ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@@ เทพพิทักษ์ขุนทัพ โดย Luk (จบบริบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #8 : นักล่าหัวใจ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 55


                            นักล่าหัวใจ?

      “โอย! อืม” เสียงครางของขุนดอน ทำให้ขุนทัพที่หลับฟุบอยู่ข้างเตียงผลุนผลันตื่นขึ้นอย่างเร็ว  รีบเข้าไปถามอาการคนป่วยเร็วปรื๋อจนแลดูลุกรี้ลุกรนไปเลยเชียว
      “ดอนๆ เป็นไงมั้งหืม เจ็บตรงไหนบอกกูดิ?” ขุนดอนนิ่วหน้าเม้มปากแน่นคงปวดแผลไม่น้อย เพราะยาน่าจะหมดฤทธิ์แล้วถึงได้รู้สึกตัวตื่นก่อนตาคมสวยจะจ้องหน้าขุนทัพนิ่งที่เห็นเจ้านายหน้าตาตื่นออกอาการเป็นห่วงซะยังกะตัวเองเป็นคนเจ็บเสียเอง
      “อืมปวดแผลครับ แต่พอทนได้” ขุนดอนไม่อยากให้ขุนทัพวิตกเกินไป  รีบบอกไปแม้จะยังปวดไม่น้อยแต่ก็บอกว่ายังพอทนได้เพื่อตัดความกังวลของขุนทัพแทน
      “เหรอ? งั้นมึงรอแป๊ปนะเดี๋ยวหมอก็มา” พูดจบกดกริ่งบนหัวเตียงเรียกพยาบาลทันที  ระหว่างรอก็ถามถึงอาการขุนทัพยังกะตนเป็นหมอมาตรวจอาการเสียเองซะงั้น
      “แล้วนอกจากปวดแผลแล้ว มึงเจ็บตรงไหนอีก หายใจสะดวกไหมหืม?”  ท่าทางของขุนทัพที่แสดงออกทั้งการกระทำและคำพูด ทำเอาคนป่วยที่กำลังหน้านิ่วเม้มปากทนเจ็บต้องหน้าแดงก่ำ  สาเหตุเพราะคนป่วยอยากหัวเราะคนทำหน้าที่ยังกับหมอสอบถามอาการตนด้วยความเป็นห่วง แต่ก็กลั้นขำไว้เพราะกลัวหลุดหัวเราะมาแล้วจะยิ่งทำให้ปวดแผลเข้าไปใหญ่ ใบหน้าเลยแดงก่ำอย่างที่เห็น
      “แย่แล้ว มึงไข้ขึ้นกะทันหันซะแล้วกูว่า หน้ามึงแดงฉิบหาย” กลับหนักเข้าไปใหญ่เมื่อขุนทัพสรุปเอาเองเสร็จสรรพ กุลีกุจอพุ่งเข้าห้องน้ำจัดการเปิดน้ำใส่อ่างที่เค้าเตรียมไว้สำหรับเช็ดตัวคนป่วย เปิดน้ำเย็นผสมน้ำอุ่นนำผ้าขนหนูลงแช่ยกออกมา จังหวะพยาบาลเปิดประตูเข้ามาพอดี
      “สวัสดีค่ะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วคงจะปวดแผลใช่ไหมค่ะ?”  พยาบาลยิ้มหวานให้กับขุนดอน ทำเอาขุนทัพหน้าหดเหลือสองนิ้วรู้สึกขัดใจกับท่าทีหน้าระรื่นของพยาบาลสาวอย่างไม่ทราบสาเหตุ  รีบเข้าไปประชิดติดเตียงแล้วแย่งตอบยังกะเค้าถามตนซะเอง
