คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : นายบำเรอจำเป็น
นายบำเรอจำเป็น?
“เชี้ย! มึงลุกขึ้นมาเลยไอ้ดอน”
ขุนทัพกลับเข้ามาในห้องด้วยสภาพเมามายเอาเรื่อง พอมาถึงก็กระชากร่างที่กำลังหลับสบายบนที่นอนดึงให้ลุกโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนกำลังหลับสักนิด ขุนดอนงัวเงียสะลึมสะลือตื่นมาด้วยสภาพอิดโรย
เพราะฤทธิ์ยาที่ทานไปเมื่อช่วงบ่าย
“ครับ คุณทัพ” แม้จะยังมึนงง แต่ก็เอ่ยปากถามขุนทัพไปตามความเคยชิน เพราะเข้าใจว่าขุนทัพคงมีเรื่องให้ตนรับใช้อีกตามเคย
“มึงมาบริการกูเลย ในเมื่อมึงสำนึกบุญคุณก็ตอบแทนกูซะ!” พูดจบเจ้าตัวถอดทึ้งเสื้อผ้าออกจนตัวเปลือยเปล่า โชว์ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อล่ำสันแข็งแรง
“คุณทัพจะทำอะไร?” ขุนดอนถามทั้งที่พอจะเดาเจตนาของขุนทัพว่าต้องการอะไร แต่ที่ถามเพื่อหวังรั้งสติของขุนทัพเพราะตนได้กลิ่นเหล้าติดตัวคนเมา จนเข้าใจว่าที่ขุนทัพทำไปน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เสียมากกว่า
“กูกำลังจะเอามึงไง เสือกถามมาได้?” ขุนทัพพูดเสียงห้วน พร้อมกับยื่นมือหมายดึงเสื้อยืดของขุนดอนถอดออกจากตัว ในขณะที่เจ้าของเสื้อใช้มือยื้อไว้ไม่ยอมให้ถอดออกง่ายๆ
“อย่าทำแบบนี้ พอหายเมาแล้วคุณจะรู้สึกแย่นะครับ ผมขอร้อง” ขุนดอนพยายามโน้มน้าวให้ขุนทัพหยุดพฤติกรรมที่กำลังกระทำอยู่
“ใครเมา?” ขุนทัพเถียงกลับ โดยไม่ยอมรับว่าตนเมา
“ยังไงก็ช่างเถอะครับ เราไม่ควรให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ” ขุนดอนคงยึดเสื้อเอาไว้อย่างเต็มที่จนเสื้อยืดขาดแควกตามแรงดึงของทั้งคู่ที่คนหนึ่งยื้อไว้อีกคนกระชากถอด ผลสุดท้ายจึงขาดติดมือใหญ่ของคุณทัพไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี
“แคว๊ก! พูดอะไรของมึงกูไม่สนโว้ย! ในเมื่อไม่อยากเป็นแฟนก็มาให้กูเอาฟรีนี่แหละ” พูดจบโถมตัวเข้าหาขุนดอนพร้อมทิ้งน้ำหนักตัวหวังกดทับร่างบนเตียงไว้ข้างใต้ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาด
“พลั๊ก!” ร่างกำยำของขุนทัพล้มฟุบทันตา แต่เป็นการล้มแบบไม่ต้องตื่นอีกเลย หลับเป็นตายด้วยพลังหมัดเพียงหมัดเดียวที่ขุนดอนเสยเข้าปลายคางไปเต็มๆ เพื่อเป็นการหยุดคนเมาที่เอาแต่ใจ จึงตัดสินใจเลือกใช้วิธีนี้และก็ได้ผลเสียด้วย จากนั้นค่อยจัดวางให้ร่างใหญ่โตได้นอนอย่างสบายไม่ลืมห่มผ้าให้อีกต่างหาก เสร็จแล้วค่อยโทรสั่งอาหารมื้อค่ำเพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเวลาขณะนี้ปาเข้าไปห้าทุ่ม โชคยังดีที่ทางรีสอร์ทมีอาหารง่ายๆ ไว้สำหรับบริการลูกค้าถึงแม้ครัวจะปิดไปแล้วก็ตาม ทำให้ไม่ต้องทนหิวทั้งคืน หลังสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ร่างสมส่วนซึ่งมีใบหน้าหล่อดุจรูปสลักก็จัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำในสภาพเสื้อขาดรุ่งหริ่ง พอกลับออกมาประจวบกับจังหวะโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นพอดี
“กริ๊งงๆ!” ขุนดอนคิดว่าคงเป็นโทรศัพท์จากพนักงานเพราะตนสั่งอาหารเอาไว้จึงรีบยกหูรับทันที
“ครับ”
“ดอนพูดใช่ไหม?” ผิดคาดมหันต์ เพราะเสียงปลายสายนอกจากจะไม่ใช่พนักงานแล้ว กลับเป็นเสียงของคุณท่านขุนพรหม ซึ่งน่าจะโทรทางไกลจากต่างประเทศทำให้ต้องรีบตอบรับไปอย่างไว
