ตอนที่ 45 : 36 : อีกตำนานหนึ่ง...
การประชุมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ตอนนี้คนจากจักรวรรดิเรม พวกอาลีบาบาและซินแบดได้มาอยู่ในห้องประชุมกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยซากหินที่คาดว่าน่าจะเป็นโบราณสถานมาก่อนหน้านั้น โมลเซียน่าที่คิดจะเดินไปหามัสรูลที่อยู่อีกฝั่งกลับถูกโคเมย์ห้ามไว้เพราะว่าตอนนี้อาลีบาบาได้ตัดขาดกับซินเดรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นโมลเซียน่าและพวกโอลบะจะรู้สึกไม่ดีแต่ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายที่เป็นนายของตนเอง ซึ่งภาพนั้นทำให้ชาร์รูคันและมัสรูลที่อยู่อีกฝั่งดีใจเล็กๆที่ลูกศิษย์ของตนเชื่อมั่นในตัวอาลีบาบามากขนาดนั้น
“อะไรกันเนี่ย ภาชนะบริวารแทบจะทั้งหมดยังไม่อยู่ในภาวะดูดซึมเลยนี่นา...” เซย์ชูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหน่ายๆและจ้องซินแบดเขม็ง “แค่พวกเรา 4 คน ก็ฆ่าพวกมันได้สบายๆอยู่แล้ว”
เมื่อพูดจบทำให้พวกคนของโอลบะบางส่วนถึงกับหน้าซีดเล็กน้อย
“โง่จริงๆเซย์ชู เจ้าไม่รู้สึกจริงๆรึไงกัน? ‘คิ’ ที่แผ่ออกมาจากด้านหลังของซินแบดน่ะ” เอ็นโชเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยทำให้เซย์ชูงงเล็กน้อยก่อนจะเพ่งไปยังด้านหลังของซินแบด
และเมื่อจ้องดีๆแล้วนั้นผู้ที่อยู่ด้านหลังคือเหล่าชายฉกรรจ์สวมหน้ากากถืออาวุธนับสิบๆคน
“!!? ยัมบาระ ชนเผ่าควบคุมมะโก่ย!!”
“ที่เกาะนี้จะต้องห้ามมีพลังใดๆ ห้ามเอาภาชนะโลหะหรือนักเวทย์เข้ามาเด็ดขาด!!! แล้วมันยังคิดจะเอาคนพวกนั้นมาขู่พวกเราอีกงั้นเหรอ!!?”
“แต่เรื่องดวลจิตวิทยานั้นหัวหน้าพวกเราก็ไม่แพ้ใครหรอกน่า” กาคุคิงลูบหนวดตัวเองระหว่างพูด
“สมกับเป็นหัวหน้าของเรา” บริวารของโคเมย์เอ่ย
“อย่ากังวลเรื่องขี้ปะติ๋วน่าไอ้หนูชุน” เซย์ชูยิ้มและตบไหล่อีกฝ่ายอย่างแรง
“ตบแรงๆแบบนั้นเดี๋ยวไหล่เขาก็ได้เคลื่อนกันพอดี ออมแรงไว้ดีกว่าท่านเซย์ชู” เฟอิซาห้ามปรามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่บ่งบอกว่ารำคาญเต็มทีที่ต้องมายืนตรงนี้ แต่คีราก็พยายามทำให้อีกฝ่ายสงบใจลงซะหน่อย
เมื่อประหลาดใจกับพวกชนเผ่ายัมบาระไปแล้วก็ต้องมาตกใจกับผู้ที่เข้ามาใหม่อีกครั้ง เมื่อพวกเขาก็คือ... กองกำลังเฟอนาลิสจากจักรวรรดิเรมซึ่งนำโดยหัวหน้าอย่าง มู อเรเคียส แต่ในขณะที่ทุกคนต่างพากันตกใจนั้นซินแบดและโคเอนต่างนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดนั่นทำให้ทุกคนเครียดหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
“อ้าว? หัวหน้ามู? ไม่ใช่ว่าจักรวรรดิเรมเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐเจ็ดคาบสมุทรแล้วเหรอ?”
