คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ประกาศศึก [ rewrite!! ]
คาโล วาเนบลี เดอะ พรินซ์ ออฟ คาโนวาล
คิลหันขวับไปมองโรทันที แล้วส่งสายตาเป็นเชิงถาม โรยักไหล่ตอบแล้วส่ายหน้าเพื่อบอกว่าตนก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าทำไมคนที่ควรจะอยู่ที่หน้าคุกใต้ดินของปราสาทเอดินเบิร์กกลับมายืนปรากฎอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
แต่คนที่ดูตกใจที่สุดคงจะเป็นโรเวน ฮาเวิร์ดผู้เป็นคนสั่งกักบริเวณคาโลด้วยตัวเอง โรเวนนิ่วหน้าแล้วสาวเท้าเดินไปหาคาโลในทันที นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววแข็งกร้าวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่โรเวนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชอบใจนัก
“ตอนนี้ที่ๆนายควรอยู่คือปราสาทเอดินเบิร์ก ไม่ใช่ที่นี่ไม่ใช่หรือ”
“ตอนนี้กองทัพซาเรส นำโดยอาเธอร์ บริสตั้น ล้อมป้อมอัศวินอยู่” คาโลตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ก่อนจะย้อนถามทันที “แล้วทีนี้ ที่ๆผมสมควรอยู่มันยังเป็นปราสาทเอดินเบิร์กหรือเปล่าครับ”
โรเวนไม่ตอบคำถามของคาโล เพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งเจมิไนจะเดินไปแหวกม่านหน้าต่างของห้องนั่งเล่นรวมเพื่อมองลงไปดูเหตุการณ์ด้านล่างของป้อม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเบิกกว้างเมื่อเห็นกองทัพม้าของซาเรสจริงดังที่เจ้าชายแห่งคาโนวาลว่า โรเวนถอนหายใจยาวแล้วหมุนตัวกลับ ก่อนจะประกาศด้วยเสียงดังไปทั่วห้อง
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ แล้วแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมตามต้องการ แต่ห้ามไม่ให้ใครออกจากป้อมเป็นอันขาด เดี๋ยวพี่จะลงไปคุยกับท่านอาเธอร์เอง ถ้าใครขัดคำสั่งหรือตามพี่มา พี่ไม่รับประกันความปลอดภัยของชีวิต”
พูดจบโรเวนก็แย้มรอยยิ้มเช่นเดิม เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่ต่างไปจากปกติแต่กลับทำให้รุ่นน้องปีสามแห่งป้อมอัศวินเสียวสันหลังวาบกันเป็นแถว โรเวนหันไปพึมพำบางคำกับคาโลและไธนอส ก่อนทั้งสามจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นรวมไป
“ฉันอยากลงไปดูข้างล่างว่ะ เฟริน” คิลแสยะยิ้มให้เฟริน นัยน์ตาสีม่วงอเมธิสต์พราวระยับ
“ไม่ดีกว่าว่ะ พี่เขาก็บอกแล้วว่าไม่รับประกันความปลอดภัย” เฟรินตอบแล้วทำหน้ายี้ใส่ แต่คิลไม่สนใจฟังคำตอบของเธอ ร่างสูงลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องที่เปิดกว้างอยู่ทันที ทำให้เฟรินต้องวิ่งตามมาแล้วจับหมับเข้าที่ไหล่ของนักฆ่าตัวแสบ ก่อนจะขู่ฟ่อ ด้วยท่าทีกึ่งเล่นกึ่งจริง
“แกรับผิดชอบความปลอดภัยฉันด้วย”
เฟรินยิ้มกว้าง ..ตัวเขาไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่ก็ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าตัวเองเป็นคนกล้า อย่างน้อยตั้งเงื่อนไขเอาไว้กับมัน ก็อาจจะช่วยทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้นิดหน่อย
