ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@ โดย Luk {สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ}

    ลำดับตอนที่ #6 : Part 5

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 57


    Part 5...ภัยร้ายลอบกัด

     

    สัญชาตญาณทำให้ผักตบรู้สึกพักนี้เหมือนมีคนคอยตาม ลอบชำเลืองหางตาโดยไม่ให้มีพิรุธ
    กลับไม่พบสิ่งผิดปกติหรือบุคคลน่าสงสัย  แอบถามตัวเองว่าระแวงมากไปหรือเปล่า

     

    แต่ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนไม่ให้เขาประมาท บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร พานคิดว่าควรมีของไว้ป้องกันตัว
    ปืนพกสั้นออโตเมติกตัวท็อปจึงเป็นเป้าหมาย จนต้องวางแผนให้ได้มา คนที่เขาพุ่งเป้าเอาไว้เป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ลดา
    ซึ่งมีพ่อเป็นรัฐมนตรี เรื่องอาวุธเธอเหมาะหาให้เขามากที่สุด เพียงแค่เอ่ยปากชวนเธอไปซ้อมยิงปืน
    เดิมทีเธอแปลกใจไม่น้อย เพราะเขาเล่นชวนไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ผักตบมั่นใจเธอไม่มีทางปฏิเสธเขาแน่

    โอกาสที่รุ่นพี่นางแบบสวยสุดเปรี้ยว อยากใช้เวลาอยู่กับเขามีอยู่ไม่บ่อยนัก
    จึงเป็นจุดเริ่มของกลอุบายให้ได้ปืนกระบอกนี้มาครอบครอง

    ความชำนาญเกี่ยวกับปืนผาหน้าไม้ เขาไม่ใช่พวกอ่อนหัด ตั้งแต่เด็กก็ได้รับการถ่ายทอดจากนักเลงคุมบ่อน
    ซึ่งให้ความเอ็นดูเขาพอสมควร จึงมีโอกาสเรียนรู้ฝึกหัดยิงมาแล้วหลายครั้ง เรื่องของความแม่นยำไม่เป็นรองใครเช่นกัน
    แต่เขาเก็บงำไว้เป็นความลับ แม้แต่แม่เล็กก็ยังไม่รู้..

     

    ใช่ไม่รู้ตัว..ว่ามีคนไม่ชอบขี้หน้าคอยหาโอกาสเล่นงานเขาทีเผลอ
    ต้นเหตุคงไม่พ้นลูกค้าไฮโซที่เข้ามาสานสัมพันธ์ด้วย แต่จะเป็นลิ่วล้อซึ่งถูกเขี่ยทิ้งของใครนั้น..เขาไม่อาจรู้ได้

     

    สัมผัสบางอย่างทำให้รู้สึกถึงอันตราย ภัยมืดที่คืบคลานเข้ามานั้น  กำลังรอจังหวะเล่นงานเขาแน่
    จะประมาทไม่ได้ลำพังเดือดร้อนคนเดียวคงไม่เท่าไหร่..แต่แม่เล็กจะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขด้วยนี่สิ
    เขายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด..

     

    ตั้งแต่ออกจากคอนโดลดา ผักตบรู้สึกคิ้วขวากระตุกสังหรณ์ไม่ดี จึงรีบกลับบ้านทันที
    กระทั่งตอนนี้มายืนอยู่หน้าประตูบ้านแล้ว

     

    “ก๊อกๆๆ!!..แม่ครับ..ตบกลับมาแล้วครับ” นับครั้งได้ที่เขากลับดึก แล้วมายืนเคาะประตูเรียกให้แม่เปิด
    สาเหตุหลักไม่ต้องการรบกวนเวลาพักผ่อนของแม่ นอกจากจำเป็นจริงๆ เช่นติดงานโปรเจคที่ต้องลงมือทำกับเพื่อนในคณะ
    หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม่เข้าใจความจำเป็นดี เพราะบอกล่วงหน้าทุกครั้ง ซึ่งมีไม่บ่อยในแต่ละเทอม

    กรณีของวันนี้เพิ่งห้าทุ่มไม่ดึกเท่าไหร่ ผักตบเชื่อว่าแม่ยังไม่หลับ แม่มักไม่ยอมหลับรอเขากลับมาก่อนเสมอ
    นี่ก็อีกสาเหตุที่ทำให้ไม่คิดค้างแรมนอนนอกบ้าน เพราะแม่ห่วงเขามากนี่เอง

     

    “แก๊รก!..แอดด!!..มาแล้วเหรอตบ” แม่ลุกมาปลดกลอนประตูให้

                “ครับ..ขอโทษครับแม่ที่ผมปลุกแม่ตื่น” ไม่ลืมขอโทษ แม้เห็นชัดท่าทางแม่ไม่ใช่คนเพิ่งตื่นนอนก็เถอะ
     

    “แม่ยังไม่หลับ อ่านหนังสือเรื่อยเปื่อย จะหลับยังไงแกยังไม่กลับ” คิดผิดเสียที่ไหน
     

    “เกิดผมล็อกกุญแจด้านนอก แล้วไขเข้ามาเองไม่ต้องรบกวนแม่ลุกมาปลดกลอน
    ก็ไม่ไว้ใจเวลาฉุกเฉินแม่จะกลายเป็นถูกขัง ออกไปไม่ได้ยุ่งเลยทีนี้ บ้านเราอยู่ในชุมชนแออัด
    เกิดอะไรขึ้นต้องพร้อมหนีเอาตัวรอด สุดท้ายเลยกลายเป็นลำบากแม่..ต้องคอยเปิดประตูให้ผมจนได้”

     

    “คิดมากใช่กลับดึกบ่อย นานทีปีหนไม่ลำบากหรอก แล้วของที่ไปเอาได้มาหรือเปล่า..ขอแม่ดูหน่อยสิ”
    แม่เล็กห้ามอาการอยากรู้เอาไว้ไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่นิสัยของเธอที่อยากวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของลูก
    แต่กรณีนี้เธอห้ามใจไม่ได้ ของอะไรกันที่ทำให้ลูกชายยอมออกจากบ้านค่ำมืด

