ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@@ เทพพิทักษ์ขุนทัพ โดย Luk (จบบริบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #5 : การถูกปฏิเสธที่เจ็บปวด!

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 55


                       การถูกปฏิเสธที่เจ็บปวด?

      บ่ายแก่ของวันใหม่  คือกำหนดเวลาที่ร่างสมส่วนแข็งแกร่งเริ่มรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพอิดโรยทีเดียว  ใบหน้าหล่อปานรูปสลักสีงาช้าง
    ซีดเซียวจนเห็นได้ชัด  แต่ถึงแม้จะดูไม่สดใสเหมือนเคยกลับไม่สามารถลดทอนความสง่างามของเจ้าตัวลงได้แม้แต่น้อย กลายเป็นภาพใบหน้าที่มีเสน่ห์ไปอีกแบบน้อยครั้งจะได้เห็น  
      ขุนดอนพยายามยันตัวลุก กลับต้องเผลอซี๊ดปากโดยไม่ตั้งใจส่งผลให้ปลุกคนที่หลับอยู่ข้างๆ เพราะไม่ทันสังเกตให้ตื่นโดยอัตโนมัติ
      “ดอนตื่นแล้วเหรอ เดี๋ยวอย่าเพิ่งรีบลุก” น้ำเสียงซึ่งแฝงแววห่วงใยอย่างไม่เสแสร้ง  ทำให้ใบหน้าหล่อของคนถูกถามมีอันต้องย่นหัวคิ้วอย่างนึกแปลกใจ  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกลับยอมทิ้งตัวลงนอนตามเดิม เพราะตอนนี้ร่างกายของตนเจ็บร้าวไปหมดยิ่งกว่าชกมวยแล้วถูกคู่ต่อสู้รุมสกรัมยับเสียอีก
      เมื่อเห็นว่าขุนดอนไม่ได้โต้ตอบ  กลับยอมลงนอนอย่างว่าง่าย ใบ
    หน้าคมเข้มของขุนทัพเผลอยกยิ้มออกมาจนได้ ไม่รู้ทำไมพอขุนดอนอยู่ในโหมดฤษีไร้ใจหรือเจ้าชายหิมะตามฉายาที่แอบได้ยินคนอื่นเรียกขานได้มา
    เพราะเจ้าตัวประหยัดคำพูดเหลือเกิน ตอนนี้กลับไม่รู้สึกขวางหูขวางตาชวนหงุดหงิดเหมือนทุกครั้งแต่กลับรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูหยิ่งน่ารักไปซะงั้น
                 “มึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย  เดี๋ยวกูช่วยประคองไปห้องน้ำทำธุระให้เรียบร้อย ค่อยออกมากินข้าวทานยาตามหมอสั่ง”  ขุนทัพกลับเป็นฝ่ายพูดเป็นต่อยหอย ทั้งที่แต่ก่อนไอ้นิสัยจะมานั่งสาธยายรายละเอียดปลีกย่อยแบบนี้กับคนตรงหน้าไม่มีวันเสียหรอก ที่ทำให้ประหลาดใจเข้าไป
    ใหญ่ก็ไอ้ตรงน้ำใจที่หยิบยื่นให้  เป็นธุระจัดการกอดประคองพาร่างสมส่วนที่ความสูงไล่เลี่ยกันต่างกันก็ตรงความกำยำหนาล่ำแหละที่เห็นชัด พยุงขุนดอนลุกออกจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำแบบไม่วางฟอร์มเลยสักนิด ขุนดอนเองก็โอนอ่อนผ่อนตามไม่หือไม่อื้อแม้แววตาจะมีความสงสัยต่อพฤติกรรมที่ตาลปัตรจากหลังเท้าเป็นหน้ามืออยู่ไม่น้อยก็ตาม  คงเพราะสภาพร่างกายตนตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดหาคำตอบ  ดีที่สุดคือทำตามอย่างเดียวเพราะขณะนี้ปวดเหยี่ยวอย่างมาก