“แน่นอนครับ แต่ผมเป็นมิตรสหายกับเร็น โคเอน ผมได้ไปพบเขาเป็นการส่วนตัวก่อนจะเริ่มการประชุมสุดยอดนี้”
“อย่างนั้นเหรอ? ฉันเองก็อยากจะสนิทกับนายมากกว่านี้เหมือนกันนะ หลังจากจบการประชุมสุดยอดครั้งนี้เราไปดื่มไวน์กันหน่อยไหม?”
“เป็นความคิดที่ดีนะครับ แต่ผมเป็นพวกไม่ดื่มน่ะ คงไม่คิดว่าเราจะเพลิดเพลินไปกับแอลกอฮอล์ด้วยกันได้”
ช่างเป็นการสนทนาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแต่กลับดูกดดันและน่ากลัวมากกว่าด้วยซ้ำไป พวกกองกำลังเฟอนาลิสถึงกับซุบซิบกันเรื่องที่มูไม่ดื่มเหล้า แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนดื่มจัด เพราะงั้นมั่นใจได้เลยว่ามูไม่คิดจะยอมไปดื่มกับซินแบดแน่ๆ
“งี่เง่าเป็นบ้า มาเข้าเรื่องกันซะทีได้ไหม”
“เห็นด้วย...” เฟอิซาที่ยืนอยู่ข้างๆเอ็นโชและคีราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“นั่นสิซินแบด!!” เสียงของใครบางคนที่ดูคุ้นหูดังขึ้นจนต้องหันไปมอง ซึ่งเจ้าของเสียงนั่นทำให้เขาและมูตกใจสุดๆ ซึ่งคนที่ว่านั่นก็คือยูนันนั่นเอง “ขอโทษที่ทำให้รอนะทุกคน ยังไงก็ขอแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนทั้งสองคนที่จะมามีบทบาทในวันนี้ก่อนละกันนะ”
ว่าพลางกวัดแกว่งไม้คู่กายขึ้นไปบนท้องฟ้าผสานกับเหล่าลูฟสีขาวบริสุทธิ์ แสงจากท้องฟ้าส่องสว่างเสียจนทำให้มองไม่เห็นว่าคนคนนั้นคือใคร แต่ยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นก็ทำให้รู้ว่าเพื่อนทั้งสองที่อยู่บนพรมที่ยูนันเอ่ยถึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก... อาละดิน และเมไจคนใหม่ของเรม ไททัส!
อาละดินและไททัสที่ลงมายังฟื้นก็มองไปยังทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ “เหล่าราชาที่มารวมกันอยู่นี้เรามีเรื่องที่จะต้องบอกกับทุกคน เรื่องที่ไม่มีใครรู้ เรื่องของอีกโลกหนึ่ง... อัลม่า ทรัน!!!”