“ครับ ผมเองครับคุณท่าน” ในใจพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด หากคุณท่านต้องการคุยกับขุนทัพขึ้นมา กำลังมองหาทางออกอยู่ว่าจะตอบไปยังไงดี ไม่อยากโกหกผู้มีพระคุณเลยจริงๆ เพราะตนทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนน็อกไปด้วยหมัดเสยปลายคางเรียบร้อยไปแล้ว กว่าจะตื่นคงพรุ่งนี้เช้าโน้นแหละ
“ดอนอยู่กับเจ้าทัพหรือเปล่า?” ว่าแล้วคุณท่านต้องถาม แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดรู้สึกผิดอยู่ดี
“ครับผมอยู่กับคุณทัพ คุณท่านต้องการคุยหรือครับ?” ขุนดอนลองเชิงถามออกตัวไปก่อน
“ไม่หรอกลุงอยากคุยกับดอนมากกว่า เราสะดวกคุยหรือเปล่า?”เสียงทุ้มนุ่มเจือแววเอ็นดูอยู่เป็นนิจ ทำให้ขุนดอนปวดแปล๊บในอกขึ้นมาทันใด เหมือนตนกำลังเนรคุณยังไงไม่รู้
“ครับ ผมสะดวกครับ” ตอบรับด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจเป็นนิสัย
“อืมดอนฟังลุงนะ เรื่องของดอนกับเจ้าทัพลุงรู้ความจริงหมด
แล้ว ที่โทรมาคุยกับดอนก็เพราะลุงกับป้าไม่อยากให้ดอนเอาพวกลุงมาเป็นกังวล ทั้งหมดขอให้ดอนตัดสินใจด้วยตัวเอง ลุงกับป้าเคารพการตัดสินใจของดอนได้ยินที่ลุงพูดใช่ไหม?” ขุนดอนอึ้งไปทันที ความรู้สึกตอนนี้บอกไม่ถูก จู่ๆคุณท่านก็โทรมาบอกกับตนเอง ไม่ให้เงียบจนผิด
สังเกตจึงรีบตอบกลับไปว่า
“ครับ” ขานรับสั้นๆ ทำให้ปลายสายย้ำถามกลับมาเช่นกัน
“ครับนี่หมายความว่า ดอนมีคำตอบแล้วใช่ไหม?” เสียงถามปนเอ็นดูจากปลายสายยังคงสม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
“ครับผมมีคำตอบแล้ว คุณท่านกับคุณหญิงไม่ต้องกังวลนะครับ”ขุนดอนยืนยันหนักแน่น คำตอบที่บอกมาเพียงเท่านี้ปลายสายก็รู้แล้วว่าเด็กที่ตนรักและเอ็นดูเสมือนลูกตัดสินใจยังไง
“เอาเถอะ ลุงบอกแล้วทุกอย่างผู้ใหญ่เคารพการตัดสินใจของเราดึกแล้วลุงไม่รบกวนละนะฝากดูแลเจ้าทัพมันด้วยล่ะ” คำฝากฝังซึ่งท่านมักย้ำเป็นประจำตั้งแต่ขุนดอนก้าวเข้ามาอยู่ใต้ชายคาของเทพพิทักษ์ ก็รับ
หน้าที่นี้มาตลอดโดยไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“ครับ ผมสัญญาจะดูแลคุณทัพให้ดีครับ” พอสิ้นเสียงรับปากจากขุนดอนปลายสายก็วางหู ขุนดอนจะรู้ไหมว่าหลังจากวางหูแล้วผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโลกกำลังถอนหายใจคล้ายกับหนักอกเป็นที่สุด เพราะแม้จะคาดเดากับวิธีการเลือกคำตอบของขุนดอนไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังแอบหวังจะมีทางทำให้ขุนดอนเปลี่ยนความตั้งใจ เห็นทีคงจะยากเพราะนิสัยขุนดอนเป็นคนหนักแน่นมาก ที่นั่งมองตากันอย่างลำบากใจอยู่ตอนนี้คือห่วงความรู้สึกของขุนทัพลูกชายเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นคนดื้อเพ่งและหัวแข็งเสียด้วย หากขุนดอนมีจุดยืนตรงกันข้ามแล้วละก็งานนี้ขุนทัพคงไม่ยอมรามือง่ายๆเพราะรู้จักนิสัยลูกตัวเองดี
เก้าโมงเช้า ขุนทัพงัวเงียตื่นขึ้นจากที่นอนลุกขึ้นนั่ง ด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมปวดคางอีกด้วย ในขณะที่เนื้อตัวล่อนจ้อนไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยสักชิ้น เหลียวมองไปรอบๆไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนพาลหงุดหงิดขึ้นมาทันทีอย่างไม่มีสาเหตุ อารมณ์เริ่มปะทุเลยเหวี่ยงใส่หนุ่มหน้าหล่อที่กำลังโผล่พ้นประตูเดินเข้ามาในห้องทันที
