ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@ โดย Luk {สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ}

    ลำดับตอนที่ #4 : Part 3

    • อัปเดตล่าสุด 25 ธ.ค. 56


    Part 3...ผู้หญิง..มนุษย์ผู้น่ากลัว
     

    “องค์ชายวายุภักษ์เสด็จ!!!” เสียงดังทั้งตำหนัก บอกให้รู้ว่ายุพราชรัชทายาทแห่งไตรคานเสด็จมา
     

    “เจ้าพี่วายุเสด็จ พวกเจ้าเตรียมต้อนรับเร็วเข้า” ดรุณีวัย 18 ชันษา กลับมีความคิดอ่านเกินวัยอยู่พอสมควร
    รูปร่างอรชรโฉมพิลาสหญิงงามอันดับหนึ่งของไตรคาน ว่าที่ชายารัชทายาทรั้งตำแหน่งราชินีในอนาคต

    นางรับสั่งนางกำนัลเตรียมต้อนรับพระคู่หมั้น ผู้ที่ทรงคำนึงถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บุรุษผู้กุมหัวใจนางไปจนหมด
    วงพักตร์งามแย้มโอษฐ์ดั่งดอกบัวบานรับแสงอรุณ ก้าวตรงไปยังห้องรับรองของตำหนัก

     

    “ถวายพระพรองค์ชาย..ถวายบังคมเจ้าพี่เพคะ” เหล่านางกำนัลต่างถวายการเคารพยุพราชหนุ่ม
    ตามด้วยเจ้าของตำหนักยอบกายถอนสายบัวได้อย่างอ่อนช้อยงดงามยิ่ง สมเป็นธิดาพระเชษฐาองค์อนิละ

     

    “ตามสบายเถอะพวกเจ้า” เสียงห้าวทุ้มทอดอ่อน โอษฐ์อิ่มได้รูปแย้มสรวลอย่างอบอุ่น พักตร์คมคายหล่อเหลา
    ยากหาบุรุษใดในแว่นแคว้นทาบรัศมี แม้แต่องค์ชายธรณินผู้เลื่องชื่อ ยังงามได้ไม่เท่ากลับคงห่างอยู่หลายขุม ทั้
    งที่พระองค์ถือครองมหาธาตุธรณี จัดเป็นบุรุษรูปงามเช่นกัน

    เสียงลือเสียงเล่าอ้างรูปงามดั่งเทวา จิตใจกลับเย็นชาโหดเหี้ยมต่างจากรูปโฉมไกลโข
    ทรงเป็นที่เกรงขามหวาดกลัวของผู้คนอยู่มาก

    เมื่อเทียบยุพราชแห่งไตรคาน ผู้ถือครองวายุธาตุ ซึ่งมีวงพัตร์สลักเสลาดุจสวรรค์ปั้นแต่ง
    ช่างต่างกันดั่งเทวาและอสูรเสียเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้องค์หญิงศศิธรหรือหญิงอ้าย ย่อมภาคภูมิใจในพระคู่หมั้น
    บุรุษผู้ทำหัวใจเหล่าดรุณีสั่นไหวได้ทุกครั้งแค่ยินพระนาม ยิ่งยามได้ยลโฉมถึงกับระทดระทวยอย่างห้ามร่างกายมิได้
    ทรงมีเสน่ห์กำจายจากวรกายสูงใหญ่องอาจดั่งพญาอินทรีย์ผู้ครองเวหา ดึงดูดเสียจนไม่อาจละสายตาจาก
    ยากนักที่จะควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นระส่ำ อย่าว่าแต่อดใจไม่ให้มองเสียด้วยซ้ำ

     

    “หมดเรื่องพวกเจ้าแล้วออกไปเถอะ ไม่มีคำสั่งเราห้ามผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด” สุรเสียงหวานดุจระฆังเงิน
    เอ่ยให้ได้ยินกันทั่ว นางกำนัลน้อยใหญ่ต่างยอบกายค้อมศีรษะถวายคารวะ ก่อนพากันก้าวออกจากห้อง

    แม้นภายในใจต้องการอยู่ยลโฉมยุพราช กลับมิอาจขัดรับสั่งได้ หลายนางหาญกล้าชำเลืองหางตาลอบยลพักตร์คมคาย
    ค่อยพาร่างลับหายออกทางประตู พร้อมอาการขวยอายแก้มขึ้นสีเรื่อ พิสูจน์ให้เห็นถึงเสน่ห์บุรุษที่เหล่าสตรีมิอาจต่อต้าน
    อย่างถ่องแท้ องค์ชายวายุภักษ์เอกบุรุษแห่งยุค ผู้ที่ดรุณีทุกวัยต่างใฝ่ฝันให้ได้อิงแอบแนบซบพระอุระ