     

    “ได้มาครับ สัญญาก่อน..แม่เห็นแล้วจะไม่ตกใจ” ทำให้อยากรู้เข้าไปใหญ่ จ้องหน้าลูกชายอย่างสำรวจ
    กลับไม่เจอสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังแหย่เธอเล่น เห็นแต่แววตาจริงจัง จำต้องรับปากห้วนๆ

     

    “เออ..ถ้าของที่แกพามาไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลานน่ารังเกียจขยะแขยงแม่รับปากไม่ตกใจ” รอยยิ้มกว้างเผยจากหน้าหล่อ
    หลังฟังวาจารับปากซึ่งแอบประชดเล็กน้อย แม่มักเป็นแบบนี้เสมอ..อย่าหวังจะยอมลงง่ายๆ

     

    “นี่ครับ” ผักตบยื่นถุงกระดาษให้ คนอยากรู้รับมาพร้อมคาดคะเนน้ำหนัก
    เดาไม่ออกว่าเป็นอะไร จัดว่าหนักเอาการอยู่พอสมควร

     

    “ปืน!!!” เธออึ้งตาตั้ง หลังคลี่ปากถุงแล้วเห็นเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างใน
     

    “ครับ..ปืน” ผักตบยอมรับหน้าตาย
     

    “เจ้าตบ! แกเอาปืนมาทำอะไร แอบไปมีเรื่องมีราวกับใครที่ไหน ถึงกลับต้องใช้ปืนผาหน้าไม้”
    คราวนี้คนเป็นแม่จริงจังเสียเอง หลังได้รู้แล้วว่าเจ้าสิ่งที่ลูกชายลงทุนไปเอามาคือ..
    ปืน

     

    “ผมเปล่ามีเรื่องกับใครนะแม่..มีไว้ก็ไม่เสียหายนี่ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง
    ถึงตอนนั้นมันอาจช่วยเราได้” เหตุผลของลูกฟังใช่ไม่มีน้ำหนัก แต่เธอกลับรู้สึกไม่สบายใจ
    ชีวิตเธอเคยคลุกคลีพวกนักเลงคุมซ่อง คุมบ่อน..คนมีอิทธิพลสมัยยังทำงานอาชีพหญิงบริการ
    ย่อมเห็นเป็นของปกติธรรมดา แต่ไม่ใช่ชีวิตเรียบง่ายอย่างทุกวันนี้ สุดท้ายก็ตามใจลูก

     

    “เอาเถอะ..ตั้งแต่เลี้ยงแกจนโต ไม่เคยเห็นชกต่อยมีเรื่องใครเขา สร้างความเดือดร้อนมาก่อน แม่จะเชื่อคำพูดแก
    แต่จำคำแม่ไว้ อย่าริอ่านเหิมเกริมคิดว่ามีปืนแล้วเก่ง แม่ไม่อยากเห็นลูกชายต้องมาบาดเจ็บล้มตาย
    หรือติดคุกติดตะรางเข้าใจใช่ไหม” ผักตบถลาเข้าไปรวบกอดแม่ หลังเห็นสีหน้าอมทุกข์ของแม่ในยามอบรมเขา
    พานทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเช่นกัน อย่างน้อยเขาไม่ควรทำให้แม่วิตกกังวล จึงอาศัยการรับปากเป็นคำมั่น..

     

    “ผมรับปากครับ ไม่ทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา เพราะไปก่อเรื่องร้าย” แม่พูดไม่ผิด
    เขาไม่เคยชกต่อยสร้างเรื่องให้แม่ทุกข์ใจ เพราะตอนมีเรื่องแม่ไม่เคยรู้เลยต่างหาก..
    บางเรื่องก็ใช่ว่าจะต้องให้แม่หนักใจไปเสียหมด เรื่องเหล่านั้นมันเกิดมานานแล้ว สมัยประถมมัธยม
    แต่แม่เป็นคนสอนให้เขาสู้คนไม่ถอยเองนี่นา เพียงแต่เขาสู้โดยไม่ยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่างหาก

     

    “เอาล่ะ..งั้นก็เข้านอน พรุ่งนี้ต้องเดินทางแต่เช้า ส่วนปืนนี่จะให้แม่เก็บหรือตบจะเก็บไว้เอง..หืม”
    แม่ก็ยังกังวลเรื่องปืนอยู่ดี

     

    “ให้ผมเก็บเถอะครับ” แม่ไม่ขัด แค่มองตาลูกชายครู่หนึ่ง ค่อยส่งถุงกระดาษคืนให้
    แล้วก็หันหลังเดินเข้าห้องนอนไป ทิ้งให้ผักตบมองตามร่างบางของแม่ด้วยความรู้สึกผิดในใจ
    พอบอกความจริงกลับทำให้แม่ต้องเป็นกังวลเสียนี่ แต่ถ้าปิดบังไม่ให้รู้ยิ่งแย่ไปใหญ่ ในที่สุดแม่ก็ต้องรู้จนได้

     

    รอจนแม่ปิดประตู ค่อยเอาปืนไปยัดใส่กระเป๋าเดินทาง เขาเตรียมข้าวของจำเป็นเอาไปเรียบร้อย
    ผักตบเป็นคนรอบคอบ ในกระเป๋าสัมภาระนอกจากมีของใช้แล้ว ยังไม่ลืมพวกเวชภัณฑ์ยาสามัญติดกระเป๋าไปด้วย  
    การพาแม่ไปเที่ยวไม่ควรลืมหยูกยาพื้นฐานเป็นอย่างยิ่ง

     