เวลาสำคัญที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง บัดนี้เรื่องราวที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอัลม่า ทรัน โลกแห่งความฝันในจารึกของชนเผ่าทรัน ในตอนนี้ประวัติศาสตร์กำลังถูกเปิดเผยโดยเมไจทั้งสามที่กำลังอยู่ที่แห่งนี้ ภาพเหล่านั้นได้ถูกฉายผ่านทางเวทย์มนตร์ที่สร้างขึ้นให้ผู้อื่นได้เห็นท่ามกลางการประชุมด้วยเวทย์มนตร์ของอาละดินผสานกับยูนัน อาละดินได้เปิดเผยว่าอัลม่า ทรันนั้นคือสถานที่ที่พวกจิน อัลซาเมนและตนเกิดขึ้นมา นับตั้งแต่เริ่มนั้นที่แห่งนั้นมีเพียงเหล่าสายพันธุ์อื่นที่มีสติปัญญาเหมือนกับมนุษย์ ตอนแรกพวกเขาต่างดูมีความสุขเพราะยังไม่ได้พบสายพันธุ์อื่น แต่เมื่อพวกต่างสายพันธุ์มาเจอกัน... จึงจำต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาหารและเขตแดน
บางส่วนเข้าร่วมกองกำลังแต่ส่วนใหญ่แล้วนั้นทำการต่อสู้กัน ความขัดแย้งเริ่มรุนแรงมากขึ้นทุกวัน เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งเริ่มทำลายเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอกว่า ซึ่งพวกเผ่าพันธุ์อ่อนแอที่สุดนั้นมีร่างกายที่เปราะบาง ไม่มีคมเขี้ยวอะไร ทำได้เพียงแค่หลบซ่อนและหนีตายจากพวกสายพันธุ์อื่นไปวันๆอย่าง มนุษยชาติ
แม้จะหลบหนีมากเท่าไหร่สุดท้ายก็ถูกจับตัวได้ทุกครั้ง ทำได้แต่หวาดกลัวเฝ้ารอความตายไปวัน สวดมนตร์อ้อนวอนขอร้องพระเจ้าด้วยความเศร้าว่าเหตุไฉนถึงทิ้งพวกตน
จนกระทั่งวันนั้น... ได้มีมวลสีขาวบริสุทธิ์จากท้องฟ้าลงมาลบล้างพวกยักษ์ให้หายไปและช่วยมนุษย์อย่างอ่อนโยน ซึ่งมนุษย์ได้เข้าใจว่าเขาคือผู้สร้างของโลกและขนานนามว่า อิลลา(พระเจ้า) นอกจากนี้อิลลาได้มอบพลังส่วนหนึ่งของเขาให้แก่มนุษย์เพื่อที่จะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา ซึ่งมันก็คือพลังแห่งเวทย์มนตร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้พวกมนุษย์เริ่มเหลิงไปกับพลังนั่นจนสร้างกฎขึ้นมา ด้วยโกลาหลร่วม 800 ปีมานี้ก็ได้ถูกยับยั้งลงด้วยฝีมือของนักเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ราชาโซโลมอน
“สาเหตุที่ผมต้องการให้ทุกคนรู้จักเรื่องราวของอัลม่า ทรันเป็นเพราะผมไม่อยากให้โศกนาฏกรรมในอดีตเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะงั้นเหล่าราชาผู้ถูกเลือกได้โปรดรับฟังเรื่องราวต่อไปนี้ด้วยเถอะ”
เรื่องราวที่ถูกเล่าผ่านเวทย์มนตร์คือเรื่องของเด็กหนุ่มนามโซโลมอนผู้ที่เป็นบุตรของราชาเดวิดที่ทุกคนพากันรังเกียจนั้นได้กลายเป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนยอมรับเพราะการรวมสายพันธุ์อื่นเป็นหนึ่งเดียว โดยมีชิบะราชินีที่แสนเข้มแข็งอยู่เคียงข้างแม้ในยามแรกจะหลงผิดแต่เพราะได้โซโลม่อนทำให้เธอเห็นสิ่งที่ถูกต้องและลุกขึ้นหยืดหยัดต่อสู้ร่วมกับอีกฝ่าย จนในที่สุดทั้งสองก็ได้แต่งงานกันจนมีบุตรซึ่งก็คือเมไจคนที่สี่ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้บนโลกใบนี้ อาละดิน อีกทั้งเรื่องราวของพวกอัลซาเมนที่เกิดขึ้นจากการสาปแช่งโชคชะตาและการสูญเสียคนสำคัญไป ซึ่งนำโดย อัลบะ ผู้เคยรับใช้โซโลมอนมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอทรยศโซโลมอนและฆ่าชิบะอย่างโหดเหี้ยมอีกทั้งยังขโมยไม้เท้าของเธอไป และผู้ที่ทำให้อัลม่า ทรันล่มสลายก็คือเธอ...