      ขุนทัพปล่อยขุนดอนจัดการกับตัวเองตามลำพังหลังส่งคนป่วยเฉพาะกิจถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว จึงได้รีบกุลีกุจอโทรสั่งข้าวต้มถ้วยใหม่เพราะถ้วยเก่าเย็นชืดขึ้นอืดจนไม่เหลือสภาพให้อยากทานแม้แต่น้อย  ของตัวเองก็สั่งสปาเก็ตตี้มาทานด้วย ขณะนี้เวลาปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม ถือว่าขุนดอนหลับยาวข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว หากไม่ได้น้ำเกลือของอาหมอที่เติมให้ก่อนกลับ พร้อมกับยาที่ทุลักทุเลช่วยกันป้อนคนป่วยซึ่งสติแทบไม่เหลือ เจ้าตัวคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหมอมาตรวจเช็คอาการและทำอะไรกับร่างกายตนบ้าง 
      ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางได้ฟื้นมาได้ดีแบบนี้หรอก  เพราะตอนนั้น
    อาการของคนป่วยไข้ขึ้นสูงมาก แถมร่างกายยังบอบช้ำไม่น้อยจนอาหมอ
    ต้องถามความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น  เนื่องจากอาหมอคุ้นเคยกับทั้งคู่เป็นอย่างดีเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก  สำหรับพวกเค้าแล้วอาหมอรักเอ็นดูเหมือนลูกหลาน  พอรู้ที่มาที่ไปแกก็ไม่ติดใจจัดการรักษาขุนดอนอย่างละเอียดกระทั่งนิคมส่งอาหมอกลับไปนั่นแหละ
      นิคมบอกว่ารถที่ปิ่นแก้วเอาไปนั้น ตอนนี้ตนไปตามมาจอดไว้ที่บ้านแล้ว  ส่วนปิ่นแก้วก็ได้เก็บหลักฐานที่ตนถูกบังคับข่มขู่สารพัดจากพวกไอ้พิชิต  ด้วยการอัดเสียงในโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้เป็นหลักฐานเล่นงานไม่ให้มันมายุ่งวุ่นวายกับตนอีก  คดีนี้คงจบลงด้วยเส้นสายของพ่อมันอีกตามเคย  ดีหน่อยก็คงไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายกับปิ่นแก้วอีก เพราะต่อให้ปิดคดีลงได้แล้วยังขืนกลับไปวุ่นวายข่มขู่โจทย์ไม่เลิกรับรองเส้นใหญ่แค่ไหนหากสื่อเล่นด้วยคงได้เจ๊งกันเป็นแถว  เพราะงั้นเรื่องนี้หายห่วงไปได้เลย
      ขุนดอนเปิดประตูห้องน้ำมา ด้วยสภาพหยดน้ำเกาะพราวทั่วแผงอกขาวมีหมัดกล้ามพองาม  ซิกแพคเรียงตัวสวยหัวนมสีชมพูสด ผมเปียกน้ำพอหมาดดูยุ่งเหยิงเซ็กซี่ได้อีก  เมื่อออกมาหยุดยืนนิ่งตรงหน้าคนมองห่างไม่ถึงสามก้าว  เล่นเอาคนจ้องถึงกับอึ้งไปเลยเหมือนกัน  เจ้าตัวคงไม่รู้สิว่าตอนนี้อกซ้ายของขุนทัพเหมือนมีลูกดิ่งโยโย้เต้นดึ๋งดั๋งไปมา ยังดีหน่อย
    ที่หน้าคมเข้มเก็บอาการเอาไว้ได้
    “หืมทำไมถึงไม่เช็ดตัวให้แห้งฮึ! เพิ่งฟื้นไข้เดี๋ยวก็ไข้กลับอีกหรอก”น้ำเสียงแสดงอำนาจเหมือนเคยมีตำหนิแกมดุอย่างไม่พอใจ เจตนาบอกกับคนหน้าหล่อปานรูปสลักที่ใช้ตาคมสวยจ้องมองนิ่งไม่พูดไม่จา ในที่สุดก็ยอมส่งเสียงทุ้มหล่อเอ่ยปากถามขึ้นเป็นครั้งแรกว่า
      “เสื้อของผมละครับ” ขุนดอนยังคงเป็นขุนดอน กระชับไม่เยิ่นเย่อ
      “กูให้เอาไปซัก มึงใส่ชุดที่นิคมเอามาให้สิอยู่ในตู้แหนะ” ขุนทัพบอก พยายามเฉไม่มองร่างที่พยักหน้ารับ แล้วเดินผ่านตนไปยังตู้เสื้อผ้าหน้าตาเฉย กลิ่นสบู่กลิ่นแชมพูที่เจ้าตัวอาบน้ำมาหมาดๆฟุ้งกระจายจนเผลอสูดเข้าไปเต็มปอดอย่างไม่รู้ตัว  จู่ๆใบหน้าหล่อคมก็ขึ้นสีเรื่ออย่างไม่มีสาเหตุ โชคดีที่เสียงเคาะประตูช่วยลดบรรยากาศประหลาดๆ ซึ่งกำลัง
