ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@ โดย Luk {สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ}

    ลำดับตอนที่ #7 : Part 6

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 57


    Part 6...กลับคืนมาตุภูมิ
     

    “เฮือก!!” เตียงบรรทมขนาดใหญ่ สตรีนางหนึ่งสะดุ้งตื่นยามวิกาล พลอยทำให้ร่างที่นอนอยู่ด้วยรู้สึกตัว
     

    “เกิดอะไรขึ้นน้องหญิง” น้ำเสียงห้าวแหบพระปิตุลาเอ่ยกับชายา หลังนางผวาตื่นจากบรรทมด้วยสีพระพักตร์ไม่สู้ดี
     

    “มนต์กำกับผนึกเวลา..ถูกทำลายแล้ว” คำตอบที่ได้ฟังพระปิตุลาผู้เยือกเย็นสุขุม ถึงกับผุดลุกจากเตียงด้วยความลืมตัว
     

    “เจ้าแน่ใจหรือ มนต์ผนึกเป็นเจ้ากำกับขึ้นใยมีผู้สามารถทำลายได้ เช่นนั้นแปลว่าทารกยังไม่ตาย”
    คำถามพรั่งพรูต่อเนื่อง ดวงเนตรเหยี่ยววาวโรจน์ แม้จะอยู่ในความมืดสลัวลาง ยังรับรู้ถึงรังสีที่แผ่ออกมา

     

    “จุดไฟคุยเถอะ” น้ำเสียงเรียบนิ่ง กลับมีอิทธิพลให้พระปิตุลาที่ไม่รับคำสั่งผู้ใดยินยอมจุดไฟตะเกียง
    ทำให้ห้องบรรทมสว่างขึ้นทันที เผยให้เห็นใบหน้าสตรีบนเตียง แม้นางจะมีวัยชรากลับยังงดงามอยู่มาก

                  พระนางลุกขึ้นประทับกิริยาสำรวม แม้สีพระพักตร์ไม่สู้ดีกลับยังเก็บอาการไว้ได้มิดชิด
    เอ่ยวาจาไม่ดังนักกลับแฝงไว้ซึ่งอำนาจให้คนฟังต้องกริ่งเกรงอยู่ไม่น้อยทีเดียว

     

    “มนต์ปิดผนึกเป็นข้ากักขังทารกไว้ แน่ใจไม่อาจมีผู้ใดทำลายได้ ย่อมต้องมีบางอย่างที่คาดไม่ถึง
    การเสื่อมสลายของมนต์ตราย่อมต้องเกิดจากการถูกทำลายมนต์กำกับ ซึ่งข้าระบุให้สายธาราอันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง
    เป็นสิ่งลบล้างมนต์ผนึก การใดที่ทำให้มนต์กำกับถูกทำลาย ย่อมหมายถึงได้รับสายวารีดังกล่าวเท่านั้น”
    คำอธิบายของพระนาง ทำให้พระปิตุลาที่นิ่งฟังมาโดยตลอด ถึงกับยกหัตถ์ลูบพระทาฐิกะ (เครา) อย่างครุ่นคิด

     

    “เจ้าผนึกทารกนั่นไว้นานกว่ายี่สิบปี แม้นมนต์กำกับถูกทำลายใช่ทารกจะเติบใหญ่
    ห้วงเวลาอันมืดมิดอาจคร่าชีวิตทารกแล้ว เจ้าบอกกับข้าว่ามิอาจสังหารทารกที่เป็นคู่แฝดชลธารในขณะนั้น
    ต้องให้เวลาล่วงผ่านไปหนึ่งปีเสียก่อน ห่วงโซ่แห่งความผูกพันของทั้งสอง จะเจือจางหายไปจนไม่สามารถทำลาย
    ชีวิตชลธารตายตกไปตามกัน ต่อจากนั้นแม้นว่าทารกชายจักตายไปก็ไม่มีผลต่อชลธารอันใดอีก

    จึงใช้ทางเลือกที่มิให้ผู้ได้ล่วงรู้ ว่าชลธารมีฝาแฝดเป็นทารกชายถือมหาธาตุอัคคีมาจุติ โดยการผนึกขังไว้ในมนต์ตรา
    แห่งกาลเวลา เช่นนี้แล้วไม่สามารถนำทารกกลับคืนมาได้ ย่อมถูกขังในความมืดมิดจนตาย”

     

    “ย่อมไม่ผิด..ตอนนี้ข้ากังวลทารกเติบใหญ่ไม่ตายอย่างที่คิด มนต์กำกับมิอาจถูกทำลาย
    ถ้าผู้ที่ถูกกักขังไม่ได้รับสายวารีเยือกเย็นด้วยตนเอง เราต้องป้องกันเสียก่อน ข้าคิดว่าท่านสมควรคำนวณดูฤกษ์
    ช่วงนี้บังเกิดรัศมีใดบ่งบอกถึงผู้ครองเทพมหาธาตุอัคคียังจุดอื่นหรือไม่ ยกเว้นชลธารที่พำนักในวังหลวงเท่านั้น”
    นางเสนอความคิด แกมออกคำสั่งไปในตัว

     

    “รุ่งสางข้าจะทำพิธีคำนวณดูฤกษ์โหรา ย่อมได้รู้แน่ทารกหวนคืนกลับหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นคงต้องรีบกำจัดเสียให้สิ้นซาก” พระปิตุลากับพระชายาต่างสบเนตรกันนิ่ง สายพระเนตรแวววาวมาดร้ายดูน่ากลัวยิ่งนัก

    > 

    > 

            “ขอบใจพวกเจ้าโดยเฉพาะวายุภักษ์ เจ้าควรพักใยรั้นให้ได้ไต่ถามเหตุการณ์เสียแต่ตอนนี้”
    องค์อนิละรับสั่งกับพระโอรส หลังทรงคืนพระสติ เมื่อพิษร้ายถูกขับออกจากพระวรกายจนหมดสิ้น 

           ส่วนองค์ยุพราชรูปงามแห่งไตรคาน กลับมีสีพระพักตร์น่าเป็นห่วง พระองค์ยืนกรานขอฟังเรื่องราวจากมหาโหรา
    และองครักษ์ส่วนพระองค์ ในการจับกุมคนร้าย คือนางกำนัลใกล้ชิดเหนือหัวอนิละ ระหว่างที่พระองค์ทำการขับพิษให้พระบิดา
    ได้เกิดการต่อสู้ขึ้นที่หน้าห้องพระบรรทม

    คนร้ายแอบอ้างเสาวนีย์พระมเหสี ให้นางนำโสมทรายถวายแด่ยุพราชหนุ่ม โดยวางแผนลอบทำร้ายไปพร้อม
    เหนือหัวอนิละ พวกนางคงคำนวณไว้แล้ว ลำพังมหาโหราผู้เฒ่ามิอาจรับมือพวกนางได้แน่นอน

    กาลกลับไม่เป็นดังคาด องค์ชายวายุภักษ์ได้ซ้อนแผนยอมเอาพระองค์เข้าเสี่ยงล่อเสือออกจากถ้ำ
    แอบให้กลกะลาดักซุ่มคอยช่วยเหลือพระอาจารย์อีกแรง หากคนร้ายรู้ตัวล่วงหน้า ว่าองค์ชายรับสั่งองครักษ์เงา
    ผู้มีฝีมือต่อสู้ไม่ธรรมดาคอยอารักขา พวกนางคงไม่เปิดเผยโฉมหน้าแท้จริง  เป็นเพราะคำนวณผิดไปครึ่งก้าว
    จึงตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำโดยไม่มีโอกาสแก้ไขอันใดเสียแล้ว..

     

     “ข้าไม่เป็นไรขอรับเสด็จพ่อ คนร้ายย่อมสำคัญกว่า ขืนชักช้าอาจพลาดเบาะแสสำคัญไป
    เช่นนั้นข้ามิอาจคลายกังวล หากต้องเดินทางกลับ หน้าด่านทั้งที่เรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง จำต้องให้พระอาจารย์
    กับกลกะลาถวายรายงานเสียตอนนี้พะยะค่ะ” พระองค์ยืนกราน ให้ถวายรายงานโดยไม่รอถึงรุ่งสาง
    วาจาพระโอรสองค์อนิละไม่ทักท้วง ได้แต่ส่งสายพระเนตรห่วงใยไปให้แทน ก่อนผินพระพักตร์มายังบุคคลที่ถูกกล่าวถึง
    มหาโหราผู้เฒ่ากับองครักษ์คู่กายพระโอรส ยืนสำรวมอยู่ไม่ห่างหลังมีพระบัญชาให้เข้าเฝ้า

    ด้านซ้ายเหนือหัว ยังมีพระมเหสีคู่บัลลังก์ประทับข้างพระวรกาย พระนางได้รับการถวายรายงานพระสวามี
    ทรงฟื้นคืนพระสติ จึงรีบเสด็จมาพร้อมโสมทรายพันปี ทรงกำชับนางข้าหลวงด้วยพระองค์เอง เพื่อถวายพระสวามีและพระโอรส
    ได้เสวยบำรุงพระกำลัง ยิ่งรับรู้ว่าสองพระองค์หมดพระกำลังไปกับการนี้ โดยเฉพาะพระโอรสหนักหนากว่ามากนัก 

         แม้พระนางทรงรู้สึกยินดียิ่ง ที่พระสวามีและพระโอรสปลอดภัยดี แต่อดทอดพระเนตรห่วงใยองค์ยุพราชมิได้
    องค์ชายวายุภักษ์ได้รับผลจากการรักษาพระบิดา ต้องฟื้นฟูพระวรกายสามวันกว่าจะหายเป็นปกติ ในฐานะพระมารดา
    ย่อมกังวลพระทัยเป็นธรรมดา

    สายพระเนตรฉายความชื่นชม ในความกล้าหาญองอาจพระโอรส แม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายเพียงใด
    กลับอดทนไม่แสดงท่าทางให้พระนางทรงห่วงกังวล สมเป็นหน่อเนื้อเชื้อสายพระโลหิตกษัตริย์ตราธิราช
    ผู้เป็นมารดามีหรือไม่ภาคภูมิพระทัยเป็นที่สุด