    ตัวเขาไม่เท่าไหร่ แม่คือคนที่เขารักและห่วง ฉุกเฉินขึ้นมาไม่มีวันให้แม่ลำบากเด็ดขาด นอกจากนั้นยังมีไฟฉาย
    ไฟแช็ค มีดพกชนิดพับเก็บ อุปกรณ์อเนกประสงค์ ใช้เป็นเครื่องมือซ่อมบำรุงได้ด้วย เนื้อสแตนเลสคุณภาพดี
    หนุ่มเกรย์ซื้อมาฝากจากอเมริกา ที่ลืมไม่ได้คือกล้องถ่ายรูปซึ่งได้มาล่าสุด..ตรวจความเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเข้านอน

    > 

    > 

    “รวบรวมสมาธิอย่าวอกแวกเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากยังขับพิษไม่สำเร็จเจ้าห้ามหยุด
    มิเช่นนั้นชีวิตเจ้ารวมทั้งเหนือหัว คงไม่ต้องให้ข้าบรรยายกระมัง” มหาโหราเฒ่ากำชับศิษย์รัก

     

    “ขอรับ..อาจารย์” องค์ชายวายุภักษ์รับคำสีหน้าเคร่งขรึม การใช้พลังมหาธาตุวายุ
    ผลักดันเลือดลมให้กับเหนือหัวอนิละ ขับพิษแมงมุมดำรักษาอาการบาดเจ็บมีความเสี่ยงยิ่งนัก
    พระองค์ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

     

    “ข้าอยู่หน้าประตู ป้องกันไม่ให้ผู้ใดรบกวนเจ้า” สายตาที่จ้องศิษย์รักฉายความกังวล หนนี้องค์ชายไม่เอ่ยวาจา
    เนตรคมสบตอบอาจารย์แทน เพียงพอให้มหาโหราเฒ่า..ยอมตัดใจก้าวออกจากห้องบรรทมองค์อนิละ

     

    “เสด็จพ่อ..ข้าขอประทานอภัยพะยะค่ะ” พอร่างมหาโหราเฒ่าหายออกไปจากห้อง
    องค์ชายค้อมศีรษะขอขมาพระบิดา จากนั้นประทับข้างเตียงใหญ่ ค่อยจับพระหัตถ์ขวาเหนือหัวอนิละ
    ขึ้นประกบหัตถ์แข็งแรงของพระองค์ด้วยความอ่อนโยนยิ่ง

    ทรงพริ้มตาหลับช้าๆ หายพระทัยยาวผ่อนวรกายไม่ให้ตึงเครียด  กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ
    เริ่มผลักดันพลังมหาธาตุภายในร่าง ผ่านพระหัตถ์อย่างระมัดระวังยิ่ง ไม่ให้รุนแรงหรืออ่อนกำลังจนเกินไป
    เพื่อขับพิษซึ่งมหาโหราเฒ่าควบคุมไว้ ไม่ให้แพร่กระจายลุกลามไปตามพระกระแสโลหิต

     

    กระนั้นยังกระจายไปไม่น้อย ถือเป็นงานช้างขององค์ยุพราชหนุ่ม จำต้องใช้สมาธิเป็นพิเศษ
    ปลดปล่อยพลังมหาธาตุวายุเข้าสู่วรกายของพระบิดา ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา กลับต้องใช้ร่างกายรองรับขุมพลังวิเศษนี้
    เพื่อขับพิษในระยะเวลาหนึ่ง หากผิดพลาดหรือรับแรงกดดันไม่ไหว ชีพจรอาจขาดสะบั้นสวรรคตได้ในทันที

     

    ถ้าหากเป็นเช่นนั้น องค์วายุภักษ์ใช่ว่าจะดีกว่า ผลข้างเคียงย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส
    เลือดลมย้อนกลับเลวร้ายเกินคำบรรยาย บัดนี้ความเป็นตายขึ้นอยู่กับพระองค์เพียงผู้เดียวแล้ว...

     

    เวลาผ่านไปเท่าไหร่มิอาจระบุแน่ สีพระพักตร์คล้ำเหนือหัวอนิละ เริ่มมีหยาดเหงื่อผุดซึมไรพระเกศา
    โดยเฉพาะเนินพระนลาฎ ฝีพระโอษฐ์แห้งผากกลับซับสีขึ้นให้เห็นแล้ว พระอุระเริ่มหายพระทัยถี่ขึ้นกว่าเดิม
    โดยมีไอร้อนระเหยออกมาจากผิวหนัง

     

    น่าอัศจรรย์ ไอระเหยที่รายล้อมทั่วพระวรกายกลับเป็นสีดำปนเทาลอยอ้อยอิ่งออกมาเรื่อยๆ
    พร้อมกับพระอุนาโลมของยุพราชหนุ่มขมวดปมเหมือนแบกรับความลำบากบางอย่าง
    พักตร์คมคายหล่อเหลาหยาดเหงื่อผุดซึมพระนาสิก ประหนึ่งพระวรกายกำลังทรงงานหนัก...

     

    “ท่านมหาโหรา” หน้าประตูดรุณีแน่งน้อยวัยกำดัดงดงามสองนาง ต่างยอบกายคารวะมหาโหราที่ยืนนิ่ง
    รับรู้เป็นบุคคลยังมีชีวิตสังเกตุจากหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น ตอบรับกิริยากล่าวทักของพวกนางแค่นั้น

     

    “เราได้รับพระบัญชาจากพระมเหสี ให้นำโสมทรายพันปี มาถวายแด่องค์ชายวายุภักษ์
    พระมเหสีทรงทราบพระองค์ประทับอยู่กับเหนือหัว” หนึ่งในสอง..รายงานด้วยใบหน้าอาบยิ้มละไม

     

