คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Part 4
“คุณ..”
“คะ..” เปลวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียก เผลอจมอยู่กับความคิดไปพักใหญ่ มัวแต่นึกทบทวนเหตุการณ์
ที่เธอสะเพร่าจนไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดี ดันเข้าใจรถเบนซ์คุณชายเป็นคันของพี่แจ่ม จึงต้องมานั่งแหมะข้างคนขับ
แถมโชว์ขาอ่อนยันชุดชั้นในให้เขาดูอีกต่างหาก ไม่รู้ทำไม..ระหว่างเปลวกับคุณชายเพชรถึงต้องพบกันในลักษณะนี้เสียทุกที
“ให้ผมไปส่งที่ไหนครับ” คุณชายเพชรมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ไม่แสดงทีท่าให้เปลวรู้สึกอึดอัด
ในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย กระทั่งน้ำเสียงยังเจือความอ่อนโยน ทำเอาเปลวอุ่นซ่านในหัวใจขึ้นมาได้
กับคนที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่เอื้ออารีย์มีน้ำใจช่วยเหลือ เปลวนับครั้งจะเจอคนลักษณะนิสัยแบบนี้ด้วยซ้ำ
“รบกวนจอดข้างหน้าก็ได้ค่ะ” พยักพเยิดให้คุณชายจอดยังถนนข้างหน้าห่างไปไม่ไกลนัก
“แน่ใจคุณจะลงตรงนี้” คุณชายกลับย้ำเสียงเหมือนไม่เห็นด้วย
“ทำไมคะ” กลายเป็นเปลวออกอาการงง ไม่เข้าใจคำถามคุณชาย
“ตรงนี้มันริมถนน ไม่น่าจะปลอดภัยหากพวกนั้นตามมา บ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ ให้ผมไปส่งบ้านดีกว่า”
เปลวจ้องคุณชายตาปริบๆ กับท่าทีขันอาสาไปส่งถึงที่พัก
“ไปส่งบ้าน..” ครางเสียงแผ่วในสิ่งที่ได้ยินเหมือนคนละเมอ
“ครับ..อย่างน้อยผมก็มั่นใจคุณปลอดภัยแน่ๆ” น้ำเสียงแฝงความห่วงใยฉายชัด บวกสายตาอ่อนโยนทอดส่งมานั้น
เปลวไม่เห็นพิรุธอกุศลในดวงตาคมภายใต้กรอบขนตาหนา จนนึกชมในความลงตัวของใบหน้าหล่อเหลาคมคร้าม
กล้าพูดได้เต็มปากคุณชายเพชรรัตน์ดั่งเทพบุตรจุติ
“เออ..คะ..คือ” รู้สึกอึกอักพูดไม่ออก เมื่อเผลอสบตาคมที่จ้องรอคำตอบ
ในจังหวะชะลอรถจอดเทียบข้างทาง เพื่อฟังการตัดสินใจของเธอ
“คุณไม่สะดวกให้ผมไปส่งหรือครับ” คุณชายถามเสียเอง
“ปะ..เปล่าค่ะ” รีบปฏิเสธทันควัน ส่ายหัวยืนยันไม่ได้คิดแบบนั้น
เพียงแต่ลังเลที่จะพาคนไปรู้จักที่อยู่ ซึ่งเปลวไม่เคยทำมาก่อน
“TRrrrr...TRrrrr..!!” เสียงโทรศัพท์ดังขัดจังหวะ รีบค้นในกระเป๋าสะพายหยิบขึ้นมาดู เป็นพี่แจ่มโทรมา
[อยู่ไหนเนี่ยะ..] น้ำเสียงพี่แจ่มดูหงุดหงิดอยู่พอสมควร
“ออกมาแล้วพี่” รีบบอกทันที
[ให้กูขับรถวนหาแล้วไม่โทรบอก นึกว่ามึงโดนพวกมันจับไปแล้ว]
“เปล่าขึ้นรถผิดคันอ่ะ คิดว่าพี่วนมารับเลยไม่ทันดู แล้วพี่อยู่ไหน” ระหว่างคุยโทรศัพท์คุณชายสนใจมองข้างทาง