ผู้ที่เหลือรอดจากสงครามครั้งนั้นก็คืออูโกะ ยักษ์สีฟ้าในขลุ่ยของอาละดิน อดีตหนึ่งในสามเมไจของโซโลมอน แม้ในตอนแรกจะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์เช่นนี้แต่ก็ยังคงเข้มแข็งและพยายามหาทางช่วยเหลือทุกคนเพื่อเจตจำนงของโซโลมอน
เขาได้ส่งสายพันธุ์อื่นๆนลงไปยังดาวดวงใหม่ในฐานะมนุษย์ และความทรงจำที่เกี่ยวกับอัลม่า ทรันได้หายไปหมดสิ้น แต่พวกจอมเวทย์และมนุษย์ดั้งเดิมนั้นมีภูมิต้านทานในเวทย์มนตร์จึงส่งให้ไปอยู่บนโลกในฐานะชนเผ่าทรัน แต่สำหรับมังกรผู้สร้างและสิงโตแดงที่มีพลังมหาศาลนั้นโดนส่งไปทวีปใต้สุดของโลกใหม่และยังคงมีความทรงจำของอัลม่า ทรัน ส่วนอูโกะนั้นกลายเป็นยักษ์ผู้พิทักษ์วิหารศักดิ์สิทธิ์เฝ้าดูแลอาละดินจนกว่าจะเกิดออกมา...
“เรื่องราวของอัลม่าทรับทางฝั่งผมจบลงเท่านี้” อาละดินปิดภาพพวกนั้นลง ทุกคนต่างตกลงสู่ความเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้แต่จ้องอาละดินพร้อมๆกัน อาลีบาบาผลักพวกโตโต้ให้หลบทางเพื่อจะไปหาอาละดินแต่ปรากฏว่า
ฟ้าว!!!!!
“เหวอ!” ถึงกับหมุนตัวเพราะความเร็วของโมลเซียที่วิ่งผ่านตรงไปหาอาละดิน เขาเลยต้องเดินตามมาทีหลัง “โมลเซียน่าจะไวไปไหนเนี่ย...”
“คุณโมล? อาลีบาบาคุง?”
“อาละดิน ฉัน...” “หมายถึงเราใช่ไหม”
อาลีบาขัดเธอขึ้นมาก่อนเธอจึงพยักหน้าน้อยเป็นการตอบรับ “ถึงแม้ว่านายจะช่วยเหลือเรามาตลอดแต่เรากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาละดินเลย แต่ตอนนี้เราดีใจนะที่ได้รู้ซักที”
สาวน้อยเฟอนาลิสกุมมืออาละดินและยิ้มให้ “จากนี้ไปมาร่วมสู้ไปด้วยกันนะคะอาละดิน” โมลเซียและอาลีบาบายิ้มให้เด็กชายตรงหน้า ซึ่งมันทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมาก
“ขอบคุณนะคุณโมล อาลีบาบาคุง”
“เจ้าเปี๊ยก!!” เสียงตะโกนเรียกของเด็กสาวดังขึ้นทำให้อาละดินและทุกคนต้องหันไปมอง คนคนนนั้นก็คือเฟอิซานั่นเอง “เมื่อกี้เท่าที่ฟังมานายบอกว่าเรื่องราวทางฝั่งนั้นของนายจบหมายความว่ายังไง ยังมีฝั่งคนอื่นอีกงั้นเหรอ?”
อาละดินยิ้ม “ใช่แล้วฮะ มันเป็นเรื่องราวของอัลม่าทรัน... แต่เป็นทางฝั่งของราชาลูซิเฟอร์ฮะ” ชื่อลึกลับที่ไม่เคยได้ยินถูกเอ่ยออกมาจากปากของอาละดินทำให้ทุกคนเริ่มฮือฮาและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
“แล้วคนที่จะเล่าคือใครเหรออาละดิน? ไททัสหรือว่าคุณยูนัน??” อาลีบาบาเริ่มสงสัย แต่อย่างน้อยคำถามที่ถามออกไปน่าจะคลายความสงสัยของทุกคนได้
“ไม่ใช่ผมกับไททัสหรอก” ยูนันยิ้ม “ท่านผู้นั้นไม่สามารถมาที่นี่ได้ เพราะงั้นจึงส่งคนอื่นมาแทนน่ะ”
“ท่านผู้นั้น?” เฟอิซาย้ำคำพูดอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
ปึง!!!!!!