      “เพิ่งรู้สึกตัวครับ ปวดแผลมากรบกวนขอยาระงับปวดให้ด้วยครับแล้วก็ยาแก้ไข้ด้วยนะคิดว่าไข้ขึ้นครับ” รายงานทั้งในส่วนของคนป่วยและสั่งจัดยายังกับตนเป็นหมอซะเอง ทำเอาพยาบาลสาวถึงกับอดยิ้มขำต่อท่าทีของขุนทัพไม่ได้ อดนึกชมอยู่ในใจว่าทั้งคนไข้และคนเฝ้าไข้ช่างหล่อลากไส้กันทั้งคู่ นับครั้งได้ที่จะเจอผู้ชายหล่อไร้ที่ติอย่างสองคนนี้
      “ยาแก้ปวดพอจัดให้ได้ค่ะ คุณหมอท่านบอกไว้แล้วว่าหากคนไข้รู้สึกตัวคงปวดแผลแน่ ส่วนยาลดไข้คงต้องรอหมอสั่งก่อน แต่ยังไงเดี๋ยวดิฉันขอวัดไข้ให้แน่ใจอีกที ถ้ามีไข้จะเรียนคุณหมอให้หมอสั่งยาให้นะคะ”ขุนทัพได้แต่พยักหน้ารับ สายตาคมวาวของขุนทัพทำให้พยาบาลสาวถึงกับหน้าแดงไปด้วย คนอะไรขนาดทำหน้าดุยังหล่อได้อีก ตรงข้ามกับขุนทัพที่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นพยาบาลกำลังจะปลดกระดุมเสื้อของขุนดอนเพื่อนำปรอทวัดไข้สอดเหน็บไว้ใต้รักแร้  จนต้องพูดดักขึ้นก่อนว่า
      “เหน็บไว้ใต้ซอกคอแทนไม่ได้หรือครับจะได้ไม่ยุ่งยากปลดกระดุมออกให้เสียเวลาด้วย” พยาบาลจำต้องหันมามองหน้าขุนทัพอย่างงงๆ ก่อนจะตอบกลับมาว่า
      “ก็ได้เหมือนกันค่ะ คงต้องรบกวนคุณดูไว้ด้วยนะคะ กลัวผู้ป่วยขยับแล้วปรอทจะหลุดตก” จากนั้นจึงหยุดการแก้เชือกที่ผูกปมบนเสื้อของขุนดอนทำการผูกกลับคืนให้เหมือนเดิม อกขาวๆหนั่นแน่นไปด้วยกล้าม
    เนื้อหนุ่มจึงไม่ทันได้เผยออกมาให้เห็น เสร็จเรียบร้อยพยาบาลก็เหน็บปรอทสอดไว้ใต้ซอกคอของขุนดอนแทน ปล่อยให้คนป่วยที่นอนทำหน้านิ่งจ้องมองการกระทำและการโต้ตอบไปมาของเจ้านายหนุ่มกับพยาบาลสาวอย่างไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ
      หลังจากพยาบาลเดินลับออกประตูไป ขุนทัพรีบวางอ่างที่มีน้ำอุ่นพร้อมผ้าขนหนูลงยังโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะรีบเดินไปล็อกประตูห้องซะเลย
    เสร็จสรรพ กลับมายืนข้างเตียงไม่พูดไม่จาลงมือแก้เชือกผูกปมเสื้อขุนดอนหน้าตาเฉย จนคนถูกกระทำต้องนิ่วหน้าด้วยความสงสัยอดไม่ได้เอ่ยปาก
    ถามไปตรงๆ ว่า
      “คุณทัพกำลังจะทำอะไรครับ?”  คำถามขุนดอนไม่สามารถหยุดมือหนาแข็งแรงที่ปลดเชือกออกที่ละอันๆ พร้อมกับปากหยักได้รูปสวยก็ตอบกลับมาอย่างไม่ใช่เรื่องที่ขุนดอนควรถามเลยซะนี่
      “ก็กำลังจะเช็ดตัวลดไข้ให้มึงไง มึงมีไข้ก็ต้องเช็ดตัวลดไข้สิวะถามแปลก” คำตอบของขุนทัพ ทำเอาขุนดอนไม่สามารถปั้นหน้านิ่งได้อีกต่อไป  ต้องขมวดคิ้วขึ้นทันทีแล้วสวนกลับไปว่า