    “ทรงมีพระประสงค์เช่นนั้น..” มหาโหราผู้เฒ่าเอ่ยถามสั้นๆ
     

    “เจ้าค่ะ” ครานี้ขานรับพร้อมเพรียง..แทบไม่ต้องนัดหมาย
     

    “ข้าคงทำให้พระมเหสีผิดหวังเสียแล้ว องค์ชายมิอาจถูกรบกวน พวกเจ้ากลับไปถวายรายงาน
    หากพระองค์ยืนกรานถวายโสมแด่องค์ชายไม่เปลี่ยนพระทัย รบกวนให้พวกเจ้านำโสมมาในยามจันทร์ขึ้นกลางศีรษะ”
    มหาโหราเฒ่ามิได้ปฏิเสธเสียทีเดียว เพียงแต่บอกนางกำนัลเลื่อนเวลานำมาถวายยามเที่ยงคืน
    นั่นแปลว่าองค์ชายเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว

     

    “ข้าน้อยขอบังอาจถาม พระองค์ทรงงานอันใด ถึงมิให้ผู้ใดเข้าเฝ้า หากเพียงเฝ้าพระอาการของเหนือหัว
    พวกเราย่อมไม่เสียเวลารบกวนมาก ถวายโสมเรียบร้อย เราจักรีบกลับออกมาทันที” นางยืนยันความตั้งใจ

     

    “ดูท่าพวกเจ้ายืนกรานเข้าเฝ้าให้ได้สินะ ชักทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
    เพียงถวายโสมทรายพันปีหาใช่ธุระเร่งด่วนรอไม่ได้ ใยพวกเจ้าจึงถามมากความเช่นนี้”
    คราวนี้น้ำเสียงติดกระด้าง หน้านิ่งเริ่มจะเครียดขึง บ่งบอกไม่สบอารมณ์ที่พวกนางยังรั้นจะเข้าเฝ้าองค์ชายวายุภักษ์
    ผิดวิสัยนางกำนัลมากโข แม้พวกนางเป็นนางในตำแหน่งสูง ถวายรับใช้ใกล้ชิดเจ้าแผ่นดิน
    พึงกริ่งเกรงวาจาตนบ้างไม่มากก็น้อย หาใช่ประพฤติเช่นนี้ไม่..

     

    “เกรงว่าเรามิอาจทำตามประสงค์ท่าน โปรดหลีกทางให้เราเข้าเฝ้าองค์ชายเถอะ”
    นางผู้ที่ไม่เอ่ยปาก กลับเอ่ยขัดอย่างไม่สำรวมวาจา

     

    “เหอะ!..ดูท่าพวกเจ้ามิใช่ตัวดี จิ้งจอกยอมโผล่หาง”
    โหราผู้เฒ่าไม่ไว้ไมตรี เมื่อสัมผัสจิตสังหารที่ไม่ควรมีในตัวดรุณีทั่วไป

     

    “พูดมากความใย จัดการตาเฒ่าหัวรั้นนี่เถอะ” นางคนเดิมไม่พูดพร่ำทำเพลง
    ท่าทางอรชรหายไปสิ้น กลับคล่องแคล่วปราดเปรียวประหนึ่งผู้ได้รับการฝึกฝีมือ
    นางกลับพกพาเคียวคมกริบวาววับ อาวุธอันตรายที่ชนเผ่าทะเลทรายคุ้นเคยกันดี
    กระชับในมือบางไม่เคอะเขินติดขัดประการใด ตรงข้ามดูนางคุ้นชินอาวุธชนิดนี้ยิ่งนัก

     

    จากนั้นทะยานเข้าหาโหราผู้เฒ่ามิให้ตั้งตัว ช่างรวดเร็วว่องไวไม่ธรรมดายิ่ง
    เพียงชั่วพริบตาเคียวคมวับ กลับหมายต้นคอโหราเฒ่าเสียแล้ว

     

    “เฟี้ยว!!” เสียงอาวุธคมกริบฝ่าอากาศฟังเสียดหู หากไม่ได้รับการฝึกฝนเข้าขั้นชำนาญ
    ด้วยแรงอิสตรีมีหรือสามารถทำให้อาวุธปะทะอากาศได้น่าสะพรึงกลัวถึงปานนี้

     

    “พรึ่บ!..” เรื่องเหนือความคาดหมายบังเกิด แม้นางมิได้ประมาทฝีมืออาวุโสผู้นี้
    ลงมือรัดกุมคำนวณดิบดี ต่อให้เฒ่าชรามีฝีมือใช่ชั่ว แต่อย่าหวังรอดพ้นจากวิถีเคียวโดยไม่ได้รับบาดแผล

     

    กลับเป็นนางเซถลาเสียขบวน แค่ผู้เฒ่าชราตวัดย่ามสะพายบนหัวไหล่เข้าปะทะไม่เปลืองแรง
    ทำให้นางเสียโอกาสคร่าชีวิตไปฉิวเฉียด

     

    “ชิ!..ตาแก่หนังเหนียว ดูจะมีน้ำยาแค่ไหน..ลงมือ”  สิ้นเสียงสบถอย่างไม่สบอารมณ์
    ทั้งสองนางมือบางกลับมีอาวุธชนิดเดียวกัน ตีวงเข้ากลุ้มรุมชายชราผมขาวมวยสูง อย่างไร้เมตตาจิตแม้แต่น้อย

     

    ใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัยแปดสิบกว่า ร่างกายแข็งแรงไม่แสดงทีท่าหวาดหวั่นให้เห็น
    พลิ้วร่างหลบคมอาวุธที่มาทั้งซ้ายขวา บนล่างหน้าหลังแทบทุกทิศทาง รวดเร็วประหนึ่งกงจักรองค์นารายณ์
    มหาโหราผู้เฒ่าไร้ซุ่มเสียงก่นด่า สำรวมสมาธิหาจังหวะตอบโต้ ให้หลุดออกจากวงล้อมของพวกนางอย่างมุ่งมั่น

     

    ผู้เฒ่าชราเพิ่งสำนึกได้ พวกนางฝีมือเหนือความคาดหมายนัก
    ทั่วแผ่นดินจักมีใครสามารถฝึกฝีมือดรุณีมีจิตสังหารได้ถึงเพียงนี้หนอ..นอกเสียจากบุคคลผู้นั้นไม่ธรรมดา

     

