คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Part 7
Part 7...แปลกถิ่น
“เชิญนายท่านพำนักห้องนี้ สักครู่นางกำนัลจะนำอาภรณ์และน้ำสำหรับชำระร่างกายมาปรนนิบัติ
ขาดเหลือต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมนายท่านสามารถแจ้งพวกนางโดยตรง” ผักตบฟังคำของชายแปลกหน้า
ซึ่งรับคำสั่งให้พาเขามาห้องพัก ทั้งที่เขายืนกรานขอพบกับแม่เล็กก่อนกลับไม่มีใครฟัง
พอมาถึง..เข้าใจคงเป็นในวังตามที่เจ้าชายวายุภักษ์อะไรนั่นบอก รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
เล่นตกแต่งประดับประดางดงามเกินบรรยาย จะว่าไปแล้วเขาไม่สามารถหาคำตอบให้ใกล้เคียง
ว่าคนแปลกหน้าที่ใช้คำพูดกิริยาท่าทางไม่คุ้นหู เป็นชาวลับแลเผ่าไหนด้วยซ้ำ
ถึงแม้โครงหน้าผิวพรรณใกล้เคียงคนไทย กลับมีร่างกายสูงใหญ่ค่อนไปทางชาวอาหรับ
สิ่งสำคัญแต่งกายผิดจากคนไทยยุคเจ้าขุนมูลนาย ที่เคยมีโอกาสดูจากภาพยนตร์ ได้อ่านผ่านตาอย่างสิ้นเชิง
ผู้ชายสวมเสื้อกางเกงสีพื้น เนื้อผ้าคล้ายผ้าซาตินเรียบลื่นเงางาม เครื่องประดับสร้อยสังวาลย์
รัดเกล้า กำลงกำไลแขนข้อเท้าไม่มีแม้แต่น้อย มีเพียงเชือกรัดผมเอาไว้ ส่วนใหญ่ล้วนผมยาวทุกคนไม่มีผมสั้น
พวกผู้หญิงสวมชุดคล้ายส่าหรี แต่ไม่มีผ้าปิดหน้าโพกหัวเท่านั้น จึงไม่สามารถฟันธงเป็นเผ่าไหน
เครื่องประดับตุ้มหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือมีพองาม รูปร่างอรชรตัวเล็กกว่าผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด เทียบตัวพอกับแม่เล็ก
ยังไม่เห็นใครสูงเป็นพิเศษยกเว้นพวกผู้ชาย ที่สูงใหญ่บึกบึนไล่กันหมด
“เดี๋ยว!..แม่ผมล่ะ พวกคุณแยกไปที่ไหน” เขาห่วงแม่ ยิ่งหลงมาต่างถิ่นโดยไม่รู้เหนือใต้แบบนี้
เขาไม่ต้องการแยกกับแม่ พยายามยืนกรานบอกไอ้เจ้าชายนั่น สุดท้ายอีกฝ่ายไม่ยอมฟังคำพูดเขาเลย
“ที่นี่แยกตำหนักพำนัก บุรุษสตรีซึ่งมิได้ร่วมวิวาห์เป็นสามีภรรยามิอาจพำนักร่วมกัน
ถึงแม้สตรีผู้นั้นจักเป็นมารดาก็มิอาจละเมิดประเพณี หวังว่าเจ้าจักเข้าใจเราเช่นกัน” คำพูดสุดท้าย
ก่อนอีกฝ่ายจะสั่งคนของตัวซึ่งมารอต้อนรับ ให้พาเขามายังห้องนี้ แล้วหายหัวไปเฉยเลย
ส่วนแม่เล็กทันเห็นหลังแวบๆ มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 คนพาไปไหนไม่รู้ ไม่มีโอกาสคุยด้วยซ้ำ
ป่านนี้จะเป็นยังไงรู้ว่าไม่เป็นอันตราย อีกฝ่ายให้การต้อนรับตามที่รับปาก แต่ที่เขากังวลคือไม่คิดว่าต้องแยกกัน
อย่างที่รู้เขาไม่เคยทิ้งให้แม่นอนลำพังมาก่อน แม่เองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเจ้าชายของคุณ”
ผักตบรีบขวางหน้าผู้ชายที่รับหน้าที่พาเขามา ก่อนอีกฝ่ายจะก้าวออกจากประตูห้อง
“ท่านย่อมได้พบองค์ชาย แต่ต้องรอรุ่งสางเสียก่อน พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้ต้อนรับอาคันตุกะ
ยังห้องเสวยพระกระยาหารเช้าพร้อมองค์เหนือหัวและพระมเหสี” ชายดังกล่าวบอกให้เขารู้
“ต้องรอถึงเช้าเลยเหรอ เป็นตอนนี้ไม่ได้” ผักตบยังยืนกราน
“ทำเช่นนั้นมิได้ นี่ก็ใกล้รุ่งแล้วเหลืออีกไม่กี่เพลา องค์ชายยังมิได้พักผ่อนพระวรกายแม้แต่น้อย
ย่อมมิสมควรรบกวนพระองค์เป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นความประสงค์ของอาคันตุกะ ซึ่งพระองค์นำพาเข้าวังด้วยองค์เองก็เถอะ
ข้าน้อยมิบังอาจรบกวนพระองค์เพลานี้ หวังนายท่านจักเข้าใจ”
น้ำเสียงบวกสีหน้าแสดงความลำบากใจ ทำให้ผักตบเห็นแล้วรู้สึกกำลังสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายอยู่
เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ยอมถอย แม้จะไม่สบายใจที่ไม่รู้แม่เล็กอยู่ห้องไหน เป็นยังไงก็เถอะ
“เล่นพูดขนาดนี้ ขืนผมเซ้าซี้คงไร้มารยาท..ขาดการอบรมแล้วมั้ง ถ้าคุณบอกจะได้เจอเจ้าชายตอนทานอาหาร
คงไม่มีทางเลือกดีกว่านี้สินะ ขอถามอีกข้อ ผมจะได้เจอแม่ใช่ไหม” อดถามในสิ่งที่กังวล เขาไม่ต้องการแยกกันกับแม่
เหมือนแยกพวกเขาสองคนเพื่อใช้ต่อรองยังไงไม่รู้
“ย่อมเป็นเช่นนั้นขอรับ พระองค์ทรงรับสั่งให้จัดพระกระยาหารเพื่อรับรองอาคันตุกะ
ย่อมหมายถึงสตรีที่มาพร้อมนายท่านด้วยเช่นกัน” หลังได้คำตอบ ผักตบค่อยรู้สึกสบายใจขึ้น
จะโทษก็คงต้องโทษตัวเขาเอง ดันปล่อยแม่คลาดสายตา ใครจะไปรู้พอมาถึงวังปุ๊บ
ไม่ทันทำอะไรก็มีพวกเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง รู้ตัวอีกทีเขากับแม่ก็ถูกต้อนไปคนละทางเสียแล้ว
“ข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ” ชายคนดังกล่าวค้อมศีรษะแสดงความเคารพ ค่อยก้าวเท้าออกไปจากห้อง
พ้นประตูได้ไม่ทันไรสาวสวยสองนางหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ในชุดสีเขียวอ่อนแบบเดียวกันก็โผล่มาแทน
“ข้าน้อยมีนามบุปผา ส่วนข้าน้อยมีนามว่าราตรี เรารับพระบัญชาให้มาคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้นายท่านเจ้าค่ะ”
มาถึงต่างยอบกายคารวะเขาด้วยท่าถอนสายบัวอ่อนช้อย อย่างผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมมาดี ในมือพวกเธอ
