุมพลังได้ดั่งใจนึก ความหวาดกลัวในจิตใจที่เป็นตัวก่อร่างสร้างเหตุจนประเทศล่มสลาย แม้จะเริ่มยอมรับพลังนั้นได้แต่ก็สายเกินไป เมื่อสุดท้ายเธอก็กลายเป็นเหยื่อของพวกอัลซาเมน และสร้างความวุ่นวายไปทั่วสามประเทศ
“มันก็แค่นี้แหล่ะ” เซลีนีในยุคปัจจุบันเอ่ยขึ้นก่อนจะปิดภาพของเลย์ลาที่กำลังสู้กับโคเอนอยู่ลง “มีอะไรจะถามอีกไหม?”
“....ถึงว่าสิ...เจ้าถึงได้ไม่แก่ขึ้นเลย” มูรอนพูดขึ้นมาแทนคนอื่นๆที่ยังคงเงียบอยู่
เซลีนีถึงกับอมยิ้มกับคำถามนั้น แต่มันเป็นความจริงจึงไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใด ดวงตาสีแดงเหลือบมองเด็กสาวเฟอร์นาลิสที่ยืนอยู่ข้างอาลีบาบาที่แสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดว่ามาเซนนั้นเป็นพ่อของเธอ
ซินแบดเหลือบไปมองเซลีนีที่ยังยืนยิ้มอยู่ “แต่ก็เป็นความจริงที่น่าตกใจไม่น้อย ที่คนรู้จักของเธอ ไม่สิ... ร่างแปลงของมังกรแห่งการสรรค์สีดำสร้างจะเกี่ยวข้องกับอดีตรัชทายาทอันดับ 1 เร็น ฮาคุยู”
“มันก็นานมาแล้วล่ะนะ จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดถึงเขาอยู่เลยล่ะ .......ความจริงข้าก็อยากคุยอะไรมากกว่านี้หรอก แต่คงเป็นไปไม่ได้ .........องค์ชายอาละดิน” หันไปมองอีกฝ่าย “จริงอยู่ที่พวกเราทั้ง 3 คนโดนส่งมาที่นี่ตามคำสั่งขององค์ราชา แต่เรามีเรื่องที่สำคัญต้องบอกท่านเช่นกัน”
“ฮะ? เรื่องอะไรเหรอ?”
“....พวกเราไม่สามารถบอกท่านได้ว่าใครคือราชาที่แท้จริง แม้ว่าพวกเราจะรู้ว่าราชาที่แท้จริงคือใคร”
ประโยคที่เซลีนีพูดออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบนั่นสร้างความตกใจให้แก่ผู้ได้ยินเป็นอย่างยิ่ง ไม่เว้นแม้แต่พวกเมไจหรือยูนัน โดยเฉพาะพวกจักรวรรดิเจิดจรัสที่รู้ดีว่าคนที่เธอพูดถึงคือใคร แน่นอนว่าเฟอิซา เมล และคีราเองก็รู้เช่นกัน นักเวทย์สาวฮัลวาหยิบคฑาขึ้นมาสร้างกระจกจากเวทย์น้ำแข็งขึ้นสองบาน บานหนึ่งฉายภาพของเบฮีร่าคู่หมั้นของโคเอน และอีกบานฉายภาพของซีเรียว่าที่เจ้าเมืองนูลลา
“1 ใน 2 คนนี้คือราชาตัวจริงของพวกเรา แม้ว่าจะข้าจะรู้ว่าตัวจริงคือใครแต่ไม่สามารถบอกได้ นอกเสียจากพวกท่านจะเป็นผู้ค้นหาความจริง”
“แล้วทำไมถึงบอกไม่ได้ว่าตัวจริงคือใคร” เฟอิซาจ้องเขม็ง
“ก็เพราะว่าไม่สามารถบอกได้น่ะสิ” ฮัลวากระโดดขึ้นไปนั่งบนพรมที่ตนขี่มาตอนแรก “ถ้าบอกได้ก็อยากบอกพวกเจ้านานแล้ว ข้าล่ะเกลียดยัยตัวปลอมหน้าหนา ด้านได้ตลอดเวลานั่นชะมัดเลย!”
“ฮัลวา...” มาเซนหันไปลูบหัวเด็กสาวน้อยๆ ทำให้ยอมสงบปากสงบคำอยู่เงียบๆ
“...คุณเซลีนี”
“คะองค์ชายอาละดิน?”