เสียงตบโต๊ะดังสนั่นจนหลายคนตกใจจนต้องหันไปมองที่มาของเสียงนั่น ผู้ที่ทำไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเร็น โคเอน เขามองยูนันด้วยสีหน้านิ่งๆ “คนที่แกพูดถึง... คือเลย์ลาใช่ไหม” ชื่อที่โคเอนพูดออกมาสร้างความตกใจให้แก่ผู้ที่รู้จักเป็นอย่างมาก กรณีของซินแบดนั้นเขาไม่รู้จักตัวจริงแต่รู้เพียงแค่ว่าเป็นพี่สาวของฮัลวาและเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดสงครามครั้งนั้น ส่วนพวกเฟอนาลิสที่เคยสู้ร่วมกับโคเอนเมื่อสงครามครั้งก่อนนั้นรู้จักเป็นอย่างดี “ว่าไง!!!”
‘ใจร้อนเหมือเดิมเลยนะองค์ชายโคเอน’
เฮือก!!!
น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความอำนาจจนคนภายในที่ประชุมสะดุ้งเฮือกใหญ่จนถึงขนาดมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้า ทั้งๆที่เสียงนั่น...เป็นเสียงของผู้หญิง
และยังเป็นเสียงของผู้หญิงที่จักรวรรดิเรมรู้จักดีเป็นที่สุดเสียด้วย...
“มาช้าไปหน่อยนะครับท่าน” ยูนันเอ่ยขึ้นและเงยหน้ามองไปด้านบน ส่งผลให้คนอื่นๆเงยหน้าตาม และเจ้าของเสียงนั่นทำเอา มู มัสรูล และเฟอิซาถึงกับตะโกนออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ท่าน/เซลีนี!!!!?”
“ว่าไงลูกศิษย์ของข้าทั้งสาม” เซลีนีคลี่ยิ้มกว้างขณะนั่นยังอยู่บนพรมสีแดงขนาดใหญ่ เธอในตอนนี้สวมชุดนักเต้นรำสีแดง และมีเด็กผู้หญิงอีกสองคนกับผู้ชายอีกหนึ่งคนนั่งอยู่กับเธอ ซึ่งมีเพียงแค่สองคนที่นั้นที่เป็นที่รู้จักเหมือนกับเธอ
“ฮัลวา!!? มาเซน!!?” ราชาซินแบดถึงกับนั่งไม่ติดเมื่อเห็นเด็กสาวที่หน้าคล้ายกับจูดัลกับศัตรูที่เคยมาถล่มซินเดรียเมื่อคราวก่อนอีกครั้ง
“ท่านเมล!?” เฟอิซารีบวิ่งไปหาสาวผมบ๊อบสีชมพูที่ลงมาจากพรมคนสุดท้าย
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเฟอิซาจัง”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมถึงมากับทั้งสามคนนั้นได้ล่ะ!!? พวกเขาคือตัวก่อสงครามเมื่อหลายเดือนก่อนนะคะ!!” เฟอิซาหันไปชี้เซลีนีที่ยืนอยู่อีกมุมโดยมีฮัลวายืนถือไม่เท้าเวทยน์มนตร์รูปร่างคล้ายเกล็ดหิมะอยู่ข้างซ้ายและมาเซนยืนกองอกอยู่ข้างขวา เมื่อทั้งสามคนมาถึงนั้นถึงกับทำให้ทุกคนต่างฮือฮากันยกใหญ่
“ซุบซิบนินทากันอยู่ได้น่ารำคาญชะมัดเลย ที่นี่มันที่ประชุมนะไม่ใช่ตลาดสด” ฮัลวากอดอกมองเฟอิซา ทุกคนต่างพร้อมใจกันคิดเหมือนๆกันว่าถ้าบอกว่าเป็นฝาแฝดจูดัลนี่เชื่อแน่นอน