คนหนึ่งถือเสื้อผ้าพับเรียบร้อย อีกคนถืออ่างทองเหลือง ภายในมีน้ำเกินค่อนครึ่ง มีดอกอะไรไม่รู้ลอยในอ่างด้วย
แอบเห็นมีควันกรุ่นน่าจะเป็นน้ำอุ่นกำลังดี
“เออครับ ผมต้องทำยังไงรบกวนพวกคุณช่วยแนะนำด้วยแล้วกัน” มาถึงขั้นนี้ ผักตบใช่คนหัวรั้นงี่เง่า
อย่างน้อยเห็นการเอาใจใส่ไม่ลบหลู่ดูถูกทั้งสายตากิริยาวาจา เขาพอจะรู้อีกฝ่ายมาดี
จึงอาศัยยึดหลักโบราณเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไม่ทำให้เจ้าบ้านโกรธเคืองดีที่สุด
แต่ก็แอบขำนิดๆ โดยเก็บอาการทางสีหน้าแววตาไว้มิดชิด เว้นแต่บอกตัวเองในใจ
‘รู้จักตั้งชื่อเสียด้วย บุปผา..ราตรี ดีนะที่ไม่ใช่ผี ไม่งั้นได้วิ่งหนีกันป่าราบ’
“ข้าน้อยทั้งสองมิบังอาจแนะนำอาคันตุกะ ผู้ทรงเกียรติขององค์ชายดอกเจ้าค่ะ หากนายท่านประสงค์สิ่งใด
โปรดแจ้งกับพวกเราโดยตรง เราสองคนยินดีอย่างยิ่ง ด้วยเราต่างมีหน้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้นายท่าน
เป็นนางต้นห้องของนายท่านนับแต่บัดนี้เจ้าค่ะ”
ผักตบเริ่มเข้าใจ ว่าผู้หญิงสองคนนี้คือคนรับใช้ส่วนตัวที่เจ้าบ้านส่งมา เขาพอรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมในวังยุคโบราณ
ว่าคนที่สูงศักดิ์หรือใครที่พระมหากษัตริย์ทรงยกย่องให้เกียรติ จะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากบรรดาข้ารับใช้
ประหนึ่งเป็นบุคคลพิเศษ เขาก็คงได้รับเกียรติในทำนองนั้น พอรู้อย่างนี้ค่อยคลายกังวลเรื่องแม่เล็กลงไปมากทีเดียว
“ขอบใจนะ บุปผา..ราตรี” ผักตบใช้น้ำเสียงทุ้มนุ่ม พร้อมกับส่งสายตาทอดอ่อนไปให้
เล่นเอาสาวสวยสองนางขวยเขินตามกัน แม้จะเห็นว่าบุรุษตรงหน้ามีสภาพมอมแมม ขมุกขมัวเปื้อนเขม่าทั่วร่าง
ไม่เว้นกระทั่งหน้าตาเหมือนเพิ่งผ่านการลุยกองไฟหมาดๆ กลับไม่สามารถลดทอนความคมกล้าของดวงตาสีถ่านแม้แต่น้อย
พวกเธอจึงมิอาจไม่ขวยเขินยามเผลอสบดวงตาของผักตบเข้า
ถ้าหากได้เห็นใบหน้าตอนหมดจดเกลี้ยงเกลา คงเขินหนักกว่านี้อีกหลายเท่า
เพียงแต่ตอนนี้เขามีสภาพเปื้อนเขม่าควันไฟสกปรกมอมแมม เลยไม่รู้สึกตะลึงในรูปลักษณ์สักเท่าใด
ยิ่งแต่งกายแปลกตาไม่ได้ช่วยทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าของพวกเธอรูปงามไปได้
“หามิได้เจ้าค่ะ” ทั้งสองรับคำพร้อมกัน อย่างสำนึกในฐานะ
“ผมต้องทำยังไง” ไม่เสียเวลาผักตบต้องการผูกไมตรีกับสองคนนี้ หากได้รับคำสั่งให้มารับใช้เขาคงไม่ธรรมดา
ทั้งสองย่อมเฉลียวฉลาดมีความสามารถพิเศษ ไม่งั้นคงไม่ถูกวางตัวให้มารับใช้คนแปลกหน้าต่างถิ่น
โดยต่างไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย เข้าใจได้ไม่ยากเธอสองคนย่อมมีหน้าที่รายงานข้อมูลของเขาให้เจ้าบ้านรู้อยู่เนืองๆ
“ก่อนอื่นนายท่านควรชำระล้างร่างกาย เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ที่ข้าน้อยนำมาเสียก่อนจักได้สบายตัว
จากนั้นนายท่านสมควรหลับพักผ่อนรอให้รุ่งสาง ข้าน้อยค่อยนำอาภรณ์สวมใส่เข้าร่วมเสวยพระกระยาหาร
มาให้ผลัดเปลี่ยนอีกครั้งเจ้าค่ะ” ราตรีเป็นคนบอก
“งั้นเหรอ ให้อาบน้ำที่ไหนล่ะ” ฟังเธอพูดจบ อดถามไม่ได้เหลียวมองจนรอบห้อง ถึงจะกว้างขวางอยู่ไม่น้อย
แต่นอกจากเตียงนอนกับโต๊ะฉลุลวดลายสวยงามอีกหนึ่งตัว พร้อมชุดเก้าอี้อีกสามตัววางติดผนัง
เขายังไม่เห็นว่ามีส่วนไหนบ่งบอกได้เลยว่า มีห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วนแต่อย่างใด
“อาบน้ำเหรอเจ้าคะ!!”
เธออุทานเบาๆ พร้อมกัน สีหน้าดูตระหนกพอสมควรกับคำถามที่ออกจะธรรมดา ในความคิดของผักตบ
“ใช่อาบน้ำ..พวกคุณบอกเองให้ชำระล้างร่างกาย ไม่ให้อาบน้ำแล้วให้ผมทำยังไง”
ไม่พูดเปล่า ผักตบกลับส่งสายตาเป็นคำถามไปด้วย
“ถ้านายท่านประสงค์อาบน้ำ ข้าน้อยต้องขออนุญาตรายงานนางข้าหลวงก่อน
เพื่อถวายรายงานขอพระบัญชาอนุญาตจากองค์ชายเจ้าค่ะ” ผักตบอึ้งค้างไปหลายวิ ก่อนกะพริบตาปริบๆ
อะไรจะมีขั้นตอนยุ่งยากวุ่นวายกันปานนั้น กับอีแค่การอาบน้ำเนี่ยนะ มีพิธีรีตองขนาดนี้เชียว
“อาบน้ำต้องขออนุญาตเจ้าชายด้วยเหรอ” เขาไม่เข้าใจ ชักรู้สึกไม่สบอารมณ์ ไปกับขั้นตอนบ้าบอคอแตกพวกนี้เสียแล้ว
“นั่นย่อมสมควรกระทำยิ่งเจ้าคะ น้ำสำหรับพวกเราจำเป็นยิ่งนัก มิมีผู้ใดสามารถใช้น้ำตามอำเภอใจ
การอาบน้ำย่อมมีไว้สำหรับเหล่าเชื้อพระวงศ์เท่านั้นเจ้าค่ะ พวกข้าน้อยใช้วิธีชำระล้างปกติเจ้าค่ะ”
ฟังบุปผาชี้แจงผักตบแทบเอามือกุมขมับ เขาเพิ่งรู้น้ำสำหรับที่นี่จัดเป็นของล้ำค่า
พอใคร่ครวญสภาพแวดล้อมที่ได้พบเห็นตลอดทาง ก็เริ่มเข้าใจไม่ยาก อาณาบริเวณบ้านเมืองที่นี่
ล้วนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งกันดาร มิน่าน้ำถึงได้สำคัญต่อพวกเขามาก
“ผมเข้าใจแล้ว หมายถึงน้ำในอ่างทองเหลืองที่นำมาใช่ไหม ให้ผมใช้เช็ดตัว”
ผักตบพยักพเยิดไปที่มือของราตรีซึ่งเธอยืนถืออ่างไว้ คุยตั้งนานไม่รู้เมื่อยแขนบ้างหรือเปล่า
กลับสามารถสำรวมกิริยาได้น่าทึ่งด้วยนี่สิ