“ถ้าเกิดพวกเราเจอตัวจริงขึ้นมา แล้วพวกคุณจะช่วยเหลือพวกเจ้างั้นเหรอครับ?”
“แน่นอนค่ะ... ส่วนหนึ่งเพราะราชาของพวกเราได้ให้คำสัญญาไว้กับราชาโซโลมอนว่าจะคอยช่วยเหลือท่าน และอีกส่วนหนึ่ง..... มันคือโชคชะตา”
“ถ้ายังไงข้าขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม เพราะข้ายังมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจ” ครั้งนี้ซินแบดพูดขึ้น
“แน่นอน และข้าขอให้มันเป็นคำถามสุดท้ายที่จะถาม”
“....ทำไมอัลบะถึงมองราชาลูซิเฟอร์ด้วยสายตาแบบนั้นกัน สายตานั่นไม่ใช่สายตาที่ เหมือนทุกที มันดูคล้ายกับ... เธอต้องการอะไรบางย่างจากเขา บางอย่างที่สำคัญมาก”
สาวนักเต้นรำนิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ก่อนตอบคำถามอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “ขออภัย... คำถามนั้นข้าคงไม่สามารถตอบได้ และตอนนี้คำถามนั้นจบแล้ว เชิญองค์ชายพูดต่อเถอะค่ะ”
“ฮ...ฮะ!” อาละดินหันไปมองทุกคนในที่ประชุม “หลังจากที่ทุกคนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ด้วยเหตุผลเหล่านั้น เพื่อที่จะหยุดเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นผมจึงอยากให้ทั้งสามประเทศเซ็นสนธิสัญญาสงบศึก”
“!!!!!!!!” คำพูดนั้นสร้างความตกใจให้แก่ทั้งสามประเทศไม่น้อย
“สนธิสัญญาสงบศึก!!?”
“ไร้ยางอายสิ้นดี!! เจ้าอาจจะเป็นเมไจก็จริงแต่คิดรึว่าจะมาแทรกแซงด้วยการทูตต่างประเทศของเจิดจรัส!!!”
อาละดินเห็นเหล่าขุนพลของโคเอนลุกขึ้นฮือก็รีบพูดต่อในทันที “ถ้าอย่างนั้นผมพูดอีกอย่างก็ได้! จากนี้และตลอดไปผู้ใช้ภาชนะโลหะจะไม่สามารถต่อสู้กันเองได้อีก อย่างน้อยต้องร่วมมือกันเพื่อกำจัดอัลซาเมน และถ้าเกิดว่าผู้ใช้ภาชนะโลหะยังสู้กันเองต่อไปก็จะเป็นจุดจบที่อัลซาเมนต้องการ!!”
“สนธิสัญญาสงบศึกเราไม่อะไรแบบนั้นหรอก...!”
“แต่ความจริงตอนนี้พวกเราต่างก็มีศัตรูร่วมกันแล้ว!”
“นะ...นี่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปแล้วนะ เราไม่ควรใช้เวลาในการตัดสินใจอีกสักหน่อยเหรอ”
เหล่าขุนพลของราชาแห่ง 7 คาบสมุทรซินแบดต่างนึกกันในใจว่าสิ่งที่โตโต้คิดนั้นมันไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย และคาดว่าขุนพลคนอื่นๆต่างก็คงคิดแบบเดียวกันว่าราชาพวกเขาทั้ง 3 คงต่างตัดสินใจกันไว้แล้ว
และความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูดของชายคนนี้...
“เป็นความคิดที่ดีนะอาละดิน เพราะถึงยังไงในตอนนี้ซินเดรียเองก็เตรียมกำลังพลไว้เพื่อต่อกรกับอัลซาเมนอย่างที่ได้บอกเธอกับอาลีบาบาคุงไปตอนที่เธอสองคนพบฉันที่ซินเดรียครั้งแรก”
“ถ้างั้นก็จะร่วมมือกับจักรวรรดิเจิดจรัสใช่ไหมครับคุณลุงซินแบด?”
“ไม่หรอก เรื่องนั้นยังไม่แน่ใจ” ตอบปฏิเสธไปด้วยประโยคที่ชวนสงสัย “ก็เพราะว่าจักรววรดิเจิดจรัสน่ะ.....ก็คืออัลซาเมนซะเองไงล่ะ”
“!!!!!!?”
