ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@ รักรั่วๆ..พรต&รัน

    ลำดับตอนที่ #1 : Part 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.4K
      16
      4 มิ.ย. 56

    รันหรืออรัญ ขจรเกียรติวงศ์ อายุ 28 ปี ส่วนสูง 187 ซ.ม หนัก 80 กิโลกรัม
    การศึกษาป.โท วิทยาศาสตร์กราฟฟิกดีไซน์จากมหา’ลัยของรัฐ
    ปัจจุบันทำงานตำแหน่งผู้ช่วยรองประธานกรรมการดูแลด้านการตลาด


    พรตหรือวรพรต รัตนมณีกาญจ์ อายุ 29 ปี สูง 188 ซ.ม. หนัก 80 กิโลกรัม
    จบป.โท วิทยาศาสตร์กราฟฟิกดีไซน์จากมหา’ลัยของรัฐ
    ปัจจุบันบริหารธุรกิจของครอบครัว ตำแหน่งรองประธานกรรมการ


    “รัน..ไปสถานีวิทยุกัน” พรตเข้ามาโดยไม่เคาะประตู เนียนเอางานมาอ้าง
    คงต้องการมาพิสูจน์ว่ามีสาวอยู่กับผมในห้องด้วยหรือเปล่า


    “จะไปเลยเหรอ ไหนนัดไว้บ่ายสอง” ท่าทางดูเป็นการเป็นงาน
    แต่สายตากับจมูกขยับยุกยิกดมกลิ่น มันคงลืมตัว..เป็นเหยี่ยวไม่ใช่หมา..


    “แวะหาอะไรกินด้วยดิ ใกล้เที่ยงแล้ว” ปากมันตอบ
    แต่ตากับจมูกยังมีอาการฟุดฟิด เจอกลิ่นแปลกปลอมชัวร์
    น้ำหอมเลขาคนใหม่ฉีดจนกลิ่นกระจายตั้งแต่ร้อยเมตร


    “เป็นอะไร ทำจมูกเหมือนหมา” อมยิ้มกลั้นขำสุดๆ


    “แร๊งงงง!!!..เพื่อน” ชะโงกหน้ามือเท้าโต๊ะจ้องผมตาดุ
    หน้าหล่ออยู่ห่างหน้าผมไม่ถึงคืบ


    “ใครเพื่อนมึง..ให้โอกาสแก้ตัวใหม่” ผมจ้องเขม็ง
    ใส่อารมณ์ไปในน้ำเสียงแสดงความไม่พอใจให้มันรู้ด้วย..’กูผัวไม่ใช่เพื่อน’


    “โด่! ทำเข้ม มึงเปรียบกูหมานี่หว่า กล้าด่าตัวเองเป็นผัวหมาเหรอ
    ไม่มีใครควายเท่ามึงเหอะ..สัดรัน” เอาเข้าไป..ด่าผมผัวหมา
    ยอมรับโดยไม่รู้ตัวแล้วนั่นว่ามันเป็น..‘หมา’


    “ตกลงมึงเป็นหมาไม่เป็นแล้วเหยี่ยว โทษทีสิงห์โตดำไม่ปี้หมาว่ะ”
    ถือเป็นการผ่อนคลายอารมณ์จากการคร่ำเคร่งกับงาน
    หันมาลับฝีปากไอ้รั่วบ้าๆ บอๆ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน
    สร้างสีสันสำหรับผมไปแล้ว วันไหนไม่ได้กัดกัน รู้สึกไม่ค่อยปกติ..ดูแปลกพิลึก


    “ครวย!..ไม่ปี้หมาแล้วเหี้ยไรปี้กู ทำเฉไฉกลัวรู้มีสาวก็บอกมาดีๆ”
    หึหึ..แอบหึงผัว น่ารัก..สัด!


    “ไม่ปฏิเสธ ฝ่ายบุคคลส่งมาแทนคนเก่า รายที่ 4 ในรอบ 6 เดือน งานกูสุมหัว
    ถ้าฝ่ายบุคคลไร้ประสิทธิภาพหาเลขา มึงในฐานะรองประธานควรเรียกมาตักเตือนหน่อยพรต”
    เบื่อครับ เลขาผมโคตรมีปัญหา ตั้งแต่รับผิดชอบดูแลการตลาด
    พ่อไอ้พรตให้เป็นผู้ช่วยมันหลังจบโททั้งคู่
    ปัญหาใหญ่ของผมคือเลขาแบ่งเบาภาระ..เอกสารสุมเต็มหัวเคลียร์ไม่ทัน


    ส่วนพรตได้เลขาเก่าแก่พ่อยกให้ ฝีมือบวกชั่วโมงบินไม่ต้องบรรยาย
    มันจึงมีเวลาเดินตัวปลิว ผิดกับผมซึ่งเป็นลูกเขยโงหัวแทบไม่ขึ้น


    “ปัญหาเดิม ทำไมผู้หญิงทนเสน่ห์มึงไม่ได้วะ” ชมหรือประชด


    “อืม..กูเสน่ห์แรง ว่าแต่มึงทนได้ไหมล่ะ” ผมย้อน
    มันทำตาเหลือก ก่อนหน้าแดงก่ำ สวนกลับทันควัน


    “โด่!..คนที่ทนไม่ได้คือมึงมากกว่า ทนเสน่ห์กูไม่ไหวยอมแต่งเข้าบ้านกู..จิ๊!”
    ตลกชะมัด หน้าตาเหรอหราอยากเอาชนะเต็มแก่ ยอมรับผมเป็นเขยบ้านมันเฉย
    บ้านเราสองคนที่แยกเป็นสัดส่วน ไอ้พรตมันลูกคนเล็ก ธุรกิจจิวเวลรี่พ่อยกให้บริหาร
    พี่ชายพี่สาวมันบริหารสาขาต่างประเทศหมด เหลือมันนี่แหละที่อยู่ใกล้พ่อแม่


    “มึงพูดถูก กูหลงเสน่ห์มึงจริง ทำไงได้เล่นขมิบซะขนาดนั้น
    ไม่รักไม่หลงคงยากว่ะ..พรต” เห็นสีหน้ามันผมท้องเกร็ง
    เหวอตาโตหน้าหล่อแดงแปร๊ด..กังวลเลือดจะกระฉูดออกมาด้วยซ้ำ


    “เหี้ย..เดี๋ยวปั๊ดขมิบขาดเลย..สัด” พูดไม่คิดเลยนั่น


    “ไม่กลัวขาดคารูเหรอ” อาศัยจิกขาตัวเองช่วย ไม่งั้นคงเก๊กลำบาก
    ปากกระตุกหลายทีแล้ว อยากปล่อยก๊ากขำห้องแตก ขืนหัวเราะมีเหวี่ยงผมชุดใหญ่แน่