    กระแทกหน้าอกของขุนทัพอยู่ตอนนี้ให้ลดลงไปมากเลยทีเดียว
      “ก๊อกๆ  อาหารมาส่งครับ”  บริกรมาส่งอาหารตามที่ตนสั่ง ขุนทัพจึงก้าวไปเปิดประตูเมื่อเห็นแล้วว่าขุนดอนนุ่งกางเกงสามส่วนกับเสื้อยืดคอวีสีขาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
                 “ขอบใจมาก”  เปิดประตูถอยหลบให้บริกรนำอาหารมาวางลงบนโต๊ะริมผนัง ไม่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ดึงแบงค์ร้อยเป็นรางวัล ซึ่งผู้ให้
    บริการยิ้มรับหน้าบานพร้อมกับยกมือไหว้แล้วรีบหันหลังเดินออกประตูไปไม่ลืมเก็บถ้วยจานชามของเก่าติดมือไปด้วย พร้อมปิดประตูล็อกลูกบิดให้เสร็จสรรพ
      “แต่งตัวเสร็จแล้ว  มากินข้าวเลยจะได้กินยา” เป็นคำเชิญที่ติดจะออกคำสั่งนิดๆ คงเป็นความเคยชินของคนพูดที่มักออกคำสั่งกับคนตรงหน้าเป็นประจำ
      ขุนดอนไม่พูดตอบ จัดการผึ่งผ้าขนหนูเรียบร้อยเดินมานั่งเก้าอี้เพื่อทานอาหารโดยไม่อิดออด  ท่าทางการเดินซึ่งขุนทัพเพิ่งสังเกตได้ว่า
    ขุนดอนเดินขัดๆแต่กำลังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ทั้งที่ดูยังไงก็ไม่เนียน ยิ่งทำให้คนคิดหน้าขึ้นสีจนหูแดงไปด้วย เมื่อรู้ว่าสาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะฝีมือตนทั้งนั้น
      บรรยากาศกินข้าวร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้  กลายเป็นต่างคนต่างกินเงียบได้อีกเหมือนไม่มีใครเอาปากมา นอกจากสายตาคมภายใต้ขนคิ้วเข้มที่ลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นระยะๆ หาได้พบความผิดปกติอะไรบนใบหน้าหล่อเหลาสีงาช้างเลยแม้แต่น้อยนอกจากปากบางได้รูปที่กำลังเคี้ยวข้าวกลืนอย่างคนมารยาทดี  แถมสายตาไม่ได้สนใจรอบข้างเลยด้วยซ้ำ ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว ถึงจะออกอาการนิ่งแบบนี้ แต่พอขุนทัพได้มีเวลาสำรวจอย่างถี่ถ้วนกลับต้องยอมรับอย่างไม่ปฏิเสธเลยว่า คนตรงหน้าไม่ว่าอยู่ในท่วงท่าแบบไหนกลับดูดีได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่ไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิดไม่มีอาการหลุกหลิกแม้แต่น้อย แต่กลับมีพลังดึงดูดบางอย่างทำให้ไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าหมดจดหล่อเหลาสีงาช้างได้เลย 
      ที่ผ่านมาเพราะฐิถิของตนปิดหูปิดตา  จึงไม่เคยใส่ใจสังเกตราย
    ละเอียดแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ได้ยินเสียงเล่าลือถึงความฮอทของขุนดอนตลอดมา แต่เพราะคนตรงหน้าเหมือนเงาตามตนไม่เคยห่าง จึงแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเปิดโอกาสให้ใครได้สานสัมพันธ์พิเศษเช่นคนทั่วไป  กลายเป็นเจ้าชายหิมะหรือฤษีไร้ใจที่ยากแกการแตะต้องไปโดยปริยาย จนเป็นตำนานให้เก้ง  กวาง บ่าง ชะนี ต่างหลงใหลอยากลิ้มลองกันเสียยิ่งนัก 