เริ่มแล้วสินะ.... ในครั้งนี้ทั้งเซลีนีและเฟอิซาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่คิดในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จริงอยู่ที่ว่าอาละดินเลือกที่จะตรงไปตรงมาระหว่างทั้งสอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงความขัดแย้งที่มีต่อกันได้แน่นอน
และวิธีเดียวที่จะหยุดความขัดแย้งนั่นก็คงเหมือนกันนับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน...
“จะบอกว่าไม่คิดจะหยุดต่อสู้กับพวกเรารึไง...”
“ไม่หรอก เราจะต่อสู้ร่วมกับภาวะของวิกฤตของโลกด้วยกัน แต่ว่าทั้งซินเดรียและเรมต้องเสียสละอำนาจอธิปไตยและหลอมรวมเป็นจักรวรรดิเจิดจรัสเช่นเดียวกับบัลแบด”
“เป็นไปไม่ได้ อุดมการณ์ของเราคือโลกที่ทุกประเทศเป็นอิสระต่อกัน คอยสนับสนุนช่วยเหลือกันโดยระบบพันธมิตรโดยที่แต่ละประเทศยังคงรักษาคุณค่าที่แตกต่างของตัวเองเอาไว้”
“จะบอกว่าคนที่เหมาะสมคือซินแบดงั้นเหรอ? ให้หมอนั่นจุดยืนสูงสุดบนคุณค่าที่แตกต่างใช่ไหม?”
“ถ้างั้นคงต้องถามกลับว่าผู้ที่เหมาะสมที่สุดกับตำแหน่งราชาของโลกอันเป็นหนึ่งเดียวคือเร็น โคเอนงั้นหรือ”
“ถูกต้อง”
ภาพการกระทำทั้งหมดเบื้องหน้าของผู้ที่เหลือรอดในอดีตอย่างเซลีนี มาเซน และฮัลวานั้นทำให้ทั้งสามต่างรู้สึกเหนื่อยใจ นับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนี้หนทางเดียวที่มีของมนุษย์มักจะจบลงด้วยความโง่เขลา
จบลงด้วยสิ่งที่เรียกว่า...การต่อสู้...
จะมีไหมโลกที่จะไร้ซึ่งสิ่งพวกนั้น...?
จะมีไหมโลกที่สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุขโดยปราศจากสงครามการฆ่าฟันกัน...?
เซลีนีนึกถึงคำพูดของโซโลมอนและคนรักในอดีตของตนว่าพวกเขาจะสร้างโลกที่ไร้ซึ่งสงครามและทุกคนอยู่กันอย่างสงบสุขและตีหน้าเศร้าลงเล็กๆ
....โลกเหล่านั้นคงไม่มีอยู่จริงหรอกราชาโซโลมอน ฮาคุยู.....
.
.
.
.
“พอซักทีได้ไหม!”
“!!! อาลีบาบาคุง!!” อาละดินตกใจไม่น้อยที่เพื่อนของตนใจกล้ามากพอที่จะเข้าไปขวางความตรึงเครียดระหว่างการสนทนาของ 2 ประเทศทั้งยังผลักไหล่โคเอน
“ถ้าหากว่าโลก... ถ้าหากว่าบัลแบดต้องจบลงเหมือนภาพที่อาละดินแสดงให้เห็นแล้วล่ะก็...” บีบไหล่ของโคเอนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่แววตาที่แสดงให้เห็นไร้ซึ่งความหวาดหวั่น “ต่อให้อีกฝ่ายเป็นพี่น้องของฉัน ฉันก็ยินดีที่จะต่อสู้ร่วมกับนาย นายเองก็ควรจะปกป้องผู้คนในประเทศของนายเหมือนกันใช่ไหม! ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น... นายเองก็ต้องปกป้องคนที่นายรักด้วยเหมือนกันใช่ไหมล่ะ!”
.......คนที่...ข้ารัก... โคเอนนิ่งเงียบไป ภาพของเลย์ลาอดีตคนรักของตนปรากฏขึ้นมาในสมอง ก่อนจะจบลงด้วยการที่ต้องสูญเสียไป
“......” ผู้บัญชาการหนุ่มจ้องอาลีบาบาที่เหมือนจะพึ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป
“อะ...อะไร!?” แอบหวั่นเล็กๆเพราะอีกฝ่ายยกมือขึ้นและ...