     

    “เช่นนั้นอย่าเสียเวลา เจ้าไต่สวนคนร้ายได้ความอย่างไรกลกะลา” องค์ชายทรงรับสั่งโดยตรงกับองครักษ์
    ซึ่งเปิดเผยโฉมหน้าไม่อำพรางอันใด ยามอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์

     

    “ข้าพระองค์ทำการไต่สวนหาตัวผู้บงการอยู่เบื้องหลัง กลับไม่ได้ความกระจ่างประการใด
    พวกนางใจแข็งนักถึงกับยอมสละชีวิต ดื่มยาพิษที่แอบซุกซ่อนไว้ในปาก ชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน ทำให้พลาดเบาะแสสำคัญ

    นอกจากยืนยันได้ว่าพวกนางคือคนเผ่าแมงมุมดำ เชี่ยวชาญการปรุงยาพิษซึ่งฝ่าพระบาทถูกลอบทำร้าย
    ประวัติความเป็นมาไม่กระจ่าง  กรมปกครองมีบันทึกเพียงว่า เหนือหัวทรงรับเข้าวังโดยไม่รู้ที่มา..พะยะค่ะ”
    คำถวายรายงานกลกะลาชัดถ้อยชัดคำ ผู้มีส่วนรับฟังภายในห้องบรรทมส่วนพระองค์ต่างไม่มีใครปริถาม
    แม้แต่มหาโหราอยู่ในเหตุการณ์ยังวางนิ่ง ไม่แสดงความคิดเห็นแทรกขัด กลับเป็นผู้นำนครที่รับสั่งขึ้นเสียเอง

     

    “เช่นนั้นถือเป็นความผิดข้าแล้ว ข้าประมาทเป็นเหตุให้นำเภทภัยมาสู่ตัว มิอาจกล่าวโทษผู้ใดได้”
    พระดำรัสนำความแปลกใจให้กับทุกคน ด้วยไม่เข้าใจว่าเหนือหัวทรงหมายถึงสิ่งใด


                  “เสด็จพ่อหมายความเช่นไร..พะยะค่ะ” องค์วายุภักษ์ตรัสถาม
     

    “เรื่องราวคงต้องย้อนไป 10 ปีก่อน เจ้ายังร่ำเรียนอยู่กับมหาโหรา ข้าเดินทางออกจากวังหลวง
    เพื่อตรวจเยี่ยมราษฎรพร้อมคณะติดตาม ขากลับจากทิศตะวันตก พบโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจนิ่งเฉยได้
            
    การนั้นแม้ไม่ชอบกล แต่ไม่มีหลักฐานอันใดให้ใคร่ครวญ ขบวนของข้าเจอเหตุการณ์ปล้นครอบครัวพ่อค้า
    ระหว่างขนสินค้าเดินทางสายนี้  คนในครอบครัวถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม เด็กหญิงสองคนกำลังถูกข่มเหง
    บังเอิญข้าผ่านไปพบพอดี จึงได้ยื่นมือช่วยเหลือ

    พวกนางยังเด็กกลับรับเคราะห์กรรมไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวล้วนถูกสังหารสิ้น ข้าจึงรับอุปการะนำกลับเข้าวัง
    ส่งให้นางข้าหลวงรับไปฝึกหัดเป็นนางกำนัล พวกนางล้วนเฉลียวฉลาดจนได้เลื่อนขั้น จนกระทั่งเติบใหญ่ได้เข้ามารับใช้ข้าเมื่อ
    สองปีที่ผ่านมานี่เอง ไม่คิดที่แท้คือแผนร้ายได้เตรียมการกันมาเป็นสิบปี เช่นนี้ไม่ให้ข้ากล่าวนำภัยสู่ตัวหรืออย่างไร”

     

    องค์ชายรับรู้พระสุรเสียงรันทดของพระบิดา ให้หดหู่พระทัยตาม ทรงดำรัสปลอบพระบิดาไปว่า
     

    “เสด็จพ่ออย่าได้กล่าวโทษองค์เลยพะยะค่ะ ล้วนเป็นเพราะทรงมีพระเมตตาเป็นที่ตั้ง
    หาไม่แล้วคนร้ายมิอาจอาศัยเป็นช่องทาง ข้าเพียงแปลกใจพวกนางถวายงานใกล้ชิดเสด็จพ่อ
    ใยถึงตัดสินใจลงมือเสียช่วงนี้ กาลก่อนมิง่ายกว่าหรือไร เหตุนี้มากกว่าที่ข้าข้องใจนัก”

    วาจาพระโอรสสร้างความกังขาให้ทุกคนได้คิดตาม ดำรัสองค์ชายใช่ไร้น้ำหนัก กลับชี้จุดที่คิดไม่ถึง
    ทำไมพวกนางชิงลงมือในตอนนี้ การลอบปลงพระชนม์องค์อนิละ ล้วนสบโอกาสนานแล้วหากคิดลงมือจริง

     

    “ข้าว่าคงมีส่วนเกี่ยวข้องของวิเศษที่พระองค์ครอบครอง พวกนางต้องการสืบรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้
    ด้วยเกี่ยวพันผู้ถือครองเทพมหาธาตุ ตราบใดยังไม่รู้ที่ซ่อนจึงไม่คิดลงมือ ส่วนที่ตัดสินใจลงมือคงได้รับคำสั่งมา

    ผู้บงการมุ่งหวังสังหารองค์ชาย กำจัดองค์ชายสำเร็จ ย่อมทำลายค่ายกลพายุดำทะเลทรายให้พินาศ
    ถึงตอนนั้นของวิเศษมีหรือไม่ตกอยู่ในมือของพวกเขา..พะยะค่ะ” มหาโหราเฒ่าหุบปากมาตลอด
    กลับเอ่ยวาจาให้ทุกคนสนใจเป็นยิ่งนัก

     

    “มีอันใดไม่ชอบมาพากลหรือท่านมหาโหรา ข้าต้องการคำอธิบายอย่างละเอียด” เหนือหัวรับสั่งถามขึ้นทันที
     

    “พระองค์ทรงลืมแล้วพะยะค่ะ บันทึกประวัติศาสตร์ผู้ถือครองเทพมหาธาตุ มีความเป็นมาไม่แพร่งพราย
    ข้อเท็จจริงบางประการ บันทึกที่มีอยู่แพร่หลาย มีความลับซุกซ่อนเกี่ยวกับการถือกำเนิดผู้ได้ครองเทพมหาธาตุ
    ยกเว้นเหล่าราชนิกูลสืบสายเลือด น้อยคนที่ล่วงรู้ความลับนี้” วาจาพรั่งพรูจากมหาโหราผู้เฒ่า
    สร้างความสนพระทัยให้องค์ชายวายุภักษ์ยิ่งนัก

     

    “ความลับอันใดขอรับอาจารย์ ยังมีข้อเท็จจริงเรื่องไหนที่ข้ายังไม่รู้ ท่านช่วยเล่าให้กระจ่างทีเถอะ”
    พระองค์ทรงไม่เก็บพระอาการ ถามให้หายสงสัยไม่ทิ้งช่วงให้เปลี่ยนประเด็น

     

    “แล้วแต่เหนือหัวทรงอนุญาตพะยะค่ะ” ผู้เป็นอาจารย์กลับโยนให้องค์อนิละเป็นผู้ตัดสินพระทัยเสียเอง
     

    “เอาเถอะถึงเวลาแล้วที่วายุภักษ์ควรได้รู้ ข้าควรเป็นผู้เล่าเสียเอง เรื่องราวล้วนได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา
    ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรมิแน่ชัด เหตุการณ์เกิดขึ้นพันกว่าปีแล้ว ตำนานการถือกำเนิดของผู้ครอบครองเทพมหาธาตุ

    เดิมทีแผ่นดินที่บรรพบุรุษเราอาศัย ล้วนอุดมสมบูรณ์ไม่แร้นแค้นเป็นทะเลทรายเช่นนี้
    ผู้คนร่มเย็นเป็นสุขดำรงชีพไม่ลำบาก กระทั่งเกิดภัยพิบัติธรรมชาติเมื่อผู้คนเริ่มเห็นแก่ตัว
    ละโมบโลภมากตัดไม้ทำลายป่าอย่างไม่คิดถึงผลที่ตามมา ไม่นับการเข่นฆ่าช่วงชิงอำนาจก่อสงคราม

    ขณะนั้นมีสี่พี่น้องยึดมั่นคุณธรรม เป็นวีรบุรุษช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
    คุณความดีที่พวกเขาเสียสละใหญ่หลวงนัก ล่วงรู้ถึงสรวงสวรรค์และเหล่าทวยเทพ จึงได้มอบพลังวิเศษแก่พวกเขา
    สามารถเรียกใช้มหาธาตุจากธรรมชาติได้ดังใจปรารถนา เพื่อช่วยพลิกฟื้นผืนแผ่นดินให้คืนความอุดมสมบูรณ์
    ปราศจากสงครามการนองเลือด

    สี่พี่น้องไม่ได้ทำให้ทวยเทพผิดหวัง พวกเขายุติสงครามได้สำเร็จ ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตผาสุกกันอีกครั้ง
    ก่อนจะแยกย้ายไปมีครอบครัว โดยรั้งตำแหน่งผู้นำนครอยู่คนละทิศ เหนือ ใต้ ออก ตก พร้อมกำเนิดชนเผ่าต่างๆ
    น้อยใหญ่อีกนับไม่ถ้วน แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกเรื่อยมา