“ใจเย็นๆก่อนองค์หญิงเฟอิซา” เอ็นโชจับไหล่ห้ามเฟอิซาไว้ก่อนระเบิดเพราะคำพูดของฮัลวา
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมงในการหารือและพยายามสงบสติอารมณ์ทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมลง โดยเฉพาะพวกเฟอนาลิสที่หมายจะฆ่าเซลีนีเพราะทำให้หัวหน้าพวกเขาอกหัก ส่วนมาเซนพวกขุนพลของซินแบดก็เกือบจะฝืนกฎวิ่งไปหยิบอาวุธมาจัดการโดยไม่สนใจว่าจะมีพลังของภาชนะบริวารหรือไม่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็สงบลงเพราะโดนอาละดินขอให้หยุด
“งั้นก็มาเริ่มกันใหม่เถอะนะ”
หญิงสาวผมสีแดงเพลิงในชุดนางรำเอ่ยด้วยรอยยิ้มและหันไปมองคนข้างตนเองทั้งสองก่อนจะเดินไปหาอาละดินพร้อมกัน ภาพที่มือซ้ายของทั้งสามคนนาบลงบนอกขวาและพากันคุกเข่าโดยชันเข่าขวาขึ้นต่อหน้าเด็กชายทำให้ทุกคนต่างพากันเงียบและตกใจเล็กน้อยที่ทั้งสามคนยอมทำความเคารพแบบนี้
“พวกเราเฝ้ารอที่จะได้เจอท่านมานานแล้ว... บุตรแห่งราชาโซโลมอนสหายคนสนิทของราชาแห่งผองเรา องค์ชายอาละดิน” ทั้งสามกล่าวกันอย่างพร้อมเพรียง
“ลุกขึ้นเถอะฮะทั้งสามคน ถึงยังไงอัลม่า ทรันเองก็เป็นแค่อดีตไปแล้ว ตอนนี้ผมเป็นแค่เมไจธรรมดาๆเท่านั้นเอง”
“หากท่านว่าเช่นนั้น... ก็ย่อมได้ค่ะ” เซลีนีและอีกทั้งสองลุกขึ้นตามอาละดินบอก
อาละดินยิ้มกว้าง “ถ้ายังไงพี่สาวก็ช่วยเล่าเรื่องต่อจากผมทีนะฮะ!”
“ค่ะ องค์ชายอาละดิน” เธอนาบมือซ้ายลงบนอกขวาและโค้งให้อีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองทุกๆคนอีกครั้ง “ถ้าไม่ว่าอะไรพวกเราขอแนะนำตัวอีกครั้งได้หรือไม่? เพราะคาดว่ามีบางคนที่ไม่รู้จักพวกเรา”
“ครับ เชิญตามสบายเลย” ซินแบดอนุญาตแทนคนอื่นเพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีคนค้านเรื่องนี้
หญิงสาวโค้งให้เป็นเชิญขอบคุณและเริ่มแนะนำตัวกัน
“ข้ามีนามว่า เซลีนี เป็นมือขวา ข้าเป็นอีกร่างหนึ่งมังกรผู้สรรค์สร้าง แต่ตัวข้านั้นมีสีดำเลยทำให้ไม่สมประกอบและไม่มีความรู้มากมายเหมือนมังกรตนอื่น แต่ในยามนี้ข้าได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นจึงเรียกได้ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นมากนัก ยังไงก็ตาม...ยินดีที่ได้รู้จัก”