    “คารูกูจะเบ่งให้หลุด โยนให้เป็ดแดกซะ ฮะฮ่าๆ..ทีนี้มึงต้องเสียใจ
    ท้าใครไม่ท้าเล่นกับวรพรต เดชไอ้ด้วนไปเลยมึง”
    มั่นใจพลิกสถานการณ์เป็นฝ่ายได้เปรียบผมแล้วมั้ง


    “เหรอ..ลำบากหน่อยนะ ของกูขาดยาก..กลัวไม่ขาดพานทำตูดมึงแหกเอาสิพรต
    ยิ่งขมิบกูยิ่งกระแทก รูฉีกอย่าบ่นเชียว” ไม่ทนแล้วครับ หัวเราะแม่งเลย
    ไม่ไหวจะทนหลังหน้ามันแดงลามทั่วคอเป็นที่เรียบร้อย
    เขินอายยังเสือกอวดดีปากเก่งเถียงไม่ลดละ อยากชนะผมใจขาดสิท่า


    “สัดรันอย่าเผลอ กูทะลวงคืนลักหลับเป็นเมียกูมั่ง” ชี้นิ้วขู่มือสั่น


    “ทำจริง!!” ผมหุบยิ้ม จ้องมันนิ่งเปลี่ยนอารมณ์ชนิดกลับหัวหาง
    นึกอยากแกล้ง..ยิ่งเห็นหน้ามันสลดพานแอบขำ


    “ก็มึงกวนตีนกูก่อน..ทีงี้ทำดุ” เสียงอ่อย มันไม่กลัวผมหรอกครับ
    ผมรู้มันรักผมมาก ไม่อยากทำผมอารมณ์เสีย...หึหึ!


    “กูไม่ได้ดุ คนหาเรื่องคือมึงนะพรต กูไม่ได้เริ่ม” เน้นเสียงจริงจัง
    ในใจกลั้นยิ้มสุดกำลัง ผ่านไปกี่ปีมันแพ้ทางผมเหมือนเดิม
    เพราะมันรักผมยอมให้ตลอดในสภาพรั่วๆ ฮาๆ


    “เออกูผิด..คุยเรื่องเลขามึงต่อดิ ตกลงรายนี้ปลื้มมึงตามเคย”
    มันยอมวกเข้าเรื่อง ทำน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน


    “กูไม่รู้..ล่าสุดตาบวมเหมือนจะร้องไห้ โดนสาวแผนกอื่นจวกมาหรือเปล่าไม่รู้ว่ะ”
    ได้ข่าวเขม่นสาวบัญชี ไม่พ้นหักเหลี่ยมหมั่นไส้ตามเคย


    “โดนพนักงานเขม่นเพราะใกล้ชิดมึงอีกล่ะสิ ไม่พ้นปัญหาเดิมๆ”
    ไอ้พรตเบ้ปาก มองผมเหยียดๆ น่าจับจูบชะมัด..ดูทำท่าเข้า


    “ยุ่งยากนัก..หาเลขาผู้ชายให้กูซะสิ” เปลี่ยนผู้ชายบ้างท่าจะดีมั้ง
    ต้องการผู้ช่วยที่ไม่สร้างภาระปวดหัว


    “ดูคนนี้ก่อน พูดแหม่บๆ มาได้ไม่ถึงอาทิตย์”


    “เพราะรู้อนาคตคงอยู่ไม่นาน กลิ่นน้ำหอมยังทำมึงดมเหมือนหมา
    น่าจะพอเดาได้ กูพานปวดหัวไปด้วย”


    “ตกลงไม่ชอบ ปัญหามึงไม่พอใจ รายก่อนๆ โดนรุมตบในห้องน้ำ”
    มันพูดจริง..พนักงานสาวหมั่นไส้หนัก ดักตบในห้องน้ำเป็นเรื่องเป็นราว


    “พักเรื่องนี้ไว้เหอะ ไหนไปแวะกิน..ไปดิ” ตัดบท
    รวบเอกสารที่ทำค้างจัดวางให้เรียบร้อย ลุกบิดขี้เกียจเล็กน้อย
    มันมองผมก่อนค้อนเมินๆ ไม่ได้ค้อนอย่างตุ๊ดแต๋ว ค้อนแมนๆ
    เหมือนผู้ชายหมั่นไส้อริประมาณนั้น กรณีผมมันคงหมั่นไส้ตามประสารั่วๆ..
    ชอบอิจฉาผัวตัวเอง ผมชินแหละ


    “อีกแล้ว..อาทิตย์นี้มึงมารอบที่สี่แล้วพรต” มันบ้า แดกก๋วยจั๊บติดต่อกันตลอด


    “คึคึ!..ทางผ่านไม่ต้องนึกหาร้านให้ลำบาก” กวนตีน อยากกินยังมีหน้ามาอ้างอีก


    “ถามจริง..ติดใจอะไรนักหนา” รสชาติอร่อยผมไม่เถียง
    แต่ให้กินต่อเนื่องแบบนี้ กระเดือกไม่ลงจริงๆ


    “กูมาร้านก๋วยจั๊บ ใครบอกต้องสั่งก๋วยจั๊บ วันนี้กูสั่งผัดกระเพราต่างหาก ฮะฮ่าๆๆ”
    หัวเราะเป็นเด็กเชียว นี่มึง 29 จบป.โทจริงเปล่าเนี่ยะ ผ่านไปกี่ปียังคงล้นๆ รั่วๆ ไม่เปลี่ยน


    “จะแดกแบบนี้ไม่จำเป็นต้องถ่อมาถึงนี่ แถวบริษัทฯมีให้มึงแดก
    ติดแอร์ไม่ต้องร้อนอบอ้าวด้วย ราคาต่างกันไม่กี่ตังค์” บ่นไม่จริงจังนัก
    หลังสั่งรายการกับเจ้าของร้าน มันสั่งข้าวกระเพราไข่ดาว
    ผมขี้เกียจเรื่องมากขอเพิ่มเป็นสองจาน ดันเสือกไม่ยอมอีก
    เปลี่ยนของผมเป็นคะน้าหมูกรอบ โดยให้เหตุผลง่ายๆ
    สั่งเหมือนกันอดชิมอีกอย่างดิ..กรรม!


    อย่างที่บอก รอบบริษัทเราร้านตามสั่งเยอะแยะ
    มีห้องแอร์ให้นั่ง ถ่อมาร้านก๋วยจั๊บขายอาหารตามสั่งควบคู่
    เป็นห้องแถวเล็กๆ ดันวกรถเข้าซอยมากว่า 300 เมตร


    “เออน่าอย่าบ่น มึงไม่รู้อะไรซอยนี้พนักงานอยู่เกินครึ่งเชียวโว้ย!”