    เพียงชั่วครู่ที่สมาธิเผลอครุ่นคิด กลับเผยช่องโหว่จนได้ หนึ่งในสองนางสบโอกาส
    ตวัดคมเคียววาววับเข้าใส่หัวไหล่ อย่างไร้ความปราณี ใบหน้างามขมึงทึงไม่น่ามองอย่างควรจะเป็น

     

    โหราผู้เฒ่าได้แต่เบี่ยงร่างหลบ ด้วยท่าฝืนสังขารอย่างสุดแสน เผื่อใจไว้ย่อมได้เลือด
    แต่จะไม่ยอมให้สาหัสตามวิถีคมอาวุธ ที่เร่งฝ่าแรงเสียดทานของมวลอากาศ ประหนึ่งวัตถุใดขวางทางจักตัดขาดไม่เป็นชิ้นดี

     

    “ตายซะ!..” วาจาเหิมเกริมข่มขู่ หลุดปากพร้อมฟันอาวุธเข้าใส่เป้าหมายซึ่งไร้หนทางหนี
    ตั้งแต่โรมรันกันมาผู้เฒ่ายังไม่มีโอกาสตอบโต้ด้วยซ้ำเพราะโดนรุม สำคัญพวกนางหาใช่ลิ่วล้อ
    ฝีมือบวกจิตสังหารบ่งบอกให้รู้เป็นมือดีที่ถูกส่งมา

     

    “เกร้ง!..อ๊ะ!..เจ้าเป็นใคร” ชะตาผู้เฒ่ามิถึงคาด เสื้อที่สวมอยู่ถูกกรีดขาดไม่สัมผัสผิว
    กลับมีห่วงเหล็กเชื่อมต่อสายโซ่ ปะทะวิถีของคมเคียวเบี่ยงเบนด้วยแรงกระแทกมหาศาล
    ถึงกับทำข้อมือบางสะท้านตามแรง  อาวุธร้ายเกือบหลุดจากมือของนาง

     

    การเอ่ยวาจาถามเป็นกลวิธีหาโอกาสตั้งหลัก แต่ไม่ใช่กรณีบุรุษชุดดำพรางกายผู้นี้
    นอกจากไม่ปริปาก สายตาคมวาวยังไม่เวทนาต่อสตรี  อันว่าจิตสังหารพวกนางแจ่มชัด
    แต่ของบุรุษนิรนามที่ยื่นมือขัดขวางรั้งชีวิตผู้เฒ่าชราออกจากทางมรณะ กลับกดดันเป็นสองเท่า
    ทั้งที่มาเพียงลำพังสามารถบดบังรังสีสังหารของพวกนางไปจนหมดสิ้น

     

    “เป็นเจ้าสินะ” ผู้เฒ่าชรามีโอกาสพักหายใจ จ้องบุรุษชุดดำที่เข้าแทนตำแหน่งของตนแทน
    เป็นฝ่ายโรมรันพันตูเคียวคมของดรุณีทั้งสองอยู่ตอนนี้ กระนั้นหนึ่งต่อสองดูไม่กินแรงเขาเท่าไหร่
    กลับตอบโต้จนฝ่ายดรุณีถอยร่นเสียกระบวนไม่เป็นท่าไปแล้ว

     

    “ไป!!” หนึ่งในสองหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณคู่หู เมื่อรู้สึกตึงมือกับผู้มาทีหลัง พวกนางไม่ใช่คู่ต่อสู้บุรุษนิรนาม
    กลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่หลายขุม ขืนยืดเยื้อเสียการใหญ่ ทางเดียวควรเอาตัวรอดไปจากที่นี่ก่อน

     

    “ไม่ง่ายหรอก..วังหลวงใช่พวกเจ้าจักทำตามอำเภอใจ” เป็นครั้งแรกที่เสียงห้าวกระด้าง
    แฝงพลังข่มขู่จะเอ่ยวาจา พร้อมกับห่วงโซ่สะบัดใส่ เป็นสาเหตุให้พวกนางสู้ประชิดไม่ได้ อาวุธที่ถนัดตกเป็นรอง
    เคียวคมใช้ต่อสู้ประชิดตัว เมื่อมีสายโซ่รวดเร็วรุนแรงเป็นอุปสรรค ทำให้เข้าคลุกวงในไม่ได้
    อาวุธพวกนางก็ไม่สามารถสำแดงประสิทธิภาพ

     

    ซ้ำตอนนี้กลับเป็นฝ่ายบาดเจ็บ เมื่อบุรุษชุดดำพัวพันไม่ให้พวกนางเปิดช่องหนี
    ความเร็วและแรงของโซ่ที่ซัดเหวี่ยงแต่ละครั้ง ทำข้อแขนพวกนางปวดร้าวไปถึงกระดูก
    ต่างโดนโซ่หวดใส่เหมือนถูกแส้คมฟาดฟัน สะท้านเฮือกเจ็บร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย
    หนึ่งในสองถึงกับเข่าทรุดเมื่อถูกฟาดใส่สะบ้าเข่าเข้าเต็มเหนี่ยว

     

    “ผลั๊วะ! อัก!..กรี๊ด!!!!” เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังประสานกันทันที หนึ่งนางหลังแอ่นเพราะโดนเต็มแผ่นหลัง
    ถึงกับถลาร่างดังนกปีกหักเข้าพยุงคนที่ทรุดกองกับพื้น เหมือนหัวเข่าหลุดไปก่อนหน้านี้

     

    “หลบเร็ว!” ผู้เฒ่าชราตะโกนบอก พร้อมมือเหี่ยวย่นล้วงในถุงย่ามตวัดสวนมือบางของนางคนหนึ่ง
    ที่กำมือเหวี่ยงขึ้นในอากาศ แม้จะมองไม่เห็นว่านางเหวี่ยงสิ่งใด สัญชาตญาณผู้กรำโลกมาค่อนศตวรรษ
    พานนึกรู้ในทันทีว่านางกำลังใช้พิษ

     

    “พิษแมงมุมดำ” บุรุษชุดดำพลิ้วกายถอยฉากมายืนตีคู่ผู้เฒ่าชรา  ซึ่งตวัดฝ่ามือจนเกิดเศษฝุ่นขาวฟุ้งกระจาย
    ตลบอบอวลไปทั่วในอากาศ แต่ไม่ถึงกับทำลายทัศนียภาพการมองเห็น สองดรุณีประคองกันยืนอย่างทุลักทุเล
    หน้านวลผุดเหงื่อซึมหายใจหอบ สีหน้าบ่งบอกเจ็บปวดยิ่ง

     

    “ตาแก่มีผงพิรุณต้านพิษ” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น
     

    “พวกเจ้าจนมุมแล้ว ยอมจำนนเถอะ..คนเผ่าแมงมุมดำ!
     