เพี๊ยะ!!!! ตบเข้าที่กลางหลังอย่างแรงชนิดที่ว่าอาจจะขึ้นเป็นรอยแดงห้านิ้วกลางหลังอาลีบาบาก็เป็นไปได้
“อย่ามาจริงจังนักสิเจ้าโง่ ...อาละดิน” ตบเสร็จก็หันไปมองอาละดิน “เจ้าทำให้ข้าได้ฟังเรื่องดีๆเข้าแล้ว และตอนนี้ข้าไม่สนใจเจ้าอีกแล้วล่ะ”
“เอ๋!?”
วิ้งค์...!!! แสงสว่างสีทองจากดาวหาแฉกกลับหัวปรากฏอยู่เบื้องหลังแขกพิเศษทั้งสามคนเรียกความสนใจได้ไม่น้อย
“พวกเราเองก็ต้องไปแล้วเช่นกัน ราชาของพวกเราเรียกแล้ว...”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มานะครับ” ยูนันโค้งให้ทั้งสามคนน้อยๆ
“ราชาบ๊อง!! คำตอบที่พวกเจ้าต้องการนั้นขึ้นอยู่กับสงครามครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้! เพราะงั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้นจงคิดและไตร่ตรองให้ดีล่ะ! ....เจอกันคราวหน้าอย่าจำข้ากับเจ้านั่นผิดอีกนะ”
มาเซนมองโมลเซียน่าเล็กๆก่อนจะหันไปมองอาลีบาบา “ฝาก...นางด้วย”
“อื้ม! ไว้ใจได้เลย!!” อดีตองค์ชายซารูจายิ้มกว้าง
“เฟอิซา สิ่งที่ข้าเตือนต่อไปนี้ฟังให้ดี” มองลูกศิษย์ของตน “ถ้าไม่อยากจะสูญเสียคนที่ตนเองรักอีก... ปกป้องอีกฝ่ายให้ดีด้วยล่ะ”
“จะจำไว้เผื่อละกัน เห็นแก่ที่ว่าขอร้องน่ะนะ”
“ปากไม่ตรงกับใจไม่เปลี่ยนเลยนะ” อดขำไม่ได้ก่อนจะกระโดดขึ้นพรมไป
“ท่านเซลีนี!!” เสียงตะโกนของมูทำให้เธอต้องหันไปมอง “....เจอกันคราวหน้าข้าไม่ปล่อยให้ท่านหนีอีกแน่”
“ถ้าคิดจะล่ามโซ่ข้าได้ก็ทำดูสิ”
ฟุ่บ! ร่างของทั้งสามหายไปจากพื้นที่การประชุม ไม่นานหลังจากนั้นโคเอนได้บอกให้เตรียมเรือเพื่อกลับจักรวรรดิโคว(เจิดจรัส)
“เตรียมเรือ เราจะกลับแล้วและข้าไม่คิดจะร่วมโชคชะตากับความทะเยอทะยานโง่ๆของยัยผู้หญิงที่ชื่ออัลบะนั่นหรอก”
“เห็นด้วย~” เฟอิซาเดินตามคนอื่นๆไป คีรากับเมลก็ตามไปด้วยเช่นกัน
“ดะ...เดี๋ยว! คุณลุงโคเอน พี่โคเมย์ พี่เฟอิซา รู้จักเธอด้วยเหรอครับ?”
“มันไม่เชิงว่ารู้จักหรอกอาละดิน.... แต่คนที่คล้ายคลึงนะพอจะรู้จัก”
“ผู้หญิงคนนั้นมันเหมือนกับผู้หญิงวิปริต อย่างน้อยก็ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะได้รับการควบคุมการปฏิรูปประเทศเล็กๆที่รู้จักกันในนามเจิดจรัสแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นข้าก็ไม่เคยสังเกตเห็น...” โคเอนหันไปมองอาละดิน “เธอเริ่มยึดครองพลังงานที่น่ากลัวและกองทัพที่ไม่บริสุทธิ์ อีกทั้งกลุ่มนักเวทย์สวมหน้ากาก ตัวตนเป็นใครพวกเราก็ยังไม่รู้....แล้วก็เมไจ จูดัล”
“กองทัพที่ไม่บริสุทธิ์งั้นเหรอ งี่เง่าเป็นบ้า อย่านับข้าเข้าไปร่วมด้วยสิ”
และนั่นคือสัญญาณ...ของการต่อสู้ครั้งใหม่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สู้ๆๆนะเรจะรออ่านตอนต่อไปนะคะ