      ขุนทัพสะดุ้งโหย่ง  รีบเบือนสายตาหลบแทบไม่ทันก่อนทำเป็นเฉตักสปาเก็ตตี้ซึ่งเส้นเริ่มเย็นเข้าปากอย่างเนียนๆ  เมื่อจู่ๆคนที่ตนกำลังมองจนเพลินดันเหลือบตาคมสวยขึ้นสบกับตนกะทันหันซะงั้น แถมจ้องกลับไม่มีหลบอีกต่างหาก  กลายเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ขุนทัพต้องเป็นฝ่ายหลบเสียเอง  เล่นเอาหน้าร้อนฉ่าไปหมดจนเก็บอาการไม่อยู่เมื่อรู้สึกว่าโดนจับได้ที่ตนเผลอมองนานไปหน่อย  หูเหอหน้าตาลามแดงไปทั่วแม้จะพยายามเนียนทำเฉยมากแค่ไหนก็ยังเห็นได้ชัด  ทำเอาขุนดอนถึงกับย่นคิ้วหรี่ตาคมอย่างนึกสงสัยต่อพฤติกรรมของขุนทัพ  ก่อนจะหันไปตักข้าวต้มกินต่อจนหมดชาม  โดยยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
      “อ่ะยา  กินหมดนี่แหละ”  ขุนทัพลุกขึ้นไปหยิบยาบนหัวเตียงมาส่งให้ขุนดอน  เมื่อเห็นคนตรงหน้าทานข้าวอิ่มแล้วร่วมห้านาที  แต่ยังนั่งนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่คนเดียว
      “ขอบคุณครับ”  คำตอบรับสั้นๆง่ายๆ  ก่อนจะรับเอายาไปแกะกินดื่มน้ำตามเรียบร้อย ทุกการกระทำของขุนดอนกลายเป็นตรึงให้ขุนทัพมองไม่กระพริบเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลจนไม่สามารถเบือนสายตาหนีได้ทำไมขุนทัพรู้สึกว่าขุนดอนทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทั้งที่ใบหน้าสีงาช้างขาวซีด
    ไม่ขึ้นริ้วฝาดเหมือนเคยด้วยซ้ำ
      “หน้าผมมีอะไรประหลาดหรือครับ?”  ขุนดอนอดถามไม่ได้  ยอมเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา  และนั่นก็ทำให้ขุนทัพออกอาการเก้อเขินอย่างไม่มีสาเหตุ  เหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้  แต่พอตั้งสติก็กลับมามีมาดเข้มอย่างเนียน
      “เปล่า! กูกำลังคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราสองคนต้องเปิดใจคุยกันเสียที”  ถือโอกาสเปิดประเด็นขึ้นก่อนเลย  เพราะตอนนี้ตนกับขุนดอนควรจะหันหน้าคุยกันอย่างเปิดอก
      “ครับ คุณทัพจะคุยกับผมเรื่องอะไร?” น้ำเสียงที่ถามกลับเรียบนิ่งทำเอาขุนทัพรู้สึกหงุดหงิดพิลึก  เหมือนขุนดอนไม่มีอะไรติดค้างในใจพอตื่นขึ้นมาแล้วทำเหมือนกับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่มีผลอะไรเลยสักนิด ยังคง
    หน้านิ่งไร้ความรู้สึกได้อีก ทำเอาขุนทัพกลายเป็นคนคิดมากซะเอง
      “ก็ทุกเรื่อง  ระหว่างกูกับมึงตอนนี้กูคิดว่าเราควรคุยกันจริงๆจังๆเสียที”  ขุนทัพยังคงใจเย็นตอบกลับไป
    “เรื่องของผมกับคุณทัพ ทำไมครับเชิญคุณทัพพูดมาได้เลย” กลับเป็นขุนดอนที่น้ำเสียงคงปกติไม่ทุกข์ร้อนไม่กระตือรือร้นไม่อะไรสักอย่างเริ่มจุดชนวนอารมณ์ของขุนทัพขึ้นมาตะหงิดๆ เข้าแล้ว