“มึงไปไหนมา?” ถามด้วยน้ำเสียงกึ่งตะคอก ทำให้ขุนดอนหันมาตอบหลังจากปิดประตูห้องเสร็จ
“ผมไปเดินเล่นข้างนอกครับ”
“หึ!มีความสุขจริงมึง กูไม่ได้พามาพักผ่อนแม่งปวดคางชิบแทนที่จะดูแลกูเสือกไปเดินเล่นสบายอารมณ์ชิ!”ขุนทัพยังคงว่าแดกขุนดอนต่อ
“ขอโทษครับ คุณทัพลุกขึ้นอาบน้ำก่อนไหม เดี๋ยวผมสั่งกาแฟร้อนมาให้” ขุนดอนตอบหน้านิ่ง ไม่แสดงสีหน้าว่าไม่พอใจออกมาสักนิด ไม่ว่าขุนทัพจะว่าแดกแค่ไหน
“กูปวดคางเมื่อคืนมึงต่อยกูใช่ไหม?” เป็นคำถามที่ตั้งใจอยู่แล้ว เพราะขุนทัพพอจำได้ว่าโดนขุนดอนต่อย ก่อนตนจะน็อกไป
“ครับ ผมต้องการให้คุณพัก” ขุนดอนยังตอบหน้าตายไม่รู้สึกรู้สา แต่กิริยาแบบนี้ทำเอาขุนทัพเดือดเป็นเจ้าเข้า
“สัด! เดี๋ยวนี้มึงกล้ามากนะถึงกับต่อยกูเนี่ย!” ขุนทัพลุกขึ้นยืนจังก้าอย่างเอาเรื่อง ไม่ได้สนใจเลยว่าตนไม่ได้สวมอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“ผมขอโทษ” ขุนดอนไม่หลบ ยืนเผชิญหน้ายอมรับผิดอย่างลูกผู้ชาย แต่อาการนี้กลับยิ่งกระตุ้นต่อมโมโหของขุนทัพเข้าไปใหญ่ เพราะอีกคนกลับคิดว่าขุนดอนยโสโอหังมาก
“ดีรู้ว่าผิดก็ดีกูจะได้ให้มึงจำไว้ด้วย ทีหลังอย่าสะเออะมาทำร้ายร่างกายกูอีก” พูดจบ ตรงเข้าหาร่างตรงหน้าพร้อมกับกำปั้นหลุนๆ พุ่งเข้า
ใส่ครึ่งปากครึ่งจมูกของขุนดอนแบบไม่ออมแรงสักนิด
“พลั่ก!” เป็นผลให้ร่างที่ยืนอยู่เซถลาเหมือนนกปีกหักพร้อมกับเลือดกำเดาทะลักปากแตกไปตามแรงหมัดทันตาเห็น ขุนทัพพอเห็นเลือดกบปากกบจมูกของขุนดอนซึ่งกำลังยกมือขึ้นเช็ดเลือดอยู่นั้น แววตาไหววูบชะงักขาที่จะก้าวเข้าไปช่วยพยุง เปลี่ยนเป็นหันหลังไม่พูดไม่จาเดินหนีเข้าห้องน้ำหน้าตาเฉย
หลังจากขุนทัพเดินหายเข้าห้องน้ำไปแล้ว ขุนดอนรีบเงยหน้าขึ้นก่อนจะตรงไปหยิบทิชชูบนโต๊ะทานข้าวเช็ดเลือดที่ทะลักออกมา พยายามเช็ดจนหมดใช้ทิชชูไปไม่น้อย ก่อนจะหยัดทิชชูคารูจมูกกันไม่ให้เลือดไหลออกมาอีก จากนั้นถึงค่อยบรรจงเช็ดเลือดที่หยดลงบนพื้นก้มหน้าก้มตาทำไปเงียบๆไม่พูดไม่จาใบหน้าขาวใสจมูกแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเจ่อเพราะแรงหมัดมีร่องรอยปริแตกเลือดซิบ
แล้วค่อยกลับมานั่งตรงเก้าอี้อยู่เงียบๆ จมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่แสดงอาการบนสีหน้าแม้แต่น้อย
ในขณะที่ภายในห้องน้ำ อีกคนนอกจากจะสาละวนกับการอาบ
น้ำไปด้วย ในหัวก็ประหวัดนึกถึงการกระทำของตนที่ยับยั้งอารมณ์ไม่อยู่เผลอทำร้ายขุนดอนจนเลือดทะลัก ทำให้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ไม่ได้รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อยที่ได้ลงมือทำเช่นนั้น แทนที่จะสะใจกลับเสียใจจนกัดฟันกำหมัดต่อยกำแพงห้องน้ำอย่างแรงระบายอารมณ์จนข้อนิ้วแตก
เลือดซิบ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกห้องน้ำ