      “คุณทัพรู้หรือครับว่าผมมีไข้?”  ครั้งนี้ขุนทัพหยุดมือค้างไว้ 
    มองสบตากับขุนดอน ก่อนตอบหน้าตายว่า
      “หน้ามึงแดงขนาดนั้นไม่ใช่เพราะตัวร้อนไข้ขึ้นแล้วจะอะไรอีกไม่ต้องถึงมือหมอกูก็พอดูเป็นเหมือนกัน” คราวนี้ขุนดอนขี้เกียจจะอธิบายเลยเฉเปลี่ยนคำถามว่า
      “แล้วคุณทัพเคยเช็ดตัวให้คนป่วยมาก่อนหรือครับ?” เป็นคำถามพิฆาตขุนทัพเลยก็ว่าได้ เหมือนโดนตีแสกหน้าเข้าอย่างจัง  เพราะตั้งแต่เกิดมาตนเคยเช็ดตัวให้ใครซะที่ไหน  ตอนป่วยไม่สบายสมัยเด็กๆ ก็ได้ขุนดอนเป็นคนดูแลเช็ดตัวให้ คิดขึ้นมาแล้วกลายเป็นตนกลับเป็นฝ่ายหูแดงหน้าแดงซะเอง  ขุนดอนพอดูออกว่าขุนทัพกำลังเขินอย่างแรง  ที่ตนถามไปแบบนั้น
      “เออ!กูคิดว่าไม่ยากหรอก มึงยังเคยทำให้กูเลยตอนกูป่วย พอจำได้ละน่าไม่ต้องห่วง นอนเฉยๆเหอะกูทำเอง” พูดจบหันไปจัดการปลดเชือกมัดเสื้อคนป่วยของโรงพยาบาลต่อจนหมดก่อนแหวกสาบเสื้อออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อตึงแน่นขาวเนียนของขุนทัพ จนถึงกับแอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว รีบเบือนตาหลบหันไปขยำผ้าขนหนูในอ่างน้ำอุ่นบนหัวเตียงแทน ให้รู้สึกประหม่าพิกล เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาขุนดอนมองตามการกระทำของตนไม่วางตา ปกติคนเค้าจะบิดผ้าขนหนูให้หมาดเพื่อเช็ดตัว
      แต่เพราะขุนทัพไม่เคยหยิบจับทำเรื่องแบบนี้มาก่อน  จำผิดจำถูกแต่ก็ไม่กล้าถามจากการบิดเลยกลายเป็นขยำให้น้ำออกจากผ้าขนหนู ซึ่งผลลัพธ์มันต่างกันสิ้นเชิง เพราะผ้าขนหนูอมน้ำจนชุ่มแปะลงบนอกขาวผ่องของขุนดอนจนคนป่วยถึงกับสะดุ้งวาบแอบเกร็งร่างไม่รู้ตัว เพราะผ้าดันแฉะแปะลงบนตัวจากที่อุ่นมันเย็นทันทีจากอากาศภายในห้องที่เปิดแอร์ด้วยทำให้มันเปลี่ยนสภาพ ถึงกระนั้นขุนดอนก็ยังนอนปั้นหน้านิ่งจ้องทุกการกระทำของขุนทัพไม่พูดไม่จา เจ้าชายหิมะหน้าหล่อปานรูปสลักอยากรู้เหมือนกันว่าขุนทัพจะทำได้ดีแค่ไหนกับงานเช็ดตัวคนป่วย  แค่เริ่มต้นก็สอบตกซะแล้ว
      มือหนาใหญ่ที่จับบนผ้าผืนบางค่อยลูบเบาๆ พยายามไม่ลงแรงให้หนักเช็ดไล่ไปตามหน้าท้องแกร่งก่อนจะวกกลับขึ้นมายังเนินอกที่มีเม็ดทับทิมสีชมพูสวยประดับอยู่สองข้าง  เผลอจ้องมองอดกลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง  พร้อมกับหูเหอหน้าตาแดงเข้าไปใหญ่ลามไล้ไปถึงคอขาวของเจ้าตัวแล้ว  ระหว่างคนป่วยที่ควบคุมตนเองได้กับคนเช็ดตัวซึ่งบัดนี้ใจเต้นรัวกระหน่ำ  มือเริ่มจะวนอยู่แต่จุดอ่อนไหวบนยอดอกเข้าให้  จนคนป่วยทนเงียบต่อไปไม่ไหวเอ่ยปากขึ้นมาว่า