    พวกเขาต่างได้รับการสรรเสริญยกย่องให้เป็นกษัตริย์ จากรุ่นสู่รุ่น กระทั่งห้าร้อยปีหลังก่อนยุคของพวกเรา
    ผู้ถือครองเทพมหาธาตุรุ่นต่อมาเกิดมีใจปฏิพัทธิ์รักกันขึ้น นั่นย่อมไม่ควรหากพวกเขารักใคร่กันเอง
    ทายาทผู้สืบสายโลหิตย่อมแข็งแกร่ง อาจถือครองเทพมหาธาตุมากกว่าหนึ่งชนิด
    ย่อมทำให้สมดุลของหัวเมืองที่คานกันอยู่ไม่มั่นคงอีกต่อไป

    คำว่าอำนาจย่อมเป็นสิ่งหอมหวานให้ผู้คนละโมบ ในเมื่อผู้ถือครองเทพมหาธาตุดินกับมหาธาตุไฟ
    ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นบุรุษอีกฝ่ายเป็นสตรีได้หลงรักกันแล้ว ต่างไม่ยอมฟังคำทัดทานของผู้ใด

    ฝ่ายสตรีมีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง มัวเมาในอำนาจต้องการอยู่เหนือผู้คนทั่วทั้งแผ่นดิน
    จึงใช้ความรักที่มีล่อหลอกให้บุรุษผู้ถือครองมหาธาตุไฟ บุกโจมตีชนเผ่าต่างๆ เพื่อขยายฐานอำนาจ เกิดสงครามเดือดร้อนอีกครั้ง

    สองมหาธาตุที่เหลือคือธาตุลมกับมหาธาตุน้ำ มิอาจทนนิ่งเฉยต่อไปได้อีก จึงยื่นมือเข้าขัดขวางลุกลามบานปลาย
    กลายเป็นสงครามของเหล่าเทพมหาธาตุขึ้นมาจนได้

    ด้วยความที่ธาตุลมกับธาตุน้ำเห็นแก่บรรพบุรุษ ซึ่งล้วนเกิดจากรากเหง้าเดียวกัน ไม่ใจแข็งพอทำลายให้ย่อยยับ
    กลับละเว้นชีวิตทั้งสองเพื่อให้โอกาสกลับตัวกลับใจ สองสามีภรรยาหามีสำนึกไม่ พวกเขาเพียงรอเวลาแก้แค้นเอาคืนอย่างเงียบๆ

    ส่วนวีรบุรุษมหาธาตุทั้งสอง หลังศึกสงครามต่างผูกใจรักสามัคคีแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม ไปมาหาสู่กันดุจสหายผู้รู้ใจ
    อยู่มาวันหนึ่งด้วยไม่ทันเฉลียวใจกลับโดนวางยาปลุกกำหนัดเข้า ทำให้สองหนุ่มหลงมีสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น
    ย่อมเป็นฝีมือสองสามีภรรยามหาธาตุที่รอจังหวะแก้แค้น

    สองวีรบุรุษผู้นำนครต่างนึกละอายแก่ใจ รู้สึกผิดต่อพระมเหสีและเหล่าเชื้อพระวงศ์ ที่ทำผิดศีลธรรมพลาดพลั้งเสียที
    ให้คนชั่ว จนถูกนำไปประจานกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว ให้บรรดาผู้คนหยิบยกมาติฉินนินทาโด่งดังไปทั่วทุกหัวระแหง..
    ไม่อาจแก้ไขอันใดได้

    ทั้งสองจึงตัดสินใจบังคับพลังมหาธาตุไว้ในมุกราตรี มอบแก่มเหสีซึ่งตั้งครรภ์ของพวกเขา จากนั้นพากันกอดคอ
    ทำอัตวินิบากกรรม ปิดฉากชีวิตตายตามกันไป ส่วนสองสามีภรรยาหลังจากไร้ซึ่งเสี้ยนหนามขัดขวาง
    ก็กลับมาก่อสงครามเข่นฆ่าขยายอำนาจขึ้นอีกครั้ง หนนี้ไม่มีผู้ใดรับมือได้

    ผู้คนล้มตายครอบครัวพลัดพราก เดือดร้อนกันทั่วทุกหย่อมหญ้า มเหสีของสองวีรบุรุษมหาธาตุที่มีมุกราตรีคนละเม็ด
    พากันหนีเอาชีวิตรอดโดยมีองครักษ์พิทักษ์พวกนาง นางซุกซ่อนกลืนมุกราตรีลงสู่ท้อง ให้กำเนิดผู้ถือครองมหาธาตุรุ่นลูก
    กลับมาต่อกรสองสามีภรรยาพ่ายแพ้ไปในที่สุด

    ถึงตอนนั้น..การต่อสู้ก็ทำให้ผืนแผ่นดินถูกทำลายไปจนหมดสิ้น กลายเป็นทะเลทรายแห้งแล้งกันดาร
    ไม่เหลือความอุดมสมบูรณ์อันใดอีก ผู้ครองมหาธาตุวารี จึงสร้างโอเอซิสไว้ให้นครต่างๆ มหาธาตุธรณีที่พ่ายแพ้ยอมศิโรราบรับ
    ปากให้กำเนิดแผ่นดินคืน แต่เพราะมีจิตใจไม่บริสุทธิ์ไร้คุณธรรมจึงกลายเป็นหินผากรวดทรายเสียมากกว่าจะเป็นผืนดินดังเดิม

     

    หลังจากนั้นพวกเขาต่างทำลายพลังธาตุทั้งหมด โดยบังคับไว้ในมุกราตรี แล้วนำมาป่นละเอียดหลอมเข้ากับวารีทิพย์
    มอบให้เชื้อพระวงศ์ไม่มียกเว้นว่าเป็นฝ่ายใคร ยกภาระหน้าที่ให้ฟ้าเป็นผู้กำหนดอนาคตใหม่ ถ้าหากเทพมหาธาตุ
    ถือกำเนิดอีกครั้ง ล้วนเป็นสายพระโลหิตเชื้อพระวงศ์ แล้วแต่สวรรค์ทรงเมตตาเถิด

    หลังเหล่าเทพมหาธาตุดับสูญไปในยุคนี้ ตำนานเล่าว่าพวกเขาได้ทิ้งการสืบทอดทายาทผู้ถือครองเทพมหาธาตุ
    สู่สายโลหิตเชื้อพระวงศ์รอให้มีผู้ถือครองจุติใหม่อีกครั้ง ผ่านมาหลายร้อยปีจนถึงรุ่นของเจ้าวายุภักษ์
    เข้าใจเรื่องราวผู้ถือครองเทพมหาธาตุแล้วหรือไม่” เหนือหัวดำรัสไว้แค่นั้น

     

    “แล้วของวิเศษที่เสด็จพ่อทรงครอบครองคือสิ่งใด..พะยะค่ะ”
     

    “ของสิ่งนี้ คือส่วนหนึ่งของวารีทิพย์ที่ให้บรรดาเชื้อพระวงศ์เสวย พระอัยกาของเจ้ามิได้เสวย
    ทรงแอบเก็บเอาไว้ก่อนนำมาอาบลงมุกราตรี กาลกลับทำให้มุกราตรีสีขาวกลายเป็นสีดำ จึงเป็นที่มาของ
    มุกราตรีดำ

    มีอำนาจถ่ายโอนพลังผู้ถือครองเทพมหาธาตุ นี่คือสิ่งที่มหาโหราอาจารย์เจ้ากล่าวถึง
    ข้าได้รับมรดกตกทอดจากพระอัยกา ไตรคานของเราถึงได้รอดพ้นเวทย์มนต์พระปิตุลาไงเล่า
    เจ้ารู้หรือไม่พลังของมุกราตรีช่วยกางเขตอาคมปกปักษ์นครไม่ให้พลังเวทย์ใดกร้ำกรายได้
    พวกเขารู้เรื่องนี้จึงได้วางแผนแยบยลส่งไส้ศึกมาสืบหา เมื่อไม่ได้อันใดถึงคิดสังหารเจ้าเสีย
    เพื่อจะทำลายค่ายกลพายุดำทะเลทราย หวังบุกมาช่วงชิงไปครองเสียเอง” องค์อนิละสรุปสาเหตุให้พระโอรสรับทราบ

     

    “มุกราตรีดำมีพลังป้องกันเวทย์คุณไสย พระปิตุลาใยต้องการเล่า ด้านเวทย์มนต์คุณไสยยุคนี้ไม่มีใครเทียมเขา
    ต้องการนำมุกราตรีไปอีกใย” องค์ชายวายุภักษ์ ไม่มั่นพระทัยในเหตุผลนี้เท่าไหร่นัก

     

    “เข้าใจถูกแล้ว..หาใช่แค่อำนาจกางเขตแดน ป้องกันอาคมของมุกราตรีดำเท่านั้นดอกพะยะค่ะ
    หากแต่มุกราตรีดำยังมีพลังส่งเสริมการถ่ายโอนพลังของผู้ถือครองเทพมหาธาตุหลอมเข้าด้วยกัน
    ให้กำเนิดพลังของมหาธาตุทั้งสี่แก่บุคคลผู้นั้น ผู้ถือครองมหาธาตุสามารถเรียกเทพมหาธาตุได้ครบถ้วนถึง
    4 ธาตุ
    ย่อมแข็งแกร่งไม่มีผู้ใดทัดเทียม เหตุผลข้อนี้เพียงพอหรือไม่ ที่พระปิตุลาจะมุ่งหวังต้องการมุกราตรีดำไปครอบครองเสียเอง”

    มหาโหราผู้เฒ่าเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้ศิษย์รัก ทำเอาพระพักตร์ขององค์ยุพราชหนุ่ม
    ถึงกับมุ่นคิ้วด้วยความฉงนในสิ่งที่ได้รับรู้เพิ่มขึ้นมา

     

    “นี่จึงเป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ข้าเพิ่งรู้มีความพิเศษเช่นนี้ เราไม่ต้องหวาดเกรงพระปิตุลา
    องค์หญิงชลธาร องค์ชายธรณิณอีกต่อไป เพียงท่านพ่อมอบมุกราตรีดำให้ข้า ย่อมเสริมอำนาจให้ข้าเรียกใช้มหาธาตุได้หมด
    ทั้ง
    4 มหาธาตุ” องค์ชายผินพักตร์ตรัสถามมหาโหราผู้เป็นอาจารย์ ให้ยืนยันความคิดของพระองค์