“นายท่านเข้าใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” ราตรียิ้มหวานหลังเขาพูดจบ
“ถ้างั้นวางที่โต๊ะเถอะ ถือแบบนั้นคงเมื่อยน่าดู”
เขาพูดติดตลก เพื่อให้ดูคุ้นเคยเป็นกันเอง เธอยิ้มจริงใจคืนกลับมาให้ทั้งคู่
“เจ้าค่ะ” ทั้งสองกุลีกุจอนำของในมือวางที่โต๊ะ คงทนเมื่อยอย่างที่เขาคิดไว้นั่นแหละ
ช่างมีความอดทนเป็นยอด..ผักตบลอบชมภายในใจ
“ข้าน้อยจักช่วยเปลื้องอาภรณ์ให้นายท่าน รบกวนนายท่านสวมผ้านุ่งผืนนี้
พวกเราจักทำหน้าที่ปรนนิบัติชำระร่างกายให้เจ้าค่ะ” บุปผาคลี่ผ้านุ่งสีครีมออกลักษณะเหมือนผ้าถุง
คงใช้นุ่งขณะเช็ดเนื้อตัวเพื่อป้องกันไม่ให้อุจาดตา ผักตบเดินเข้าไปหยิบมานุ่งขมวดปมง่ายๆ
ค่อยถอดเสื้อยืดออกจากหัว แล้วก้มดึงบ็อกเซอร์ที่ใส่นอนออกจากปลายเท้าเสียเรียบร้อย
ช่วงบนลำตัวผิวขาวละเอียดเผยให้เห็น สองนางถึงกับมองตะลึงลานแล้ว
นอกจากกล้ามเนื้องดงาม ไม่หนาล่ำดั่งบุรุษที่คุ้นเคยจนชินตา กลับมีสีผิวขาวละออ
แตกต่างบุรุษในแผ่นดินทะเลทรายอยู่มาก แม้แต่บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ค่อยถูกแดดถูกลม
ยังขาวเนียนไม่เท่าบุรุษผู้นี้ แม้นสตรีเองก็เถอะ น้อยคนนักที่จะมีสีผิวเทียบเท่าได้
สองนางต่างเปรียบเปรยภายในใจ โดยยังคงเผลอจ้องสำรวจอย่างลืมตัว
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีผิวคมขำ หรือไม่ก็สีเข้มมากกว่าจะขาวเนียน ย่อมเป็นเรื่องปกติ
ที่บุปผาและราตรีจะตะลึงในความขาวของผิวกายผักตบ ที่ตรึงพวกเธอมากที่สุด ‘คงเป็นรูปปานไฟตรงราวนมด้านซ้าย’
“เชิญครับ ถ้าจะช่วยล่ะก็รบกวนถูหลังก็พอ ที่เหลือผมจัดการเอง” ผักตบบอกเธอไป
แม้เขาจะใช้คำพูดปกติ แต่พวกเธอก็เข้าใจการสื่อสารของเขาได้ดี จึงไม่มีความยุ่งยากในการพูดคุยให้เข้าใจตรงกัน
“เจ้าค่ะ!” ทั้งสองต่างรับคำ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนที่ราตรีจะนำผ้าขาวเนื้อละเอียด
ดูก็รู้ว่านุ่มมากขนาดเท่าผ้าขนหนูผืนเล็ก จุ่มลงไปในอ่างที่โรยด้วยดอกไม้สีสด
ผักตบเริ่มได้กลิ่นหอมละมุน ที่แท้ใช้แทนน้ำอบน้ำหอมช่วยไม่ให้ร่างกายมีกลิ่นตัวนี่เอง
เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่น่าทึ่ง แต่น่าประทับใจตรงกลิ่นของดอกชนิดนี้หอมกำลังดีไม่ฉุนคัดจมูก
จากนั้นเธอค่อยบรรจงเช็ดถูบนแผ่นหลังแกร่งให้เขาอย่างเบามือ โดยที่เขานั่งยังเก้าอี้รู้สึกสบายเบาตัว
คงเป็นผลจากกลิ่นหอมอ่อนละมุนของดอกไม้ที่ว่า
หลังจากเช็ดหลังให้เขาเสร็จ พวกเธอเหมือนจะรู้หน้าที่พากันหายตัวออกไปจากห้อง
ปิดงับบานประตูให้เสร็จสรรพ ปล่อยผักตบอยู่ลำพังเพื่อเช็ดถูทำความสะอาดร่างกายส่วนที่เหลือทุกตารางนิ้ว
กระทั่งเขาทำเสร็จเรียบร้อย ค่อยเอื้อมหยิบเอาชุดสีน้ำตาลอ่อนที่พับวางไว้บนโต๊ะออกมาคลี่ดู
ถึงรู้ว่าเป็นชุดนอนตัดเย็บต่อเป็นชุดคลุมยาวสวมใส่ทางหัวเนื้อผ้าเรียบลื่นสบายตัว
ไม่รอช้าลองสวมดูกลับพอดีตัวไม่รุ่มร่ามหรือรัดมากนัก ยอมรับฝีมือการตัดเย็บประณีตบรรจง
ไม่เห็นรอยต่อตะเข็บด้วยซ้ำ นี่คงเป็นความพิเศษอีกอย่าง ที่ผักตบยอมรับนับถือฝีมือ
“นายท่านเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงเอื้อนเอ่ยหวานหูดังหน้าประตู ในขณะที่เขาแต่งตัวเสร็จพอดี
“ครับ..” ผักตบขานตอบ
“พวกเราขออนุญาตเข้าไปเก็บสิ่งของนะเจ้าคะ” เธอบอกกับเขา
“เชิญครับ” เขาตอบกลับไป ประตูค่อยผลักเปิดพร้อมร่างสองสาว ก้าวเข้ามาในห้อง
ก่อนพากันจ้องผักตบนิ่งขึง ด้วยอาการหน้าซับสีเลือดแดงเรื่อเป็นตำลึงสุกไม่ต่างกัน
“บุปผา ราตรี” ผักตบขานชื่อคนละที หัวคิ้วเข้มมุ่นเข้าหากัน ด้วยไม่รู้พวกเธอเป็นอะไร
ทำไมจ้องเขาหน้าแดงเป็นตำลึงสุกไม่พูดไม่จาสักคำ
“ขะ..ขอประทานอภัยเจ้าค่ะนายท่าน” ท่าทางตะกุกตะกักของราตรีที่เอ่ยขอโทษ
ในขณะบุปผายืนก้มหน้างุด ทำเอาผักตบแปลกใจเข้าไปใหญ่ กับความผิดปกติของสองสาวที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน
“ผมทำอะไรไม่สมควรหรือเปล่า หรือว่าชุดนี้ไม่ได้มีไว้ให้ผมใส่”
เขาพานเข้าใจอาจหยิบชุดที่พับไว้บนโต๊ะ มาใส่โดยไม่รู้กาลเทศะเทือกนั้น
“หามิได้เจ้าค่ะ นายท่านสวมใส่อาภรณ์ชุดนี้งดงามปานเทพจากแดนสรวง
ข้าน้อยเผลอเสียมารยาทต่อนายท่าน ขอได้โปรดประทานอภัยให้เราทั้งคู่ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
พูดพร้อมกับยอบกายต่ำก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงไปเสียเช่นนั้น ผักตบเริ่มเข้าใจในอาการประหลาดของพวกเธอ
เมื่อใคร่ครวญถึงความจริงที่ชินชาสายตาบรรดาสาวๆ จึงเอ่ยกับเธอไปว่า
“ผมไม่ได้โกรธพวกคุณ เอาเถอะเงยหน้ามาคุยกันดีกว่า ขอบคุณสำหรับคำชม ผมจะรับไว้แล้วกัน”
เขาใช้น้ำเสียงกันเองที่สุด หลังเห็นสองสาวมีท่าทางเขินหนัก พร้อมอาการสำนึกผิดที่เสียมารยาท
จ้องหน้าเขานิ่งค้างอยู่เป็นนานสองนาน
“ขอบพระคุณยิ่งนักเจ้าค่ะ ที่นายท่านมิถือโทษต่อข้าน้อยทั้งสอง” พูดพร้อมกับถอนสายบัวกันอีกครั้ง
ค่อยยอมเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพากันหลุบหลบแก้มแดงไปอีกหน ผักตบได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ
ยอมรับเขามีรูปร่างหน้าตาที่เป็นอันตรายต่อสตรี แต่ไม่คิดจะมีผลกับสาวต่างถิ่นต่างเมือง
เท่าที่เจอเขายังอดยอมรับไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าเจ้าชายวายุภักษ์ หล่อชนิดโคตรพ่อโคตรแม่ความหล่อเสียด้วยซ้ำ
เขาพานคิดไปว่าสาวๆ คงไม่อะไรกับหน้าตาเขาหรอก
“พวกคุณต้องทำอะไรนะ เชิญตามสะดวกเลย ก่อนอื่นพอจะบอกผมได้ไหม ว่าเห็นคุณผู้หญิงที่มากับผมหรือเปล่า
เธอพักที่ไหนเป็นยังไงบ้างตอนนี้” เขาเลียบเคียงถามถึงแม่เล็ก เพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินตัวเขา
ให้กับทั้งสองสาวไปด้วย พยายามวางตัวปกติไม่ให้พวกเธอต้องเขินหนักไปมากกว่านี้ สักพักพวกเธอคงชินได้เอง
“สตรีซึ่งเป็นอาคันตุกะพำนักตำหนักรับรองส่วนในเจ้าค่ะ อันเป็นส่วนต้องห้ามสำหรับบุรุษ
หากไม่ได้รับอนุญาตมิอาจกล้ำกรายเป็นอันขาด ยกเว้นบุรุษผู้เป็นบัณเฑาะว์ ที่มีหน้าที่ถวายงานรับใช้ส่วนในเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฟังเหตุผลอย่างนี้แล้ว ผักตบค่อยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก อย่างน้อยแม่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้ชายตัวใหญ่บึกบึนเหล่านั้น
“ขอบใจที่ช่วยอธิบายให้รู้ เชิญพวกคุณเถอะ ผมนอนบนเตียงได้ใช่ไหม” ชักรู้สึกหนังตาหนัก
เมื่อร่างกายเริ่มผ่อนคลายพลอยง่วงขึ้นดื้อๆ อาจเป็นเพราะใช้สมองพลังความคิด ไปกับเหตุการณ์ที่พานพบจนหมด
เมื่อรู้สึกไม่มีอันตราย ร่างกายคล้ายประท้วงเรียกร้องขอการพักผ่อน
“เจ้าค่ะ! ห้องนี้สำหรับนายท่าน เช่นนั้นข้าน้อยทั้งสองขออนุญาตไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของนายท่านแล้ว
หากประสงค์สิ่งใดสามารถสั่นกระดิ่งที่วางบนโต๊ะได้เจ้าค่ะ เราทั้งคู่จะรีบมาทันที” ผักตบหันไปดูบนโต๊ะ
ค่อยเห็นกระดิ่งลักษณะเหมือนระฆังคว่ำ ก่อนนี้เขาไม่ได้นึกสนใจว่ามันเป็นอะไรจึงไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้รู้แล้วว่ามีไว้ทำไม
“ครับ..” พอเขาพูดจบ ทั้งสองนางรีบเก็บของบนโต๊ะ ไม่ลืมรวบเก็บชุดของเขาติดมือไปด้วย
ก่อนหันมายอบกายคารวะ พาร่างหายออกไปจากห้อง ดึงบานประตูงับปิดให้เขาอีกเรียบร้อย
ผักตบค่อยขึ้นนอนบนเตียง ไม่ลืมหยิบกระเป๋าสัมภาระส่วนตัวทั้งของเขาของแม่เอามาวางข้างกายเพื่อความอุ่นใจ
เผลอหลับไปไม่รู้ตัวใครย่องมารื้อค้นแล้วจะยุ่ง ต่อให้เบาใจก็ไม่ควรประมาทเป็นดีที่สุด
มารู้สึกตัวตื่นไม่แน่ใจว่ากี่โมง ค้นกระเป๋าหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูเวลา หน้าปัดค้างสนิทเป็นตอนตีหนึ่ง
ไม่มีการเดินต่อจากนั้น ลองทดสอบกดโทรออกกลับไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา แม้แต่เสียงของผู้หญิงที่คุ้นเคย
ซึ่งมักพูดเสมอเวลาติดต่อใครไม่ได้ เธอไม่ตอบเช่นกัน มีแต่เสียงตู๊ดๆๆๆ..ติดกันยาว แสดงให้รู้ว่าไม่มีสัญญาณ
คงไม่สามารถใช้โทรศัพท์ในเมืองลับแลนี้แน่แล้ว
จากนั้นผักตบยังสำรวจกล้องถ่ายรูป พร้อมกับแบตเตอรี่ ปืนพก ทุกอย่างสมบูรณ์ครบ
ไม่มีอะไรสูญหายใช้งานไม่ได้ ปัญหาคือของพวกนี้สามารถใช้งานปกติ พอแบตหมดจะทำยังไงนี่สิ
เนื่องจากที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แสงสว่างได้จากตะเกียงน้ำมันที่จุดขับไล่ความมืด และบรรดาคบเพลิง
ที่ประดับตกแต่งสวยงามตามจุดต่างๆ เพียงเท่านั้น
เรื่องนี้ผักตบยังคงมึนที่จะหาทางแก้ไข หรือหาคำตอบ จึงลุกยืนบิดขี้เกียจขับไล่ความอ่อนล้าให้ร่างกาย
จังหวะนั้นเหมือนนกรู้เสียงขานเจื้อยแจ้วหวานแว่วดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“ขออนุญาตนายท่าน ข้าน้อยบุปผากับราตรีมาปรนนิบัตินายท่าน เพื่อเตรียมร่วมโต๊ะเสวยองค์เหนือหัว
พระมเหสีและองค์ชายวายุภักษ์ ในอีกไม่กี่เพลาแล้วเจ้าค่ะ” ผักตบมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอนุญาตให้พวกเธอเข้าห้องตามคำขอ
“เชิญครับ” สิ้นเสียงของเขา บานประตูที่ปิดสนิทก็แง้มเปิดเบาๆ พร้อมกับร่างของสองสาว
วันนี้มาในชุดสีเหลืองอ่อน เหมือนเธอสองคนจะมียูนิฟอร์มสวมใส่ตัดเย็บรูปแบบเดียวกัน
ไม่เว้นเครื่องประดับปิ่นปักผมที่เกล้ามวยสูงยังจัดมาเหมือนกันอีก ขับหน้านวลใสให้งดงามน่ามองทั้งคู่
แต่ผักตบไม่ได้อะไรมาก มีแต่พวกเธอพอเห็นเขารีบก้มงุด หน้าขึ้นสีเรื่อไม่กล้าสบตาเขาอีกตามเคย
“ผมต้องการปลดทุกข์ส่วนตัว สามารถใช้ห้องสุขาที่ไหนได้ครับ” เป็นเรื่องปกติที่เขาต้องขับถ่ายตอนเช้าเป็นประจำ
คำถามของเขาทำเอาสองสาวหน้าแดงหนักไปใหญ่ ไม่รู้คิดอะไรกัน แต่ผักตบกลับทำเฉยเหมือนไม่ใส่ใจอาการพวกเธอ
เพื่อไม่เป็นการตอกย้ำ เขาจึงวางสีหน้าเรียบนิ่งตามแบบฉบับของตนเอง
“ข้าน้อยเตรียมมาสำหรับนายท่านแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบราตรีก็นำถังไม้ขนาดสองแขนโอบมีฝาปิดมิดชิด
ความสูงไม่มากนักไม่น่าสูงเกินยี่สิบเซนติเมตรกะประมาณด้วยสายตา โชว์ให้เขาดู..