“เฮ้ย เรื่องอะไร แกกลัวนักก็รออยู่ตรงนี้” คิลปฏิเสธเงื่อนไขของเธออย่างง่ายดาย ทำให้เฟรินตบศีรษะเพื่อนรักเข้าไปหนึ่งที ก่อนจะหัวเราะร่า แล้วกอดคอนักฆ่าหนุ่มก่อนจะเดินลงไปด้วยกัน
“ไหนๆ ฉันบอกสักคำหรือยังว่ากลัว”
โรเวน ไธนอสและคาโลเดินลงบันไดมากันเงียบๆ ก่อนที่โรเวนจะหันกลับมาบอกให้คาโลและไธนอสใช้ประตูหลังออกไปแจ้งมหาปราชญ์เลโมธี ส่วนตัวเองก็เดินตรงไปยังประตูใหญ่ตรงด้านหน้าของป้อม โรเวนเอื้อมมือไปแตะบานประตูแต่ก่อนที่จะได้ผลักบานประตูออกไป เขาก็หันหลังกลับมาทางด้านในป้อมแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มว่า
“คิล เฟริน พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้ลงมา”
ทันทีที่สิ้นเสียงของโรเวน คิลและเฟรินก็ค่อยๆเดินออกมาจากหลังเสาต้นใหญ่ ทั้งสองคนส่งยิ้มแห้งๆให้โรเวนที่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ร่างสูงก้าวเข้ามายืนตรงหน้าเฟรินและคิล ก่อนมือนุ่มจะแตะลงบนหัวของเฟรินเบาๆ แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้คิลต้องแกล้งเบือนหน้าหนี
“ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กเล่น ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมาเดี๋ยวบารามอสกับเดมอสจะว่าเอาได้ว่าเจมิไนดูแลคนของเขาไม่ดี”
เฟรินยิ้มแหย ก่อนจะย้อนกลับตามนิสัยของคนปากไม่อยู่สุขทำให้คิลต้องส่งสายตาปรามมาเล็กน้อย
“ผมต้องลงมาสิฮะ ถ้าพี่เป็นอะไรไป เดี๋ยวเจมิไนจะมาป้อมอัศวินได้”
“พูดเหมือนพี่ต้องให้เราปกป้อง” โรเวนเหยียดรอยยิ้มยาวที่มุมปากก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่นแทบจะทันที เขากดนิ้วลงบนหัวเฟรินแรงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแตะที่หัวคิลเช่นกัน แล้วหมุนตัวกลับไปยังประตูหน้าป้อมเช่นเคย
ทันทีที่ปลายนิ้วของโรเวนกดลงมาบนศีรษะ แสงสีทองอ่อนๆก็สว่างวาบขึ้นมาจากตัวของทั้งสอง ความอุ่นแล่นวาบไปทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เฟรินและคิลหันมามองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ... เขตอาคมของเจ้าชายโรเวน
“เอาเป็นว่าพวกเธอยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆก็แล้วกันนะ”
โรเวนพูดพลางเปิดประตูของป้อมอัศวินออก เฟรินและคิลยังคงยืนมองอยู่ที่เดิม นัยน์ตากลมโตของเฟรินจับอยู่ที่บุรุษเบื้องหน้าอย่างไม่คลาดสายตา
แสงแดดจากภายนอกสว่างวาบขึ้นจนทำให้เธอต้องหรี่ตามอง ลมแรงกรรโชกเข้ามาในภายในป้อมทำให้ผ้าคลุมยาวของโรเวนสะบัดไปตามแรงลม เฟรินกระพริบตาเล็กน้อย เพื่อจะได้มองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดขึ้น ชั่วครู่หนึ่งภาพภายนอกของป้อมอัศวินก็ปรากฎแก่สายตา