      “ผมคิดว่าน้ำไหลลงแผลผมแล้วล่ะ  รู้สึกแฉะไปหมดเสื้อผมก็ด้วยขุนทัพไม่บิดน้ำทิ้งให้หมดก่อนนำมาเช็ดบนตัวผมนี่ครับ” คำบอกด้วยโทนเสียงเรียบทุ้มของขุนดอนทำให้เจ้าตัวที่กำลังเพลินกับการลูบเล่นบนผิวขาวเนียนถึงกับได้สติรีบเอาผ้าออกจากเนินอกคนพูด ทิ้งลงในอ่างอย่างเร็วแล้วกุลีกุจอเผ่นเข้าห้องน้ำหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่มาซับน้ำให้ขุนดอนมีก้มหน้างุด คงทั้งอายทั้งรู้สึกแย่ที่หวังดีกลับจะกลายทำให้คนป่วยลำบากเข้าไปใหญ่ จังหวะพยาบาลมาเคาะประตูเพื่อเช็คปรอท ขุนทัพรีบดึงสาบเสื้อของขุนดอนมาปิดเนินอกไว้ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทับอีกรอบ
      แล้วเดินหน้าแดงไปเปิดประตูให้พยาบาลคนเดิมซึ่งอดชำเลืองมองหน้าหล่อคมเข้มของหนุ่มร่างใหญ่ล่ำที่แดงก่ำแอบสงสัยว่าเป็นอะไรแต่ก็ไม่ได้จ้องนานก้าวตรงรี่เข้าไปดึงเอาปรอทออกมาเช็คว่าคนป่วยมีไข้หรือเปล่าสรุปไม่มีไข้ ความร้อนในร่างกายปกติ จึงหันมาบอกกับคุณหมอกำมะลอว่า
      “คนป่วยไม่มีไข้ค่ะ และนี่ยาแก้ปวดเพื่อให้คนป่วยทานกินแล้วจะง่วงนอนนะคะ” พูดพร้อมกับวางถ้วยยาเล็กๆทิ้งไว้ให้บนหัวเตียงก่อนจะเดินกลับออกไป ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อเห็นหน้าเหร่อร่าของขุนทัพที่ยังคง
    แดงก่ำไม่เลิก
      “คะคือ เค้าบอกว่ามึงไม่มีไข้ กูเข้าใจผิดไปเองแล้วทำไมมึงหน้าแดงจังวะตอนแรก?” ขุนทัพถามให้หายสงสัย ขุนดอนจ้องตอบขุนทัพนิ่งก่อนปากสวยได้รูปขยับเอ่ยกลับมาว่า
      “ถ้างั้นตอนนี้ขุนทัพคงเป็นไข้แล้วละครับ เพราะคุณทัพหน้าแดงมากลองเข้าไปส่องกระจกดูสิครับ”  คำพูดของขุนดอนพาเอาคนหน้าแดงยิ่งแดงเข้าไปใหญ่ ทำไมตนจะไม่รู้ว่าหน้าแดงเพราะอะไร เลยหาเรื่องเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมาหน้าตายว่า
      “อย่าสนใจกูเลย ว่าแต่มึงยังเช็ดตัวไม่เสร็จเลยนี่ มากูทำให้”  พูดจบขยับเข้ามาตลบผ้าห่มที่ดึงคลุมเมื่อกี้ออก ก่อนจะแหวกสาบเสื้อที่ตนดึงขึ้นมาปิดอ้าออกอีกครั้ง  ขุนดอนเลยทักท้วงขึ้นว่า