“ถังไม้..ใช้ทำอะไร” อดถามไม่ได้ เขาถามห้องน้ำเพื่อจะปลดทุกข์ เธอกับโชว์ถังไม้ที่อุ้มอยู่ให้เขาดูแทน
“นี่คือถังปลดทุกข์เจ้าค่ะ ถังไม้แกะสลักเคลือบด้วยเหล็กเนื้อดีนี้ มีไว้รับรองอาคันตุกะ
และบรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำตอบที่ได้ผักตบตาเบิกโต แต่รีบปรับให้เป็นปกติ ชักเข้าใจแล้ว ว่าเขาต้องปลดหนักปลดเบาลงในถังใบนี้เสียกระมัง
“ผมต้องใช้ถังนี้ขับถ่าย หมายความว่าไม่มีห้องสำหรับใช้ขับถ่ายหรืออย่างไร”
คำถามของเขา ทำเอาทั้งสองนางชำเลืองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เหมือนไม่เข้าใจต่อคำถามของเขาเสียเช่นนั้น
“เฮ้อ!..ตกลง แต่จะให้ขับถ่ายยังไง พวกคุณยืนดูแบบนี้นะหรือ”
เขาไม่ได้ต้องการสร้างความยุ่งยากใจให้พวกเธอเขิน เมื่อไม่เหลือทางเลือกจำต้องพูดออกไปตรงๆ
แค่คิดว่าจะต้องขี้เยี่ยวใส่ในถัง เขายังนึกไม่ออกว่าจะทำใจปลดทุกข์ที่ว่าได้หรือเปล่าด้วยซ้ำ
“ระหว่างนายท่านทำภารกิจส่วนตัว ข้าน้อยทั้งสองจะไปเตรียมน้ำสำหรับล้างหน้าชำระร่างกาย
พร้อมอาภรณ์สวมใส่ร่วมโต๊ะเสวยเจ้าค่ะ”
คำตอบที่ได้รับ ผักตบได้แต่พยักหน้าให้ เธอจึงรีบนำถังดังกล่าววางลงที่โต๊ะ บุปผาซึ่งถืออ่างใส่ผ้าสำลีชุ่มน้ำอุ่น
พับเป็นตั้งก็นำมาวางไว้ข้างกัน จากนั้นค่อยยอบตัวต่ำ แล้วล่าถอยออกไปจากห้องทั้งคู่ ไม่ลืมปิดประตูให้เขาเช่นเคย
พ้นหลังสองสาว หนุ่มหล่อหน้าขาวจากเมืองกรุงยุคไฮเทคโนโลยี ค่อยเดินมาก้มสำรวจรอบถังที่ต้องอาศัย
ในเวลานี้ต่อให้ตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีทางเลือกดีกว่าแล้ว ไอ้ถังนี้สลักลวดลายงดงาม
พอจับฝาครอบที่มีด้ามจับตรงกลางเปิด ผักตบถึงกับอึ้งค้างไปหลายวิ ที่แท้ภายในมีฝาสองชั้น
ชั้นในหล่อเหล็กผิวเรียบเงางามเคลือบทองเหลืองไว้อีกที สำคัญมีรูรูปวงรีกว้างประมาณสี่นิ้ว
ยาวจากขอบด้านหนึ่งไปจรดอีกด้านหนึ่ง
ลักษณะนี้ผักตบถึงบางอ้อทันที ว่าเจ้ารูที่เขาอุตริยกถังขึ้นส่องดูด้านใน ซึ่งสะอาดโล่งไม่เห็นแสงลอดผ่าน
แสดงถึงความมิดชิดไร้รูรั่ว มีไว้ให้เขาปลดปล่อยขับถ่ายนั่นเอง
ออกแบบได้สมเป็นสถาปนิกยุคนี้ยิ่ง ฝาที่มีอีกชั้นทำขึ้นเพื่อในนั่งลงได้ไม่ต้องยองให้เมื่อย
รอยยิ้มกวนจุดมุมปากได้รูป ก่อนเขาจะจัดการนำเจ้าถังดังกล่าว มาวางข้างผนังห้องด้านที่ว่าง
ไม่ลืมหยิบอ่างที่ใส่ผ้าชำลีชุบน้ำอุ่นจนชุ่ม พับเป็นตั้งอยู่หลายผืนมาวางด้วยกัน สิ่งนี้คงมีไว้เช็ดทำความสะอาดหลังขับถ่ายเสร็จ
กระบวนการปลดทุกข์หนักเบา ผ่านพ้นด้วยความรู้สึกที่ไม่ลำบากมากนัก ได้นั่งพิงผนังสบายๆ
เสร็จค่อยใช้ผ้าสำลีเปียกน้ำเช็ดทำความสะอาดจนหมดจด น่าทึ่งตรงไอ้ผ้าสำลีเปียกน้ำเหล่านี้
กลับมีกลิ่นหอมละมุนอบร่ำมาด้วยนี่สิ ความเปียกชุ่มของผ้าซึ่งอุ่นกำลังดี ช่วยให้รู้สึกว่าสะอาดสะอ้าน
ไม่ต่างกับล้างด้วยน้ำเปล่า ใช้เสร็จก็ทิ้งลงใส่ถังแล้วปิดฝาไม้ไว้ให้เรียบร้อย ช่างเป็นสุขาเคลื่อนที่อันน่าทึ่ง
ซึ่งผักตบรู้สึกชมเชยในวัฒนธรรมของคนที่นี่ ไม่ต้องเปลืองพื้นที่ทำห้องน้ำให้ยุ่งยาก...
สองสาวกลับมาอีกครั้ง พร้อมอ่างน้ำชำระร่างกายไม่ต่างจากของเมื่อคืนที่เขาเคยใช้แล้วจึงไม่ยุ่งยากนัก
มาหนนี้มีผู้ชายท่าทางตุ้งติ้งตามมาทำหน้าที่ยกเก็บถังปลดทุกข์ของเขาออกไป สองสาวแนะนำให้เขารู้เป็นบัณเฑาะว์
ถวายงานตำหนักมีนาม ‘ภุชง’ ผักตบถึงได้รู้ว่าตุ๊ดเกย์มีมาช้านานแล้วเหมือนกัน จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาสวมใส่ชุด
ที่พวกเธอนำมาให้ ชุดขาวสะอาดลักษณะตัดเย็บเป็นชุดยาว โดยมีกางเกงขายาวสีฟ้าอ่อนใส่ด้านใน
ค่อยสวมชุดนี้ลงไป เดินสะดวกเพราะมีรอยผ่าด้านข้างสูงเกือบถึงเอวได้ ก่อนจะมีเสื้อคลุมสำหรับสวมทับอีกชั้น
สีเดียวกับกางเกง ผักตบไม่ลืมหยิบปืนพกสอดไว้ในเอวกางเกง ซึ่งผูกเชือกรัดไว้แน่นหนา
สะพายกล้องรุ่นล่าสุดคล้องคอไปด้วย งานนี้ได้มีโอกาสถ่ายรูปเก็บแล้ว ไหนๆ ก็พลัดหลงมา
จะให้พลาดเก็บภาพที่ระลึกได้อย่างไรเล่า แอบยิ้มในใจกับความคิดของตัวเอง
บุปผากับราตรี เป็นฝ่ายเดินนำผักตบออกจากห้องพัก เขาถึงรู้ว่าที่นี่กว้างใหญ่กว่าที่คิด
มองโดยรอบมีแต่สิ่งปลูกสร้างบนผืนดินทะเลทรายต่อเนื่องใหญ่โตอลังการ เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยจีนผสมปนเป
จนแยกไม่ออกว่าเป็นศิลปะของชาติไหน น่าแปลกที่สามารถปลูกต้นกระบองเพชร มะพร้าว ฯลฯ
ล้วนเป็นไม้ที่ขึ้นในทะเลทราย ประดับตกแต่งตลอดรายทาง ทำให้พื้นที่ไม่ดูแห้งแล้งกันดารจนเกินไป
ยังไม่นับเครื่องประดับพวกริ้วธง ร่ม โมบาย โคมไฟ จิปาถะล้วนสวยงามอีกนับไม่ถ้วน มีให้เห็นอยู่โดยรอบ
เขาไม่ลืมกดชัตเตอร์เก็บภาพตลอดทาง ที่เธอทั้งสองพาเดินลัดเลี้ยวผ่าน ทั้งสิ่งปลูกสร้าง ซุ้มเก๋งมายังสถานที่ซึ่งเธอแจ้งว่า