ทันทีที่ประตูป้อมเปิดออก อาเธอร์ก็กระโดดลงจากหลังม้าศึกสีดำสนิท แล้วเดินตรงเข้ามาหาโรเวนทันที นัยน์ตาสีดำสนิทเจ้าเล่ห์มองมาทางโรเวนราวกับเหยี่ยวมองเหยื่อ อาเธอร์ขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเปิดบทสนทนา
“ว่าแล้วว่าเจ้าต้องลงมา โรเวน ฮาเวิร์ด”
“ท่านมีธุระอะไรกับป้อมอัศวิน”
อาเธอร์ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วผายมือไปทางทหารจำนวนมากด้านหลัง เฟรินมองตามมือของอาเธอร์ไปยังทหารม้าจำนวนมาก ธงของซาเรสที่ประดับไว้โบกสะบัดไปมาตามแรงลม จำนวนของทหารมากจนเธอเผลอก้าวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“อันที่จริง ข้าก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับป้อมอัศวินหรอก ก็แค่ว่างๆก็เลยยกทัพมาตีเล่นเท่านั้น”
“ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“ไม่เลย ข้าไม่ได้ต้องการอะไร แต่ทางเดียวที่จะทำให้ข้าถอนทัพออกจากป้อมอัศวินในวันนี้ก็คือ เจ้าต้องรับปากในการทำสงครามระหว่างซาเรสกับเจมิไนเท่านั้น” อาเธอร์ว่าพลางก็เหยียดรอยยิ้มยาว
“เจมิไน?” โรเวนทวนคำ “เจมิไนไม่ใช่ประเทศที่มีอาณาเขตกว้างขวาง หรือมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เหตุใดท่านจึงต้องการจะประกาศสงครามกับเจมิไน”
“เพราะเจมิไนมีเจ้ายังไงล่ะ โรเวน”
“สมกับที่ราชินีจันทราทำนายเอาไว้จริงๆ... ราชาที่ป่าเถื่อนกลืนกินแว่นแคว้นทั่วเอเดน”
“ราชา?” เฟรินกระซิบถามนักฆ่าข้างตัวเบาๆ
“แกมันไม่รู้อะไร หลังจากที่เจ้าชายอาเธอร์จบจากเอดินเบิร์กไป คิงกาเบรียลก็สละบัลลังก์แล้วประกาศเรียกยอดฝีมือจากทั่วซาเรส เพื่อคัดเลือกผู้สืบทอดบัลลังก์ ซึ่งผลก็เป็นแบบที่แกเห็น”
เฟรินเบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วพยักหน้าหงึกหงักเป็นการรับรู้ ก่อนจะหันไปสนใจบทสนทนาของสองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“เหตุใดเราจึงต้องทำสงครามกันด้วย ท่านผิดใจสิ่งใดกับเราก็มาเจรจากันดีๆก็ได้ ฝ่าบาท” โรเวนเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดต่อ เจ้าชายหนุ่มขยับยิ้มเล็กน้อยให้กษัตริย์ป่าเถื่อนตรงหน้า แต่อาเธอร์เพียงส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจนัก
“ท่านก็รู้ว่าเราไม่ถนัดเรื่องเจรจาเท่าไร ลูกผู้ชายมันก็ต้องตัดสินกันด้วยกำลัง”
“ท่านแน่ใจหรือว่าลูกผู้ชายตัดสินกันด้วยการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน” โรเวนผายมือไปทางกองทัพขนาดใหญ่จากซาเรส “ท่านได้ถามทหารของท่านหรือยัง ว่าเขาต้องการจะยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อการตัดสินระหว่างท่านกับข้าหรือไม่”
“ท่านได้ถามชาวเมืองซาเรสที่ต้องได้รับผลกระทบจากสงครามหรือยัง ว่าพวกเขาเต็มใจจะได้รับความเสียหายจากสงครามของท่านหรือเปล่า”
โรเวนกล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มแผ่วเบาแต่เสียงของเขากลับได้ยินไปทั่วทุกบริเวณ ราวกับต้องมนต์สะกดของเมจิคพรินซ์จากเจมิไน ทหารของซาเรสทุกคนนิ่งทันทีที่ได้ฟังวาจาจากเจ้าชายแห่งเจมิไน เฟรินและคิลถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประโยคจากคนตรงหน้า
“เอาเถอะๆ งั้นถ้าเรามาสู้กันตัวต่อตัวละ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร” คิงอาเธอร์รีบเปลี่ยนการตัดสินใจทันที เมื่อทหารของเขากำลังจะมีความเห็นโอนเอียงไปเพราะคำพูดของคนตรงหน้า
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินดีน้อมรับคำท้าของท่าน” โรเวนแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนให้ ทำให้อาเธอร์หันหลังกระโดดขึ้นหลังม้าทันทีหลังจากได้ยินคำตอบรับ
“อีกสิบห้าวันให้หลัง ที่ยอดเขาบนชายแดนซาเรส-เจมิไน หวังว่าเจ้าจะยังจำที่นั่นได้” อาเธอร์ทิ้งท้ายแล้วควบม้านำกองทัพทหารจากไปทันที
โรเวนส่ายหน้าเล็กน้อยกับการกระทำที่เอาแต่ใจตัวเองของกษัตริย์บ้าเลือดจากซาเรส แล้วเดินกลับเข้ามาภายในป้อม นัยน์ตาสีน้ำเงินกวาดมองไปทั่วป้อมก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เฟรินและคิลที่ยืนจ้องมาทางเขา
“อ้าว ยังไม่ไปกันอีกหรือเนี่ย ทั้งสองคน”
“อะ.. ครับ” เฟรินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนตอบ โรเวนก้มหน้าลงมามองเธอเล็กน้อยแล้วแตะที่หน้าผากเบาๆอย่างเอ็นดู ก่อนเสียงนุ่มจะดังขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย ดูมึนๆนะเรา”
“เปล่าฮะๆ ผมสบายดี แค่ตามเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทันเท่าไร” เฟรินบอกปัดแล้วดึงชายเสื้อของคิลเบาๆ “เนอะ คิล เนอะ”
“อ่อ ใช่ครับ” แม้กระทั่งคิล ฟีลมัส นักฆ่าเจนโลกจากซาเรสก็ยังดูมึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ต่อสู้ตัวต่อตัว มันอันตรายกับตัวพี่เองมากกว่าสงครามไม่ใช่เหรอครับ”
“พี่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นคำพูดของนักเรียนโรงเรียนพระราชาแห่งเอดินเบิร์กนะ คิล” โรเวนตอบกลับพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ไม่เข้ากับประโยคเคร่งเครียดที่เขากำลังพูดอยู่แม้แต่น้อย “บางทีเราก็จำเป็นต้องสละตัวเราเองเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่”
คิลยิ้มแห้งๆเป็นการตอบรับ ก่อนจะกล่าวลาเบาๆ แล้วลากเฟรินเดินกลับขึ้นป้อมไปทันที แม้จะยังมีความคิดค้างคาอยู่ในหัวตลอดทางที่เดินกลับห้องนั่งเล่นรวม
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ทัน... กองทัพขนาดมหึมาจากซาเรสที่หมายจะยกทัพมาตีป้อมอัศวิน ถูกตั้งรับโดยวาจาของชายเพียงคนเดียว ผู้ซึ่งเปลี่ยนจากสงครามที่จะสร้างความเสียหายอย่างไม่อาจจะคาดถึง ให้กลายเป็นเพียงการต่อสู้ตัวต่อตัว ระหว่างคนสองคนแทน
โรเวน ฮาเวิร์ด เจ้าชายแห่งเจมิไน เสนาธิการฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวิน...
...ช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากนัก
แก้คำผิดนิดหน่อย :)
ว๊าาา ไม่ค่อยมีคนเม้นเลยอ่าา T^T
เสียใจนะเนี่ยๆๆ เม้นกันหน่อยสิ :(
ความคิดเห็น