รักษามารยาทเหมือนกับไม่ต้องการฟังการสนทนาของเปลว เธอแอบชำเลืองพานอดชมในใจไม่ได้
[จะอยู่ไหนล่ะ หามึงไม่เจอลูกน้องก็โทรตาม บอกเป้าหมายกำลังจะย้ายร้าน กูตัดสินใจเล่นเองเลยดีไหม
ในเมื่อเมียหลวงเขาไม่แคร์ต้องให้เลิกกันแล้วนี่หว่า เอาแค่อายประจานให้ตายกันไปข้าง
บทนี้กูพอเล่นได้ ตกลงมึงปลอดภัยดีใช่ไหม พวกมันไม่ได้ทำอะไรนะเปลว]
“ปลอดภัยดีพี่..พี่ลุยเองเลย เงินมัดจำเดี๋ยวเปลวคืนให้ เปลวคงไม่รับเคสนี้แล้ว ไว้งานหน้าค่อยคุยกัน”
เปลวตัดสินใจบอกพี่แจ่ม เพื่อจะได้ไม่ต้องยืดเยื้อเสียเวลากันอีก
[ถ้างั้นกูลุยเอง แล้วพวกมันเป็นใครวะ ตามเฉ่งมึงทำไมไปเหยียบหางใครเขาเข้าล่ะ]
พี่แจ่มไม่ลืมถามข้อกังขาคาใจ กับเหตุการณ์ที่ร่วมรับรู้
“ไม่รู้สิพี่ ไว้ค่อยคุยนะ” เปลวรีบตัดบท เพราะข้อเท็จจริงเปลวก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน สัญชาตญาณบอกพวกมันไม่ได้มาดี
หนีเอาตัวรอดไว้ก่อน ส่วนพวกมันตามเปลวทำไมยังไม่มีคำตอบ วางสายพี่แจ่มเสร็จ
เป็นจังหวะที่คุณชายซึ่งนั่งเงียบตลอดการสนทนา..หันมามองพอดี
ดวงตาสองคู่สบกันโดยบังเอิญ เป็นเปลวที่เบือนหลบโดยไม่ตั้งใจ ทำไมรู้สึกประหม่าเขินขึ้นมาดื้อๆ
พานไม่กล้าสู้สายตาคุณชาย ปฏิกิริยาที่แสดงออกกะทันหันไม่กล้าสู้ตาตอบของเปลว
เป็นเหตุให้ริมฝีปากหยักได้รูปของคุณชายกระตุกยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนเสียงทุ้มนุ่มจะเอ่ยตามมา
“ตัดสินใจได้หรือยังครับ จะให้ผมไปส่งที่ไหน” เปลวหูแดงแปร๊ด
“รบกวนไปส่งคอนโด ไม่ลำบากคุณชายนะคะ” เปลวเขินสายตาคุณชายอย่างไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน
แถมใจดันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อีกต่างหาก อาการแบบนี้ไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหนมานานแล้ว
หลังเลิกรากับพิชาติก็ไม่เคยมีใครสามารถทำให้เปลวเกิดอาการนี้อีก แต่คุณชายเพชรรัตน์กลับเป็นคนที่ทำให้เปลว
ควบคุมตัวเองไม่ได้นี่สิ..รู้สึกเขินอย่างไม่มีเหตุผล
“ไม่ลำบากหรอกครับ รบกวนช่วยบอกทางผมด้วยคุณ..” คุณชายจงใจเว้นคำพูดละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“เปลวค่ะ” เปลวก็รู้มารยาทรีบแนะนำตัว เมื่อไม่ใช่คนแปลกหน้า แถมเธอเองที่สร้างความยุ่งยากเป็นภาระให้คุณชาย
ไม่ใช่เรื่องต้องปิดบังชื่อแซ่ ในเมื่อคุณชายเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน ตามมารยาทแล้วเปลวต้องแนะนำกลับ