เมื่อแนะนำตนเองจบใบหน้าทุกคนถึงกับซีดลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงมังกรผู้สรรค์สร้างที่พวกตนเห็นเมื่อครู่นี้จากนิมิตของอาละดิน
“ข้ามีนามว่า มาเซน ....เป็นมือซ้าย จริงอยู่ที่ข้าเป็นเฟอนาลิส... แต่ร่างจริงของข้าคือสิงโตแดงอิสเตกาแห่งทวีปดำ ตอนอยู่อัลม่า ทรันที่อยู่ในร่างมนุษย์นี้ได้เพราะโดนสะกดพลังเอาไว้ ในการต่อสู้ครั้งที่แล้วข้าควรตายไปแล้วแต่เพราะพรอมตะที่ท่านลูซิเฟอร์มอบให้ทำให้ข้ารอดจากการต่อสู้ครั้งนั้น ......และข้ามีภรรยาและมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน ซึ่งเธอโดนจับไปเป็นทาสในช่วงที่ข้าไม่อยู่ ส่วนภรรยาของข้าจากไปแล้ว”
“ข้ามีนามว่า ฮัลวา จะเรียกได้ว่าเป็นเมไจในยุคอัลม่า ทรัน ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักก็ไม่แปลกเท่าไหร่นัก ที่สำคัญคือข้าเป็นผู้หญิงแท้ไม่ใช่เมไจที่ชื่อจูดัลเพราะงั้นโปรดอย่าเข้าใจผิด บนโลกข้าเป็นองค์หญิงลำดับที่ห้าของอาณาจักรที่ล่มสลาย ....หรืออีกนัยหนึ่งคือข้าเป็นน้องสาวของพี่เลย์ลา”
“น้องสาวของท่านเลย์ลา!!!!!!?” เซย์ชูตะโกนเสียงดัง แต่ไม่ใช่แค่เขาที่ตกใจเท่านั้น พวกจักรวรรดิโควที่รู้จักเลย์ลาเป็นอย่างดีก็ตกใจเช่นกัน
“เอาน่าๆ ฮัลวาจัง พวกเขาจะตกใจก็ไม่แปลกหรอก” เมลหัวเราะน้อยๆ
“แล้วรู้ไหมว่าเด็กที่เป็นลูกของมาเซนคนนั้นคือใคร” เซลีนียิ้มเมื่อเห็นหน้าของพวกเฟอนาลิสเคร่งเครียดกว่าเดิม “เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ในกองกำลังพี่เจ้าหรอกมูรอน ไม่ใช่เจ้าด้วยเพราะงั้นไม่ต้องเครียดนักก็ได้ อีกอย่าง... เธอพึ่งอายุได้ประมาณ 15-16 ได้ล่ะมั๊งนะ”
“ไม่ได้อยู่ในกองกำลังเฟอนาลิส... ระ...หรือว่า... !?”
ทุกสายตาต่างมองไปยังจุดๆเดียวกัน จุดหมายนั่นคือเด็กสาวเฟอนาลิสเลือดแท้ที่ยืนข้างกายอาลีบาบาอยู่ในตอนนี้... โมลเซียน่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจที่ทุกคนจ้องมาที่เธอ แต่มันคือความจริงที่เธออายุใกล้เคียงกับลูกสาวของมาเซนที่เซลีนีพูด... ดวงตาสีแดงของเด็กสาวและมาเซนสบกัน ทั้งคู่ต่างยืนนิ่งไม่พูดไม่จาเสียจนบรรยากาศเริ่มอึดอัด
“เอ่อ... ขออนุญาตถามหน่อยจะได้ไหมครับ” อาลีบาบายกมือขึ้นเพื่อถาม และช่วยขัดอารมณ์ตึงเครียดของทุกคน “เลย์ลาที่พวกคุณพูดถึงคือใครเหรอครับ?”