    นอกประตูมีการต่อสู้ปานฟ้าถล่ม แต่ภายในห้องบรรทมเหนือหัวองค์ยุพราชหนุ่มรัชทายาทไตรคาน
    กลับจมดิ่งในภวังค์ว่างเปล่าของสมาธิ ไม่รับรู้ถึงการปะทะแต่อย่างใด ทรงเดินพลังมหาธาตุวายุขับพิษออกจากพระวรกาย
    เหนือหัวอนิละ สังเกตรัศมีรายล้อมพระวรกายมีควันสีดำอมเทาระเหยออกมา จนเริ่มเบาบางจางลงเรื่อยๆ
    กลายเป็นไอสีขาวเพิ่มมากขึ้น บ่งบอกถึงความสำเร็จในการขับพิษให้กับพระบิดา

     

    สีพระพักตร์เขียวคล้ำก่อนหน้า เริ่มซับสีโลหิตประหนึ่งผู้คนปกติ พระพักตร์คมคายหล่อเหลาองค์ยุพราช
    แม้มีหยาดเหงื่อไหลย้อยพระหนุจนหยดลงบนฉลองพระองค์ สีพักตร์ขาวซีดเกิดจากใช้พลังจิตไปมหาศาล
    แต่พระองค์ยังคงสงบนิ่ง ไม่แสดงอาการขยับพระวรกายแม้แต่น้อย

     

    เชื่อว่าอีกไม่นานทุกอย่างคงเรียบร้อย รัชทายาทไตรคานสามารถช่วยชีวิตเหนือหัวของพสกนิกรสำเร็จ
    ที่สำคัญคนร้ายถูกจับแล้ว องครักษ์ส่วนพระองค์ไม่ทำให้ผิดหวัง..ดังสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้

    > 

    > 

                ร้อน!..เหมือนถูกไฟคลอก หายใจลำบากร่างสูงใหญ่นอนบนฟูกปูพื้นเหงื่อกาบแตกพลั่ก
    ค่อยลืมตาในความมืด รู้สึกหายใจติดขัดเหมือนกำลังสูดควันเข้าไป กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งไปทั่ว สำคัญคือเขารู้สึกร้อน

     

                “ไฟไหม้!..” กระเด้งตัวลุกอย่างเร็ว ในสภาพสวมบ็อกเซอร์เสื้อยืด พุ่งร่างออกจากประตู
    เมื่อเห็นกลุ่มควันขาวพร้อมกลิ่นเหม็นไหม้ปกคลุมอยู่ทั่วห้อง โผล่ออกมาถึงกับม่านตาเบิกโพลง
    ไฟไหม้ลามไปทั่วบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนเอ็ดอึงอลหม่านของผู้คนด้านนอก ที่กำลังแตกตื่นกันอยู่

     

                “ตบ..ช่วยแม่ด้วย” เสียงตะโกนดังให้ได้ยิน ไม่เสียเวลาร่างสูงถลาไปยังประตูห้องแม่
    เห็นเลือนรางเพราะเขม่าควันปกคลุมหมด แต่ยังพอให้รู้ทิศว่าจุดนี้คือประตูห้องนอนของแม่..ตามความคุ้นเคย

     

                เอื้อมมือสัมผัสถึงกับชักมือกลับอย่างเร็ว ร้อนเกินกว่ามือเปล่าจะจับลูกบิดได้
    ไม่เสียเวลาฝ่าเท้าใหญ่ส่งแรงถีบเต็มเหนี่ยว ยันประตูดังสนั่น ประตูไม้ซ่อมซอถึงกับหลุดกระเด็น
    ตามแรงถีบมหาศาลจนแตกกระจาย

     

                “โครม!!..แม่ครับ”  ร้อนจนเหงื่อโชกไปทั้งตัว
     

                “แค่กๆๆ!!!..แม่อยู่นี่” เสียงดังขึ้นรีบหันกายก้าวเข้าหา ร่างบางนั่งเอาผ้าปิดจมูก
    น้ำตาไหลพรากบดบังการมองไปแล้ว พอเขาเอื้อมมือสัมผัส เธอโผตัวเข้ากอดลูกชาย
    ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวนบ่งบอกตกใจสุดขีด

     

    “ไฟไหม้หนีเร็วตบ!” เขารวบกอดแม่แน่น รับรู้ถึงกระเป๋าสัมภาระ ที่แม่กระชับติดมือมั่นไม่ยอมปล่อย
     

    “ไปครับ..” ประคองแม่ออกทางประตู ทุลักทุเลพอสมควร
     

    เปลวเพลิงลุกท่วมไปทั่วขื่อคาน เสียงไม้ปริแตกจากการถูกเผาให้ได้ยินไม่ขาด อีกไม่กี่นาทีอาจทรุดตกลงมาแน่
    ยังดีแม้ไฟจะลุกลามในเวลารวดเร็ว กลุ่มควันฟุ้งตลบกลับยังไม่ทำลายระบบหายใจพวกเขา
    จนถึงกับสำลักควันหมดสติกันไปเสียก่อน

     