เสียงประตูเปิด ไม่สามารถดึงความสนใจของขุนดอนออกจากภวังค์ได้แม้แต่น้อย ต่างฝ่ายต่างไม่มองหน้ากัน ขุนทัพเดินไปเลือกเสื้อผ้าในตู้ออกมาใส่ ในขณะที่ขุนดอนยังนั่งเป็นหุ่นตรงที่เดิมไม่ไหวติง หากจะสังเกตสักนิดจะเห็นมือขวาของขุนทัพบวมพองข้อนิ้วแตกเลือดซิบ โดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะสนใจทำแผลเลยแม้แต่น้อย หลังจากแต่งตัวเสร็จก็หันออกคำสั่งกับขุนดอนด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นเคยว่า
“โทรเรียกนิคมมารับด้วย กูจะกลับ” ห้วนสั้น ก่อนจะเปิดประตูหายออกจากห้องไม่เหลียวหลัง ขุนดอนจัดการเดินไปกดโทรศัพท์ภายในต่อสายนอกเรียกนิคมคนขับรถให้มารับตามคำสั่งเจ้านายอย่างไม่รีรอ
กลับมาถึงคฤหาสน์ของเทพพิทักษ์ ทั้งคู่ต่างแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน บรรยากาศระหว่างนั่งกันในรถชวนอึดอัดไม่น้อย ทำเอานิคมเกร็งไปด้วยระหว่างขับรถเพราะทั้งคู่ต่างคนต่างมองออกไปนอกรถไม่มีใครสนใจที่จะคุยอะไรกันเลยผิดปกติกว่าที่เคยเป็น แต่ก่อนแม้จะไม่ค่อยคุยอะไรกันมากเท่าไหร่แต่ก็ยังพอมีคุยบ้าง ไม่เหมือนตอนนี้ที่เงียบสนิทจน
สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของทั้งสอง แต่ตนมีหน้าที่ขับรถไม่สมควรยุ่งวุ่นวายเรื่องของเจ้านาย
เพราะถึงแม้จะรู้ว่าขุนทัพชอบกลั่นแกล้งขุนดอนประจำ แต่คนรับใช้ทุกคนต่างรู้ดีว่าขุนดอนอยู่ในฐานะเจ้านายคนหนึ่งของเทพพิทักษ์ ตามคำสั่งของคุณท่านที่กำชับคนรับใช้ทุกคนให้ปฏิบัติต่อคุณดอนเท่ากับนายน้อยอีกคน ซึ่งไม่มีใครคิดฝ่าฝืนคำสั่งเลยแม้แต่น้อย เพราะโดยรวมแล้วทุกคนต่างรักและเอ็นดูขุนดอนกันทั้งนั้น
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยง จนขณะนี้ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้วทั้งคู่ไม่มีใครโผล่ออกจากห้องเลย คนรับใช้ต่างก็ไม่มีใครกล้าถาม แม้จะรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อยที่นายน้อยทั้งสองไม่ออกมารับประทานมื้อกลางวันจนเลยมาถึงมื้อค่ำแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งสามทุ่มขุนทัพก็เปิดประตูเดินออกจากห้องมาด้วยเครื่องแต่งกายหล่อลากไส้ชุดเที่ยวกลางคืนรับรอง
เดินไปไหนคงได้สะดุดตาอีกตามเคย ก่อนจะตะโกนเรียกนิคมเสียงลั่น
“นิคม นิคม” เรียกคนขับรถประจำตัว ดังพอที่จะทำให้นิคมรีบ
ตาหลีตาเหลือกโผล่หัวออกมายืนรอรับคำสั่งใต้บันได พร้อมกับขานรับให้ไวเช่นกัน
“ครับคุณทัพ จะออกไปข้างนอกหรือครับ?”
“ฉันจะออกไปเที่ยวไปเตรียมรถให้เวลาห้านาทีเสร็จแล้วเรียกด้วยจะนั่งทานของว่างรอที่ห้องนั่งเล่น” พูดจบเดินลงบันไดตรงเข้าไปยังห้อง
นั่งเล่น ซึ่งคนรับใช้ที่เหลือต่างรู้หน้าที่ต่างดิ่งเข้าไปจัดของว่างให้ทันทีไม่ลืมแอบยกหูขึ้นไปบอกขุนดอนตามคำสั่งไม่ว่าเวลาไหนถ้าหากขุนทัพจะออก
ไปข้างนอกคนใดคนหนึ่งต้องรายงานขุนดอนทราบทุกครั้ง เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนต่างรู้หน้าที่ดีไม่ต้องย้ำพูดเลยด้วยซ้ำ
ไม่ถึงห้านาที ขุนดอนเดินลงบันไดมาด้วยเครื่องแต่งกายสำหรับออกข้างนอกเช่นกัน ยังคงหน้านิ่งตีมึนเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นหน้าตาเฉยทำเอาขุนทัพคิ้วขมวดมุ่นจ้องหน้าหล่อที่ไม่แสดงอาการอย่างไม่พอใจสุดๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็งถามขึ้นว่า
“จะไปไหน?”