      “คุณทัพไม่ต้องเช็ดแล้วครับ  ผมไม่มีไข้แล้วคงไม่ต้องลดไข้หรอก ตอนนี้เสื้อผมแฉะถ้าจะกรุณาหาตัวใหม่มาเปลี่ยนให้ผมดีกว่า” คำร้องขอของคุณดอน ช่วยสร้างรอยยิ้มกว้างจนตาคมไหวระริกเกิดขึ้นบนใบหน้าหล่อเข้มของขุนทัพทันที จนขุนดอนเองก็มองตะลึงอึ้งไปเหมือนกัน เพราะไม่เข้าใจว่าที่ตนบอกไปทำไมขุนทัพต้องดีใจถึงปานนั้น  ขุนดอนจะไปรู้ได้
    อย่างไรว่าร้อยวันพันปีเคยมีสักครั้งที่ไหน ที่เจ้าตัวจะร้องขอให้ขุนทัพทำ
    อะไรให้เหมือนที่พูดไปตะกี้ เพราะงั้นสำหรับขุนทัพกลับเป็นนิมิตหมายอันดีของการเริ่มต้นทางรักที่ได้คาดหวังไว้ จึงได้เผยรอยยิ้มสว่างออกมาซะขนาดนั้น
      สามวันเต็มๆ กับการดูแลปรนนิบัติของขุนทัพ ที่คอยเอาอกเอาใจเทคแคร์คนป่วยอย่างใกล้ชิด แม้เจ้าตัวจะห้ามปรามเช่นไรก็ไม่สามารถทักท้วงคนดูแลได้สักครั้ง  รั้นแม้กระทั่งป้อนข้าวป้อนน้ำทำยังกับขุนดอนขยับร่างกายไม่ได้เสียเลย ทั้งที่มือไม้ยังเคลื่อนไหวเป็นปกติแต่ขุนทัพก็ไม่สนใจสักนิด  ขุนดอนขี้เกียจจะห้ามเลยปล่อยเจ้านายทำตามความพอใจอยากปรนนิบัติก็ทำไปผิดบ้างถูกบ้างตามประสาคุณชายที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย 
      แต่ขุนดอนก็ไม่ได้นึกตำหนิเลยสักนิด เพราะรู้ดีว่าขุนทัพไม่เคยทำมาก่อน  แถมยังอดทึ้งกับพฤติกรรมที่ตีลังกากลับหลังของเจ้านายจอมเหวี่ยงอย่างเสียไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น  ถึงได้กลับตาลปัตรซะขนาดนี้ แอบมีเผลอหยิกหนังท้องตัวเองดูว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกเจ็บยืนยันได้ว่านี่คือเรื่องจริง เลยยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการสงสัยอะไรออกไปยังคงเก็บความรู้สึกไว้ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลือร้ายได้อย่างสงบนิ่งเหมือนเคย
      แต่นั่นคือบุคลิกที่ทำให้ขุนดอนดูน่าหลงใหลยิ่งนักสำหรับคนที่ได้ใกล้ชิดสัมผัส เหมือนหนังสือที่ชวนอ่านและวางไม่ลงเพราะคาดเดาเรื่องราวไม่ได้ นี่จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับขุนทัพให้พยายามค้นคว้าเข้าไปใหญ่ ตั้งใจอย่างเต็มที่ว่าตนจะเป็นคนเปิดประตูลั่นบานหัวใจของขุนดอนให้เปิดรับเอาตนเข้าไปในนั้นให้ได้
      วันที่สี่หลังจากคุณหมอตรวจแผลและให้พยาบาลทำความสะอาดล้างแผลเรียบร้อยแล้ว  ก็พูดกับคนป่วยและผู้เฝ้าไข้พิเศษว่า