     

    “เจ้าเข้าใจผิดไปแล้ว..การหลอมรวมมุกราตรีดำให้เป็นผู้เรียกใช้พลังมหาธาตุทั้ง 4  
    นั่นหมายถึงต้องร่วมสังวาสหลอมรวมเป็นหนึ่งเสียก่อน โดยมีมุกราตรีดำอยู่ในท้องของอีกฝ่าย
    ท่านต้องร่วมหอกับผู้ถือครองเทพมหาธาตุ โดยต้องกลืนมุกราตรีดำไว้ในท้อง เมื่อนั้นจะกำเนิดพลังมหาธาตุ
    กลายเป็น
    4 ธาตุสมดังใจหมาย เพิ่มพูนพลังมหาศาลเป็นเท่าตัว

    ยิ่งบุคคลผู้นั้นถือครองมหาธาตุมากกว่า 1 ดังเช่นองค์หญิงชลธาร เหตุนี้พระปิตุลาจึงต้องการมุกราตรีดำ
    ไปให้องค์หญิงในฐานะราชินีของนครเวฬุวรรณ เป็นผู้มีพลังเหนือใครในแผ่นดิน พร้อมกับช่วยเพิ่มพูนพลังมหาธาตุ
    ให้องค์ชายธรณิณ สามารถเรียกใช้พลังมหาธาตุครบ
    4 ธาตุด้วย

    หากสำเร็จในแผ่นดินนี้ คงไม่มีใครเป็นคู่มือของพวกเขา แม้แต่พวกเราย่อมแหลกเป็นผุยผง
    พระปิตุลาคงไม่เก็บไว้เป็นเสี้ยนหนามแน่แท้”

    มหาโหราผู้เฒ่าไขข้อข้องใจกระจ่าง ความลับที่ซุกซ่อนมีไม่กี่คนที่ล่วงรู้ ในฐานะที่ต้นตระกูลมหาโหราผู้เฒ่า
    คือนักพยากรณ์ของแผ่นดินนี้ ย่อมถ่ายทอดความลับให้ลูกหลาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระอาจารย์ขององค์ชาย
    จะรู้ได้ละเอียดลึกซึ้ง

     

    ช่างซับซ้อนนัก ข้ากลับไม่หวังให้ได้พลังสี่มหาธาตุ หากต้องร่วมหอกับองค์หญิงชลธาร
    อันสตรีจิตใจเหี้ยมโหด ข้ามิอาจทำใจยอมรับได้
    องค์ชายวายุภักษ์ครุ่นคิดในพระทัย ไม่ได้แพร่งพรายให้ผู้ใดล่วงรู้

     

    “เป็นไรวายุภักษ์ สีหน้าเจ้าดูกังวล” เหนือหัวรับสั่งถามพระโอรส
     

    “ไม่มีอันใดพะยะค่ะเสด็จพ่อ ข้าจักขอชมมุกราตรีดำของเสด็จพ่อได้หรือไม่..พะยะค่ะ”
    พระองค์กลับขอชมของวิเศษที่กำลังเป็นประเด็น

     

    “ย่อมได้ ไม่แน่มุกราตรีดำอาจช่วยฟื้นคืนกำลังให้กับเจ้า ไม่ต้องอ่อนล้าพักฟื้นนานถึงสามราตรี”
    ดำรัสของเหนือหัว ทำให้มหาโหราผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครนึกถึงมาก่อน

     

    “มเหสีข้า..รบกวนเจ้าหยิบกล่องนาคราชตรงหัวนอนให้ข้าทีเถอะ” พระองค์หันไปรับสั่งกับพระมเหสี
    พระนางเสด็จไปยังเตียงบรรทม กลับมาพร้อมกล่องไม้แกะลายนาคราชลงรักปักทองทั้งกล่อง

     

    “ขอบใจน้องหญิง” เหนือหัวอนิละรับกล่องจากหัตถ์พระมเหสี จากนั้นค่อยส่งให้พระโอรสด้วยพระองค์เอง
     

    “มุกราตรีดำอยู่ข้างใน เจ้าชมดูเองเถอะ” พระองค์รับสั่งอนุญาต
     

    “ขอบพระทัยพะยะค่ะ” กล่าวพร้อมกับยื่นหัตถ์รับเอาไป ค่อยเปิดกล่องทอดเนตร
    เผยให้เห็นไข่มุกสีดำวาวระยิบยับ ล้อแสงไฟภายในห้องดั่งอัญมณีสูงค่า ขนาดเท่าไข่นกกระทาลักษณะกลมเกลี้ยงเกลา

     

    “สิ่งนี้หรือคือมุกราตรีดำ” พระองค์ผินพักตร์ดำรัสถามพระบิดา
     

    “ถูกแล้ว เจ้าควรสัมผัสเผื่อมีอันใดให้สำแดงฤทธา” เหนือหัวทรงชี้แนะให้พระโอรสหยิบมุกราตรีจากกล่อง
    องค์ชายวายุภักษ์ไม่รั้งรอทรงเอื้อมหัตถ์หยิบไข่มุกสีดำแวววาวออกมา เพียงนิ้วพระหัตถ์สัมผัสพลันเกิดปรากฏการณ์
    ให้ทุกคนประหลาดใจทันที

    ไข่มุกสีดำกลับเปล่งแสงเจิดจ้าในอุ้งหัตถ์พระโอรส พระวรกายที่อ่อนล้ารู้สึกเหมือนมีขุมพลังวิ่งแล่น
    ให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า เหมือนไม่เคยอ่อนล้ามาก่อน สีพักตร์ซีดเซียวแดงเรื่อซับสีโลหิตอมชมพูในชั่วพริบตา
    สายพระเนตรกลับคมกล้าขึ้นมาอีกครั้ง

     

    “ข้ารู้สึกสดชื่นแข็งแรงไม่น่าเชื่อ” ดำรัสพระโอรส สร้างความปิติโสมนัสให้เหนือหัวและพระมเหสี
    รวมทั้งมหาโหราและองครักษ์คู่วรกาย

     

    “ไม่ผิดจริงๆ มุกราตรีดำมีผลกับผู้ถือครองเทพมหาธาตุโดยตรง เช่นนี้เจ้ามีพลังกายคืนเป็นปกติแล้วสิ”
    พระองค์รับสั่งถามให้แน่พระทัย

     

    “พะยะค่ะเสด็จพ่อ ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องข้าแล้ว” โอษฐ์หยักได้รูปแย้มสรวลดำรัสต่อเหนือหัวและพระมเหสี
    ยังผลให้พระมารดาแย้มสรวลตามพระโอรสด้วยความปิติยินดี

     

    “แม่ดีใจกับเจ้าด้วย..วายุภักษ์” ระหว่างที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปกับปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้น
    ฉับพลันมุกราตรีดำกลับเปล่งรัศมีสีแดงเจิดจรัสอย่างไม่มีสาเหตุ พร้อมกับลอยอยู่เหนือพระหัตถ์องค์ชาย
    ก่อนจะหมุนวนเป็นเกลียวสาดรัศมีจ้า ให้ทุกคนต้องหลับตาทนมองต่อไปไม่ไหว

     

    “เกิดอะไรขึ้น” คำถามหลุดจากโอษฐ์ยุพราชหนุ่มด้วยความฉงน
     

    “นี่ถือเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง” ผู้กล่าววาจาคือมหาโหราผู้เฒ่า ก่อนจะล้วงย่ามสะพายหัวไหล่
    หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา ลักษณะเป็นแผ่นไม้ห้าแฉกใหญ่กว่าฝ่ามือไม่มากนัก ภายในมีอักขระกำกับเป็นรูปตาราง

     

    มหาโหรานำขึ้นมาจิ้มนิ้ววนไปมาอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยเงยหน้าสบสายพระเนตรองค์ชายวายุภักษ์
    แล้วกล่าววาจาพาให้ตะลึงพึงเพริดไปกันหมด

     

    “มีผู้ถือครองเทพมหาธาตุ..บุกรุกนครเราพะยะค่ะ”
     

    “แย่แล้ว..เช่นนั้นองค์หญิงชลธารกับองค์ชายธรณิณถือโอกาสบุกวังหลวงช่วงที่ข้าอ่อนกำลัง
    พวกเขาฝ่าค่ายกลพายุดำทะเลทรายเข้ามาได้โดยที่ข้าไม่รู้ตัว” องค์ชายตรัส ด้วยความรู้สึกกังวลพระทัยฉายชัด

     

    “จากการคำนวณของข้ามาเพียงหนึ่งหาใช่สอง พลังเทพมหาธาตุมหาศาลไม่ธรรมดา
    น่าแปลกตรงที่ตีกันยุ่งเหยิงนี่สิ ระหว่างมหาธาตุวารีกับมหาธาตุอัคคี น่าจะเป็นองค์หญิงชลธารแน่แล้ว”
    มหาโหราผู้เฒ่าถวายรายงานอย่างละเอียด

     

    “อยู่ทิศไหนท่านคำนวณได้หรือไม่” รับสั่งถามจากเหนือหัวอนิละ มหาโหรายังไม่ทันได้ตอบ
    มหาดเล็กถวายอารักขานอกประตูตะโกนขัดขึ้น

     

    “พระอาญามิพ้นเกล้า ทหารลาดตระเวนแจ้งเหตุด่วนพะยะค่ะ”
    ทำเอาทุกคนต่างหันมองกันชั่วครู่ ก่อนเหนือหัวจะทรงรับสั่งอนุญาต

     

    “เข้ามา” สิ้นกระแสรับสั่ง บานประตูเปิดออกพร้อมร่างมหาดเล็กถวายความเคารพอย่างนอบน้อมสำรวม
    ค่อยถวายรายงานโดยเร่งด่วน

     