    “หืม..ไปเอาข้อมูลมาจากไหน” บางครั้งมันก็ทำผมแปลกใจ


    “อ้าว! กุนซือเทพไม่น่าโง่ ยากอะไรกูเช็คประวัติจากฝ่ายบุคคลดิ”


    “ประเด็นคือมึงสนใจทำไม ที่กูอยากรู้คือเรื่องนี้”


    “อย่าลืมเราเป็นผู้บริหาร การเป็นอยู่ทุกข์สุขพนักงานเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องสอดส่องดูแล”
    เหอะ! ทำพูดดี มึงเป็นลูกนักธุรกิจไอ้ห่า ไม่ใช่ลูกนักการเมืองอย่างกู เสือกสลับฐานะเฉยเลย


    “มึงจะเปิดมูลนิธิเหรอ หรือนักสังคมสงเคราะห์” อดประชดไม่ได้


    “ไม่ใช่แต่ใกล้เคียง กูตั้งใจตั้งกองทุนเพิ่มสวัสดิการนอกเหนือจากเดิมที่มีอยู่”
    ใบหน้าเปื้อนยิ้มแววตาคมเข้มไหวระริกอย่างมีความสุข เห็นแล้วเผลอยิ้มตามจนได้


    “กองทุนอะไร” ไม่ยักเกริ่นให้ผมรู้มาก่อน


    “กองทุนเพื่อการศึกษาของบุตรธิดาลูกหลานพญาเหยี่ยว ฮะฮ่าๆ”


    “บ้าไปแล้ว..ลูกหลานพนักงานไปเป็นลูกหลานพญาเหยี่ยวของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
    ความจริงผมพอจะเดาความคิดมันออก แต่อดเบรกไม่ได้


    “อ้าว! พนักงานคือลูกน้องในองค์กร ไม่ถือเป็นลูกหลานกูได้ยังไง”


    “มึงคงไม่รับอุปการะทั้งองค์กรหรอกนะพรต
    ต่อให้รวยล้นฟ้ามึงคงไม่มีปัญญาดูแลได้หมด” ผมเตือนให้คิด


    “ใครบอกกูจะสงเคราะห์ขนาดนั้น แค่ตั้งใจให้พนักงาน 2 ประเภท
    ที่มีสิทธิ์ยื่นเรื่องขอรับการสนับสนุนทุนการศึกษาลูก
    ประเภทแรกพนักงานดีเด่นขยันอดทนฝึกฝนมีวินัย น้ำใจล้นหลาม
    ใช้วิธีประเมิน 360 องศาจากเพื่อนร่วมงานและคนในองค์กร
    ประเภทที่ 2 พวกยากจนอัตคัตขัดสนชีวิตรันทดชักหน้าไม่ถึงหลัง พอเข้าใจยัง”


    “อืม..โครงการไม่เลว แล้วจะเริ่มเมื่อไหร่”


    “แค่แพลนในหัวยังไม่เป็นรูปร่าง ตอนนี้ขอสำรวจความเป็นอยู่
    เหมือนฮ่องเต้ในอดีต ปลอมตัวออกมาสืบวิถีความเป็นอยู่ราษฎร
    กูกำลังพามึงทำอยู่นี่ไงล่ะ” เป็นเอามาก..รั่วอีกเมียกู


    “จำเป็นต้องอ้างฮ่องเต้ พระเจ้าเสือของไทยท่านก็ทำ
    ถึงกับชกมวยงานวัดด้วยซ้ำ ว่าแต่มึงลงทุนไปไหม
    มานั่งแดกร้านนี้เพื่อจุดประสงค์มาแอบดูความเป็นอยู่พนักงาน
    ตกลงที่ผ่านมาได้ข้อมูลอะไรไปมั่ง”


    “น่า..กูไม่ปรึกษามึงเพราะเห็นงานมึงท่วมหัว
    ปัญหาของมึงต้องเร่งหาเลขาเก่งๆ เป็นผู้ช่วยโดยด่วน
    ก่อนเอกสารจะทับตายห่าเสียก่อน”


    “กูตายมึงก็หม้าย” ผมสวนทันควัน มันอ้าปากหวอ
    จังหวะข้าวมาเสิร์ฟที่โต๊ะ มันไม่ต่อปากต่อคำ
    สิ่งแรกที่ทำตักผัดคะน้าหมูกรอบผมไปชิมมีน้ำใจแบ่งผัดกระเพราใส่จานผมต่างหาก
    ไม่ถามสักคำผมยินดีรับหรือไม่


    เล็กน้อยๆ เป็นความตั้งใจหรือความสุข
    อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นความพึงพอใจของมัน
    ผมไม่เก็บมาเป็นประเด็นทำให้เรามีปากเสียงเรื่องไร้สาระ
    นอกจากจะยิ้มมองเป็นความน่ารัก
    ผู้ชายถึกสูงใหญ่สองคนนั่งแดกข้าวร่วมกับคนทั่วไป
    รับรู้ถึงสายตาชื่นชมมองจากโดยรอบ เหมือนเราเป็นจุดสนใจ
    เคยชินสิ่งเหล่านี้จึงไม่เกิดอาการประหม่าแม้แต่น้อย
    ผมกับพรตมองเป็นเรื่องปกติ


    ที่ไม่ปกติคือคนที่มองพวกเราแอบมีคำถามในใจ
    ผู้ชายแมนสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทยไปพอสมควร
    กินข้าวด้วยกันตักแบ่งอาหารอีก ตกลงเป็นเพื่อนสนิท
    เป็นพี่น้องหรือคู่เกย์ คำถามคาใจสังเกตจากแววตาที่เผลอสบ
    พอผมมองพวกเขารีบก้มหน้าหลบออกอาการเขินไม่ปิดบัง
    นึกดูตลกชะมัด คนเขินควรเป็นผมมากกว่าที่ถูกจับตาทุกอิริยาบถ


    “อร่อยเปล่า” มันเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ กลืนยังไม่ทันหมดคำ ถามผมดื้อๆ


    “อืม..” ขานรับเบาๆ


    “เหลือเวลาชั่วโมงครึ่ง ไม่น่ารีบออกมาเลยเนอะ”


    “เพิ่งรู้เหรอ ดึงกูมาแบบนี้ นึกว่ามีโปรแกรมพิเศษเสียอีก”



    “เปล่า..” รู้ตัวหลุดพิรุธรีบกลบเกลื่อนแต่ไม่เนียน นึกแล้วมันอ้าง
    จุดประสงค์หลักคงต้องการพิสูจน์ เลขาสาวแต่งตัวเซ็กซี่
    ที่เพิ่งเริ่มงานกับผมยั่วยวนผัวหรือเปล่า ประเด็นสำคัญผมรู้สึกยังไงตอบมากกว่า


    หลังกินเสร็จกลับขึ้นรถ มันไม่ออกรถกดโทรศัพท์ต่อสายหัวหน้าฝ่ายบุคคล
    ปล่อยผมนั่งข้างๆ ฟังเงียบๆ