“ไปกับคุณครับ” ขุนดอนก็ตอบได้หน้ามึนมาก ทำเอาคนถามสบถขึ้นจมูก ก่อนจะเสียงแข็งเข้าใส่ว่า
“หึใครอนุญาตกูไม่ให้ไป” ชักสีหน้าใส่แบบไม่พอใจให้เห็นชัดเจนแต่หาทำให้คนฟังรู้สึกไม่ยังคงทำหน้าตาย พูดกลับมาอย่างกวนโมโหว่า
“ผมทำตามที่คุณทัพต้องการไม่ได้หรอกครับ ยกเว้นคุณทัพจะไม่ออกไปเช่นกัน” เท่านั้นแหละ ขีดความอดทนของขุนทัพก็พังลงทันที
“ไอ้ดอนมึงจะมากไปแล้วนะ มึงเป็นใครถึงมาสั่งให้กูทำตามความพอใจของมึง กูจะไปไหนเรื่องมันของกูและมึงไม่ต้องตามกูไป ฟังรู้เรื่องไหม?” ขุนทัพจ้องหน้าขุนดอนตาแข็งอย่างเอาเรื่องสุดๆ
“ครับผมเข้าใจ แต่ผมทำตามที่คุณทัพต้องการไม่ได้ ถ้าคุณทัพจะออกไปคงต้องยอมให้ผมไปด้วย” พอขุนดอนพูดตอบมา ขุนทัพหมดความอดทนลุกพรวดก่อนจะย่างสามขุมไปยืนค้ำหัวขุนดอน พูดเสียงรอดไรฟันมาว่า
“ตกลงมึงจะตามกูไปให้ได้ใช่ไหม?” ย้ำอีกครั้ง
“ครับ!” ขุนดอนยังคงตอบหน้านิ่ง ไม่มีหลบตา
“ดีกูเปลี่ยนใจแล้วมึงตามกูมานี่เลยสัด!”พูดจบคว้าหมับจับข้อมือขุนดอนลากขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของตนเอง ต่อหน้าคนรับใช้ไม่น้อยที่ต่างยืนหดหัวมองตามกันตาปริบๆ เพราะไม่มีใครกล้ายื่นมือยุ่งเรื่องของเจ้านาย โดยเฉพาะขุนทัพทุกคนต่างรู้นิสัยดีว่าขืนยุ่งได้ชะตาขาดไม่รู้ตัว
หลังจากลากขุนดอนเข้ามาให้ห้องเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ยืนจังก้าจ้องตากันนิ่ง ก่อนขุนทัพจะเอ่ยปากขึ้นว่า
“ถอดผ้าออก” สั่งแกมตวาด
“ไม่ครับ” เป็นอีกครั้งที่ขุนดอนปฏิเสธไม่ทำตามคำสั่งของขุนทัพพักนี้ขุนทัพรู้สึกว่าขุนดอนชักขัดคำสั่งของตนดื้อขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้ดอนมึงจะยั่วโมโหกูใช่ไหม ชอบให้กูลงมือว่างั้น กูบอกให้ถอดผ้าออกได้ยินหรือเปล่า ไหนมึงห้ามไม่ให้กูออกไปกูก็ไม่ออกแล้วนี่ไง มึงก็ทำหน้าที่บริการกูสิในเมื่อกูจะออกไปสนุกมึงเสือกไม่ให้กูไป” ขุนทัพพูด
กับขุนดอนด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ
“ผมไม่ได้ห้ามคุณทัพ เพียงแต่ถ้าคุณทัพจะออกไปผมต้องไปด้วยก็เท่านั้น” ขุนดอนสวนกลับหน้านิ่ง เล่นเอาขุนทัพหูแดงหน้าแดงหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“มันก็เหมือนห้ามกูนั่นแหละ ในเมื่อกูไม่ให้มึงไปมึงรั้นจะไปให้ได้งั้นมีวิธีเดียวมึงมาบริการกูแทนสิวะ!” ขุนทัพก้าวเข้าประชิดตัวขุนดอนก่อนจะจับอกเสื้อเชิ้ตด้วยมือสองข้างกระชากทีเดียวกระดุมร่วงหลุดกระจายเผยให้เห็นอกขาวเนียนตึงแน่นไปด้วยกล้ามอกพองาม ยังหลงเหลือรอยจางจากผลงานของที่ตนฝากไว้บนร่างตรงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว
“คุณทัพ ผมขอร้องละครับอย่าทำแบบนี้” ขุนดอนบอกด้วยน้ำเสียงแกมเว้าวอน
“มึงไม่มีสิทธิปฏิเสธกูไอ้ดอน ห้ามคิดลงมือกับกูเป็นอันขาด ขืนมึงกล้าทำร้ายกูอีกได้เห็นดีแน่กูจะตัดสิทธิมึงทุกอย่างเลย ทั้งเงินประ
จำเดือนทั้งเรื่องที่มึงจะไปฝึกภาคสนามที่บริษัทฯของพ่อ รวมถึงอนาคตของมึงด้วย มึงลองลงมือแล้วเรามาดูกันว่ากูจะทำอย่างที่พูดหรือเปล่า?”ขุนทัพจ้องตาขุนดอนนิ่ง เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าตนเอาจริงหากขุนดอน
คิดจะลงมือทำร้ายตนแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่มือก็จัดการถอดเข็มขัดรูดซิปกางเกงยีนส์ของขุนดอนไปด้วย