    “เรื่องแรกกูต้องขอโทษมึงด้วย ที่มีอคติต่อมึงคิดว่ามึงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว การกระทำของมึงวันนั้น ทำให้กูต้องกลับมาทบทวนใหม่ ที่ผ่านมากูไม่ยอมฟังคำอธิบายของมึงเพราะคิดว่ามึงหาเรื่องมาแก้ตัว ตอน
    นี้กูเข้าใจดีแล้ว”  ขุนทัพอธิบายซะยาว ถือว่าเป็นการพูดที่ยาวมากระหว่างทั้งสองคนตั้งแต่มีมาเลยก็ว่าได้
      “ครับ!ผมไม่เคยโกรธคุณทัพ  ตัดความไม่สบายใจตรงนี้ไปได้เลย” ขุนดอนยังคงตอบได้หน้านิ่งตามเคย เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งที่ขุนทัพเปิดใจคุย กลับทำเหมือนไม่สนใจซะงั้น
      “ขอบใจนะที่มึงไม่โกรธกู ทั้งที่ผ่านมากูหาเรื่องแกล้งมึงประจำ”ขุนทัพยังคงญาติดียอมรับผิดเพื่อสร้างไมตรีและความรู้สึกใหม่ที่ดี หวังให้ช่วยละลายกำแพงระหว่างกัน
      “ทำไมต้องขอบใจผม ทุกวันนี้ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ  ถ้าไม่มีครอบครัวของคุณทัพผมคงไม่มายืนจุดนี้ได้หรอกครับ”  ขุนดอนกลับพูดด้วยประโยคที่เกี่ยวกับบุญคุณแทน  ทำให้สีหน้าคมเข้มหล่อกระชากใจเริ่มออกอาการโมโหขึ้นมาแล้ว มันใช่สาระที่ตนต้องเคลียร์ที่ไหนไอ้เรื่องบุญคุณห่าเหวอะไรนั้น  ไม่ได้อยู่ในหัวตนเลยสักนิด
      “ช่างเถอะเรื่องนั้นจบไปถือว่าเราเข้าใจกันแล้วมาพูดเรื่องปัจจุบันดีกว่า กูทำกับมึงแบบนี้แล้วต้องรับผิดชอบ เพราะกูเป็นคนพามึงมาเจอเรื่องบัดซบนี่  เลยคิดจะรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง”  ขุนทัพแอ่นอกอย่างลูกผู้ชายยอมรับผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  พร้อมกับเอ่ยปากหนักแน่นว่าจะรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
      “โทษนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าคุณทัพจะขอรับผิดชอบอะไร?” ขุนดอนก็ยังใช้น้ำเสียงทุ้มนิ่ง  พร้อมกับแววตาคมใสซื่อ ถามไม่เหมือนแกล้งโง่ให้มีพิรุธเลยสักนิด
      “ก็กูทำลายศักดิ์ศรีของมึงไป ก็ต้องรับผิดชอบสิวะ! ทำไมวันนี้มึงพูดเข้าใจยากจริง  ทีเมื่อก่อนมีแต่ตอบครับอย่างเดียว พอวันนี้เสือกถามเยอะจริงมึง”  ความอดทนหมดลงแล้ว  ที่ยังระงับอารมณ์ไม่ตวาดหรือเสียงดังใส่เหมือนที่ผ่านมา เพราะมันมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาจนทำให้ชะงักหยุดนิสัยส่วนนั้นเอาไว้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือน
    กัน ขุนทัพยังคงไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง 
      “ถ้าเป็นเรื่องนี้ คุณทัพไม่ต้องเก็บมาคิดเลยครับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความต้องการของใคร แต่มันเป็นภาวะจำยอมสิ่งที่ผมเสียไปมันก็ไม่ได้เกิดจากการบังคับ เราทำไปเพราะสติเราทั้งคู่อยู่ใต้การควบคุมของฤทธิ์ยา ผมคงไม่ให้คุณทัพมารับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้นหรอกครับ” ขุนดอนปฏิเสธอย่างมีเหตุผล  แม้เหตุผลที่กล่าวมาจะเป็นเรื่องจริง แต่กลายเป็นว่าสาดน้ำมันเข้ากองไฟโดยไม่ตั้งใจเข้าให้