เป็นห้องสำหรับเสวยพระกระยาหารเหนือหัว พระมเหสีและเจ้าชายวายุภักษ์
ผักตบกลั้นขำไหล่สั่น ตลอดทางที่เขากดรัวชัตเตอร์แล้วใช้แฟลชช่วยให้ภาพคมชัด บรรดามหาดเล็ก
นางกำนัลที่อยู่ตามทางแตกตื่นตกใจวิ่งหลบกันให้วุ่น ไม่เว้นบุปผากับราตรีก็ด้วย ต่างเข้าใจว่าเขาใช้เวทย์มนต์
พากันลนลานตื่นกลัวจนตัวสั่น
เขาไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดเหล่านั้น ปล่อยให้คนพวกนี้คิดแบบนั้นเขาจะได้มีอำนาจต่อรองในยามคับขัน
มีแต่บอกกับราตรีและบุปผาว่าเขาไม่ใช้เวทย์มนต์ทำอันตรายใครหรอก หากไม่โดนรังแกก่อน
พวกเธอถึงใจกล้าทำใจเดินนำเขามายังห้องพระเสวย ด้วยอาการหน้าซีดไม่คลาย
นี่เป็นเพียงเรื่องขบขันส่วนหนึ่งที่ผักตบพานพบ เขาคิดว่าอุปกรณ์ทันสมัยที่ติดตัวมา
คงมีส่วนช่วยให้ถือแต้มเหนือกว่าคนเหล่านี้อยู่มากทีเดียว คิดแบบนี้จึงมาดหมายวางแผนไว้ในใจ
ผักตบมาถึงห้องอาหารล่าช้ากว่าใคร เพราะมัวแต่เก็บภาพมาตลอดทาง พร้อมความบันเทิงที่ได้รับอย่างขบขัน
จากบรรดาเหล่าข้ารับใช้ภายในวังหลวง ต่างพากันตกใจวิ่งหลบแสงแฟลชกล้องถ่ายรูปกันชุลมุน
จึงทำให้รอยยิ้มหล่อเหลา อาบบนใบหน้าของเขาไม่จางหาย
พอมาถึงห้องเสวยพระกระยาหาร พานกลายเป็นจุดเด่นดึงดูดสายตากว่าสี่สิบคู่มองเป็นจุดเดียว
ผักตบไม่รู้สึกประหม่าแต่อย่างใด
ถึงแม้หนึ่งในนั้น จะมีสายตาคมกล้าที่เขาสัมผัสได้อย่างเด่นชัด จากชายรูปหล่อชนิดที่เขายอมรับเต็มปาก
ว่าหล่อกว่าเขาอยู่หลายขุม เล่นจ้องมาไม่กะพริบก็เถอะ เขาหาได้สนใจแค่เหลือบตาคมสบตามมารยาทเพียงแวบเดียว
แทนการทักทายด้วยคำพูด แล้วกวาดสำรวจมองหาแม่เล็กของเขาเป็นอันดับแรก
กระทั่งเห็นแม่นั่งยิ้มแป้นเกือบหัวโต๊ะ ข้างแม่มีผู้หญิงวัยไม่ต่างกับแม่เท่าไหร่ กลับมีใบหน้าสวยงามจับใจ
มองมาที่เขาด้วยสีหน้าอาบยิ้มอ่อนโยนส่งให้ด้วย ข้างผู้หญิงคนนั้นยังมีสาวน้อยสวยซึ้ง เป็นดารานางเอกได้สบาย
นั่งจ้องเขาไม่วางตาเช่นกัน ดูเธอไว้ตัวหยิ่งไม่หยอกทีเดียว
ยังมีผู้คนอีกไม่น้อย ล้วนแล้วแต่สูงวัยนั่งร่วมโต๊ะยาวเรียงเป็นตับ นับด้วยสายตาคร่าวๆ ร่วมสี่สิบ
ที่คุ้นหน้าคงมีแค่เจ้าชายที่เขาเจอเมื่อคืน วันนี้มาในชุดดำปักลวดลายขลิบทองทั้งชุด มัดผมยาวเกือบครึ่งหลัง
ด้วยรัดเกล้าสีทอง ดูเด่นสง่าสูงใหญ่กว่าใครหมดจ้องเขานิ่ง ถึงเวลานี้ผักตบรู้ว่าตนไม่ควรเสียมารยาท
“ขออภัย..ผมมาช้าสินะ พลอยทำให้ทุกคนต้องรอ เพื่อแทนการขอโทษ ขอเก็บสักรูปไว้เป็นที่ระลึก”
พูดจบไม่รอฟังใครพูดตอบ ยกกล้องขึ้นเล็งซูมเก็บไว้ในเฟรมเดียว แล้วกดชัตเตอร์ทันที
“แชะ!..เฮ้ย!!..กรี๊ด!!” พอแสงแฟลชสว่างวาบ ผู้เฒ่าทั้งหลายแหล่ต่างตกใจร้องเสียงหลง
ส่วนสุภาพสตรีแสนสวยยกเว้นแม่เล็ก ก็กรีดร้องประสานกันดังออกมา ไม่น่าขำเท่ากับทุกคนต่างย่อตัวลงเก้าอี้
มุดหัวหลบใต้ผ้าคลุมโต๊ะเป็นแถวแบบไม่ได้นัดกันเลยนี่สิ เหมือนกำลังหลบระเบิดเสียอย่างนั้น
เป็นอาการที่เหนือความคาดหมายของผักตบพอสมควร มีเพียงไม่กี่คนที่ควบคุมตัวเองไว้ได้ ไม่ตื่นตกใจตามไปด้วย
“ฮะฮ่าๆ!!..กร๊าก!!” เสียงหัวเราะลั่นไม่ใช่ใคร แม่เล็กของเขาเอง
ตบอกชอบใจเสียยกใหญ่ กับอาการของคนเหล่านี้ที่กลัวแสงแฟลชกล้อง
“เจ้าหยุดใช้เวทย์มนต์เดี๋ยวนี้ หาไม่เราจักไม่เกรงใจอันใดแล้ว” เสียงตวาดอย่างมีอำนาจขององค์ชายวายุภักษ์
ท่ามกลางอาการอกสั่นขวัญแขวนของผู้คนที่ตื่นกลัว ทำเอาแม่เล็กที่นั่งหัวเราะอยู่หุบปากฉับ
ผักตบหันมาจ้องคนตวาดตาเขียวปั๊ด เล่นพูดแบบนี้มันขู่กันชัดๆ เขาไม่ได้แกล้งสักหน่อยแค่อยากถ่ายรูปเก็บ
ห้องนี้ออกจะอลังการอาหารบนโต๊ะยิ่งไม่ต้องพูดถึง จัดมามากมายประดิษฐ์ประดอยเสียสวยงามจนแทบไม่กล้ากิน
ผู้คนล้วนมากหน้าหลายตา แต่งกายมีสีสันกว่าที่คิดไว้อีก เลยอดใจไม่อยู่ชักรูปเก็บเป็นที่ระลึกแค่นั้นเอง
“คุณกำลังขู่..ผม” ผักตบกดเสียงต่ำ ถามกลับด้วยสีหน้านิ่งตึง
“เราหาได้ข่มขู่เจ้าไม่ เราหมายความเช่นนั้น แม้นเจ้าจักเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุ เราใช่เกรงกลัวอันใด
หากเจ้าขืนยโสถึงกับใช้เวทย์มนต์ในห้องเสวย เบื้องพระพักตร์เสด็จพ่อเสด็จแม่ รวมทั้งเชื้อพระวงศ์และบรรดาขุนนางอำมาตย์
ให้ตกพระทัยเช่นนี้แล้ว เราไม่กำราบเจ้าย่อมมิใช่วายุภักษ์แห่งไตรคาน” องค์ยุพราชหนุ่มดำรัสสวนด้วยเสียงห้าวกระด้าง
สายพระเนตรคมกล้าแทบทิ่มทะลวงร่างของผักตบด้วยซ้ำ
“คุณจะทำยังไงหืม..ถ้าหากไม่กลัวคนพวกนี้เป็นอันตรายก็ลองดู ผมไม่รู้คุณพูดถึงอะไร
ถ้ารู้ผมมีเวทย์มนต์..ก็ขอให้รับรู้ไว้เสียเลย ผมได้ดึงวิญญาณพวกคุณมาไว้ในกล่องวิเศษของผมแล้ว
ถ้าใครอยากลองดีผมจะทำให้ดวงวิญญาณดับสลาย ถึงตอนนั้นมาว่าผมใจร้ายไม่ได้นะครับท่าน”