    “นอกกำแพงวังด้านทิศประจิม เกิดรัศมีดวงโตสว่างวูบ ฝุ่นทรายกรรโชกอยู่พักใหญ่
    ผู้คนแตกตื่นไปทั่ววังหลวง ยังไม่มีผู้ใดเข้าไปสำรวจยังจุดนั้น ทหารเวรที่เห็นเหตุการณ์บนกำแพงวัง
    รีบนำความทูลเกล้าถวายรายงานองค์ชายวายุภักษ์ ตามพระบัญชาให้ปฏิบัติโดยเคร่งครัดพะยะค่ะ"
    กล่าววาจาจบความ ค้อมศีรษะรออยู่นิ่ง

     

    “กลกะลา..เจ้าเตรียมองครักษ์มือดีติดตามข้า 5 นาย วางกำลังคุ้มกันเสด็จพ่อเสด็จแม่
    ท่านอาจารย์ข้าคงต้องรบกวนท่านช่วยดูแลทางนี้โดยเฉพาะเสด็จพ่อ เสด็จแม่ให้ข้าด้วย” รับสั่งทันที ไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย

     

    “เจ้าไม่ต้องกังวล..ข้ารับปากคุ้มกันความปลอดภัยของเหนือหัวและพระมเหสีเต็มความสามารถ
    เจ้าเองอย่าลืมระวังตัวให้มากวายุภักษ์ หากผู้บุกรุกเป็นองค์หญิงชลธาร เจ้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
    ควรหาวิธีป้องกันให้รัดกุมเข้าไว้” มหาโหราไม่ลืมกล่าววาจาเตือนศิษย์รัก ด้วยรักผูกพันห่วงใยประหนึ่งบุตร

     

    “ข้าน้อมรับคำเตือน ไปกันเถอะกลกะลา” รับสั่งเสร็จส่งสายพระเนตรให้เหนือหัวกับพระมเหสี
    ประหนึ่งให้สัญญาจะระวังองค์ ค่อยผินพระพักตร์มาหาองครักษ์คู่กาย เสด็จนำออกจากห้องบรรทมตามกันไป...

    > 

    > 

    เวลาผ่านไปเท่าใดมิอาจรู้ได้ ผักตบค่อยฟื้นคืนสติ ปรือตาขึ้นมองก่อนกระพริบถี่เพื่อให้คุ้นชินกับความมืด
    สำนึกแรกเขานึกถึงแม่ รีบหันมองรอบกายใจชื้นขึ้นมานิด เห็นกระเป๋าแม่ห่างไปไม่ไกล ข้างกันมีกระเป๋าเขาอยู่ด้วย
    กระเป๋าคงบังหลังมองไม่เห็นแม่ รีบสาวเท้าเข้าไปพลันหยุดชะงักเมื่อพบแต่ความว่างเปล่า

     

    แม่ แม่ไปใหนอุทานในใจ ค่อยตั้งสติมองออกไปโดยรอบอีกครั้ง ต้องพบกับความแปลกใจ
    ภาพที่เห็นในความสลัวลาง ยังพอให้สายตารับรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สลัมแถวบ้าน ผืนทรายสุดลูกตาเป็นภาพที่ไม่คุ้นแล้ว

     

    สลัมหายไปไหน ที่นี่มันที่ไหน แล้วแม่อยู่ไหน มีแต่ผืนทรายเต็มไปหมด สมองครุ่นคิดเร็วจี๋
    คำถามมากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่กลับไม่มีคำตอบ ตอนนี้เขารู้สึกร้อนใจ แม่คือสิ่งที่เขากังวลอันดับแรก
    ไม่รอช้ารื้อกระเป๋าสัมภาระค้นเอาไฟฉายออกมาถือในมือ

    เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ เริ่มสาดไฟสอดส่องหาร่างของแม่ในบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด
    เงาตะคุ่มที่เห็นห่างไปกว่าสิบก้าว เป็นจุดที่ทำให้วิ่งดิ่งเข้าไปหาทันที

    ผ้าห่มคลุมร่างแม่เอาไว้ ทำให้ใจชื้นโล่งอกบอกไม่ถูก ภายในเป็นแม่เล็กแน่แล้ว
    ผักตบคุกเข่าอุ้มเอาร่างแม่พาดบนตัก คลี่ผ้าออกเป็นแม่เล็กซึ่งนอนไม่ได้สติแต่ยังมีลมหายใจอยู่
    ค่อยเกลี่ยเส้นผมของแม่ที่ปรกหน้าจนดูยุ่งเหยิงอย่างเบามือ พร้อมกับขานเรียกให้รู้สึกตัวไปพร้อมกัน

     

    “แม่..แม่ครับ..แม่ฟื้นสิครับ” ทั้งเขย่าทั้งเรียก เมื่อแม่ไม่ยอมฟื้น ใจเสียไม่น้อยยังไม่มีการตอบรับ
    ตัดสินใจอุ้มแม่มายังกระเป๋าสัมภาระ รื้อถุงยาหยิบหลอดยาดมมาจ่อจมูกพร้อมกับเรียกไม่หยุด
    เขากลัวแม่สำลักควันจนหมดสติ ขืนไม่ฟื้นอาจมีผลต่อสมองเป็นเจ้าหญิงนิทราได้
    แค่คิดก็กระวนกระวายใจแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่

     

    “แค่กๆๆ!!..ตบ..ลูก” เสียงแหบพร่าฟังแทบไม่ได้ยิน
     

    “แม่ครับ..ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม่รู้สึกตัวแล้ว” ดีใจจนน้ำตาไหล แม่สำคัญกับเขามาก
    แค่แม่เรียกชื่อความวิตกกังวลก่อนหน้าหายไปหมด

     

    “น้ำ..หิวน้ำ” แม่ร้องขอเสียงแหบแห้ง เขาไม่รอช้าค้นกระเป๋าหยิบขวดน้ำที่ยัดมาด้วย
    เปิดฝาจ่อที่ปากเอียงให้ดื่มช้าๆ ป้องกันเกิดการสำลัก รีบดึงขวดหนีห่าง เมื่อแม่พยายามตะกายดื่มมากขึ้น

     

    “ชู่ว!!..ช้าๆ ครับ อย่ารีบแม่จะสำลัก” แม่เล็กเชื่อลูก จิบทีละนิดจนพอใจ
    รู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่อยดันตัวลุกนั่ง พร้อมกวาดตามองไปรอบๆ

     

    “อูยยย!!..เมื่อยขบทั้งตัว เราอยู่ที่ไหนกันตบ ทำไมมันดูแปลกๆ”
    คำถามตามมา เพราะเธอรู้สึกไม่คุ้นต่อสถานที่ แปลกหูแปลกตาไปหมด

     

    “ผมก็ไม่รู้..พอรู้สึกตัวเราอยู่ที่นี่แล้ว” ผักตบบอกไปตามจริง
     

    “หรือว่า..เราตายแล้ว” แม่หลุดปากตาเบิกโต
     

    “โธ่แม่!..ตายแล้วเราจะนั่งคุยกันแบบนี้ได้หรือครับ” ผักตบรีบแย้ง
     

    “อ้าว! วิญญาณไง วิญญาณกำลังคุยกันอยู่” แม่เล็กเถียงกลับ
     

    “โอ้ย!..ไอ้ตบแกหยิกฉันทำไม” ไม่ทันไรร้องเสียงหลง เมื่อลูกชายดันหยิกแขนเธอเฉย เล่นเอารู้สึกเจ็บไม่น้อย
     

    “พิสูจน์ไงครับ ผมเป็นวิญญาณจะหยิกแม่เจ็บแบบนี้ได้ไหมล่ะ” หมดข้อโต้แย้ง สรุปเธอกับลูกยังไม่ตาย
    รอดจากไฟคลอกอย่างมหัศจรรย์ แต่รอดมายังไงนี่สิยังไม่รู้คำตอบ กำลังสับสนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง

     

    “เรายังไม่ตาย” แม่เล็กเปรยขึ้นเบาๆ เหมือนย้ำกับตัวเอง แล้วสองแม่ลูกก็จ้องหน้ากันนิ่ง
    ต่างไม่มีคำตอบกับคำถามที่คิดตรงกัน

     

    จังหวะนั้นเสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล ฝุ่นทรายฟุ้งตลบอบอวลยังจุดที่อยู่ห่างไป
    แม้สองแม่ลูกจะมองไม่เห็นแต่หูกลับได้ยินชัด ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ผักตบไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าสัมภาระของแม่
    กับเขาไว้ไม่ห่างตัว พร้อมกับรื้ออาวุธที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ
    ปลดลูกโม่ตรวจรังเพลิงดูกระสุนบรรจุเต็มทุกนัด..เตรียมพร้อมเรียบร้อย

     

    “ตบ..ลูก” แม่เล็กเห็นว่าลูกกำลังทำอะไร ได้แต่เอ่ยค้างแค่นั้น
     

    “เตรียมพร้อมไว้ครับ เราไม่รู้ที่นี่ที่ไหนพวกที่กำลังมาเป็นใครด้วยเผื่อฉุกเฉินอาจได้ใช้..ถ้าพวกมันไม่ได้มาดี”
    ลูกชายยืนกราน แม่หุบปากนิ่ง แต่ไม่ยอมงอมืองอเท้า ค้นกระเป๋าหยิบมีดปอกผลไม้ที่พกติดมากระชับในมือมั่น
    ทั้งที่ไม่แน่ใจมีดนี้จะช่วยได้มากแค่ไหน แต่ก็ทำให้เธออุ่นใจกว่าการยืนรอมือเปล่าโดยไม่มีอาวุธสักชิ้น ขบวนม้า
    7 ตัว
    ห้อตะบึงด้วยความเร็ว ตัวนำขบวนสีดำสนิทรูปร่างแข็งแกร่งขนเงามันวับ ตัดกับแสงจันทร์นวล คบเพลิงกว่าห้าอันถูกจุดขึ้น
    เมื่อขบวนหยุดลงไม่ห่างจากสองแม่ลูก

     

