ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic : Baramos]หัวขโมยแห่งบารามอส !!>เฟริน-โรเวน

    ลำดับตอนที่ #2 : การปรากฎตัว [rewrite!]

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ย. 54




    นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเงยขึ้นมาสบกับนัยน์ตาคมสีน้ำเงินเข้มซึ่งกำลังมองลงมาพอดี ก่อนที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลจะสัมผัสถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่แสดงออกมาจากเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มอีกคู่... นัยน์ตาคมคู่นั้นแลดูเข้มแข็งแต่อบอุ่นเหมือนเคย แต่วันนี้มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกออกไป ซึ่งเธอก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร... ทั้งความเหงาและโหยหาที่แสดงออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้นมันกำลังพยายามสื่อสารอะไรบางอย่างให้เธอรู้ ทำให้เธอไม่สามารถละสายตาออกมาจากดวงตาคู่นั้นได้เลย

    ราวกับว่าเวลาทั้งหมดถูกหยุดลง นัยน์ตาของเธอและเขาจ้องประสานกันเนิ่นนานเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้ กว่าเธอจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าของดวงตาอีกคู่สะดุ้งน้อยๆแล้วรีบหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาหันกลับไป ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมา เฟรินยกมือทั้งสองขึ้นแตะใบหน้าของตัวเองเบาๆ แล้วรีบสั่นหัวไล่ความรู้สึกนี้ออกไปทันที

    ทั้งโรเวนและเฟรินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของโรเวนอย่างเงียบสงบ ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย เฟรินได้แต่มองแผ่นหลังของคนตรงหน้าที่กำลังเดินสาวเท้าเดินข้ึนไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ทั้งๆที่ตัวของเธอเองรู้สึกหมดแรงอย่างประหลาด ราวกับว่าไม่อาจจะก้าวเท้าเดินต่อไปได้อีก...

    “เฟริน.. เฟริน เป็นอะไรหรือเปล่า”

    เสียงทุ้มนุ่มเรียกให้เธอหลุดออกจากภวังค์ โรเวน ฮาเวิร์ดกำลังย่อตัวลงมามองเธออย่างสงสัย ดวงหน้าคมคายเอียงน้อยๆ เมื่อเธอสะดุ้งแล้วทำหน้าเหลอหลา เจ้าชายจากเจมิไนยืดตัวขึ้นยืนตัวตรงแล้วผายมือให้เธอเดินเข้าไปในห้องของเขาที่เปิดประตูค้างเอาไว้แล้ว

    “พี่เรียกตั้งหลายครั้งแล้ว ทำไมไม่เข้าไปล่ะ”


    “อ่อ เอ่อ... ขอโทษฮะ พอดีผมเหม่อๆอยู่นิดหน่อย”

    เฟรินฉีกยิ้มกว้างอย่างเคยชินเพื่อแสดงให้คนตรงหน้าเห็นว่าตนไม่เป็นอะไร ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องแล้วชะงักเล็กน้อยเมื่อพบกับลอเรนซ์ ลูคัสและไธนอส ที่กำลังนั่งคอยอยู่ในห้อง เธอนั่งลงบนเตียงที่ใกล้ตัวที่สุดแล้วเอ่ยปากถามด้วยเสียงตื่นเต้นทันที

    “โอ้ ว้าว อย่าบอกนะฮะว่า ผมได้รับการเลื่อนขั้นให้มาประชุมกับสภาสูงแล้ว”

    ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคดี ลูคัสที่นั่งอยู่ใกล้ๆก็เขกหัวของหัวขโมยปากบอนเข้าเบาๆ แล้วหัวเราะร่า นัยน์ตาสีดำพราวระยับอย่างชอบใจ ก่อนจะเอ่ยตอบขำๆ

    “ฉันว่า สภาสูงแห่งป้อมอัศวินจะเรียกนายมากำจัดมากกว่าละมั้ง เฟรี่”

    เฟรินส่ายหัวอย่างรุนแรง แล้วขยับยิ้มกวนๆ แล้วเอ่ยต่อ

    “คนที่ต้องกำจัดน่ะ มันคือสามคนนี้ไม่ใช่หรอครับ” ต่อก่อนจะชี้นิ้วไปยังลอเรนซ์ ไธนอสและโรเวนตามลำดับ “คนนึงก็ปามีดบินทำลายป้อมอยู่บ่อยๆ อีกสองคนก็เปลืองค่าน้ำชาของป้อมชะมัด กินกันไม่เบื่อหรือไง เฮ้อๆ..”