“...เลย์ลา คือชื่อที่เร็น โคเอนมอบให้แก่พี่สาวของฮัลวา...” มาเซนตอบนิ่งๆ
สิ้นประโยคทุกสายตาหันกลับไปสนใจโคเอนที่ตอนนี้นั่งนิ่งไม่พูดอะไรออกมานอกเสียจากนั่งจ้อง แค่นี้เดิมจักรวรรดิโควเองก็มีปัญหามากอยู่แล้วในเรื่องของพวกอัลซาเมน
“พี่สาวของข้าเป็นอดีตองค์หญิงลำดับที่สี่แห่งจักรวรรดิที่ล่มสลายไปเมื่อครั้งในอดีต และเป็นองค์หญิงที่ถูกทอดทิ้งจึงทำให้ไร้นาม และเหตุการณ์ครั้งนั้นมีแค่ข้ากับท่านพี่เท่านั้นที่รอด” ฮัลว่าพูดต่ออีกฝ่าย “ตัวข้าโดนทหารคนสนิทพาไปยังเรม ส่วนท่านพี่โดนจับไปขายเป็นทาส และ...คนที่ซื้อนางไปคือราชวงศ์เร็น”
“และนางคือว่าที่ภรรยาขององค์ชายโคเอน.... แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่จะได้ฟังเท่าไหร่นัก....” มาเซนกล่าวเล็กน้อยก่อนที่เซลีนีก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมไม้เท้าเวทย์มนตร์ของฮัลวา
“เดิมทีแล้วนั้นเรื่องที่เราจะนำมาเปิดเผยในการประชุมครั้งนี้นั้นเป็นเรื่องที่ราชาของเราเคยบอกว่าไม่คิดจะเปิดเผยให้ผู้ใดรู้ ควรเก็บมันไว้เป็นแค่เรื่องเล่าครั้งในอดีตและปล่อยให้มันหายไปตามกาลเวลา....แต่ก็ต้องถูกเปิดเผยออกมาเพราะเหตุการณ์เลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น... ถึงแม้เรื่องนี้ข้าจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่จะต้องเปิดเผยเรื่องราวของพวกเราให้พวกเจ้าดูแต่เพราะมันเป็นพระประสงค์ขององค์ราชา ดังนั้นข้าจึงยินดีที่เล่าให้พวกเจ้าฟัง...” เธอหลับตาลงและค่อยๆปรือตาขึ้นมามองทุกคนด้วยดวงตาสีทองที่เป็นประกายจนเหล่าคนที่ได้มองรู้สึกถึงรังสีอันตรายที่แผ่ออกมา มือขวาที่ถือไม้เท้าไว้ยกขึ้นเล็กน้อยในขณะที่อีกสองคนที่เหลือยกมือขวาทาบลงบนอกซ้ายและพูดพร้อมเพรียงกัน
“เรื่องราวของราชา... ผู้อยู่เหนือเหล่าสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน... และถูกอิลลากับเหล่ามนุษย์ด้วยกันทอดทิ้ง ผู้ควบคุมแสงสว่างและความมืด บงการชีวิตและความตาย ปกครองทวีปดำด้วยพลังอันมากล้น... สหายคนสนิทของราชาโซโลมอนที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นามนั้นคือ... องค์ราชาลูซิเฟอร์!”
ตึง!!!!!!!!!!!
ปลายไม้เท้ากระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ วงแหวนดาวห้าแฉกกลับหัวบนต้นไหลขวาของเซลีนี บนข้อมือมือทั้งสองข้างมาเซน และบนหน้าผากของฮัลวาทอประกายแสงสีแดงออกมา เช่นเดียวกับถ้วยขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องที่อาละดินใช้เวทย์ฐานทิพย์แสดงเรื่องราวของอัลม่า ทรันมีแสงสว่างพุ่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มะโก่ยที่มหาศาลของเซลีนีทำให้ทุกคนตกใจไปไม่น้อยแต่เธอไม่สนใจเรื่องนั้นเลยซักนิดเดียว
“จงดูซะ... นี่ล่ะคือเรื่องราวราชาของพวกเราผู้ถูกอิลลาและพวกมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันทอดทิ้ง”
ตอนหน้าพบกับภาคอัลม่า ทรัน!!!

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 18 เมษายน 2558 / 20:11