    [ครับ..คุณพรต] เสียงปลายสายดังจากสปีคโฟน..มันเปิดลำโพง


    “ว่างคุยไหมคุณอิสระ”


    [ความจริงผมกำลังยุ่ง รีบไปดูลูกน้อง] ฝ่ายนั่นน้ำเสียงติดร้อนรน ให้ดูว่ารีบจริง


    “มีเรื่องอะไรครับ” พรตมันถามอย่างเป็นห่วง ไม่ได้แสดงอาการสอดรู้สอดเห็น
    คำว่าลูกน้อง..มันก็ห่วงเขาแล้ว


    [ยัยสมศรีแม่บ้านสิครับ ตอนนี้ตำรวจดักหน้าห้อง
    เธอโทรมาบอกให้ผมไปช่วยไกล่เกลี่ยหน่อย
    ไม่กล้าเปิดประตูกลัวตำรวจไม่ยอมฟังลากไปโรงพักแล้ววุ่นวาย]


    “ไปทำอะไรมา..ตำรวจถึงไปเคาะห้อง”


    [ห้องเช่าข้างๆ เห็นว่ามีโจรงัดบานเกล็ดยกเค้าทรัพย์สินไปไม่น้อย
    ตำรวจตั้งประเด็นสงสัยห้องข้างๆ ห้องยัยสมศรีวันนี้เป็นวันหยุดงานพอดี
    สันนิษฐานอาจมีส่วนรู้เห็นหรือเป็นโจรเสียเอง]


    “อ้าว! แล้วทำไมต้องกลัว ในเมื่อไม่ใช่คนทำ”
    ไอ้รั่วยังคงโต้ตอบออกความเห็นกลับไป


    [นี่แหละคือปัญหา ยัยสมศรีไม่มั่นใจว่าตำรวจกับเจ้าของห้องที่ไม่เคยรู้จักจะยอมฟัง
    เลยโทรมาขอร้องผมให้ไปช่วยไกล่เกลี่ย ถึงไม่ยอมเปิดประตูปล่อยตำรวจยืนรอ
    เห็นว่าถ้ายังไม่เปิดอีก 5 นาที จะงัดประตูเข้าไปลากตัวออกมาพิสูจน์หลักฐาน]


    “เห้ย! งัดได้ไง ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำลายทรัพย์สินคนอื่น
    เป็นคดีบุกรุกได้เลยนะ ตอนนี้คุณอิสระถึงไหน” ไอ้รั่วเริ่มมีอาการแล้ว


    [ผมกำลังขับรถ]


    “บ้านยัยสมศรีอยู่แถวไหน”


    [ซอยxxx เป็นห้องแถวให้เช่าอยู่ตรงxx ห้องที่สองนับจากซ้ายมือ]
    ซอยที่ว่าคือที่พวกผมจอดรถนี่แหละ


    “คุณอิสระขับรถระวังด้วย แค่นี้ครับ” มันตัดจบวางสายหันมายักคิ้วข้างเดียวให้ผม


    “ไปกัน..” เข้าใจทันทีงานนี้ขอแจม ผมไม่มีความคิดเห็นยกไหล่ให้มันฟรีๆ
    ต่อให้ห้ามคงจะฟังหรอก เรื่องช่วยเหลือคนเป็นสิ่งที่มันชื่นชอบเป็นทุนอยู่แล้ว
    ยิ่งรายนี้คือพนักงานแม่บ้านบริษัท มันไปดูแลแน่นอน


    ขับรถเข้ามาเล็กน้อย เลี้ยวขวาตรงทางแยกเข้ามาไม่ถึง 30 เมตร
    ก็ถึงห้องแถวที่ว่า ไม่ประหลาดใจไทยมุงกว่ายี่สิบคุยกันเซ็งแซ่
    ถึงประเด็นที่ตำรวจกำลังตัดสินใจงัดห้อง ลากตัวคุณสมศรีแม่บ้านมาสอบปากคำ
    คงเห็นพิรุธไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
    ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีไปโดยปริยาย


    “ขอโทษครับ เกิดปัญหาอะไรกันครับ” ไอ้รั่วปรี่เข้าไปหาตำรวจซึ่งยืนอยู่กับผู้เสียหาย
    ตรงหน้าห้องพักคุณสมศรี ห้องติดกันบานเกล็ดหายไปสามบาน เปิดช่องโหว่ชัดเจน


    “คุณเกี่ยวข้องอะไรครับ” ไม่ตอบแต่กลับสำรวจผมกับไอ้รั่วแทนสายตาประเมิน ก่อนพูด
    อย่างสุภาพคงเห็นการแต่งกายบวกเฟอร์น้อยชิ้นแต่หากไม่ตาต่ำย่อมประเมินมูลค่าได้
    แหวนคู่ที่เราต่างใส่นิ้วนางข้างซ้าย รูปแบบเหมือนกันหมด
    เพชรแวววาววิบวับบ่งบอกมูลค่าในตัวมันเอง


    “ผมเป็นเจ้านายของคนห้องนี้” ไอ้รั่วรีบแสดงฐานะ


    “ทางเราแค่ต้องการสอบปากคำคนที่อยู่ในห้อง หลังคุณคนนี้ซึ่งอาศัยอยู่ห้องติดกัน
    โดนโจรยกเค้าทรัพย์สินกว่าแสนบาท พยานทั่วไปในละแวกไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้
    เจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นคนข้างห้องที่รู้ว่าไม่ได้ออกไปไหน อยู่ภายในห้องทั้งวัน
    จะเป็นคนให้ปากคำที่เป็นประโยชน์แต่เราไม่ได้รับความร่วมมือ
    ทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยว่าคนในห้องอาจมีส่วนรู้เห็นกับหัวขโมย
    หรืออาจเป็นคนลงมือเสียเอง ทั้งหมดเป็นสมมุติฐานของเจ้าหน้าที่ครับ”
    ตำรวจบอกอย่างไม่ปิดบัง ไอ้รั่วคิ้วเข้มขมวดมุ่น ก่อนแทรกเข้าไปยืนหน้าห้อง
    ทำการเคาะประตูพร้อมส่งเสียงเข้าไป


    “คุณสมศรี ผมพรตนะ เปิดประตูออกมาคุยกันหน่อย”


    “คุณพรตเหรอคะ ช่วยดิฉันด้วยค่ะ ตำรวจคิดว่าดิฉันเป็นหัวขโมยงัดห้องข้างๆ
    พยายามมาพาตัวดิฉันไปโรงพัก” เสียงสั่นฟังตื่นๆ จับน้ำเสียงได้ดังกลับมา
    ไอ้รั่วหันไปสบตาตำรวจที่ยืนทำหน้าอิหลักอิเหลื่อจนคำพูด