เป็นเพราะเหตุการณ์ตื่นเต้นทำให้ลืมเรื่องนี้ไป นึกอยากตบกะโหลกตัวเองสักที
พออยู่ต่อหน้าคุณชายเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองซะนี่
“ยินดีที่ได้รู้จัก..คุณเปลว” คุณชายสุภาพได้คงเส้นคงวา ทุกอย่างเป็นธรรมชาติเข้ากับบุคลิกพอดิบพอดี
ไม่มากไม่น้อยไป น้ำเสียงสีหน้าแววตารวมทั้งคำพูด ไม่มีอะไรที่ทำให้เปลวจับพิรุธได้ว่าเป็นเพียงการรักษามารยาท
ขายรอยยิ้มการค้าอย่างที่เคยเห็นชินตา ในฉบับผู้ดีมีชาติตระกูลมักทำเป็นแพทเทิร์น แต่คุณชายเพชรรัตน์กระทำได้
อย่างเหมาะสมลงตัว ไม่นิ่มจนดูเสแสร้งแกล้งทำ อย่างที่เคยเจอพวกชีกอหน้าหม้อมักทำให้เห็น สิ่งเหล่านี้ไม่มีในตัวคุณชาย
สักนิด วางตัวแบบนี้เป็นผลให้เปลวรู้สึกเกรงใจ พานตัวหดเล็กลงไปอีก ชักเริ่มเกร็งอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
“เป็นอะไรไปครับ หนาวหรือคุณ สงสัยแอร์แรงไป..ผมเบาให้นะ” ยิ่งคุณชายอ่อนโยนสนใจรายละเอียดปลีกย่อย เปลวยิ่งอดใจลอบสำรวจใบหน้าคมคายหล่อเหลาไม่ได้ ถึงจะเป็นเพียงด้านข้างแต่กลับเพิ่มเสน่ห์ดูดีขึ้นอีกเท่าตัว เปลวเผลอจ้องค้างชะงักงันอย่างเสียมารยาท
รูปหน้าดูดีสันกรามแกร่งเคราเขียว ผ่านการโกนแต่ผุดตอลามไล่ตั้งแต่ครึ่งแก้มยันใต้คางถึงลำคอ
เสริมให้ดูมีเสน่ห์ชวนมองอย่างประหลาด จมูกโด่งรับกับคิ้วเข้มพอเหมาะพอเจาะ โดยเฉพาะลูกตาคมซึ่งล้อมกรอบด้วย
ขนตายาวหนา ส่งให้ดวงตาคมหวานซึ้งดูลึกลับมีพลังดึงดูดดั่งหลุมดำในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล
เปลวพลอยไม่กล้าสู้สายตาตอบด้วย เหมือนเช่นคนปกติที่กล้าจะจ้องตอบโดยไม่รู้สึกประหม่า
“รู้สึกดีขึ้นไหมครับ” หลังเบาแอร์ก็หันมาถามอย่างเอาใจใส่
“ห๊ะ!..อ๋อค่ะ..ดีขึ้นแล้วค่ะ” เปลวหน้าร้อนวูบเขินที่ดันจ้องจนลืม
ไม่คิดว่าคุณชายจะหันมาถามกะทันหัน ขณะกำลังแอบมองรูปหน้าเพลินๆ
“หึหึ!..” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในคออย่างอารมณ์ดี ทำเอาเปลวหน้าร้อนจนแทบไหม้ เหมือนเด็กทำผิด
แล้วโดนผู้ใหญ่จับได้ ครั้นจะแหวกลับก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรไปวีนเขา ได้แต่ค้อนตาคว่ำส่งไปให้
โชคดีที่คุณชายไม่ได้เห็นดวงตาเรียวสวยขว้างค้อนน่ารักน่าเอ็นดูใส่ ไม่งั้นคงหัวเราะตลกขบขันไปกับอาการแสดงออก
เหมือนเด็กถูกขัดใจของเปลวแน่ๆ
“ผมไม่ถนัดชวนคุย ไม่เก่งชวนใครคุยสักเท่าไหร่ หนนี้คงต้องเป็นฝ่ายเปิดประเด็น ไม่อย่างนั้นคุณเปลวคงได้นั่งเกร็ง
เป็นตะคริวไปจนถึงคอนโดทีเดียว” เปลวอึ้งตาโต หลังคนที่ออกตัวไม่เก่งชวนคนสนทนาด้วย