    ความเงียบปกคลุมจนเริ่มหายใจติดขัด องค์วายุภักษ์ยุพราชหนุ่มแห่งไตรคานควบม้าศึกคู่กาย
    นำองครักษ์ติดตาม
    6 นาย ตรงมายังแสงไฟประหลาดสีขาวนวลอย่างไม่เคยพบเห็น (แสงจากกระบอกของไฟฉาย)

     

    พระองค์ถึงกับนิ่งงันไปพักใหญ่ เมื่อเผชิญหน้าบุรุษและสตรีวัยกลางคนล่วงเลยไปพอสมควร
    แต่งกายผิดแผกจากผู้คนที่นี่ สตรีสีหน้าดูอิดโรยซีดเซียว ห่มผ้าคลุมร่างเอาไว้แลดูรุ่มร่ามอยู่ไม่น้อย

     

    ส่วนบุรุษน่าฉงนเข้าไปใหญ่ สวมกางเกงขาสั้นรูปทรงแปลกตากับตัวเสื้อเนื้อบางเผยให้เห็นผิวขาวโผล่นอกร่มผ้า
    แตกต่างจากบุรุษส่วนใหญ่ในแผ่นดินทะเลทรายมากนัก ล้วนมีสีผิวคล้ำแม้นเหล่าเชื้อพระวงศ์ไม่ได้สัมผัสแดด
    ยังนับว่าขาวไม่เท่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ ในมือสตรีมีมีดแหลมเล็กถือเอาไว้ ส่วนบุรุษมีวัตถุสามารถให้แสงสว่างจ้า
    พร้อมวัตถุแปลกประหลาดมิอาจคาดเดาว่าเป็นสิ่งใด รูปทรงไม่เคยพบเห็นมาก่อน กระชับในมือขวามั่น
    ท่าทางดูระมัดระวังตัวพอสมควร

     

    “เจ้าเป็นผู้ใด ถึงกล้าบุกรุกไตรคานของเรา” ทรงรับสั่งถามสุรเสียงห้าวทุ้มทรงอำนาจ
    กลับทำหัวคิ้วเข้มของผักตบกระตุก สีหน้าของแม่เล็กตะลึงพรึงเพริด เพราะสำนวนภาษาที่อีกฝ่ายใช้ทักทายฟังแปลกหู

     

    “ผมไม่ได้บุกรุก ผมกับแม่มายังไงไม่รู้ ไตรคานคือที่ไหนเล่าครับ” ประโยคตอบโต้ของผักตบ
    เล่นเอาขบวนขององค์ชายตาค้างตามเป็นแถว สำนวนภาษาท่าทาง เป็นสิ่งที่เหล่าองครักษ์ไม่เคยได้ยินมาก่อน
    แม้นไม่กระด้างแต่กลับดูยโสโอหังพิกล ไม่เคยมีใครพูดถึงชนเผ่าที่กล่าววาจาในลักษณะเช่นนี้บนผืนแผ่นดินทะเลยทราย
    มาดแม้นนครอื่นก็ไม่เคยรู้ว่ามี

     

    “บังอาจ! เจ้าใยไม่สำรวมวาจา รู้หรือไม่กำลังปราศรัยอยู่กับผู้ใด”
    กลกะลาเอ่ยวาจาขัดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ จนฟังดูห้วนดุไปแล้ว

     

    “แม่ๆ..เรากำลังหลงมาซีกไหนของเมืองไทย หรือว่าเมืองลับแลในตำนานมีอยู่จริง”
    ผักตบไม่สนใจคำพูดกลกะลา ก้มกระซิบกระซาบแม่เล็ก หลังพิจารณาการแต่งกายชุดรัดกุมสีดำของชาย
    7 คนบนหลังม้า

     

    เสื้อผ้าท่าทางกิริยาการวางตัวแปลกอยู่ไม่น้อย ยังกับละครพีเรียดย้อนยุคโบราณ
    คนที่คิดว่าเป็นหัวหน้าตัวใหญ่ชะมัด ขนาดนั่งบนหลังม้ายังพอเดาได้ มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนที่เหลือเสียอีก
    พวกที่ติดตามกะด้วยสายตารูปร่างใกล้เคียงกับเขา แต่ไม่สำคัญเท่าคนพวกนี้ใช้คำราชาศัพท์พูดจานี่สิ
    ตัวหัวหน้าคงมีฐานันดรศักดิ์เป็นแน่

     

    “เออ! ก็ว่าอยู่พวกมันท่าทางแปลก” แม่เล็กกระซิบบอกลูกชายไป ในเมื่อเธอไม่มีความเห็นอื่น
    ที่นี่อาจเป็นเมืองลับแลแล้ว แปลกทั้งสถานที่และผู้คนกลุ่มนี้ แต่อย่างน้อยก็ต้องระวังตัว ผู้ชายตัวหนาใหญ่ตั้ง
    7 คน
    โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำกลุ่ม ไม่ติดเธอกำลังระแวงโดนฆ่าหมกทรายล่ะก็ คงได้ชื่นชมกับความสง่างาม
    ชนิดหล่อฉิบหายวายวอดไม่เคยพบเคยเจอ

     

    “พวกเจ้าใยไร้สัมมาคารวะ กล้าแสดงกิริยาวาจาไร้มารยาทเบื้องพระพักตร์องค์รัชทายาทแห่งไตรคาน
    บ่าของพวกเจ้าคงไร้ศีรษะในอีกไม่กี่เพลานี้แล้วกระมัง” กลกะลาชักมีน้ำโห หลังสองแม่ลูกไม่สนใจคำพูดเขา
    กลับหันไปซุบซิบกันหน้าตาเฉย ท่าทางมองไม่เห็นหัวใครนี่สิ ชนเผ่าใดกล้าบังอาจเหิมเกริมถึงเพียงนี้
    ทั่วทั้งแผ่นดินแม้แต่พสกนิกรใต้อาณัติของศัตรู ล้วนรู้จักพระฉายาลักษณ์องค์ชายวายุภักษ์
    แต่บุรุษหนุ่มกับสตรีนางนี้หาได้แสดงให้เห็น ว่าพวกเขารู้จักองค์ชายของตนแต่อย่างใด..ช่างน่าโมโหนัก

     

    “ช่างเถอะ! ข้ารู้สึกพวกเขาไม่ใช่คนที่นี่ ท่าทางแปลกอยู่มากโข เราคงต้องนำไปไต่สวนหาข้อเท็จจริงดู
    ไม่แน่อาจเป็นกลอุบายพระปิตุลา ที่ข้าสนใจคือพวกเขาใช้แสงสว่างจากสิ่งใด ถึงมีสีขาวนวลดังจันทรา
    นับเป็นเวทย์มนต์แบบไหนกัน” องค์ยุพราชหนุ่ม กลับสนพระทัยไฟฉายในมือของผักตบ
    ไม่เคยเห็นวัตถุรูปทรงแบบนี้ให้แสงสว่าง จนจ้องมองไม่ได้เพราะทนความสว่างเจิดจ้าบาดพระเนตรไม่ไหว

     

    “เช่นนั้นแล้วแต่พระประสงค์เถิดพะยะค่ะ..คงต้องให้องค์รักษ์สละม้าสองตัวคุมพวกเขาเข้าวัง
    ข้าพระองค์สงสัยเช่นกันคนพวกนี้ใช้มนตราใด หรือเป็นพวกพ่อมดหมอผีนอกรีต” กลกะลารับพระบัญชา
    รู้สึกกังขาต่อสิ่งที่องค์ชายทรงตรัสถาม เขาเองกำลังตั้งข้อสงสัยเช่นกัน ชีวิตพบเจอปะทะฝีมือพวกมีเวทย์มนต์มานักต่อนัก
    ยังมิเคยเจอมนตราแบบนี้มาก่อน

     

    “เจ้าสองคนจงตามเรากลับวังแต่โดยดี ห้ามตุกติกใช้เล่ห์เพทุบายอันใด มิเช่นนั้นศีรษะเจ้าอาจหลุดจากบ่าโดยไม่รู้ตัว”
    องครักษ์หนุ่มหันไปสั่งผักตบกับแม่เล็ก แถมข่มขู่สำทับอีกต่างหาก มาดหมายในใจว่าสองแม่ลูกย่อมหวาดกลัววาจาที่ตนกล่าว
    ต่อให้เก่งกาจก็ต้องขลาดกลัวอยู่บ้าง

     

    “ผมไม่ไปกับพวกคุณ ใช้สิทธิอะไรมาบังคับ พวกเราไม่ได้คิดร้ายตั้งใจบุกรุกบ้านคุณ
    ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน แนะนำตัวกันหน่อยไหม ผมชื่อผักตบ..ส่วนผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ผมชื่อเล็ก
    เราสองแม่ลูกมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงไม่รู้ กล้ายืนยันไม่มีเจตนาบุกรุก ที่พูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแอบแฝง
    อีกอย่างเราไม่ถนัดใช้คำราชาศัพท์คุยด้วย พวกคุณเป็นใครตำแหน่งอะไรกรุณาเข้าใจเราด้วย” ผักตบยืดอกเต็มความสูง
    ไม่มองกลกะลาสักนิด กลับเชิดคอตั้งอย่างมั่นใจ สบตาองค์ชายวายุภักษ์ที่ทอดเนตรมองเขานิ่ง
    พูดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หนักแน่นเสียงดังฟังชัด

    กิริยาแบบนี้ ทำเอาองครักษ์ฝีมือเอกอย่างกลกะลาถึงกับขบกรามกำมือแน่น
    ไม่คิดจะมีคนอาจหาญไม่กลัวการถูกตัดหัวเช่นนี้

     