    “อะไรทำให้คุณเข้าใจว่าตำรวจเขาคิดแบบนี้..เปิดประตูออกมาคุยกันก่อน”
    ไอ้รั่วเร่งให้คุณสมศรีเปิดประตู พร้อมถามเหตุผลไปด้วยในตัว
    แต่คุณสมศรียังไม่ยอมเปิด กลับตอบมาว่า


    “ดิฉันได้ยินตำรวจคุยกับเจ้าของห้องว่า
    ไม่มีใครในนี้ที่อยู่กันเลยยกเว้นดิฉันอยู่ในห้อง จึงเป็นคนที่เข้าข่ายน่าสงสัยมากที่สุด”
    ไอ้รั่วหันไปมองหน้านายตำรวจคนเดิมอีก คราวนี้เจื่อนสนิท
    คงไม่คิดว่าคำพูดตนเองจะดังให้ได้ยินถึงด้านในห้อง


    “สบายใจได้คุณเปิดประตูเถอะ ถ้าบริสุทธิ์ใจไม่ต้องกลัวความผิด
    ผมไม่ยอมให้ใครพาคุณไปไหนหรอก” พอฟังคำรับปากไอ้รั่ว
    เสียงลูกบิดกับสลักกลอนก็ดังขึ้น


    “กริ๊ก!..แอ๊ดดด!!” อุแม่เจ้า! ร่างแม่บ้านวัยกลางคน
    ตัวน้องธิดาช้างสามพรานเผยโฉม ตำรวจอึ้งปากค้าง
    ส่วนไอ้รั่วกลับหัวเราะท้องแข็งไม่สนใจสายตาไทยมุงที่มองมางงๆ


    “คงไม่ต้องให้ปากคำแล้วมั้ง คุณดูรูปร่างลูกน้องผมสิ
    ไม่สามารถมุดลอดบานเกล็ดสามบานเข้าไปยกเค้าในห้องนี้หรอกจริงไหม
    ในเมื่อแม่กุญแจยังคล้องสายยูปกติ ทางที่คนร้ายขโมยของมีค่า
    ออกมาจากห้องนี้ได้คงมีทางเดียวคือลอดตรงช่องบานเกล็ด..ฮะฮ่าๆๆ”
    ผมยิ้มไปกับบทสรุป คุณสมศรีเชิดหน้าเริ่ดทันควัน หลังไอ้รั่วเข้าข้างอย่างเป็นธรรม
    พร้อมท่าทางหัวเราะงอหาย เสียงหัวเราะของไทยมุงที่เริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าไอ้รั่วหัวเราะอะไร
    ผู้ต้องสงสัยแบกน้ำหนักกว่าแปดสิบโล สามารถพาร่างอวบอั๋น
    ลอดบานเกล็ดไปยกเค้าเป็นเรื่องไม่ต้องคิดกันเลย


    เจ้าหน้าที่ยอมขอโทษคุณสมศรีที่ดันปากพล่อย
    จนทำให้เธอไม่กล้าออกมาเผชิญหน้าขังตัวเองอยู่ในห้อง
    ตัดสินใจโทรหาคุณอิสระหัวหน้าฝ่ายบุคคลของบริษัท
    ยึดเป็นที่พึ่งให้มาช่วยไกล่เกลี่ยแก้ไขสถานการณ์
    สรุปคุณอิสระมาถึงทุกอย่างคลี่คลายไม่มีไทยมุง
    ไม่มีตำรวจไม่เหลือใคร มาเมื่อตลาดวาย


    “ขอบคุณนะคะคุณพรต..คุณรันที่มาช่วยดิฉัน
    ไม่คิดว่าเจ้านายจะมาเอง เป็นบุญหัวดิฉันสุดๆ”
    หลังเชิญพวกเราเข้าไปนั่งยังห้องแคบๆ ไม่มีอะไรกั้นเป็นสัดส่วน
    ยกเว้นห้องน้ำกับระเบียง เตียงนอนโซฟารับแขกอยู่ในแอเรียเดียวกันหมด
    เพียงแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย


    “ไม่เป็นไรครับ ผมมาธุระแถวนี้พอดี
    ว่าแต่คุณสมศรีอยู่กับใครไปไหนกันหมดเหรอครับ”
    ไอ้พรตกวาดสายตาลวกๆ สำรวจคร่าวๆ
    ผมนั่งฟังมันสัมภาษณ์ไปพลางๆ คุณอิสระนั่งอย่างสำรวมไม่หือไม่อือ


    “อยู่คนเดียวมาหลายปีแล้วค่ะ” เธอตอบน้ำเสียงติดเศร้านิดๆ


    “อ้าว! ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเหรอครับ”


    “เคยมีสามี หลังจากเขาไปมีคนใหม่พร้อมกับทิ้งภาระหนี้สิน
    จนอิฉันกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ก็ไม่มีใครเหลือแล้ว” เธอพูดเริ่มจะติดสั่น


    “เออ..ขอโทษที่ผมถาม เห็นรูปรับพระราชทานปริญญาบัตร
    คุณสมศรีเรียนจบอะไรมาครับ” ผมมองตามสายตาไอ้รั่วไปบนหลังตู้วางทีวี
    มีภาพเธอสวมชุดครุยอยู่ในกรอบ ตอนนั้นถึงจะยังสาวแต่ก็คงเค้าเดิมไม่เปลี่ยนโดยเฉพาะหุ่น


    “ดิฉันจบอักษรฯ จากมหา’ลัย xxx ค่ะ” โห..ความรู้ไม่ธรรมดา


    “คิดยังไงมาสมัครเป็นแม่บ้าน ความรู้ความสามารถดูไม่ธรรมดานี่ครับ
    ก่อนหน้าเคยทำอะไรครับ” ไอ้รั่วทำหน้าที่สัมภาษณ์อย่างละเอียดโดยมีผมนั่งฟังเงียบๆ
    พร้อมหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่ควรทำหน้าที่นี้ กลับรับบทผู้สังเกตการณ์หุบปากสนิทไม่ต่างกัน