    “ผมจะเอาผ้าห่มชุบน้ำคลุมให้ เราต้องรีบออกไปจากบ้านให้เร็ว”
    ไม่รอฟังคำตอบ ทะยานเข้าห้องตัวเองที่ไฟกำลังไหม้ลาม หยิบผ้าห่มกลับออกมา
    ดิ่งเข้าห้องน้ำด้วยสภาพลำบากเพราะไฟไหม้ลามทั่ว เหลือพื้นที่เพียงน้อยนิดให้ขยับก้าว
    แม้แต่พื้นกระดานยังร้อนจนเท้าแทบสุกพอง

     

    เปิดน้ำจากก๊อกใส่ผ้าห่มจนเปียก แม้แต่น้ำยังเป็นน้ำร้อนไปแล้ว ยังดีที่ไม่ร้อนมากถึงกับทนไม่ได้
    รีบนำมาตวัดคลุมร่างบางของแม่เอาไว้มิด ช่วยให้ผู้เป็นแม่หายใจสะดวกกว่าเดิม
    ยังดีกว่าสูดควันร้อนแสนทรมานแม้จะใช้ผ้าปิดกั้นเอาไว้..แต่ก็ลืมตาไม่ขึ้นเสียเลย

     

    ผักตบเห็นกระเป๋าเดินทางตัวเอง รีบคว้าไว้แต่พอมองประตูบ้าน ก็รู้สึกลำบากใจไฟไหม้เป็นแนวกำแพง
    ออกไม่ได้แน่หันดูโดยรอบสภาพไม่ต่างกัน พวกเขากำลังถูกไฟคลอก ไฟไหม้ลามทั่วบ้านทั้งหลัง
    ตั้งสติหาทางออกถึงสัมผัสกลิ่นน้ำมันเบนซินฉุนจมูก กลิ่นแรงขนาดนี้ไม่ธรรมดาแน่แล้ว
    น้ำมันเบนซินต้นเพลิงมาจากบ้านใคร คำถามวิ่งในหัวซึ่งยังไม่ได้คำตอบ

     

    สอดสายตาด้วยความลำบาก มองหาหนทางพาแม่หนีออกจากกองเพลิงที่กำลังแผดเผาอย่างไม่ปราณีสิ่งใด..
     

    ขณะผักตบผจญความเป็นตายจากการถูกไฟคลอก ผู้คนด้านนอกต่างเก็บของมีค่าวิ่งหนีพระเพลิงกันอุตลุด
    ไฟลุกไหม้บ้านสองแม่ลูกที่พวกเขารู้จักดี รวดเร็วจนไม่มีใครสามารถใช้น้ำดับได้
    แม้จะมีพลเมืองดีหิ้วถังน้ำถังดับเพลิงช่วยกันในช่วงแรกแต่ก็ไร้ผล เพลิงไม่ได้เกิดจากจุดเล็กๆ
    มันเกิดจากเชื้ออย่างดีคือน้ำมันเบนซิน เพราะแบบนี้ไฟถึงลุกลามเพียงชั่วพริบตา
    ติดบ้านใกล้เรือนเคียงขยายเป็นวงกว้าง ต่างหนีตายกันแล้วตอนนี้

     

    ไม่มีใครเสียเวลาดับเพราะเกินกำลัง สภาพความเป็นอยู่ที่แออัดบ้านไม้ซอมซ่อกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
    สลัมแห่งนี้กำลังถูกพระเพลิงทำลายย่อยยับในอีกไม่กี่นาที

     

    ภายในห้องคอนโดหรู ชายคนหนึ่งรับโทรศัพท์แอบจุดรอยยิ้มขึ้นมุมปากสีหน้ามีความสุขชัด
    หลังได้ยินประโยคบอกเล่ามาจากปลายสาย

     

    “ดี!..เผาให้ตายไปเลย ทำได้ดีไว้ค่อยรับรางวัลส่วนที่เหลือ แน่ใจไม่ได้ทิ้งหลักฐานให้ตำรวจสาวแน่นะ”
    เขากรอกน้ำเสียงวางอำนาจถามไป

     

    [ครับนาย..ไว้ใจได้ เราทำงานเป็นทีมไม่มีพลาด ปานนี้สองแม่ลูกคงเหลือแต่ขี้เถ้า
    พวกชาวบ้านคงไร้ที่อยู่ นายจะได้เอาที่ดินมาสร้างคอนโดอย่างที่ต้องการ
    ] ปลายสายตอบกลับมา

     

    “นั่นมันผลพลอยได้ สำคัญกูเกลียดไอ้ตบเข้าไส้ กล้าลองดีทำคนของกูตีตัวออกห่างต้องเจอแบบนี้
    ไว้ให้มันไปหาคำตอบจากในนรก คนที่สั่งเผามันคืออดีตผัวยัยลดา ว่าที่ลูกเขยรัฐมนตรีกูไม่มีวันยอมให้มันขวางเส้นทาง
    การเป็นนักการเมืองกูเป็นอันขาด ไอ้ลูกโสเภณีชั้นต่ำเสือกตีตัวเสมอผู้ดี มันก็ต้องได้รับผลแบบนี้..หึหึ
    !” เสียงหัวเราะสะใจปิดท้าย

     

    สายตาวาวโรจน์อย่างผู้กำชัยชนะ พรุ่งนี้คงพาดหัวข่าวเหตุการณ์ไฟไหม้ย่านสลัม
    ได้เวลาเตรียมช่อดอกลิลลี่แสนสวยสำหรับปลอบใจอดีตคนรัก เดินตามแผนดึงเธอกลับมาคบกันเหมือนเดิม
    ความสุขหนุ่มนักธุรกิจไฟแรง ที่ส่งคนคอยจับตาดูผักตบมาสักระยะ หลังคนรักตีตัวออกห่าง...