พูดจบผักตบหันส่วนที่เป็นหน้าจอของกล้อง เปิดรูปที่ถ่ายภาพทุกคนเอาไว้ ยื่นให้องค์ชายวายุภักษ์ดูด้วยตัวเอง
โดยมีคนที่ได้ยินแอบชะโงกดูตามด้วย แล้วก็พากันตกใจหน้าซีดเผือดไปอีกรอบ เมื่อเห็นตัวเองอยู่ในนั้น
“โอ้!!!..เขาได้กักขังดวงวิญญาณพวกเราแล้ว” เสียงอึงอลดังตามกันเป็นพรวน ต่างโอดครวญต่อชะตากรรมที่ได้รับ
โดยที่องค์ชายวายุภักษ์ถึงกับขบสันกรามเกร็ง เพื่อระงับโทสะของพระองค์ที่กำลังปะทุขึ้นต่อเนื่อง
ไม่เคยมีใครบังอาจต่อรองกับพระองค์มาก่อน แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลาม แสดงฤทธานุภาพของวายุกับผักตบ
เมื่อพระองค์ประจักษ์ด้วยเนตร เห็นพระพักตร์เสด็จพ่อ เสด็จแม่ รวมทั้งบรรดาเชื้อพระวงศ์
ขุนนางอำมาตย์อยู่ในกล่องวิเศษตามคำเอ่ยอ้าง ไม่ได้กล่าววาจาเท็จแต่อย่างใด
“เจ้าต้องการสิ่งใด ถึงได้กักขังดวงวิญญาณพระญาติเราในกล่องวิเศษของเจ้า จงแจ้งต่อเรามา”
องค์ยุพราชถอนพระทัยควบคุมวรองค์ไม่ให้โทสะเข้าครอบงำ ใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหา
“เอาเป็นว่าผมรับปากจะไม่ทำลายดวงวิญญาณใคร แต่คุณต้องให้แม่มาพักที่ห้องผม ห้ามแยกเราสองแม่ลูก
จัดน้ำให้ผมกับแม่อาบเช้าเย็นเป็นประจำทุกวัน นอกเหนือจากนี้ยังคิดไม่ออก ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมผมจะบอกคุณเอง”
ผักตบยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนไป ผู้คนที่ได้ฟังต่างซุบซิบสีหน้าเคร่งเครียดกันใหญ่ แต่ไม่มีใครกล้าปริปากขัด
แม้แต่การมองผักตบตรงๆ ยังไม่มีใครกล้า ได้แต่แอบชำเลืองอย่างขลาดๆ มีไม่กี่คนที่กล้าจ้อง
เหนือหัวอนิละ พระเชษฐา พระมเหสี องค์หญิงศศิธร มหาโหรานอกจากนี้แล้วไม่มีใครกล้าเลย
“ได้..เราจักจัดการตามที่ขอ” รับสั่งขององค์ชายเป็นสิทธิขาดที่ไม่มีใครกล้าแย้ง
แม้หลายคนแสดงสีหน้าลำบากใจกับคำขอก็เถอะ
“วายุภักษ์..ข้าใคร่ทักทายกับผู้ถือครองมหาธาตุอัคคีสักประโยค ไหว้วานศิษย์ข้าแนะนำด้วยเถิด”
มหาโหราผู้เฒ่าที่นั่งนิ่ง หัวขาวโพลนมวยเกล้าทรงพุ่มสูง เอ่ยกับศิษย์เอกที่มีศักดิ์เป็นถึงยุพราชแห่งไตรคาน
ให้ตนได้สนทนากับผักตบ
“ขอรับ..อาจารย์” องค์ชายผินพักตร์รับคำพระอาจารย์ ค่อยหันกลับมาจ้องผักตบที่ยังคงยืนสง่าไม่กริ่งเกรง
พระองค์เองยังแอบชื่นชมในความห้าวหาญ สายพระเนตรลอบสำรวจผักตบอย่างพินิจพิจารณา
อดเปรยในพระทัยไม่ได้ ‘บุรุษหนุ่มผู้นี้ ช่างสง่างามหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยากยิ่งในผืนแผ่นดินนี้
มาพร้อมความสามารถและพรสวรรค์ หากแม้นย้ายข้างเป็นศัตรูแล้วไซร้ เห็นทีเราคงลำบากอีกหลายส่วน’
“เจ้าผู้มีนามว่า ‘ผักตบ’ เราใคร่แนะนำท่านอาจารย์ให้เจ้าได้รู้จัก
ท่านผู้นี้คือมหาโหราแห่งไตรคาน พระอาจารย์ของเรา” องค์ชายรับหน้าที่แนะนำสองคนให้ทำความรู้จักกัน
“สวัสดีครับ..ท่านมหาโหรา ผมผักตบยินดีที่ได้รู้จัก” ผักตบยกมือกระพุ่มไหว้อย่างนอบน้อม
แต่บรรดาผู้คนพากันตะลึงลานมองตาค้างกับกิริยาที่ผักตบแสดงให้เห็น
“ช่างงดงามน่าเลื่อมใสยิ่งในสายตาเรา มิคาดว่าเจ้าจักอ่อนน้อมถ่อมตน
ถึงกับวันทาผู้ที่เพิ่งพบหน้าประดุจเทพจากแดนสรวง” คำกล่าวชมจากปากของมหาโหราผู้เฒ่า
กลับรับการผงกศีรษะจากผู้คนที่นั่งโดยรอบโต๊ะกว่าสี่สิบชีวิต ให้เห็นพ้องต้องตามไปด้วย
การที่บุคคลหนึ่งประกบฝ่ามือสิบนิ้วกระพุ่มไหว้นั้น ย่อมทำเพื่อการบูชาสักการะเทพไท้เทวา
หาได้กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันแต่อย่างใด เมื่อผักตบแสดงสิ่งนี้ต่อมหาโหราผู้เฒ่า
เสมือนยกให้ชายชราเป็นเทพที่เคารพบูชาควรค่าแก่การกราบไหว้ ถือเป็นความปิติยินดีในใจมหาโหราเป็นอย่างมาก
ที่ได้รับเกียรติสูงสุดนี้ จึงได้เอ่ยวาจากล่าวชื่นชมจากใจ
“เจ้ารู้จักพระอาจารย์เราแล้ว ควรได้รู้จักเสด็จพ่อ เสด็จแม่ รวมทั้งพระญาติเชื้อพระวงศ์ของเราด้วย..
ท่านผู้นี้คือ..บลาๆๆ” จากนั้นองค์ชายได้ทำหน้าที่แนะนำเหนือหัว พระมเหสี พระปิตุลา องค์หญิงศศิธรพระคู่หมั้น
รวมถึงเชื้อพระวงศ์ และขุนนางอำมาตย์อย่างรวบรัดไม่เสียเวลานัก
ผักตบไม่ลืมกระพุ่มมือไหว้แทบทุกคน ยกเว้นองค์หญิงศศิธรที่เขารู้ว่าอ่อนวัยกว่าพอสมควร
จึงได้แต่ส่งยิ้มไมตรีให้ องค์หญิงถึงกับพักตร์ซับสีโลหิต เมื่อสบสายตาคมเข้มและรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์
แม้นพระองค์จะทรงเตือนพระสติแย้งในพระทัย ‘บุรุษผู้นี้ช่างหล่อฉกาจนัก แม้นยังห่างเจ้าพี่วายุภักษ์อยู่ครึ่งก้าว
แต่มิอาจนับได้ว่าไม่น่ามอง ตรงข้ามมิควรมองให้หัวใจสั่นคลอนเป็นดีสุด’ ถึงจะทรงบอกวรองค์เช่นนั้น
แต่มิวายที่จะพระทัยเต้นถี่แรง เมื่อสบเนตรเข้าอย่างจังกับดวงตาคมเข้มของผักตบ..