    “ก่อนหน้าดิฉันทำงานกระทรวงxxx หลังโดนฟ้องล้มละลาย
    ก็ถูกปลดออกจากราชการเพราะเป็นคดีความ
    ประวัติด่างพร้อยไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ
    กระทั่งได้งานตำแหน่งแม่บ้านบริษัทคุณพรต
    คุณอิสระมีน้ำใจรับดิฉันเข้าทำงาน ถือเป็นความกรุณายิ่งแล้ว
    ทำให้พอเลี้ยงตัวเช่าห้องอยู่ได้ นิติกรรมการเงินต่างๆ ต้องรับเป็นเงินสด
    เงินเดือนผ่านแบงก์ก็ต้องถูกยึดทรัพย์ ความจริงผิดระเบียบบริษัท
    ที่มีพนักงานนอกระบบอย่างอิฉันที่นี่ เพราะคุณอิสระเห็นใจยอมแหกกฎ
    ไม่นำดิฉันเข้าระบบเป็นกรณีพิเศษ แม้แต่ประกันสังคมดิฉันยังส่งไม่ได้
    ไม่อย่างนั้นคงมีหมายศาลมาตามหักเงินเดือนไปทุกเดือน
    ไม่พอค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรอกค่ะ”
    ฟังดูน้ำเน่าพอสมควร ชีวิตคนเรามักเจอชะตากรรมน้ำเน่ายิ่งกว่าละคร
    เพียงแต่ได้ไปรับรู้เห็นสภาพเขาเหล่านั้นหรือเปล่าต่างหาก
    เช่นกรณีคุณสมศรีที่อยู่ใกล้ตัว ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้ผมกับพรตคงไม่รู้
    มีพนักงานในองค์กรอยู่นอกระบบ ทำหน้าที่แม่บ้านดูแลความสะอาดบริษัทของเราด้วย


    “แล้วหนี้สินที่ถูกฟ้องล้มละลายจนยึดทรัพย์ เกิดขึ้นได้ยังไงครับ”
    จากนั้นก็เป็นคำบอกเล่าจากปากคุณสมศรี สามีไปติดผู้หญิงเล่นการพนัน
    จนไม่เป็นอันทำการทำงาน เมียน้อยไปเจอกันในบ่อน
    ทำให้หนี้สินตามมาแอบเอาทรัพย์สินที่มีไปจำนอง
    ทั้งรถบ้านโดยที่เธอไม่รู้ มารู้ก็สายแล้ว..


    “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปคุณคือเลขาของคุณรัน
    รบกวนคุณอิสระประกาศรับแม่บ้านมาแทนคุณสมศรีด้วย
    ให้คุณสมศรีไปเป็นเลขาคุณรัน” ไอ้รั่วสั่งเองผมยิ้มไม่ปฏิเสธ
    ดูจากประสบการณ์ทำงานวัยวุฒิคุณวุฒิ
    คงได้เลขาฝีมือดีมาช่วยทำงานจริงจังคราวนี้แหละ


    “คนที่เพิ่งมาทำล่ะครับ” คุณอิสระกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด


    “ระบุใบประเมินไม่ผ่าน หากสงสารก็พิจารณาตำแหน่งอื่นแทน
    เธอไม่เหมาะงานเลขาคุณรัน เรื่องนี้ผมพิสูจน์มาแล้ว
    ความจริงนโยบายในองค์กรเรา ต้องประเมินพนักงานภายในใหม่
    รบกวนเรื่องนี้อีกข้อที่คุณอิสระรับไปทำให้ผมที
    ศักยภาพความรู้ความสามารถของพนักงานเก่าๆ ที่มี
    ตำแหน่งไหนว่างไม่ควรรีบประกาศรับคนนอก
    ลองมองคนในที่เหมาะสมขึ้นมาพิจารณาก่อน
    ถ้าลงตำแหน่งได้ควรให้โอกาสเขาเหล่านั้น
    เป็นการสร้างขวัญกำลังใจพนักงานอีกทางหนึ่ง


    ส่วนตำแหน่งที่ว่างลงค่อยประกาศรับ หาไม่ได้จริงๆ
    คุณสมบัติไม่เหมาะสมค่อยประกาศจากภายนอกก็ไม่สาย เห็นด้วยกับผมไหม”
    ผมยิ้มกับความคิดของมัน พรตไม่ใช่รั่วอย่างไร้สาระ มันมีสมองที่ฉลาดจนล้น
    ความคิดมุมกลับที่ไม่ธรรมดา คำพูดคำจาฟังไม่เหมือนคนทั่วไป
    ทำให้ใครๆ มองมันรั่วสุดโต่งบ้าๆ บอๆ
    ใครรู้ดีเท่าผมครับมันไม่ได้รั่วแต่ฉลาดหลักแหลมต่างหาก...หึหึ!


    เสร็จธุระจากห้องเช่าคุณสมศรี ผมกับพรตมาถึงสถานีวิทยุคลื่นดังที่เชิญเราให้สัมภาษณ์
    หลังได้รับโหวตจากนิตยสารอินเตอร์ฉบับหนึ่งให้เป็นคู่หูนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งปี
    ติดโผ 1 ใน 10 มาสดๆ ร้อนๆ


    “สวัสดีครับ ผมมาไม่เลทใช่ไหม”
    เข้าไปทักทายเจ้าของสถานีรอต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง


    “ไม่เลยครับ กำลังได้เวลาออกอากาศพอดี สคริปคร่าวๆ
    ที่ส่งไปให้คุณพรตอ่านล่วงหน้ากับคุณรัน
    เป็นหน้าที่ดีเจในรายการตั้งคำถามคุณสองคนสลับกันไม่เกิน 5 นาที
    เหลืออีก 5 นาทีให้ผู้ฟังทางบ้านโทรเข้ามาร่วมพูดคุย
    กับคุณสองคนเพื่อร่วมสนุกในรายการ บลาๆๆ”
    จบการนัดแนะ พวกเราก็ถูกเชิญไปยังห้องออกอากาศของสถานี
    เจอดีเจสาวเสียงใสหน้าตาสะสวยยกมือไหว้ตอนรับด้วยอาการเขินอย่างเห็นได้ชัด
    ทักทายเล็กน้อยก็เข้าสู่รายการสัมภาษณ์
    หลังเปิดเพลงในรายการนำร่องไปสองเพลง
    ระหว่างนั้นเธอทำความคุ้นเคยพวกผมพลางๆเพื่อสร้างความเป็นกันเอง
    สังเกตสายตาที่เธอใช้มองพรตเยิ้มตลอด หลงความหล่อของมันเข้าอย่างจัง


    “เอาล่ะค่ะ วันนี้นับเป็นเกียรติรายการ
    ได้แขกรับเชิญรูปหล่องามดังเทพเจ้ากรีกสองหนุ่มโสดมาเยือนตามคำเชิญของสถานี
    หลายคนคงพอรู้จัก ติดโผท็อปเท็นอันดับ 5 นักธุรกิจหนุ่มหล่อไฟแรงพันล้านมาหมาดๆ
    จนเป็นที่ฮือฮาอย่างครึกโครม ได้ชื่อว่าคิวทองมากสำหรับสองหนุ่มที่สาวๆพากันคลั่งทั่วประเทศ
    ไม่ให้เสียเวลา เหมียวจ๋าขอเชิญพบกับคุณวรพรต มณีกาญจน์กับคุณอรัญ
    ขจรเกียรติวงศ์ เรียกชื่อเล่นจำง่าย คุณพรต คุณรันแทนนะคะ..เฮๆๆ!!”
    เสียงซาวน์ปรบมือกับเสียงกรี๊ดเปิดจาก CD ต้อนรับพวกเรา