      “ไอ้ดอน  มึงจะจองหองพองขนมากไปแล้ว  กูลงทุนคุยกับมึงก็มากเกินไปแล้วนะ ใช่ว่ามึงจะโอหังปัดความหวังดีของกูทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
    มึงก็รู้คนอย่างกูเคยแคร์ที่ไหน  นี่เพราะเป็นมึงหรอกกูถึงได้ยื่นโอกาสนี้ให้มึงพูดมาตรงๆเลยดีกว่า ว่ามึงจะให้กูรับผิดชอบหรือไม่?” กลายเป็นขุนดอนกลับมาเป็นฝ่ายงงต่ออารมณ์ผีเข้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของขุนทัพแทน
    ไม่รู้ว่าเจ้านายเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงเซ้าซี้ให้ตนรับปากยอมให้รับผิดชอบในการกระทำซะอย่างนั้น
      “ครับถ้าอย่างนั้นคุณทัพลองบอกผมมาก่อนสิ ถ้าผมยอมให้คุณรับผิดชอบคุณทัพจะรับผิดชอบอะไร?”  เมื่อเห็นว่าขุนทัพเริ่มจะออกอาการนักเลงใส่ขุนดอนก็ยอมถอยลงให้  ลองฟังดูว่าต้องการรับผิดชอบอะไรยังไง
      “มึงก็มาเป็นแฟนกูซะสิ กูได้มึงเป็นเมียแล้วจะต้องให้พูดอีกหรือไงว่ารับผิดชอบอะไร?” ขุนทัพหยุดปากไว้ทัน ไม่ต่ออีกนิดว่าโง่จริงมึงก็บุญเท่าไหร่แล้วล่ะ ใบหน้าคมเข้มยังคงเขม็งดุตำหนิที่ขุนดอนไม่เข้าใจอะไรให้ง่ายขึ้น ช่างตรงกันข้ามกับคนฟังอย่างมาก ที่บัดนี้ใบหน้าสีงาช้างซึ่งขาวซีดกลับออกอาการขึ้นสีเพียงชั่วพริบตา  หลังได้ยินคำว่ามึงมาเป็นแฟนกูซะสิ กูได้มึงเป็นเมียแล้ว สะท้อนก้องอยู่ในหัวไปมาจนทำเอาหน้าแดงก่ำลามไปถึงหูไม่เว้นแม้แต่ลำคอขาวจนเห็นได้ชัดเพราะไม่สามารถเก็บอาการไว้ได้เลย  ขุนทัพเองก็ตกใจที่เห็นหน้าตาของขุนดอนแดงเอาแดงเอา ในขณะที่เจ้าตัวเม้มปากแน่น  ก่อนจะค่อยคลายออกแล้วบอกกลับไปอย่างใจเย็นว่า
      “ผมขออุกอาจสักครั้งเถอะ  ทำไมความคิดของคุณทัพถึงได้เด็กจังครับ ผมกับคุณเราเป็นผู้ชายทั้งคู่จะมารับผิดชอบให้ผมไปเป็นแฟนคุณทำไม?  แล้วคุณท่านกับคุณหญิงอีกล่ะถ้าหากพวกท่านทราบเรื่องนี้เข้า จะผิดหวังแค่ไหน ในเมื่อคุณคือทายาทเพียงคนเดียว ที่สำคัญผมไม่ได้ต้องการให้คุณมารับผิดชอบอะไรผม  ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์
    บังคับ คราวนี้เข้าใจขึ้นบ้างแล้วใช่ไหมครับ?”  ขุนดอนทิ้งท้ายด้วยการถอนหายใจเบาๆ  แต่นั่นเหมือนเป็นการปิดประตูปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ขุนทัพอยากกระชากร่างตรงหน้ามาบดปากแดงสดนั่นให้หายโมโหซะจริง สู้ให้ขุนดอนพูดสั้นๆ ว่า ‘ครับ’  เหมือนที่ผ่านมาคงดีไม่น้อย เท่ากับว่าคนตรงหน้ายอมให้ตนดูแลรับผิดชอบได้  นี่อะไรพอได้พูดก็เล่นเอาซะจุกไปเลย
      ส่วนไอ้ปัญหาที่หยิบยกขึ้นมาอ้างนั้น ใช่ว่าตนจะไม่คิดระหว่างที่เจ้าตัวหลับตนคิดมาทั้งวันทั้งคืน กระทั่งพอได้พูดคุยกับอาหมอถึงตัดสินใจโทรทางไกลไปเล่าความจริงให้พ่อกับแม่ท่านรับทราบทั้งคู่  บอกถึงความตั้งใจที่ตนตกลงจะรับผิดชอบต่อคนตรงหน้านี้