แต่ประโยคหลุดจากปากหยักสวยนี่สิ ทำเอาเจ็บๆ คันๆ บอกไม่ถูกเชียวล่ะ
เปลวใบ้แดกนึกหาคำพูดมาตอบโต้คุณชายไม่ได้ดื้อๆ ซะงั้น
“คุณจะว่าผมเสียมารยาทก็ได้นะ ถ้าผมถามเรื่องของคนกลุ่มนั้น” ดูเอา..พาหนีจนถึงนี่
คุณชายเพิ่งจะมาอยากรู้เรื่องพวกที่ไล่ตามเปลวจนเป็นเหตุให้ขึ้นรถผิดคัน หนำซ้ำยังพูดจาสุภาพเสียมากมาย
“ไม่นี่คะ..คุณชายอยากถามอะไรคะ” เปลวบอกแบบนั้น เพราะไม่ถือเป็นความลับที่ต้องปกปิด
ในเมื่อเปลวเองก็ไม่รู้ว่าพวกมันต้องการอะไร เห็นท่าไม่ดีไม่ชอบมาพากลก็รีบชิ่งหนีไว้ก่อน ส่วนตัวแล้วเปลวก็ต้องการรู้เช่นกันว่า
พวกมันขับรถตามเปลวมาทำไม..แล้วต้องการอะไรถึงวิ่งไล่ตาม เหมือนพวกผู้ร้ายไล่จับกันแบบนี้ด้วย
“ทำไมคนกลุ่มนั้นถึงไล่ตามคุณเปลวในที่สาธารณะ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือสายตาใครเลยครับ
พอจะบอกผมได้ไหม ถ้าลำบากใจคิดเสียว่าผมไม่ได้ถามก็แล้วกัน” เปลวอยากจะขว้างค้อนโตๆ ให้อีกสักที
ถามจนจบประโยคดันทิ้งท้ายแบบนี้ ตกลงคุณชายเพชรรัตน์ถนัดต้อนคนให้จนมุมเห็นกันอยู่ชัดๆ
แบบนี้จะให้เปลวพูดอะไรได้อีก
“ไม่ลำบากนี่ค่ะ บอกคุณชายตามตรงเปลวไม่รู้ด้วยซ้ำคนกลุ่มนั้นตามมาทำไม พวกเขาต้องการอะไร”
คุณชายหันมาสำรวจเปลวโดยไม่คิดจะรักษามารยาท หลังฟังคำตอบของเธอแบบกำกวม
“คุณบอกไม่รู้ความต้องการคนกลุ่มนั้น แสดงว่าคุณกับพวกเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือครับ” คุณชายถามกลับ
สลับหันมองถนนเพราะขับรถไปด้วย ถึงจะไม่ได้เร่งรีบอะไรแล้ว แต่คุณชายดูระมัดระวังเป็นพิเศษ
“ค่ะ..เปลวไม่รู้จักพวกเขา” เปลวตอบตามความเป็นจริง
“น่าแปลกนะครับ คุณกับพวกเขาไม่รู้จักกัน เขาจะจับคุณทำไม นอกเสียจากคุณมีสิ่งที่พวกเขาต้องการ”
คราวนี้เปลวหน้าร้อนแทบจะสุกไปอีกรอบ หลังถูกดวงตาคมกริบกวาดสำรวจเอาซึ่งหน้า
ก่อนหันมองถนนเหมือนไม่ได้ทำกิริยาเสียมารยาทอย่างหน้าตาเฉย
“คุณชายหมายความว่ายังไงคะ” เปลวฉุนคุณชาย คนบ้ากวาดสายตามองคนอื่นอย่างจงใจ
แล้วมาทำตีมึนใส่มีที่ไหนเขาทำกัน
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะหญิงหรือชายอย่างน้อยๆ พอจ้องเปลวแล้วต้องแสดงความรู้สึกทางสีหน้าแววตาให้เห็น
ไม่ว่าเขาจะชื่นชมหรืออิจฉายังไงก็แล้วแต่ เปลวพอจะเดาทางได้บ้างว่าคนเหล่านั้นคิดยังไง
แต่มองแล้วมาทำเมินใส่มันอะไรของเค้าเนี่ยะ ทำเอาเปลวรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“ผมวิเคราะห์ตามหลักการครับ คนเราอยู่ดีๆ จะมาไล่จับใครเขาต้องมีจุดประสงค์ในการกระทำ