    “สวัสดีครับ ผมพรตครับ สวัสดีครับ..ผมรันครับ”
    เราต่างแนะนำตัวผ่านไมค์ตรงหน้าโต๊ะอย่างเป็นทางการสั้นๆ อีกครั้ง


    “เพื่อไม่ให้เสียเวลา เข้าสู่คำถามแรกที่สาวๆ ทั้งประเทศอยากรู้มากที่สุดเลยนะคะ
    คุณพรตกับคุณรันทราบว่ายังโสดทั้งคู่ ตกลงโสดสนิทไม่มีภรรยาเป็นตัวตนจริงหรือเปล่าคะ”
    ผมกับไอ้รั่วมองหน้ากันยิ้มๆ ก่อนผายมือให้มันทำหน้าที่เป็นคนตอบ


    “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง ผมโสดแต่ไม่สนิท..ฮะฮ่าๆ”
    พูดจบดันหัวเราะออกไมค์อย่างมีความสุข พลอยทำให้ผมอดขำตามไปด้วย


    “อ้าว! แบบนี้แสดงว่าแอบมีกิ๊กซ่อนไว้แน่ ว้า! พาสาวๆหลายคนใจแป้วกันเลยทีเดียว
    ในฐานะที่ดิฉันก็เป็นอีกคนที่แอบปลื้มคุณพรตคุณรันด้วยเช่นกัน
    พอจะแย้มได้ไหมคะ ว่าสาวโชคดีคนนั้นเป็นใคร
    มีแพลนสละโสดเมื่อไหร่ จะได้คอยเป็นกำลังใจไปด้วย” เธอพูดกึ่งแซวอย่างน่ารัก


    “ไม่แย้มไม่พรายนะครับ เอาเป็นว่าเรื่องสละโสดแต่งเมื่อไหร่ คงตอบไม่ติดขัด
    รอคุณรันแต่งผมก็แต่งเมื่อนั้นครับ” หึหึ! ฟังมันตอบดิ


    “โห!..นี่คู่หูดูโอตัวจริงเสียงจริงเลยทีเดียว
    ประวัติสนิทกันตั้งแต่มัธยมกระทั่งตอนนี้..เรื่องแต่งงานมีครอบครัวยังอิงกันอีก
    แล้วคุณรันล่ะคะ มีแพลนเกี่ยวกับครอบครัวไว้ยังไงบ้างเอ่ย”
    เธอหันมาคำถามผม ชำเลืองสบตาไอ้รั่วที่มองผมยิ้มๆ


    “ผมคงคำตอบเดียวกับคุณพรตครับ รอคุณพรตแต่งผมค่อยแต่ง
    ไม่อยากหนีไปแต่งก่อน เดี๋ยวจะหาว่าทิ้งกัน..ฮะฮ่าๆๆ”
    ปิดท้ายหัวเราะเลย เพราะไอ้รั่วมันหน้าแดงก่ำ พาผมขำจนได้


    “แหม..เล่นโยนกันแบบนี้ เหมียวจ๋าจนปัญญาง้างปากสองหนุ่มหล่อ
    ของพวกเราแล้วค่ะคุณผู้ฟัง มาสนใจคำถามต่อไปดีกว่า
    คนหนึ่งเป็นทายาทธุรกิจจิวเวลรี่แถวหน้าของประเทศ
    ส่วนอีกคนทายาทนักการเมือง โคจรมาพบกันตั้งแต่เรียนจนกระทั่งชีวิตวัยทำงาน
    ยังร่วมกันบริหารบริษัทฯ จนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย บลาๆๆ”
    เธอถามต่อเนื่อง คำถามที่เคยส่งสคริปให้อ่านคร่าวๆไม่มีนอกบท
    เราตอบอย่างไม่มีคลางแคลง จนเข้าสู่ช่วงที่สองหลังเปิดเพลงให้ผู้ฟังทางบ้าน 2 เพลง
    คือการรับสายสดจากผู้ฟังที่โทรเข้ามาร่วมสนุกในรายการ


    “กริ๊งงงงๆๆๆ!! สวัสดีค่ะ รายการคลื่นความสุข สนุกกับเหมียวจ๋า
    ยินดีกับสายแรก ต้องการคุยกับแขกรับเชิญเชิญได้เลยค่ะ” ดีเจเหมียวจ๋า
    กดอินเตอร์โฟนรับสายเสร็จ เปิดโอกาสให้เธอคุยกับพวกเราทันที เพื่อให้เวลากระชับมากขึ้น


    “สวัสดีค่ะพี่พรต พี่รัน กรี๊ด!!” ทักทายพวกผม ปิดท้ายกรี๊ดตามมาติดๆ
    เหมือนอยู่กันสามสี่คน เสียงสาวๆ ทั้งนั้น


    “สวัสดีครับ ดีครับ..แนะนำตัวหน่อยชื่ออะไรครับ”
    ไอ้รั่วทำหน้าที่ถามอย่างกับดีเจมืออาชีพ


    “ชื่อน้องแวนค่ะ” เสียงโทรศัพท์ซ่าจนฟังเพี้ยนนิดๆ


    “ชื่ออะไรนะครับ แวนหรือแหวนพี่ได้ยินไม่ชัด
    รบกวนปิดวิทยุก่อนดีกว่าไหม เหมือนคลื่นจะแทรก”
    จริงอย่างที่ไอ้รั่วมันแนะนำ เหมือนพวกเธอเปิดวิทยุไปด้วย
    คลื่นโทรศัพท์กับวิทยุตีกันจนมีเสียงซ่า


    “ชื่อแวนค่ะ..กรี๊ดดดๆๆ” เธอพูดจบประโยชน์ก็พากันกรี๊ด
    โดยมีเสียงลูกคู่คงเป็นกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันประสานชัดเจน


    “โอเคน้องแวน น้องแวนเป็นคนที่ไหนครับ” ไอ้รั่วอารมณ์ดี
    ถามเสียงทุ้มหล่อ สาวๆ ถึงได้กรี๊ดเสียงมันอย่างที่ได้ยิน


    “เป็นคนกรุงเทพฯ..กรี๊ดดๆๆ” น้องเขาตอบมา ตกลงตอนนี้ใครสัมภาษณ์ใคร
    ใครตั้งคำถามใครกลายเป็นแขกรับเชิญถามผู้ฟังทางบ้านเสียอย่างนั้น
    เมื่อไม่มีการทักท้วงจากดีเจเหมียวจ๋า ปล่อยไอ้รั่วไหลตามธรรมชาติ
    ซึ่งมันทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดด้วยซ้ำ