      ยอมรับว่าพ่อกับแม่เองท่านตกใจไม่น้อย  กับเหตุการณ์ที่ได้ฟังจากปากตน  แต่พวกท่านก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมีสติที่จะไม่ต่อว่าหรือแม้แต่จะคัดค้าน  เพราะพวกท่านเลี้ยงดูพวกตนมาอย่างมีเหตุผล  ฝึกให้รู้จักคิดหัดตัดสินใจด้วยตนเองภายใต้เหตุผลมารองรับ  เมื่อตนชี้แจงให้ทราบอย่างไม่ปิดบังท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย ส่วนเรื่องที่ผู้ชายจะเป็นแฟนกันพวกท่านยอมรับได้อยู่แล้ว ในเมื่อเดินทางเป็นว่าเล่นเห็นโลกกว้างมาขนาดนั้น ท่านเป็นคนหัวสมัยใหม่ไม่ได้มีอคติในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
    เพียงแต่พวกท่านทิ้งท้ายว่าทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนตรงหน้าด้วย  ห้ามใช้การบังคับข่มขู่ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นด้วยการยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย  เพราะคำสั่งของพวกท่านนี่แหละทำให้ตนต้องมานั่งคุยอย่างเปิดอก แต่กลายเป็นตนถูกปฏิเสธหน้าหงายไม่เป็นท่า คนอย่างขุนทัพไม่เคยต้องง้อใครมาก่อนนี่อะไรกันการยอมให้คนแรกในชีวิต
    แต่กลับโดนปฏิเสธมันเหลือจะทนรับไหวจริงๆ
      “เรื่องพ่อกับแม่มึงไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้าง บอกกูมาคำเดียวว่ามึงตกลงจะเป็นแฟนกับกูไหม?”  ตัดบทไม่ต้องการยืดเยื้อ ก่อนที่ตนจะโมโหจับคนตรงหน้าบีบคอให้ตายคามือไปเสียก่อน
      “ผมยังยืนยันคำเดิม เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแค่นั้นก็พอแล้วครับ”  คำตอบที่กลับมา แม้จะคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่ยังคงกระแทกใจของขุนทัพอย่างแรงจนไม่สามารถทนนั่งอยู่ในห้องได้อีกต่อไป
      ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดเปิดประตูห้องก่อนกระแทกประตูปิดตามไม่เหลียวหลัง  ขุนดอนจะรู้ไหมว่าการปฏิเสธของตนในครั้งนี้ ทำให้คนถูกปฏิเสธเสียใจเสียหน้าเสียความรู้สึกมากแค่ไหน ไม่มีใครสามารถบรรยายความรู้สึกในใจของขุนทัพได้ด้วยซ้ำ ว่าเจ้าตัวปวดร้าวเพียงใด เพราะตัวของขุนทัพเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมการปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใยของขุนดอน  ถึงทำให้ไม่รู้สึกโล่งที่ต้องไม่ทนมามีแฟนเป็นผู้ชาย ทำไมถึงไม่รู้สึกเช่นนั้น  ทำไมการที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนถึงทุกข์ทรมานแบบนี้  ขุนทัพยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทางที่ดีที่สุดคือหนีออกมา ก่อนที่จะเหลืออดกระโดนบีบคอคนหน้านิ่งให้ตายคามือไปเสียตรงนั้น