    “เราเข้าใจ มิต้องกังวลภาษาที่เจ้าใช้กล่าวแต่อย่างใด เราคือองค์ชายแห่งนครไตรคานนามวายุภักษ์
    ขณะนี้พวกเจ้าอยู่นอกกำแพงวังหลวง หากมิประสงค์ร้าย จงยอมตามเรากลับเข้าวัง
    เรารับปากจะให้การต้อนรับเจ้าดุจอาคันตุกะ ขอเพียงให้ความร่วมมือ ตอบข้อซักถามในสิ่งที่เราสงสัย
    ตอนนี้เจ้ามีอาวุธใดเป็นอันตรายต่อคนของเรา คงต้องให้องครักษ์เราเก็บรักษาเอาไว้ก่อน..ได้หรือไม่”
    องค์ชายบังคับพระสุรเสียงทอดอ่อนกว่าเดิม หลังเห็นแววตาจริงใจที่ผักตบสบเนตรไม่เมินหลบ
    ฉายแววมุ่งมั่นน่าเชื่อถือ โดยที่พระองค์เองก็ไม่ทราบสาเหตุ ว่าทำไมรู้สึกมั่นพระทัยต่อบุรุษผู้นี้

     

    “นครไตรคานเหรอ ให้ตามเข้าวัง..ตกลงตามไปก็ได้ แต่มีเงื่อนไขของส่วนตัวของผมกับแม่
    พวกคุณห้ามแตะต้องวุ่นวาย ไม่ว่าใครก็ห้ามยุ่ง ถ้าคุณยอมรับข้อเสนอ พวกเราจะยอมตามคุณไป”
    ผักตบตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาแม่เล็ก เริ่มรู้ตัวว่าที่นี่อากาศหนาวจับใจ ก่อนหน้าไม่ทันได้สังเกต
    ดันมีเรื่องให้ตื่นเต้นจนลืมนึกถึง ตอนนี้เขารู้สึกหนาวเข้ากระดูก ยิ่งใส่เสื้อยืดผืนบางกับกางเกงขาสั้นยิ่งแล้วใหญ่
    ฝืนตัวต้านให้ดูปกติไม่ออกอาการ ทั้งที่ขาเริ่มสั่นไปแล้ว

    ข้อเสนอของผักตบ กลกะลาสบเนตรคมกล้าองค์ชายพร้อมส่ายหน้าเป็นการส่งสัญญาณไม่เห็นด้วย
    กลับไร้ผลเมื่อองค์ชายมองแวบเดียวแล้วผินพักตร์ไปตอบรับอย่างไม่เสียเวลาใคร่ครวญ

     

    “เรารับปากเจ้า เช่นนั้นขึ้นม้าตามเรากลับวังเถอะ” กลกะลาได้แต่นิ่งเงียบ
    เคารพการตัดสินพระทัยของยุพราชรัชทายาทที่เคารพเทิดทูน

     

    “ขึ้นม้า!!” สองแม่ลูกอุทานพร้อมกันสีหน้าดูตลก แม่แต่องค์ชายผู้รับสั่งทรงทอดเนตรเกือบหลุดแย้มสรวล
    ยุพราชหนุ่มให้พวกเขาขี่ม้าเข้าวัง แต่พวกเขากับทำตาโต..ค้างนิ่งไปเสียอย่างนั้น

     

    “มีปัญหาไรหรือเจ้า ไม่ควบม้าหรือจะย่างเท้า แม้อยู่นอกกำแพงวังหลวง
    แต่หากต้องย่างเท้าเจ้าคงต้องใช้เวลาเลยรุ่งสาง”  พระองค์เห็นความลำบากใจบนใบหน้าสองแม่ลูก
    ที่เผลอหลุดปากพร้อมกันจนพระองค์เกือบแย้มสรวลด้วยความขบขันพระทัยไปแล้ว
    ทั้งสองออกอาการบ่งบอกว่าไม่แน่ใจกับการขี่ม้า ซึ่งองครักษ์ตามเสด็จเสียสละให้สองตัว
    โดยเป็นฝ่ายไปนั่งซ้อนหลังม้าของสหายที่มาด้วยกันแทน

     

    “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขี่ไม่ขี่ ผมกับแม่ไม่เคยขี่ม้าต่างหาก”
     

    “เจ้ากล่าววาจาใดกัน มิมีผู้ใดไม่เคยขี่ม้าดอก ทารกที่นี่ล้วนฝึกการขี่ม้าตั้งแต่เล็ก
    เดินทางทะเลทรายย่อมต้องใช้ม้าหรืออูฐ เจ้ากลับบอกเราไม่เคยขี่เช่นนั้นหรือ” ใช่มีแต่เพียงองค์ชาย
    ทรงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้รับฟัง แม้แต่บรรดาองครักษ์ผู้ติดตามตาค้างไปแล้วเช่นกัน เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายนัก
    เรื่องปกติสามัญของคนที่นี่ ถือเป็นความจำเป็นพื้นฐานของผู้คนย่อมสามารถขี่ม้า อูฐ ลา สัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะ
    ดันกลายเป็นความลำบากของสองแม่ลูกเสียแล้ว ไม่นับให้เป็นเรื่องขบขัน ก็คงต้องหัวเราะทั้งน้ำตา
    ยกให้เป็นเรื่องโศกเศร้าหรือไรกัน..ช่างน่าขันเสียนี่กระไร

     

    องค์ยุพราชหนุ่มต้องใช้ความพยายามพอสมควร เพื่อควบคุมพระองคาพยพมิให้หลุดแย้มสรวลขบขัน
    ในขณะบรรดาองครักษ์ถึงกับเบือนหน้าหลบ ไหล่คุ้มมุมปากกระตุกตามกันเป็นแถว บางคนถึงกับกุมบังเหียนเกร็งนิ้วแน่น
    เพื่อช่วยสะกดกลั้นไม่ให้หลุดหัวเราะขำคำพูดผักตบ

     

    ดันยอมรับหน้าตายว่าตนกับแม่ขี่ม้าไม่เป็น..ถือเป็นความอดสูของผู้คนที่นี่ถ้าให้มายอมรับ
    ว่าไร้ความสามารถในการขี่หลังสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง พวกเขาจัดให้เป็นเรื่องหน้าอายอันดับแรกด้วยซ้ำ

     

    ผักตบเห็นความผิดปกติกิริยาชายแปลกหน้า พากันแสดงท่าทางอย่างอิลักอิเหลื่อ
    กลั้นขำคำพูดเขาเพื่อรักษาภาพพจน์เป็นทิวแถว ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำหน้าหล่อจากเดิมจ้องเขาไม่วางตา
    ยังเฉมองกระเป๋าสัมภาระด้วยอาการหน้าคมแดงเห่อไปถึงต้นคอ ล่ามกระทั่งใบหูจนเห็นได้ชัด

     

    “ผมไม่ใช่ผู้คนทะเลทราย ไม่เคยขี่ทั้งม้าทั้งอูฐ เคยแต่ขับรถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ ท่าแบบนั้นก็ว่าไปอย่าง”
    รีบแก้คำพูดเสียใหม่ ชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นตัวตลก ยิ่งคุยยิ่งหนักหนาสาหัส
    องค์ชายรูปงามฉายพระพักตร์งงงันคำพูดผักตบ ไม่รู้อีกฝ่ายหยิบยกสิ่งใดมาอ้างอิง

     

    “เราไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าว รถคืออันใด มอไซคือสิ่งใดกัน” แม่เล็กกับผักตบเป็นฝ่ายตาเหลือกบ้าง
    เขาเริ่มเหนื่อยที่จะสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ผักตบมั่นใจผลัดหลงเข้ามาในเมืองลับแล..ไม่ต้องหาคำตอบให้ปวดหัว..

     

    “เฮ้อ! เอาเป็นว่าบ้านเมืองของคุณไม่รู้จักหรอก เหมือนที่ผมกำลังทำความเข้าใจพวกคุณอยู่
    ขืนคุยต่อคงไม่ได้ไปไหน ผมรู้สึกหนาวมีวิธีที่ไม่ต้องขี่ม้าเองไหม ซ้อนท้ายแบบพวกนั้นได้เปล่า”
    พูดพร้อมกับสาดไฟฉายไปยังองครักษ์ที่ขึ้นนั่งซ้อนท้ายม้าสองคู่ พอเห็นแสงไฟกราดใส่ร่างตรงๆ ต่างพากันสะดุ้งลืมตัว

     

    “เฮ้ยยย!!” ไม่สะดุ้งเปล่า หมอบตัวหลบเกือบตกหลังม้านี่สิ เล่นเอาแม่เล็กเห็นเข้า
    หลุดหัวเราะขำออกมา..แบบไม่ไว้หน้าเลยทีเดียว

     

    “ฮะฮ่าๆๆ..เดี๋ยวได้ตกม้าตายก่อนพากูเข้าวังไอ้พวกนี้”
    ผักตบรีบหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้แม่ พอเห็นลูกทำแบบนั้น รีบยกมือปิดปากกลั้นขำจนตัวสั่น

     

    “เจ้ากำลังทำคนของเราเสียขวัญ ห้ามใช้เวทย์มนต์เป็นอันขาด”
    องค์ชายทรงรับสั่งเสียงห้วน ผักตบเพิ่งรู้คนพวกนี้ระแวงแสงของไฟฉาย

     

    “โอเค..ผมไม่ใช้เวทย์มนต์ ตกลงไปได้หรือยัง” เขายอมปิดไฟฉาย อาศัยแสงของคบเพลิงที่พวกองครักษ์จุดแทน
     

    “พวกมันว่าแกมีเวทย์มนต์ว่ะ..ตบ” แม่กระแซะท่อนแขนแกร่งลูก พร้อมกระซิบบอกให้ได้ยินกันสองคน
     

    “อืมแม่ก็เฉยไว้ อย่าทำให้เขาโกรธ เราต้องอาศัยพวกเขา” ลูกชายถือโอกาสกำชับ ตอนนี้ไม่รู้เหนือรู้ใต้
    ไม่รู้อะไรเป็นอะไร อุ่นใจไว้ก่อนไม่ต้องลำบากอดตายท่ามกลางทะเลทราย มีคนท่าทางดูไม่เลวร้ายย่อมต้องคว้าโอกาสไว้
    เป็นดีที่สุด อย่างน้อยเขามาจากบ้านเมืองทันสมัยของเทคโนโลยี จะอาศัยสิ่งนี้แหละเป็นข้อได้เปรียบหลอกล่ออีกฝ่าย...