การแนะนำทักทายเป็นไปในบรรยากาศสมานฉันท์กว่าแรกเริ่ม เมื่อผักตบนอบน้อมยกมือไหว้แทบทุกคน
พลอยให้พวกเขารู้สึกตัวพองในอกฟูฟ่องที่ได้รับการเทิดทูน ยกย่องประดุจเทวาจากหนุ่มแปลกหน้า
อย่างที่บอกธรรมเนียมที่นี่ อาศัยการค้อมศีรษะแสดงการเคารพ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ยอบกายต่ำถอนสายบัว
การประนมมือไหว้ล้วนใช้กับเทพเทวาเท่านั้น จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะดีใจในการแสดงออกของผักตบ
เช่นนี้การกักวิญญาณพวกเขาในกล่องวิเศษ คงไม่คิดร้ายทำลายเป็นแน่แท้แล้ว
“บุรุษผู้มาจากแดนไกล ผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี เราใคร่ขอให้เจ้าปลดปล่อยวิญญาณพวกเรา
จากกล่องวิเศษของเจ้าได้หรือไม่ ในฐานะที่เจ้าแสดงความเคารพพวกเราดุจเทพเทวาแล้ว
คงไม่ลำบากกระไรในการปลดปล่อยวิญญาณของพวกเรากระมัง” องค์เหนือหัวทรงตรัสกับผักตบด้วยพระองค์เอง
“ในเมื่อฝ่าบาทอุตส่าห์ขอร้อง ตกลงผมปล่อยก็ได้” พูดจบชูกล้องหันส่วนที่เป็นหน้าจอ
ซึ่งมีรูปของทุกคนขึ้นให้เห็น เอื้อมนิ้วไปที่เมนูลบภาพ โดยสายตากวาดมองไปทั่ว
มีทำปากขมุบขมิบแล้วกดปุ่มลบภาพหายไปในพริบตา
“ฮือออ!!” เสียงฮือดังขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะตามด้วยเสียงถอนหายใจโล่งเป็นแถว
เมื่อเห็นความว่างเปล่าบนหน้าจอกล้องถ่ายรูป
ทุกอย่างที่ผักตบแสดง สร้างความขบขันให้กับแม่เล็ก จนต้องนั่งจิกนิ้วลงหน้าขา
สะกดกลั้นไม่ให้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา อาการหน้าดำหน้าแดงแอบมีน้ำตาเล็ดอย่างทรมาน ที่ต้องมาทนกลั้นอยู่แบบนี้
“แม่..เป็นไงบ้าง หลับสบายไหมลำบากหรือเปล่า” ผักตบกับแม่เพิ่งมีโอกาสทักทายกัน
หลังลูกชายเดินมานั่งลงข้างๆ บนเก้าอี้ที่เว้นว่างไว้ ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาที่ตรงนี้เตรียมไว้ให้เขา
“อืมสบายดี คึคึ!..แกนะแกไอ้ตบ คิดได้..คึคึ!” แม่ทักตอบอาการไหล่สั่น
ยังมีหลุดหัวเราะต่ำในคออย่างทรมาน เมื่อเห็นหน้าลูกอยู่ใกล้ๆ ผักตบจึงได้แต่ยกยิ้มให้ไป
“เอาน่า..เราต้องหาวิธีเอาตัวรอดปลอดภัย ดีกว่าไม่มีหลักประกันมาต่อรองนะแม่”
เจอคำพูดลูกชายเข้า คนเป็นแม่ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ก่อนจะได้โอกาสสำรวจเครื่องแต่งกายของกันและกัน
แม่เล็กสวมใส่ส่าหรีสีม่วงอ่อน ดูงดงามอ่อนหวานไปอีกแบบเชียว
สีหน้าบ่งบอกไม่ลำบากอะไร เหมือนแม่จะปรับตัวได้เร็วพอสมควร
จากนั้นผู้เป็นประธานในพิธีองค์เหนือหัวอนิละ ก็กล่าวเชิญแขกผู้ที่ได้รับเชิญร่วมเสวยพระกระยาหารเช้า
ต้อนรับอาคันตุกะคนสำคัญลงมือเสวยพระกระยาหารร่วมกับพระองค์ พร้อมกับถือโอกาสซักถามผักตบสลับกับแม่เล็กไปด้วย
คำถามล้วนเป็นกันเอง ถึงแม้ผักตบจะพูดตอบโต้ด้วยภาษากลางธรรมดา พระองค์ก็เข้าพระทัยได้ไม่ยุ่งยากต้องแปลความอีก
ส่วนใหญ่ถามที่มาที่ไปของสองแม่ลูก สุดท้ายก็ไม่รู้ประเทศไทยอยู่ส่วนไหนของแผ่นดิน
กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงตั้งที่ไหนอยู่ดี
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามีเมืองแบบนี้อยู่ ก่อนผักตบจะกลับเป็นฝ่ายซักถามพระองค์ในสิ่งที่ต้องการข้อมูล
เกี่ยวแผ่นดินที่หลงเข้ามา จนเริ่มประมวลได้ว่า พวกเขาหลงยุคแน่แล้ว ทั้งวันเดือนปี..พศ.
ล้วนไม่มีปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อน ทุกการสนทนาของพวกเขาได้รับความสนใจจากผู้คนร่วมโต๊ะ
หน้าแปลกที่องค์ชายวายุภักษ์ ผู้ที่ผักตบคิดว่าจะชวนเขาคุยมากที่สุด กลับนั่งนิ่งวางตัวเฉยไปเสียนี่
ผักตบรู้สึกตงิดใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ทำไมพอเจ้าชายคนนี้วางเฉยใส่ตนแล้ว ไม่ยักรู้สึกดีอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ก็แกล้งเนียนทำไม่สนอีกฝ่ายเช่นกัน ระหว่างสองหนุ่มจึงเป็นเพียงการลอบชำเลืองหยั่งเชิงกันแทน
ไม่มีใครเอ่ยคำพูดต่อกันจนเสร็จสิ้นภารกิจมื้อเช้า...หลังจากนี้มหาโหราผู้เฒ่า ซึ่งรับหน้าที่ตรวจฤกษ์ดูยามตามตำรา
ในการมาถึงของผักตบกับแม่เล็ก เป็นคนเอ่ยเชิญสองแม่ลูกไปที่ห้องรับรองพิเศษ งานนี้นอกจากเชื้อพระวงศ์สำคัญ
เหนือหัว พระมเหสี พระเชษฐา องค์หญิงศศิธร องค์ชายวายุภักษ์ กลกะลาองครักษ์คู่กายแล้ว
ไม่มีรับสั่งให้ผู้ใดเข้าร่วมแม้แต่น้อย เป็นเรื่องสำคัญที่เหนือหัวให้มหาโหราไขความลับของผักตบ
ตามที่พวกเขาได้รู้จากนางกำนัลบุปผา ราตรี ที่ส่งให้ไปปรนนิบัติ ได้ถวายรายงานว่า
ผักตบมีปานรูปไฟตรงราวนมด้านซ้าย บ่งบอกเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี สำคัญคือเทพมหาธาตุแห่งแผ่นดิน
ใยไปจุติยังดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จัก และหวนคืนมาด้วยชะตาลิขิตใดของสรวงสวรรค์ ทุกคนต่างต้องการไขปริศนา
เพื่อหาคำตอบที่ยังคลุมเครืออยู่นี้...?
ความคิดเห็น