ขุนดอนได้แต่ยืนนิ่งไม่มีการโต้แย้งอีกเลย นอกจากแววตาที่ไหวระริกให้เห็นว่าเจ้าตัวรู้สึกหดหู่แค่ไหน กับการกระทำที่ขุนทัพกำลังพยายามจะยัดเหยียดให้กับตนอยู่ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขุนทัพยกมาข่มขู่นั้นหามีอิทธิพลกับขุนดอนมากมายเลยแม้แต่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากตนยืนกรานแข็งขืนอีกผลลัพธ์ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะขุนดอนรู้ดีว่าขุนทัพคงหาทางประชดก่อปัญหาใส่ตัวแทน มันจะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ถ้าเกิดต้องไปมีเรื่องมีราวข้างนอกแล้วได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เพราะตนรับปากกับคุณท่านไว้แล้วว่าจะดูแลขุนทัพอย่างดี เหลือเวลาไม่ถึงสองเดือนถ้าต้องทนกล้ำกลืนก็ถือว่าได้รับใช้ตอบแทนบุญคุณต่อกันแล้ว
สุดท้ายขุนดอนก็หลับตาปิดกั้นการรับรู้หลังจากที่ขุนทัพผลักร่างของตนลงยังเตียงนุ่ม หน้าที่นายบำเรอชั่วคราวเพื่อให้ขุนทัพระบายความโกรธแต่สามารถหยุดพฤติกรรมที่จะหาเรื่องใส่ตัวข้างนอกได้ ขุนดอนสู้อดทนยอมเสียดีกว่า คิดว่าไหนๆก็เคยถูกกระทำมาแล้วยอมทนอีกสักครั้งจะเป็นไร จึงไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาอีก ปล่อยให้ร่างกายตกเป็นเครื่องมือบำเรออารมณ์ของขุนทัพอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
เช้าเก้าโมง ขุนดอนอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย มายืนจ้องหน้าขุนทัพที่ยังหลับอุตุบนที่นอน สภาพเตียงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนเกิดสงครามอะไรขึ้น แม้จะไม่ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนตอนโดนยา แต่ก็ใช่จะนุ่มนวลอ่อนโยน ตอนนี้ขุนดอนยังรู้สึกขัดๆ สะโพกอยู่เลย
“คุณทัพครับได้เวลาไปเรียนแล้วครับ” ขุนดอนก็ยังคงเป็นขุนดอน
“อืมกูง่วง ไม่ไปได้ไหม?” เป็นครั้งแรกที่ขุนทัพทำตัวงอแงเป็นเด็กเพราะทุกครั้งขุนดอนไม่ต้องมาปลุกเจ้านายก็จะแต่งตัวนั่งจิบกาแฟทานของว่าง ก่อนจะขึ้นรถไปมหาลัยด้วยกัน
“หยุดไม่ได้ครับ ใกล้สอบแล้ว”
“จิ๊มึงนี่มัน เป็นเมียกูเลยไหม?” สบถอย่างไม่จริงจังไรนัก ก่อนจะ
ลุกเดินโทงๆเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย ขุนดอนได้แต่ส่ายหน้าตามหลังคนเอาแต่ใจ
เมื่อรถสปอร์ตคันหรูมาถึงมหาลัยสองหนุ่มคู่ดูโอ้ก็ลงจากรถ เช้านี้ขุนดอนทำหน้าที่สารถีเช่นเคย เพราะขุนทัพไม่ให้นิคมขับรถให้แถมเจาะจงจะใช้รถสปอร์ราคาแพงเบาะสองที่นั่งโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าทำไมพักนี้เจ้านายถึงชอบทำอะไรตามความพอใจอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงแม้ก่อนหน้าจะมีนิสัยแบบนี้แต่มักแจ้งล่วงหน้าให้เตรียมตัวกันบ้างไม่ใช่นึกพอใจทำก็ทำเหมือนที่เป็นอยู่อย่างตอนนี้
พอหอบหิ้วกระเป๋าของหนุ่มหล่อร่างใหญ่มาถึงใต้อาคาร ขุนดอนก็ส่งของทุกอย่างให้กับเจ้าตัว พร้อมกับรับคำสั่งตามมาทันที
“พักเที่ยงมารอกูที่นี่ ห้ามหายหัวเป็นอันขาด” กลับมาสวมบทคนออกคำสั่งกับคนรับคำสั่งเช่นเคย
“ครับ” เสียงขานรับของขุนดอน กลับไม่ทำให้ขุนทัพรู้สึกหงุดหงิดเหมือนอย่างเคย เจ้าตัวรีบหันหลังเดินลิ่วทั้งที่ใบหน้าอมยิ้มแก้มตุ่ย รู้สึกคำขานสั้นๆ ของขุนดอนฟังสบายหูชะมัดที่พูดแต่คำว่าครับ แปลว่ายอมทำตามที่ตนต้องการไม่ต้องพูดยืดยาวให้น่ารำคาญ หรือคอยแต่จะโต้แย้งอยู่นั่นแหละ