     

    “เช่นนั้นเจ้าให้มารดานั่งกับองครักษ์เรา ส่วนเจ้ามานี่เถอะ”
     

    “ฝ่าบาท!!!” เสียงค้านของบรรดาองครักษ์ดังพร้อมเพรียง
    ต่างคิดไม่ถึงว่าพระองค์จะเสี่ยง ยอมให้บุรุษแปลกหน้าใกล้ชิดวรองค์เช่นนั้น

     

    “ทำตามรับสั่งข้า เขามีเวทย์มนต์พวกเจ้าหาใช่คู่มือ เช่นนั้นข้ามิอาจให้คลาดสายตาได้”
    สุรเสียงทรงหนักแน่น ไม่มีใครกล้าขัดพระประสงค์ เป็นอันสรุปแม่เล็กนั่งเกาะหลังกลกะลา
    กระเป๋าสัมภาระผักตบถือไว้เองทั้งสองใบ ไม่ลืมซุกปืนพกเหน็บเอวกางเกงพร้อมใช้งานได้ทุกเมื่อ

     

    แต่พอจะขึ้นหลังม้าคนออกคำสั่ง อีกฝ่ายกลับโดดลงมายืนที่พื้น เล่นเอาคนเตรียมหาวิธีขึ้นนั่ง..ยืนงงไปหลายวิ
     

    “เจ้าขึ้นก่อน” ฟังจบ ผักตบมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
     

    “เราจะขึ้นตามหลัง” องค์ชายรับสั่งย้ำ เมื่อเห็นสีหน้าของผักตบไม่เข้าใจรับสั่งของพระองค์
     

    “ผมบอกไปแล้ว ขี่ม้าไม่เป็นคุณจะมาซ้อนผมทำไม” เขารีบแย้ง
     

    “ใครบอกเจ้าว่าเราจะให้เจ้าบังคับ เป็นเราดำเนินการเอง เพียงแต่เรามิอาจให้เจ้าประกบด้านหลัง
    หมายถึงความปลอดภัยของเราต่างหาก”

     

    จบประโยค หนุ่มหล่อจากเมืองกรุงถึงกับย่นคิ้วเข้ม สำรวจบุคคลที่เพิ่งรู้จัก
    ที่แนะนำตัวว่าเป็นองค์ชายอย่างพินิจพิเคราะห์ ถึงตอนนี้ผักตบเพิ่งรู้สึก ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าสูงใหญ่กว่าที่คิด
    ตัวโตดูแข็งแรงมาก น่าจะสูงราว
    190 หรือ 2 เมตรด้วยซ้ำ ไม่นับความหนาของรูปร่าง

    ทั้งที่สวมชุดดำรัดกุม ยังพอคาดคะเนจากมัดกล้ามซึ่งรัดตึงขึ้นรูปอย่างพวกนักรบโบราณ
    ใบหน้าที่อยู่ห่างสองก้าว อดยอมรับอย่างไม่มีอคติ หล่อโคตร..หล่อชนิดที่ว่าไม่เคยเห็นใครหล่อแบบไอ้คนตรงหน้ามาก่อน

    ลูกตาคมเข้มจ้องผักตบไม่กะพริบ มีพลังบางอย่างให้หนุ่มหล่อจากเมืองกรุงสัมผัสได้เช่นกัน
    ผู้ชายคนนี้เป็นคนเด็ดเดี่ยวหัวรั้นน่าดู

     

    “ผมก็ไม่ชอบให้ใครประกบข้างหลัง ที่ผ่านมามีแต่เป็นฝ่ายประกบ จะให้เปลี่ยนแปลงขอบอกว่า ผมระแวงรับไม่ได้”
    คำพูดผักตบตีความได้สองแง่สองง่าม แต่คนฟังไม่เข้าใจ

     

    “เช่นนั้นเจ้าจำต้องฝืนใจเสียแล้ว คิดเสียว่าหนนี้เป็นการยินยอมให้เราประกบหลังเจ้าครั้งแรกเถอะ
    หากดื้อแพ่งเจ้าจักหนาวอยู่เช่นนี้”

    เป็นเหี้ยไรขอประกบหลังกูวะคนฟังสบถในใจ เมื่อไม่มีทางเลือก แถมสายตาแกมบังคับขององครักษ์บนหลังม้า
    เชิงตำหนิหาว่าเขาเรื่องมาก องค์ชายยอมเสียสละถึงเพียงนี้ยังไม่สำนึกอีก
    ไม่เคยมีผู้ใดได้ร่วมอาศัยบนหลังม้าส่วนพระองค์มาก่อน อย่าว่าแต่ถึงขั้นได้นั่งคู่เช่นนี้..ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

     

    “เออๆ..ก็ได้” หนุ่มหล่อตัดบท เขาหนาวจับใจขาแข็งมือสั่นแล้ว
    วิธีโหนตัวขึ้นม้าดูเก้งก้าง แม่เล็กได้องครักษ์จับเอวยกนั่งไม่มีปัญหา

     

    แต่เขานี่สิ..มือสองข้างถือกระเป๋าสองใบไม่มีว่าง จะเหวี่ยงตัวขึ้นท่าไหน
    ม้าตัวนี้ไม่ใช่เล็กๆ ใหญ่โตแข็งแรงกว่าบรรดาทุกตัวเสียด้วยซ้ำ

     

    “รบกวนถือกระเป๋าให้ผมหน่อย จะโหนตัวขึ้นหลังม้า” ผักตบพูดไปตามที่คิด ไม่ได้หวังหมิ่นพระเกียรติ
    บรรดาองครักษ์หน้าเครียดกับการไม่สำรวมของบุรุษแปลกหน้าไปแล้ว บังอาจนักกล้าออกคำสั่งใช้องค์ชายของพวกเขาเชียวหรือ
    แต่ไม่มีใครกล่าววาจาเตือน ฝ่าบาทยกหัตถ์ขึ้นห้ามโดยไร้พระสุรเสียง เหมือนจะรู้ว่าองครักษ์ของพระองค์รู้สึกเช่นไร

     

    “เช่นนั้นเจ้าอยู่นิ่งๆ” รับสั่งเสร็จ ไม่สนพระทัยว่าผักตบทำตามรับสั่งหรือไม่
    พระองค์ถือวิสาสะขยับไปประทับซ้อนด้านหลัง ไม่มีใครทันคาดคิด อุ้งหัตถ์ใหญ่แสดงพละกำลังของท่อนแขนแกร่ง
    รวบจับเอวผักตบ ยกลอยเหมือนอีกฝ่ายไร้น้ำหนัก วางบนหลังม้าอย่างนิ่มนวลไร้รอยขีดข่วน

     

    “เฮ้ย!!..ฝ่าบาท!!” เสียงอุทานพร้อมกัน ต่างตรงความรู้สึก ผักตบไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกเขานั่งหลังม้าหน้าตาเฉย
    หารู้ไม่ว่าที่องค์ชายกระทำ แอบใช้พลังธาตุวายุยกร่างเขาขึ้นหลังม้า ย่อมไม่กินแรงแม้แต่น้อย

     

    สำคัญพระองค์ต้องการแสดงแสนยานุภาพให้ประจักษ์ จะได้ไม่เล่นตุกติกใช้เวทย์มนต์
    ยามพระองค์บังคับม้าพากลับเข้าวังระหว่างนั้น

     

    บรรดาองครักษ์ไม่คาดคิดองค์ชายของพวกเขา จะลดพระวรกายไปยกบุรุษแปลกหน้าที่ไม่ได้ตัวเล็กแต่อย่างใด
    ออกสูงใหญ่พอพวกเขาขึ้นหลังม้าด้วยพระองค์เอง เมื่อเห็นสายพระเนตรกวาดมองให้หุบปาก จึงไม่มีใครกล้าออกอาการ
    ยอมรับการตัดสินพระทัยองค์ชายเป็นที่ตั้ง ได้แต่หน้านิ่งหุบปากเงียบ..แม้แต่กลกะลาก็ด้วย
    อย่างน้อยองครักษ์คู่กายก็สังเกตรู้ ว่าเจ้าชีวิตสำแดงฤทธานุภาพของมหาธาตุคู่บารมี

     

    “ไปกันเถอะ” พระองค์ไม่สนพระทัยกับเสียงอุทาน ประหนึ่งไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมา
    เหวี่ยงพระวรกายประทับซ้อนด้านหลังผักตบ คนที่นั่งอยู่ก่อนเกร็งตัวอัตโนมัติ เมื่อสัมผัสความแนบชิดแผ่นอกแน่นตึง

     

    รู้สึกแปลกพิกล..งงหนักคือไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นองค์ชายคนแรก
    ที่ยกเขาด้วยแขนอย่างไม่ออกอาการหนักนี่สิ..
    แรงคนหรือควายแน่วะ

     

    “ออกเดินทาง” สิ้นกระแสรับสั่ง ม้าศึกคู่บารมีทะยานนำฝุ่นตลบ มุ่งหน้ากลับเข้าประตูวัง
    โดยมีองครักษ์ห้อม้าตามติดไม่ทิ้งระยะห่าง

     

    คนที่นั่งบนหลังม้าใจเต้นกระหน่ำ ค้นพบประสบการณ์แปลกใหม่ สำคัญรู้สึกพิลึกพิลั่นชอบกล อ้อมแขนแกร่งรวบ
    กอดกักเขาไว้ไม่กล้าขยับ ลมหายใจอุ่นเป่ารดท้ายทอย เป็นครั้งแรกที่ผักตบรู้สึกตัวเล็กกว่าผู้อื่น ก่อนหน้ามีแต่เจอคนตัวเล็กกว่าเขาประจำ คนผู้นี้ไม่ถามหรือชวนคุยตลอดการเดินทาง ผิดคาดพอสมควรนึกว่าจะชวนคุยไม่ให้รู้สึกกระดากเสียอีก


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×