ที่ถามเพราะคิดว่าคุณน่าจะรู้ ท่าทางคุณวิ่งหนีพวกเขาโดยไม่ห่วงตัวเองจะถูกรถชนแบบนั้น
เหมือนหนีเอาตัวรอดโดยไม่คิดถึงชีวิต ถ้าผมเบรกไม่ทันคงกลายเป็นฆาตกรทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเลย
ส่วนคุณวิ่งหนีคนกลุ่มนั้น กลับต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือผมแทน มันคุ้มกันไหมครับ คุณคิดว่าผมพูดถูกหรือเปล่า”
พอฟังเหตุผลคุณชายเปลวรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ประเด็นนี้ยอมรับไม่ทันคิดมองข้ามไปเสียถนัด
เปลวรู้คุณชายไม่มีเจตนาจะพูดให้ตนรู้สึกแย่ เพียงแค่ต้องการเตือนสติ ให้รู้จักยั้งคิดไตร่ตรองผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วย
“ฉันขอโทษ ความจริงฉันเข้าใจเป็นรถพี่ที่มาด้วยกัน จึงวิ่งไปขวาง มัวแต่พะวงกลัวพวกมันจะตามทัน
คุณชายพูดถูกที่ฉันประมาททำเรื่องไม่เข้าท่าแบบนั้น” เปลวรู้สึกผิดอย่างที่พูดจริงๆ
“ผมไม่ได้จะตำหนิคุณ แค่อยากให้คุณมีสติมากกว่านี้ ผมพอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้ คุณคงตกใจต้องการหนีให้พ้น
คนกลุ่มนั้นเป็นสิ่งแรก ในทางกลับกันถ้าหนีพวกนั้นได้ แต่มาจบชีวิตลงเพราะถูกรถชนตาย ผมไม่เห็นด้วยจริงๆ
สู้คุณยอมถูกจับแต่ยังมีลมหายใจอยู่ คนที่เขารับรู้ปัญหายังพอจะหาทางช่วยคุณออกมาได้ แบบนี้มันดีกว่าไหม”
เปลวเถียงไม่ออกไม่รู้จะแย้งยังไง สิ่งที่คุณชายยกตัวอย่างมานั้น มีเหตุผลนึกภาพตามได้ด้วย
ถ้าถูกจับพี่แจ่มรู้ก็คงหาทางแจ้งตำรวจช่วยเปลวเพราะรู้เรื่องตั้งแต่ต้น แต่ถ้าโดนรถชนดับนี่สิ
ไม่มีโอกาสย้อนไปแก้ไขอะไรได้เลย นึกแล้วต้องขอบคุณคุณชาย ที่มีสติควบคุมรถเบรกได้ฉิวเฉียด
นับว่าเป็นคนใจเย็นสุขุมมากเป็นพิเศษ จู่ๆ มีใครไม่รู้วิ่งเข้ามาขวางหน้ารถอย่างกะทันหัน
เป็นคนสติไม่มั่นคงล่ะก็..คงชนโครมเข้าให้เรียบร้อยไปแล้ว
“ฉันจะจำไว้” คำตอบเปลวทำเอาคุณชายจุดยิ้มมุมปาก โดยไม่คิดจะเก็บอาการ
เปลวเองก็ไม่เข้าใจทำไมคุณชายถึงยิ้มขึ้นมาเฉย
“ผมรู้สึกดีที่คุณพูดแบบนี้ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหนต้องนึกถึงความปลอดภัยตัวเราก่อน
การหนีเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงผลที่ตามมา บางทีมันอาจเลวร้ายกว่าจนแก้ไขอะไรไม่ได้เลยก็มี
แค่คุณรับปากผมก็ดีใจแล้ว” เปลวถึงกลับหัวใจกระดอนไม่เป็นจังหวะไปเลยทีเดียว บทคุณชายจะพูดให้คนรู้สึกเข้าข้างตัวเอง
ก็ทำได้ไม่ขัดหูขัดตา หรือรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างที่เคยเจอมา กลับแสดงความห่วงใยจริงใจทั้งน้ำเสียงและแววตา
มีหรือเปลวจะควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำให้มันเต้นตามปกติได้ แค่ห้ามไม่ให้หน้าเห่อแดงหูแดงเปลวยังทำไม่สำเร็จ
จะบร้าตาย!..ไม่คิดว่าจะต้องมาเขินเป็นบ้าเป็นหลังกับคนที่เพิ่งพบหน้าสองครั้ง
แต่เปลวก็ปฏิเสธไม่ได้เสียด้วย เกิดอาการแบบนี้แล้วจริงๆ
“เลี้ยวข้างหน้าเลยค่ะ คอนโดนี่แหละ” เปลวผ่อนลมหายใจยาว หลังรู้สึกแปลกๆ โดยไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน
ทั้งที่ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากคนที่ร่วมประสบเหตุยื่นมือช่วยเหลือกันปกติ แต่เปลวกลับไม่อาจควบคุมอาการใจสั่น
ที่เกิดกับตัวเองตอนนี้ได้
“ขอให้คุณโชคดี ครั้งหน้าหากมีโอกาสเจอกันอีก ผมขอเป็นแบบปกติบ้างคงจะดี
สองครั้งที่เราเจอกันเหนือความคาดหมายผมพอสมควร คือผมหมายความว่าคุณเป็นคนแรก
ที่มีเรื่องให้ต้องแปลกใจเสียทุกครั้งที่เจอกันนะครับ..หึหึ!” คุณชายจอดรถเสร็จค่อยหันมาพูดกับเปลว
ส่งผลให้เปลวหน้าเห่อร้อนเป็นมันเผาแล้ว ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ในทางกลับกันพาอายอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไงนี่สิ
“ฉันรับปากไม่ได้ค่ะ จะได้เจอคุณชายหรือไม่ ถ้าเจอกันอีกจะอยู่ในสภาพไหน บางทีอาจเป็นพรหมลิขิต
ทำให้เราเจอกันลักษณะนี้ ขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือ นี่ค่ะเสื้อฉันคืนให้
อ้อ! ที่จริงฉันไม่ได้รู้สึกหนาวแอร์หรอก ฉันเกร็งที่ต้องนั่งรถคุณชายต่างหาก..โชคดีเช่นกันค่ะ”
เปลวยิ้มหวานพร้อมส่งสายตาอ้อยอิ่งให้ ไม่เคยคิดว่าจะทำกับใครแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ผีห่าซาตานตัวไหน
ดลใจให้เปลวอยากเห็นคุณชายสุดหล่อหน้าสุกจนเกรียม เหมือนที่เธอกำลังเป็นอยู่ตอนนี้
การกระทำที่แสดงออกจึงเป็นการจงใจล้วนๆ เปลวมั่นใจรูปร่างหน้าตาตัวเองระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะตอนคืนสูทให้คุณชายที่เจ้าของหวังดีให้เธอเอาปิดขาอ่อนไว้ เพราะชุดแซกที่ใส่แหกจนถึงโคนขาล่อแหลม
ชวนเสียวไส้นั่นแหละ เปลวลงทุนยอมอายถึงขนาดเปิดสูทโชว์ขาขาวแถมยิ้มยั่วทิ้งหางตาอย่างมีความหมาย
แล้วค่อยก้าวขาซึ่งเจตนาโชว์สุดฤทธิ์ลงจากรถด้วยมาดนางพญาคลีโอพัตรา เพิ่งอัญเชิญองค์ลงหมาดๆ
ได้ผลเกินคาด คุณชายเพชรรัตน์อึ้งตาค้าง หน้าแดงก่ำเหมือนคนเมาสุราแล้วแพ้แอลกอฮอล์
ที่บอกแบบนั้นเพราะคุณชายสุดหล่อแดงสุกไปทั้งตัว หัวเหอหูคอขนาดมือที่จับพวงมาลัยอยู่ยังแดงเถือก