เที่ยงตรงหนุ่มหล่อร่างใหญ่เพิ่งหลบหลีกจากบรรดาสาวๆคู่ขาเก่าออกมาได้อย่างจ้าละหวั่นกว่าจะหลุด ตรงดิ่งมายังจุดนัดที่บอกให้รุ่นพี่หน้าหล่อคนรับใช้ส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ให้อยู่รอตน ก็รีบมาอย่างเร็วจนมาพบกับภาพที่ทำให้ความหงุดหงิดพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที สาวสวยสามนางพากันรุมล้อมขุนดอนพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่ทำเอาขุนทัพไม่สบอารมณ์สุดๆ เพราะดันจำได้ว่าคือกลุ่มสาวๆ ซึ่งเคยนั่งคุยกับขุนดอนในวันที่ตนแข่งรักบี้ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นนั่นแหละ ท่าทางปล่อยตัวเป็นกันเอง
สบายๆใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างหล่อของขุนดอนพานทำให้ขุนทัพโมโหเข้าไปใหญ่ เร่งฝีก้าวตรงเข้าไปอย่างเร็ว
“ไอ้ดอนกูหิวแล้ว” น้ำเสียงไม่พอใจ ทำเอาทุกคนชะงักการคุยซึ่งกำลังออกรส หรือจะพูดได้ว่ามีแต่สาวๆ จ้อกันไม่หยุด ขุนดอนเป็นเพียงผู้ฟังที่ดีเท่านั้นเอง
“ครับ” ขุนดอนตอบรับ ก่อนจะหันมายิ้มสั่งลาสาวๆ ซึ่งพากันมองตามร่างสูงสมส่วนพาใจละลายมองตามตาปริบๆ อย่างอาวรณ์
“โชคดีค่ะพี่ดอน ไว้คุยกันใหม่นะคะ” สาวนางหนึ่งยังมีแก่ใจคาดหวังโอกาสต่อไปที่จะได้คุยกับรุ่นพี่รูปหล่อตรงหน้าอีก แต่กลับไปจุดเพลิงโทสะให้กับขุนทัพเข้าโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าตัวหน้าบอกบุญไม่รับเดินลิ่วไปเลย ขุนดอนจำต้องก้าวตามอย่างไวเช่นกัน ทั้งคู่มาถึงรถคันหรูน้ำเสียงห้วนอย่างไม่สบอารมณ์ก็พูดขึ้นมาว่า
“ไปร้านxx กูจะแดกข้าวคุยแม่งอยู่ได้” ทิ้งท้ายสบถอย่างหัวเสียขุนดอนมองหน้าเจ้านายนิ่งแต่ก็ไม่พูดอะไรก่อนจะเปิดประตูรถขึ้นนั่งประจำตำแหน่งสารถี นึกแปลกใจเหมือนกันว่าขุนทัพเป็นอะไร ปกติมื้อเที่ยงมักทานกับพวกเพื่อนหรือไม่ก็กินกับสาวคู่ควง วันนี้ดันนึกจะไปกินที่ร้านนี้หรือนัดกับสาวไว้ ระหว่างขับรถขุนทัพก็ถามขึ้นอีกว่า
“คนไหนที่มึงเล็งอยู่?” ขุนดอนชำเลืองหางตามองเจ้านายก่อนจะหันกลับไปมองถนนแล้วถามกลับมาว่า
“ผมเล็งใครครับ?” ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนเย็นเหมือนหิมะของขุนดอน พานทำให้ขุนทัพนึกอยากกระชากใบหน้าหล่อมาบดจูบกดไว้ใต้ร่างให้ร้องครางเหมือนเมื่อคืนเสียจริง
“ก็สาวๆพวกนั้นไง คนไหนที่มึงสนใจเป็นพิเศษ?” คราวนี้คนถามขยายความให้กระจ่าง ขุนดอนมียกคิ้วนิดหนึ่งก่อนจะกลับมาหน้านิ่งเหมือนเดิม แล้วตอบกลับมาสั้นๆว่า
“ไม่มีครับ” ขุนทัพถึงกับหันไปมองใบหน้าด้านข้างที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนเสือกหล่อไม่มีที่ติแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า
“มึงโกหกไม่มีเหี้ยไรกูเห็นมึงคุยอย่างมีความสุขยิ้มไม่หุบเสือกตอบไม่มีร้อยวันพันปีมึงเคยยิ้มให้ใครที่ไหน?” ขุนทัพไม่ยอมเชื่อในคำตอบของขุนดอน แย้งกลับตามความคิดของตนไป ขุนดอนเลยหันกลับมาจ้องตาขุนทัพนิ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างหล่อส่งให้คนตรงหน้าเล่นเอาขุนทัพอึ้งตาค้างหน้าแดงหูแดงไปเลยทันที ไม่คิดว่าขุนดอนจะหันมายิ้มให้ตนกะทันหันอย่างนี้