      “วันนี้หมออนุญาตให้กลับไปพักต่อที่บ้านได้เลยครับ  เพราะแผลคนป่วยไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง ไม่เกิดการติดเชื้อและก็แห้งดีพอสมควรแล้วรอครบเจ็ดวันค่อยมาพบหมอตามนัดเพื่อตรวจอีกครั้ง ส่วนไหมที่เราใช้เย็บแผลเป็นไหมละลายผู้ป่วยสามารถล้างแผลได้ตามปกติที่บ้านด้วยตนเองถึงกำหนดจะละลายหายไปเองไม่ต้องมาตัดไหม สำหรับญาติรบกวนให้ไปติดต่อขอชำระค่าใช้จ่ายพร้อมกับรับยาที่หมอสั่งให้เอากลับไปทานต่อที่บ้านได้เลย จากนั้นก็สามารถกลับได้เลยครับ” หมอหนุ่มพูดจบ ขุนทัพก็กล่าวขอบคุณหมอรอจนทั้งหมอและพยาบาลกลับออกไปกันหมดแล้ว  จึงหันมาพูดกับขุนดอนว่า
      “เดี๋ยวกูโทรบอกนิคมให้เอาเสื้อผ้าของมึงมาให้เปลี่ยนใส่กลับ แล้วกูค่อยไปจัดการค่าใช้จ่ายต่อ มึงอยู่คนเดียวได้นะ?” คำถามทิ้งท้ายทำยังกับขุนดอนเป็นเด็กดูแลตัวเองไม่ได้ไปซะงั้น  ขุนดอนจึงตอบกลับไปว่า
      “คุณทัพไม่ต้องห่วงผมนะครับ รบกวนคุณทัพเป็นธุระให้ผมด้วยครั้งนี้คงต้องลำบากคุณทัพแล้วครับ”  ขุนดอนพูดจากใจจริง กลายเป็นตนกลับมาเป็นภาระให้ขุนทัพซะงั้น ทั้งที่หน้าที่ดูแลเจ้านายตนทำมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เพิ่งจะมีครั้งนี้แหละที่ต้องอาศัยขุนทัพจัดการให้ทุกอย่างคนฟังถึงกับยิ้มไม่หุบก่อนเดินออกจากห้องไป  มีหน้าหันกลับมาบอกอีกว่า
      “ถือว่ามึงติดค้างกู  ไว้กูจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกเอง”  พูดจบเปิดประตูออกไปอารมณ์ดียิ้มไม่หุบ คนที่เดินผ่านไปมาถึงกับหน้าแดงที่เห็นหนุ่มหล่อส่งยิ้มให้ทั่วไปหมด นี่ละน่าเค้าถึงว่าอานุภาพความรักเปลี่ยนคนได้ยังกับมนต์วิเศษ
      ขุนดอนกลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลเทพพิทักษ์ ภายใต้การดูแลเอาใจใส่อย่างดีเยี่ยมของขุนทัพทั้งลงมือสั่งการเรื่องอาหารกำชับแม่บ้านคนรับใช้ให้ดูแลปรนนิบัติขุนดอนด้วยตนเองอย่างจริงจัง จนลูกน้องถึงกับหยิบยกขึ้นมาพูดติดเป็นท็อปฮิต  ว่านายน้อยของคฤหาสน์กลับจากโรงพยาบาลครั้งนี้เทคแคร์ดูแลเอาใจใส่ขุนดอนเป็นพิเศษจนออกนอกหน้า แต่ไม่มีใครคิดอคติกันเลยสักคนเพราะทุกคนต่างรักและเอ็นดูขุนดอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ต่างรอวันที่ขุนทัพจะดีตอบขุนดอนมาโดยตลอด พอวันนี้มาถึงทุกคนจึงหน้าชื่นพลอยรู้สึกยินดีไปด้วย หารู้ไม่ว่าที่คิดกันไว้เกินกว่าที่พวกเค้าจะรู้ว่านายน้อยของเทพพิทักษ์หลงรักรุ่นพี่คู่ปรับเข้าไปหมดหัวใจคงไม่มีโอกาสถอนตัวได้แล้ว เพราะเรื่องของหัวใจมันพูดกันยาก