สะใจเปลวที่ได้เอาคืนในวินาทีสุดท้าย แม้จะรู้สึกอายจนตัวเองก็แดงแปร๊ดไม่น้อยไปกว่าคุณชายเลยด้วยซ้ำ
ไม่คิดว่าจะใจกล้าบ้าบิ่นทำกิริยายั่วใส่คุณชายมาก่อน
พอลงรถได้ก็ไม่กล้าหันมองเจ้าของรถเบนซ์คันหรูอีกเลย รีบก้าวขาฉับๆ ตรงดิ่งไปยังคอนโด
ไม่แม้กระทั่งจะสำรวจสายตาผู้คนที่มองตามน้ำลายสอไปแล้วเช่นกัน ไม่คิดจะมีสาวสวยหยาดฟ้ามาดินเดินโชว์ขาขาว
ผ่านหน้าให้เห็นเป็นบุญตา หลายคนกลืนน้ำลายฝืดคอกันเลยทีเดียว
คุณชายเพชรรัตน์กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้ ก็ต้องส่ายหัวสลัดภาพติดตาสาวสวยที่เก็บตก
จับพลัดจับผลูช่วยเธอจากชายแปลกหน้าไว้ โดยที่ไม่รู้สาเหตุของเรื่องราวสักนิด รอยยิ้มละไมระบายบนหน้าหล่อ
ก่อนจะขยายเป็นยิ้มกว้าง แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะร่าจนมองเห็นฟันสวยเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำออกอาการตลกขบขันดังภายในรถเบนซ์สุดหรู หากใครมาเห็นคุณชายเวลานี้
คงคิดว่าหนุ่มหล่อคงสติไม่ดี เพราะดันหัวเราะขบขันอยู่เพียงลำพัง
“ฮะฮ่าๆ..ร้ายใช่เล่นยัยตัวแสบ” คำพูดเปรยจากปากคุณชาย หลังหัวเราะเสียงดังอยู่ในรถ
คุณชายจำไม่ได้ด้วยซ้ำเคยมีอาการบ้าจี้หัวเราะขำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เท่าที่จำได้ไม่เคยหัวเราะเสียงดัง
เหมือนคนเสียสติแบบนี้มาก่อน ไม่รู้ทำไมถึงได้ขำท้องแข็งกับภาพยั่วยวนของเปลว ที่จงใจส่งสายตาเชิญชวนมาให้
แถมโชว์ขาขาวพาอึ้งก่อนลงจากรถอีกต่างหาก คุณชายยอมรับเปลวสวยทำเอาใจเต้นทุกครั้งที่สบตาด้วย
ยิ่งพิศใบหน้างามดุจปฏิมากรรมของจิตรกรฝีมือเอก ยิ่งยอมรับสวยบาดจิตบาดใจจริงๆ
แต่นั่นไม่ได้ทำคุณชายประทับใจเท่าสิ่งที่เปลวแสดงออก มีผู้หญิงสักกี่คนที่คิดยั่วผู้ชาย
สุดท้ายอายเองจนหูแดงหน้าแดงแปร๊ดเหมือนเปลว คิดยั่วเค้าแต่ดันอายจนเดินขาแทบขวิดก็มีด้วย
สิ่งนี้ต่างหากพฤติกรรมอย่างเป็นธรรมชาติ ทำคุณชายขำเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนคนเสียสติไปแล้ว
หม่อมราชวงศ์เพชรรัตน์ มณีรมย์ ศึกษาจบจากประเทศอังกฤษ ไปเรียนตั้งแต่เตรียมอุดมยันมหาวิทยาลัย
ทำไมจะไม่มีสาวสวยเข้ามาในชีวิต ระดับนางแบบดารามีมามากมาย พวกที่ยั่วยวนอ่อยเสน่ห์เจอมานักต่อนักแล้ว
แต่พวกที่ทำให้ขำท้องแตกไม่เคยมี ยั่วแล้วดันอายเหมือนเปลวไม่เคยเจอมาก่อน อายชนิดลงรถไม่มีเหลียวหลัง
ลืมกระทั่งมารยาทของเจ้าบ้านที่ดีต้องให้เกียรติส่งแขก ค่อยหันหลังกลับเข้าคอนโด แต่เปลวกลับไม่สนฟ้าลงจากรถเดินหนีดุ่มๆ