     

    กลับมายังเหตุการณ์ในบ้านหลังเล็ก ผักตบไม่มีทางหนี ไฟที่ไหม้ล้อมรอบสองแม่ลูก
    รุนแรงหนักหนาสาหัสไม่มีช่องทางให้บุกฝ่ากองเพลิงออกไปได้อย่างที่คิด
    เหลียวมองทางไหนเห็นแต่ไฟที่รุกคืบกินพื้นที่ย่างสดพวกเขาลุกลามเต็มไปหมด

     

    ส่วนผู้เป็นแม่สลบไม่มีสติไปแล้ว หลังทนความร้อนและอากาศที่ขาดออกซิเจนไม่ไหว
    ผักตบกลับยังพอมีสติแม้จะประคองกอดแม่ไว้ไม่ห่าง เขาขยับไปไหนไม่ได้แล้วเช่นกัน
    เศษไม้ติดไฟตกลงมาขวางกั้นหนทางหมด รอบกายนอกจากแม่แล้วยังมีกระเป๋าเดินทางสองใบ
    นอกนั้นไม่เหลืออะไร ถูกพระเพลิงเผาทำลายไปหมดสิ้น ผักตบเริ่มทนความร้อนที่อุณหภูมิพุ่งสูงต่อไปไม่ไหว
    สติพร่าเลือนแทบไม่หลงเหลือ ภายในใจกลับดิ้นรนไม่ยอมรับการต้องมาจบชีวิตลงในกองเพลิงแบบนี้

     

    “ม่ายยย!!..อร๊ากก!!” เฮือกสุดท้ายแหงนหน้าตะโกนดังสุดเสียงเท่าที่แรงมี
    ตรงอกซ้ายตำแหน่งหัวใจที่ปานไฟปรากฏ เกิดเรืองแสงขึ้นวาบพร้อมกับมวลอากาศแปรปรวนรายล้อมร่างสองแม่ลูก

     

    กลายเป็นเกลียวอากาศหมุนวนป้องกันพระเพลิงไว้ น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น
    มวลอากาศเหล่านั้นกลับให้ความรู้สึกเย็นจนหนาวเยือกไปแล้ว อย่างกับพวกเขาตกอยู่ในอ้อมกอดของสายน้ำเย็นจัด

     

    สำนึกสุดท้ายของผักตบที่ยังมองเห็นด้วยตา เขาไม่อยากจะเชื่อ ว่าเป็นความจริง
    หรือเขากำลังจะตายจึงเห็นภาพหลอนเกิดขึ้นตรงหน้า

     

    สิ่งที่หมุนวนรอบร่างกายเขากับแม่ คือกงล้อม่านน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังหมุนลิ่วปานพายุทอร์นาโด
    ก่อนจะรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างถูกหลุมอากาศดูดกลืนเข้าไปด้วยแรงบีบของมวลน้ำมหาศาล จนไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีก
    สติสุดท้ายหลุดลอยออกจากร่างตามผู้เป็นแม่ไปแล้ว

     

    “ครืนน!!!...บรึ้มม!!!” เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้องราวแผ่นดินไหว ทำให้ผู้คนที่วิ่งหนีความตายประหนึ่งฝูงมดแตกรัง
    ถึงกับชะงัก รีบยกมือขึ้นอุดหูโดยไม่รู้ตัว บ้างคนนอนหมอบลงกับพื้น..หลุดกรีดร้องด้วยความตกใจ

     

    ก่อนพวกเขาจะรับรู้ถึงความเปียกทั้งร่าง จากมวลน้ำมหาศาลมาจากไหนไม่มีใครรู้
    ที่แน่ๆ มหาอัคคีซึ่งกำลังเผาผลาญทำลายทุกสิ่งขณะนี้ กลับมอดดับสนิท เหลือเพียงตอตะโกของเศษซากปรักหักพัง
    เพียงบางส่วนที่ได้เผาทำลายไปก่อนหน้า ส่วนที่ยังอยู่รอดปลอดภัยเกินกว่า
    80% พานให้ชุมชนสลัมแห่งนี้
    หลุดรอดจากการเป็นเหยื่อของพระเพลิงอย่างอัศจรรย์

     

    โดยที่พวกเขาซึ่งกำลังมึนงงต่อเหตุการณ์ กว่าจะรู้ตัวโห่ร้องดีใจที่ไฟดับไม่เหลือประกาย
    ควานหาต้นตอของสายน้ำมหาศาลซึ่งยังไม่รู้ว่ามาจากไหน รถดับเพลิงยังมาไม่ถึง แล้วน้ำก้อนมหึมาก้อนนี้มาได้อย่างไร

     

    พวกเขาต่างไม่รู้คำตอบ พร้อมกับไม่มีใครหลั่งน้ำตาต่อการหายสาบสูญของสองแม่ลูก
    ในบ้านไม้ซอมซ่อที่ได้ชื่อเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้

     

    นอกจากวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ว่าแม่ลูกคู่นี้ไม่ได้อยู่บ้านขณะที่พระเพลิงกำลังเผาทำลาย
    ไม่เห็นซากกระดูกหรือเสื้อผ้าหลักฐานที่บ่งชี้ว่าพวกเขาอยู่ในบ้าน สัมภาระซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจสอบ
    พบว่าพวกเขาเก็บข้าวของเดินทางไปไหนสักแห่ง จึงได้แต่ออกหมายเรียกให้มาสอบปากคำ
    ผู้คนต่างยืนยันตรงกันต้นเพลิงเกิดจากบ้านพวกเขา

     

    เจ้าหน้าที่คงได้แต่รออีกฝ่ายติดต่อเข้าให้ปากคำ ในเมื่อไม่มีใครสามารถชี้เบาะแส
    หรือให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อตำรวจ พวกเขาไปไหน ไปทำอะไรไม่มีใครบอกได้
    เพราะไม่มีใครเห็นพวกเขาออกจากบ้านตอนไหนเมื่อไหร่เสียมากกว่า..

     

    เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา พาให้ทุกคนงงงัน คนที่สามารถให้คำตอบได้ คือสองแม่ลูกคู่นี้เท่านั้น....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×