“ผมก็ยิ้มให้คุณได้ ไม่ได้แปลว่าผมเล็งคุณนี่ครับ” แต่คำพูดตามหลังนี่สิ ทำเอาใบหน้าที่กำลังเห่อแดงเจื่อนไปทันตาก่อนจะขมึงทึ้งจนเกือบจะกลายเป็นเขียวด้วยความโมโห เมื่อถูกสุดหล่อซึ่งกำลังขับรถย้อนเข้าให้หน้าตายอีกต่างหาก
“ไอ้ดอนอย่ายั่วกูโกรธจำไว้ด้วยกูไม่อนุญาตให้มึงไปสุงสิงกับใคร”แล้วคำสั่งแบบเด็กๆ ก็หลุดออกจากปากเจ้าตัวโดยที่คนพูดไม่สนใจด้วยว่าคนฟังจะคิดยังไง ขุนดอนถึงกับเลิกคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะย้อมถามกลับไปว่า
“ถ้าผมจะคบกับใคร มันก็เป็นสิทธิของผม” เป็นครั้งแรกที่น้ำเสียงของขุนดอนทุ้มหนักไม่มีแววล้อเล่นในคำพูดเลยแม้แต่น้อย ขุนทัพสะอึกไปชั่วครู่ก่อนจะเสียงแข็งเข้าใส่ว่า
“ไม่ได้ มึงเป็นของกูห้ามมองใครอีกนอกจากกู” คำสั่งอย่างคนเอาแต่ใจของขุนทัพทำเอาคนขับรถหน้านิ่ง ถึงกับหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าชิดขอบทางทันใดก่อนจะหันมาจ้องตาคนพูดแล้วเอ่ยออกมาว่า
“ผมเป็นของคุณเมื่อไหร่ ผมไปตกลงกับคุณตอนไหน ที่ผ่านมาเพราะคุณอาศัยความได้เปรียบบีบบังคับผมเองต่างหาก คุณทัพฟังผมนะผมเป็นผู้ชายเหมือนกับคุณ ที่ยอมคุณเพราะไม่มีทางเลือกสำหรับผม ถึงเวลาผมก็ต้องการมีครอบครัวเช่นกัน คุณเองก็เหมือนกันความรู้สึกตอนนี้แค่นึกสนุกพอคุณเล่นจนเบื่อคงเลิกสนใจผมเอง เพราะฉะนั้นระหว่างเรา
มันเป็นแค่เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คุณจะให้ผมเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์ของคุณไปตลอดไม่ได้” ขุนดอนพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่น ขุนทัพก็ไม่ยอมแพ้แย้งกลับทันทีว่า
“กูไม่คิดจะเล่น มึงเองต่างหากที่ต้องการแบบนี้ กูให้โอกาสมึงคบกับกูแล้ว เสือกเล่นตัวเองนี่หว่า?” ท่าทางยียวนกวนโมโหไม่มีผลต่อหนุ่มหล่อหน้านิ่งแม้แต่น้อย ตรงข้ามขุนดอนกลับมองเห็นแววตาของเด็กน้อยที่ต้องการเอาชนะและต้องการเหนือตนให้ได้ก็เท่านั้น
“คุณเป็นแฟนผมไม่ได้หรอกคุณทัพ ต่อให้ผมยอมคบกับคุณจริงเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ ในเมื่อคุณเป็นแบบนี้” ขุนดอนทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันกลับไปเข้าเกียร์เพื่อออกรถ แต่ขุนทัพไม่ยอมมือหนายึดจับมือของขุนดอนเอาไว้แน่น พร้อมกับพูดสวนขึ้นมาว่า
“ทำไมว่ะ? คนอย่างกูมันเป็นยังไง มีแต่คนเค้าอยากได้กูเป็นแฟนทั้งนั้น มึงอย่ามาทำเป็นหยิ่งนะไอ้ดอน หมาตัวไหนนอนครางให้กูกระแทกไม่รู้กี่ครั้ง ยังมีหน้ามาจองหองใส่กูอีกสัด” คำพูดที่แสลงหูหลุดออกมาคำแล้วคำเล่า แต่ขุนดอนยังคงนิ่งไม่มีชักสีหน้าแสดงอาการใดๆเลยแม้แต่น้อย ก่อนปากสวยได้รูปจะเอ่ยมาโดยไม่หันมองคนฟังสักนิด
“ถ้าคุณอยากให้ผมเป็นแฟนคุณจริง คุณยอมให้ผมทำกับคุณแบบที่คุณทำกับผมหรือเปล่าล่ะ ผมอาจจะพิจารณาก็ได้ ผมไม่เถียงที่คุณมีคนรอเข้าคิวไม่น้อยแต่นั่นไม่ใช่ผม ผู้ชายทุกคนใช่จะยอมให้ใครกดได้เสมอไป” ขุนดอนพูดจบ จับมือขุนทัพออกจากมือตนช้าๆ ก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถมุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที ทิ้งให้ขุนทัพอ้าปากค้างกับข้อเสนอใหม่ที่สุดหล่อคนขับบอกมาให้ตนฟัง ด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ลำพังคนเดียวต่อไป?
ความคิดเห็น