      ส่วนคนที่ได้รับการดูแล  แรกๆก็คิดจนหัวหมุนว่าขุนทัพเป็นอะไรพอหลังๆ ชักเริ่มเข้าใจแล้วว่าทั้งหมดที่ตนได้รับการดูแลเอาใจใส่ห่วงใยเป็นพิเศษนั้น สาเหตุมาจากอะไรดูได้ไม่ยากเมื่อเจ้านายเล่นขยันส่งสายตาวิบวับให้ตนตลอดเวลาอยู่กันตามลำพัง  ขุนดอนแกล้งตีมึนไม่รู้ไม่ชี้หน้านิ่งได้คงเส้นคงวา ในขณะที่ในหัวตีกันวุ่นวายไปหมดเพราะไม่รู้จะนึกหาทางแก้ไขยังไงแล้ว ยิ่งได้ใกล้ชิดและเห็นมุมน่ารักของขุนทัพฤษีไร้ใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้เช่นกัน  แม้จะยังคงแสดงสีหน้าท่าทางได้เป็นปกติ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใจตนเต้นรัวกระหน่ำยามที่ขุนทัพเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ แอบมีลวน
    ลามตอดเล็กตอดน้อยอย่างตีมึน  ซึ่งตนก็ยังทำนิ่งปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ได้สนิท ท่าทีของอีกฝ่ายรุกทุกคืบทุกจังหวะที่มีโอกาสในขณะที่อีกคนยังคงรักษา
    ระดับของตนไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ขุนทัพก็ไม่ได้ย่อท้อเลยแม้แต่น้อยเพราะอย่างน้อยจังหวะของก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจใต้ฝ่ามือตน ซึ่งเต้นรัวแรงจนสัมผัสได้ว่าไม่เป็นปกตินั้นบอกอะไรกับตนได้บ้าง  เพียงเท่านี้ก็ทำให้หัวใจของขุนทัพพองโตได้อย่างไม่ต้องการคำพูดหรือรอยยิ้มจากเจ้าชายหิมะเลยสักนิด  กลับชอบเสียอีกที่สามารถหยอกแกล้งคนหน้านิ่งอย่างสนุกไม่นึกเบื่อ 
      นับวันตนยิ่งมั่นใจว่ารักขุนดอนเข้าแล้วจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ลุ่มหลงเล่นๆ มันเป็นความรักแน่นอน เพราะไม่เคยมีใครทำให้ตนเกิดอาการหัวใจพองจนล้นได้เหมือนตอนที่ใกล้ชิดอยู่ใกล้ได้สัมผัสขุนดอน  เพราะงั้นสายตาเจ้าชู้ไหวระริกวิบวับจึงขยันส่งไปให้ฤษีหน้าตายที่คงทำเมินไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทีของตนแต่แอบหูแดงจนเห็นชัด นี่จึงเป็นเกมส์ของนักล่ากับราชสีห์
    หน้าตายที่สง่างามซึ่งต่างไว้เชิงไม่หลุดฟอร์ม  ต้องคอยดูกันต่อไปว่าใครจะยอมวางฟอร์มลงก่อนกัน?

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×