      ส่วนภายในห้องหลังบานประตูกระแทกปิดอย่างแรงเมื่อร่างใหญ่ลุกพรวดพลาดออกไปอย่างฉุนเฉียวนั่น  กลับยังมีหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน  ใบหน้าเรียบนิ่งยังคงเฉยชายกเว้นดวงตาคมสวยที่ไหวระริกวาวรื่นไปด้วยน้ำคลอหน่วยแต่ไม่ยักหยดร่วงออกมา คงเพราะเจ้าของกำลังสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้อย่างเต็มที่ จะมีใครเข้าใจหัวอกของขุนดอนได้ดีเท่าเจ้าตัวแล้วคงไม่มี  ขุนดอนยอมรับว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่รู้สึกเศร้าเสียใจที่ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ถูกทำลายย่อยยับไม่มีชิ้นดี  แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของยาก็ตาม  เพราะตนขบคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนได้ข้อสรุปและทำใจไว้แล้ว
      จะมีใครรู้ลึกเข้าไปอีก ที่ตนยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ  เพราะไม่อยากเป็นคนทำลายศักดิ์ศรีของเจ้านาย ว่ากันตามจริงแม้สติจะเหลือน้อยแต่สัญชาตญาณแห่งนักล่ายังคงมีเหมือนกัน  หากจะพลิกกดขุนทัพบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะสามัญส่วนลึกย้ำในหัวอยู่ตลอดว่าทำแบบนั้นไม่ได้ห้ามทำโดยเด็ดขาด ไม่งั้นตนจะกลายเป็นคน
    อกตัญญูเลวชาติไปในทันที  แล้วยังจะมีหน้าไปพบกับหลวงตาได้อีกหรือยังมีหน้าเจอคุณท่านและคุณหญิงได้อย่างไร 
      เพราะสำนึกดีที่มีต่างหากทำให้ต้องยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งสภาพร่างกายรับไม่ไหวหมดสติไปในที่สุด มาถึงตอนนี้หากต้องมาทำเรื่องบ้าบอคอแตกคบเจ้านายเป็นแฟนยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ทายาทเพียงคนเดียวของเทพพิทักษ์  จะมาหมดสิ้นลงด้วยน้ำมือตนได้อย่างไร สำหรับขุดดอนแล้วเหลือไม่ถึงสองเดือนก็ต้องไปฝึกภาคสนามกลางทะเล เวลามีไม่มากจะได้ไปเริ่มต้นใช้ชีวิตในโลกของการทำงาน อะไรที่มันจบได้ก็ให้มันจบไปซะ จบแบบนี้ดีสำหรับทุกฝ่าย
      แล้วทำไมต้องให้มันยืดเยื้อเป็นปัญหาไม่จบสิ้น   ในเมื่อทั้งขุนทัพกับตนไม่ได้มีความรักความผูกพันฉันคนรัก จะมาผูกติดกันด้วยคำว่ารับผิดรับชอบแค่นี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง
      ถึงตอนนี้ขุนดอนเริ่มจะง่วงเพราะฤทธิ์ยา  จึงตัดสินใจเดินไปล้มตัวนอนจนพลอยหลับไปในที่สุด สมองที่ครุ่นคิดก่อนหน้าถูกปล่อยวางทันที  ในขณะที่อีกคนกลับหาความสงบไม่ได้ สภาพจิตใจมันร้อนรุ่มไปหมดจนต้องหาทางระบายหรืออะไรก็ได้มาดับความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น คงไม่พ้นเครื่องดื่มมึนเมา กลายเป็นว่ามุมหล่อขั้นเทพกำลังนั่งซดเหล้า
    ยังกะดื่มน้ำเปล่าอยู่ในส่วนบริการของรีสอร์ทอย่างไม่สนใจสายตาเชื้อเชิญของสาวสวยโต๊ะข้างๆ ที่มากันเป็นกลุ่มเลยแม้แต่น้อย
      ลองเป็นปกติสิคงไม่เหลือแล้ว แต่เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่ภาพของคนที่เพิ่งปฏิเสธความหวังดีของตนอยู่เต็มไปหมด  ช่างน่าโมโหชะมัดเมื่อความหวังดีที่หยิบยื่นให้ไม่ต้องการก็รับเอาความหวังร้ายไปแทนก็แล้วกัน?

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×