ไม่มองซ้ายมองขวา หนำซ้ำหน้าแดงก่ำจนคุณชายต้องระเบิดฮา..หัวเราะขำท้องกิ่วอยู่คนเดียวอย่างที่เห็น
“บ้าชะมัด โอย..อยากเอาหัวโขกกำแพง” เปลวบ่นตัวเอง หลังรู้ตัวทำอะไรลงไป นึกแล้วไม่กล้าเจอหน้าคุณชายอีกแล้ว อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ ตอนทำไม่ทันคิดว่าจะออกมาแบบนี้ ทำไปแล้วถึงรู้ว่าไม่น่าเลยจริงๆ
“ป่านนี้เขาจะคิดยังไง ช่างเหอะแก้ไขไม่ได้แล้ว” มาถึงห้องเปลวทึ้งผมตัวเองอย่างนึกโมโห
ไอ้ตอนทำไม่ทันนึกถึงผลลัพธ์ว่าเขาจะดูถูกหรือมองตนยังไง แค่อยากเอาชนะที่คุณชายจ้องสำรวจเปลวแล้วตีมึนก็เท่านั้น
หรือบางทีเป็นเปลวเองที่มีปัญหา คิดเองเออเองจนทำเรื่องขายหน้าไปได้
“ทำไมเป็นเราทุกทีที่หน้าแตกกับคุณชายเพชรนะ โอยจะบ้าตาย คราวที่แล้วก็หน้าแตก
คราวนี้ก็อีกแล้ว..มันอะไรกันนักหนาวะนี่” ถามไปก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง เพราะเปลวก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
โชคชะตาพาเปลวกับคุณชายพบกันในสถานการณ์ที่เปลวต้องกลายเป็นตัวตลกเสียทุกครั้ง
คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ตัดสินใจลุกจัดการชุดแซกที่แหวกจนเห็นตัวเองในกระจกแล้วขนลุกซู่
โชว์วิวได้หวาดเสียวจริงๆ หยิบใส่ในตะกร้าผ้า คิดว่าซักแล้วค่อยส่งซ่อม จะทิ้งก็เสียดายเผื่อได้ใช้อีก
คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ขออาบน้ำให้สดชื่นก่อน รูปร่างสูงเพรียวสมส่วนไม่มีไขมันส่วนเกิน
หรือกล้ามเนื้อน่าเกลียดให้เห็น ตรงข้ามรูปทรงระหงขาวผ่อง แม้จะไม่มีหน้าอกนูน แต่ก็งามพอแล้วสำหรับอกแบนราบ
โดยเฉพาะจุดแต่งแต้มของเม็ดทับทิมสีหวานอมชมพู เอวคอดรับกับสะโพกหนั่นนูนและช่วงขาเรียวยาวขาวนวลไร้ขนรุงรัง
ร้อยทั้งร้อยหากผู้ชายมาเห็นสรีระของเปลวแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าเป็นผู้ชายก็คงห้ามไม่ให้เกิดอารมณ์ปรารถนาได้ยากยิ่ง
เพราะใบหน้าสวยสดกับผมยาวสลวยถึงกลางแผ่นหลัง มันกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาไปแล้วเกินกว่าครึ่ง
ยิ่งผิวพรรณขาวผุดผาดไม่มีส่วนไหนดูแล้วขัดตาแบบนี้ล่ะก็ ทำไมพวกเขาจะมองข้ามสิ่งบ่งชี้ของสัญลักษณ์ทางเพศ
ที่แสดงหลักฐานว่าเปลวคือผู้ชายที่ไม่ใช่ผู้หญิง ร่างเปลือยภายใต้ฝักบัวซึ่งสาดกระเซ็นสายน้ำจนเปียกชุ่มโชก
ดูเซ็กซี่ยั่วยวนโดยเจ้าของร่างแทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่เส้นผมดำขลับเปียกลู่บนผิวขาว ก็เกินพอแล้วที่จะเซ็กซี่..
ความคิดเห็น