    “เป็นคนกรุงเทพฯ อยู่แถวไหนครับ” มันมีความสุขกับการได้คุย
    ทำให้ภาพนักกิจกรรมตัวยงไหลเข้าหัวผมอีกครั้ง
    ความมีเสน่ห์ของพรตคือการเอนเตอร์เทนอย่างที่ทำ
    สามารถปล่อยฟีโรโมนกระจายโดยไม่รู้ตัว
    ดีเจเหมียวจ๋าเป็นตัวอย่าง ตาเยิ้มเคลิ้มฝันจ้องมันล่องลอยไปแล้วตอนนี้


    “แวนเป็นคน..ตลิ่งซัน..กรี๊ดด!!”
    อือหือ..เธอคงตื่นเต้นล่อซะชอช้างเป็นซอโซ่ชัดถ้อยชัดคำ


    “เหรอ..น้องแวนเป็นคนกรุงเทพฯ อยู่ตลิ่งซัน..โว๊ะๆ!..
    แถวเดียวกับอ้ายบ่าวแหละอีหล้า..ฮะฮ่าๆ”
    อ้าว! ไอ้รั่วเสียงในฟิล์มเว้าอีสานสำเนียงแปร่งๆ อย่างฮา
    ปิดท้ายเสียงหัวเราะขำกลิ้งของมันเอง คงตลกตัวเองที่เล่นพูดอีสาน
    พาดีเจเหมียวจ๋าหัวเราะปิดปากหน้าดำหน้าแดง


    “ฮ่วย! แท้บ่ออ้ายบ่าวพรต คือคนอีสานบ้านเดียวกัน..กรี๊ดดด!!”
    เธอแล้งอีสานคล่องปรือ สรุปเธอคนกรุงเทพฯอยู่ตลิ่งซัน
    สาวแวนจอมกรี๊ดจากทางบ้าน เล่นเอาผมขำน้ำตาเล็ดงานนี้



    “อ้าว! สายหลุดเสียแล้วอีหล้า..ฮะฮ่าๆ” จู่ๆ สายหลุด
    ผมยังขำไม่หยุด ชำเลืองดูดีเจเหมียวจ๋า
    รายนั้นขำชนิดฟุบหัวกับโต๊ะไหล่สั่นเรียบร้อย
    คำตอบแสนซื่อฟังใสสะอาดของผู้ฟังทางบ้าน


    หลังจากนั้นเหลือเวลารับอีกสองสาย เป็นผมตอบคำถามไม่มีอะไรมาก
    ส่วนใหญ่สาวที่ปลื้มพวกเรา ดีใจที่ได้คุยสดประมาณนั้น


    เสร็จจากสถานีล่ำลาเรียบร้อย ผมกับไอ้รั่วดิ่งกลับบ้านทันที
    ไม่แวะกลับเข้าบริษัทแล้ว ดูเวลาปาเข้าไปจะสี่โมงเย็นแล้วด้วย
    เผื่อรถติดถึงบ้านคงหกโมงพอดี ตอนเดินออกจากสถานีดีเจเหมียวจ๋ามองตามหลัง
    แอบเห็นสายตาอ้อยอิ่งอาลัยจากเธอที่แผ่นหลังกว้างของไอ้รั่ว
    เฮ้อ! ไม่วายทำหัวใจสาวกระตุกหล่นตามเคย
    ยิ่งมีวัยวุฒิความสมาร์ทกับเสน่ห์ของมันยิ่งล้ำลึกมากยิ่งขึ้น


    “สนุกเนอะ” จู่ๆ มันก็เปรย มือเคาะพวกมาลัยรถให้จังหวะเริงร่า
    เปิดเพลงคลอเบาๆ รถติดยาวเป็นรถไฟยังไม่หงุดหงิด ท่าจะมีความสุขจริง


    “อืม..ดูมึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ” ผมบอกตามที่เห็น


    “ได้ยินคำพูดซื่อใสของน้องแวนคนกรุงเทพฯ อยู่ตลิ่งซัน..ฮะฮ่าๆ”
    พอมันพูดประโยคนี้หัวเราะตาปิด ทำเอาผมขำไหล่สั่นไปด้วย


    มองมุมกลับเธอซื่อจริง แสดงออกจากใจล้วนๆ ไม่มีแอ๊บแบ๊วแต่งเสียงให้พิรุธ
    คนที่ได้สัมผัสพลอยมีความสุขด้วย ไม่ได้หัวเราะขำความโก๊ะเปิ่นของเธอแม้แต่น้อย
    แต่หัวเราะด้วยความเอ็นดูในความใสซื่อแฝงความตลกอย่างเป็นธรรมชาติ
    ถ้าสายไม่หลุดคงได้ฟังคำพูดซื่อๆ ของเธอไม่น้อย โดยคนพูดไม่รู้ตัวสักนิด
    ได้ทำให้พวกผมมีความสุข เชื่อว่าทางบ้านที่รับฟังออกอากาศ
    คงมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไม่ต่างกับเราเช่นกัน...


    หลังควบคุมอารมณ์ขำของตัวเองในระดับหนึ่ง
    ชำเลืองวงหน้าคมคายหล่อเหลาอย่างลงตัวคนขับ
    ตาสวยประดับด้วยขนตาดำเป็นแพหนากำลังมองไปบนท้องถนนด้านหน้า
    มือเคาะจังหวะพวกมาลัย เคลื่อนรถฝ่าการจราจรแออัดด้วยใบหน้ามีความสุข
    ผมแอบมีคำถามกับตัวเอง นี่ผมกับพรตอยู่กันมา 12 ปีแล้วหรือนี่ ครบรอบนักษัตร


    นานแค่ไหนกันที่ผมไม่อาจละสายตาจากมันได้
    นับตั้งแต่เผลอสบตาในกระจกห้องน้ำตอนมัธยม
    แล้วมีการท้ายทายแข่งกีฬาสีของเราขึ้น จนมันแพ้กลายเป็นเมียผม
    ล่วงเลยมาถึงบัดนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเหตุการณ์ไม่น้อย
    ผมยังมีมันอยู่เคียงข้างสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
    เพิ่มสีสันชีวิตให้คนที่จริงจังอย่างผมไม่เบื่อ
    ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยชีวิตผมก็มีสิ่งสำคัญเป็นสมบัติของตัวเองไม่ด้อยกว่าใคร...’เหยี่ยวรั่วของผม’



    ปล.อัพตอนแรกนะคะ ใครไม่รู้ที่มาที่ไปของสองหนุ่มรูปหล่อของเรา
    รบกวนไปอ่านเรื่อง 'เหยี่ยวหัวใจ' กันก่อนนะคะ แล้วถึงจะเข้าใจรู้จักพวกเขาดีขึ้นค่ะ
    ขอกำล้งใจจากคนอ่านทุกท่าน และฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมกอดด้วยเช่นเคย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×