    หัวขโมยปากดีถอนหายใจยาวหลังจากพูดจนแล้วส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เรียกสายตาอาฆาตจากลอเรนซ์ สายตาสุดจะระอาจากไธนอสและสายตาขบขันจากโรเวนให้หันมามองพร้อมๆกัน ดวงหน้าหล่อเหลาของเจ้าชายจากเจมิไนปรากฎรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากที่แทบจะจางหายไปในพริบตา โรเวนตบมือเบาๆสองสามครั้งเรียกให้ความสนใจของทุกคนในห้องกลับมาที่เขา

    “เอาละ ที่เรียกทุกท่านมาในวันนี้ก็เป็นเพราะเรามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะแจ้ง” โรเวนกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ ทำให้แทบทุกคนในห้องต้องแทบกลั้นหายใจ บรรยากาศทั้งห้องเงียบกริบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

    “เห้ยย! เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกแต่แรกละครับพี่” หัวขโมยแห่งบารามอสโพล่งขึ้นมาเสียงดังทำลายบรรยากาศเงียบสงัดภายในห้องเสียสิ้น ทำให้ลอเรนซ์กัดฟันกรอด ลูคัสหลุดหัวเราะพรืดออกมา ส่วนไธนอสและโรเวนถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ

    “พี่ยังไม่ได้เริ่มพูดเลยเฟริน”

    “อ้าว เหรอครับ” เฟรินตอบรับแล้วหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้าไม่ขบขันกับมุขของเขาเลย 

    “เอาเถอะๆ เฟริน เอาเป็นว่าเดี๋ยวเธอช่วยลงไปเรียกเพื่อนๆปีสามประชุมรวมหลังอาหารเที่ยงด้วยก็แล้วกัน” ไธนอสตัดบทแล้วสะบัดมือเป็นเชิงบอกให้เฟรินออกนอกห้อง

    “อ่าว ที่เรียกผมขึ้นมามีแค่นี้เองเหรอฮะ” เฟรินลุกจากเตียงแต่ยังไม่วายหันกลับมาถาม ทำให้ไธนอสถอนหายใจในพฤติกรรมของคนตรงหน้าแล้วตอบกลับแบบขอไปที

    “จริงๆมันก็มีอีกน่ะ แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่าอย่าลืมเรียกประชุมก็แล้วกัน”

    “คร้าบๆๆ” เฟรินยกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้แล้วเดินออกจากห้องไป ทันทีที่ประตูห้องปิดลง โรเวนก็หันมาหาไธนอสแล้วกล่าวขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงขัดเคือง

    “นายไล่เฟรินออกไปทำไม”

    “เอาน่ะ โรเวน.. เฟรินอยู่ก็มีแต่ทำให้การประชุมของเราไม่ไปไหน”

    “แต่นี่มันเป็นเรื่องที่เฟรินจำเป็นต้องรู้นะ”

    “เดี๋ยวค่อยเรียกมาใหม่วันหลังก็ได้ มีเหตุผลหน่อยสิ”

    โรเวนถอนหายใจยาวเป็นการระบายอารมณ์ ...จริงของไธนอส เราควรจะสงบสติอารมณ์และมีเหตุผลมากกว่านี้ เป็นตัวของตัวเองหน่อยสิ โรเวน ฮาเวิร์ด ...


    “โรเวนเรียกแกขึ้นไปทำอะไร”

    คิล ฟีลมัสเปิดบทสนทนาทันทีที่เฟรินทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วก้มหน้ากินข้าวต่อระหว่างรอคำตอบจากเฟริน แต่รอไปรอมาก็ยังไม่ได้ยินคำตอบ คิลเลยเงยหน้ามองคู่สนทนา แต่ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาก็แทบทำให้นักฆ่าหนุ่มเอาหัวโขกโต๊ะตายเสียตรงนั้น เพราะสาวงามจากเดมอสกำลังพยายามยัดทั้งขนมปัง ไข่ต้มและแฮมเข้าปากพร้อมๆกัน อย่างไม่เหลือคราบกุลสตรีเลยแม้แต่น้อย

    คิลกำลังจะอ้าปากบ่น แต่คนตะกละตรงหน้าก็สำลักแล้วตบหน้าอกตัวเองแรงๆ แล้วคว้าเอาแก้วน้ำของเขาไปดื่มทันที ร่างบางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงร่าเริงว่า

    “ไข่ต้มอร่อยดีนะ แกว่ามั้ย”

    คิลยักไหล่อย่างไม่ถือสาที่เพื่อนรักตอบกลับอย่างไม่ตรงประเด็นเลยสักนิด ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเครียดๆ

    “มันจะอร่อยกว่านี้ ถ้าแกตอบฉันมาก่อนว่าโรเวนเรียกแกขึ้นไปทำไม”

    “เอ๊ะ แกจะเครียดไปทำไมเนี่ย” เฟรินบ่นอุบ แล้วรีบตอบคำถามทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของคนตรงข้าม “ก็แค่ฝากให้ฉันเรียกประชุมชั้นปีหลังข้าวเที่ยงน่ะ”

    “แค่นี้เนี่ยนะ” คิลทำหน้าเสียดายแล้วมองไปมาในโรงอาหาร “แล้วแกไม่เรียกหรือไง เดี๋ยวเขาก็ไปกันหมดหรอก”

    “จะรีบเรียกทำไม นี่แค่ข้าวเช้าเองนะ”

    “ข้าวเช้าบ้านแกสิ กว่าแกจะตื่นก็สิบเอ็ดโมงแล้วโว้ยย!” คิลพูดอย่างเหนื่อยหน่าย ..ให้ตายเถอะ ฉันอยู่กับหมอนี่มาได้ไงตั้งสองสามปี..

    เมื่อเฟรินได้คำตอบจากคิลก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปตะโกนโหวกเหวกเพื่อนัดประชุมที่กลางโรงอาหารทันที โดยไม่อายสายตาคนอื่น ทำให้คิลได้แต่กุมขมับ หลังจากประกาศเสร็จเจ้าตัวดีก็เดินยิ้มแป้นกลับมากินข้าวที่โต๊ะอาหารเหมือนเดิม

    “เออ..จะว่าไป คาโลมันไปไหน”

    “คุกใต้ดินเอดินเบิร์ก”

    “ไปทำบ้าอะไร.. อย่าบอกนะว่ามันกะจะจับจิ้งจอกเก้าหางไปขายแล้วไม่แบ่งพวกเรา”

    “มันโดนโรเวนสั่งกักบริเวณ”

    “อ่อ.. โดนโรเวนสั่งกักบริเวณ” เฟรินทวนคำตอบของคิลก่อนจะชะงักเล็กน้อย แล้วถามกลับด้วยเสียงดังกว่าเดิม “อ่าว แล้วทำไมเมื่อกี้โรเวนไม่บอกฉันวะ”

    “ไม่รู้ว่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนเรื่องอะไร”

    “โรเวนคงแค่จะหายามเพิ่มละมั้ง” ว่าพลางก็หัวเราะร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ตามประสาของหัวขโมยอารมณ์ดี ทำให้คิลได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงอนิจจัง


    ประตูหน้าห้องนั่งเล่นรวมปีสามดีดตัวเปิดกระแทกกับผนังห้องเสียงดังกึกก้องบ่งบอกถึงการมาเยือนของสามสตรีผู้กุมอำนาจของป้อมอัศวินปีสามได้เป็นอย่างดี

    เจ้าหญิงมาทิลด้า ซิลเวอร์ ยอดนักรบแห่งอเมซอน เดินนำแองเจลิน่าและเรนอนเข้ามาด้วยท่าทางทรงอำนาจเช่นเคย นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองไปทั่วห้องนั่งเล่นรวมอย่างไม่พอใจนัก เมื่อสภาพในห้องเต็มไปด้วยความวุ่นวายดังที่เป็นอยู่อย่างสม่ำเสมอ

    มิสแรมเซิล กิลเบิร์ต อาจารย์ประจำป้อมเดินตามเข้ามาติดๆด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มพราว

    สองเสนาธิการแห่งป้อมอัศวิน โรเวนและไธนอส ยอดนักปกครองและยอดนักรบเดินเลี่ยงไปจิบชาที่โต๊ะด้านขวาตามปกติเหมือนที่เคยเป็นทุกๆครั้ง

    “จริงๆวันนี้ ฉันก็ไม่ได้มีอะไรจะพูดมากหรอกนะ ก็ขอให้ตั้งใจฟังด้วย” มาทิลด้าประกาศเสียงก้อง “การชิงตำแหน่งภายในป้อมอัศวินในปีการศึกษานี้.. ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่ ป้อมอัศวินประกอบไปด้วย หัวหน้าป้อม สองเสนาธิการ สี่ผู้คุมกฎ สามขุนพลและสิบสองผู้พิทักษ์ป้อม... แน่นอนว่าทุกคนจะต้องลงสมัครตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง แองจี้จะแจกกระดาษให้พวกนาย ซึ่งพอได้รับแล้วก็กรอกชื่อพร้อมตำแหน่งที่ต้องการลงสมัคร แล้วมาส่งฉันภายในเย็นนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะเป็นคนเลือกตำแหน่งให้พวกนายเอง”

    หลังจากที่มาทิลด้าพูดจบ เสียงจอแจก็ดังขึ้นในห้องนั่งเล่นรวมทันที ทำให้โรเวนที่ก้าวขึ้นมาจะพูดต่อ ต้องยืนรอให้เสียงเงียบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก

    “กว่าจะเงียบกันได้นะ พวกทโมนแห่งป้อมอัศวิน” โรเวนหัวเราะเบาๆในลำคอ แล้วเอ่ยต่อ “เอาล่ะ.. พี่ก็อยากจะให้ทุกคนตั้งใจฟังดีๆ เพราะสิ่งที่พี่จะมาพูดวันนี้ก็คือ..”

    ปึงง!!

    เสียงประตูดีดตัวเปิดดังขึ้น พร้อมกับเงาดำของใครบางคนที่ปรากฎตัวเข้ามาขัดจังหวะการพูดของโรเวน แสงอาทิตย์ภายนอกสว่างวาบเข้ามาในตาของทุกคน ก่อนที่ภาพของผู้มาใหม่จะค่อยๆชัดเจนขึ้น

    ร่างสูงเอามือทาบกับบานประตู แล้วหอบหายใจเล็กน้อย เหงื่อเม็ดใสเกาะพราวเต็มดวงหน้าขาวสะอาด นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างฉายแววจริงจังกว่าครั้งไหนๆที่เคยพบมา

    คาโล วาเนบลี เดอะพรินซ์ ออฟ คาโนวาล



















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×