     

    “เชิญเจ้าพี่ประทับเพคะ น้องดีใจที่เจ้าพี่เสด็จมาเยือนตำหนัก ได้ข่าวเร่งรีบเดินทางกลับวังหลวง
    เหน็ดเหนื่อยวรกายมิใช่น้อย ใยมิพักผ่อนให้สบายองค์เสียก่อนเล่า ค่อยมาเยือนน้องวันหลังแทนเพคะ”
    วาจาหวานหูผนวกพักตร์งามหยด แถมแย้มสรวลได้อ่อนหวาน ทำให้ยุพราชหนุ่มชุ่มชื่นในพระทัยได้เช่นกัน
    หลังเจอปัญหารุมเร้าจนรู้สึกกดดันยิ่ง

     

    “เจ้าก็นั่งลงเถอะ ข้ากังวลไม่มีเวลา ขืนไม่ปลีกตัวมาวันนี้ เกรงจะหาโอกาสมาไม่ได้”
    องค์ยุพราชประทับยังเก้าอี้ไม้ฉลุทอง บ่งบอกฐานันดรศักดิ์เจ้าของ ค่อยรับสั่งองค์หญิงศศิธรนั่งสนทนาอย่างเป็นกันเอง

     

    “หมายความเช่นไร กลับวังหนนี้เจ้าพี่ประทับไม่นานหรือไรเพคะ เหตุใดต้องเร่งรีบ แม่ทัพนายกองใยไร้ฝีมือกันปานนี้
    ถึงกับขาดเจ้าพี่ไม่ได้หรือย่างไร เจ้าพี่กลับมาทั้งที..ควรหยุดพักนานหน่อย..สิเพคะ”

     

    “หญิงอ้าย..เจ้ามิควรกล่าววาจาเช่นนี้ ทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่นอกด่านล้วนลำบากเหลือแสน
    หาใช่สุขกายสบายใจอันใดไม่ เพราะพวกเขารักแผ่นดินมาตุภูมิ ห่วงใยความปลอดภัยคนข้างหลัง
    เช่นนั้นมีหรือยอมเสียสละชีวิต ข้าเป็นรัชทายาทว่าที่กษัตริย์แห่งไตรคาน ด้วยหน้าที่ย่อมต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่
    สร้างขวัญกำลังใจให้พวกเขา ที่ข้ากล่าวนั้นมิใช่เหตุผลทั้งหมด จนทำให้ปลีกตัวมาพบเจ้าไม่ได้ เป็นเพราะมีภารกิจสำคัญ
    เกี่ยวพันความปลอดภัยของเสด็จพ่อ ต้องรีบดำเนินการแก้ปัญหาเร่งด่วน เวลาที่เหลือล้วนต้องใช้ไปการนี้

    ข้าเข้าวังมีกำหนดอยู่ไม่เกินสามวัน เจ้าย่อมรู้ดีนอกด่านกำลังประสบภาวะตึงเครียด
    ไม่มีข้าประจำการข้าศึกอาจฉวยโอกาสบุกตีเราได้

    อย่าคิดว่าพายุดำทะเลทราย จะสามารถป้องกันเขตแดนได้ตลอด สักวันข้าศึกย่อมหาวิธีรับมือ
    ถึงตอนนั้นพวกเราคงลำบาก

    ลำพังข้าไม่สามารถรบชนะองค์หญิงชลธารกับองค์ชายธรณินได้ แทบไม่ต้องเอ่ยถึงพระปิตุลาผู้มากเล่ห์เพทุบาย
    ซ้ำยังขมังเวทย์ ทุกวันนี้ข้าได้แต่ยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด แม้แต่มหาโหราอาจารย์ข้า ยังสิ้นหนทางออก
    บอกแต่เพียงให้ข้ายื้อเวลาให้ได้นานที่สุดเท่าที่ทำได้

    พวกเราตอนนี้ดุจดังหมูในอวยที่ถูกปิดล้อม ข้าศึกรอให้อ่อนกำลัง ถึงตอนนั้นแทบไม่อยากคิด
    ข้าขอสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ มิยอมให้พวกมันบุกถึงนครหลวงได้ ตราบที่ข้ามีลมหายใจอยู่”
    สุรเสียงห้าวหาญหนักแน่น สั่นคลอนหัวใจดวงน้อยขององค์หญิงศศิธรนัก เนตรเรียวคลอหยาดอสุชล
    แต่พระองค์กลับฝืนสะกดกลั้นเอาไว้ ไม่ให้หลั่งย้อยออกมา

     

    “เมื่อไหร่หนอสงครามจักยุติ ไม่มีหนทางออมชอมหรืออย่างไร ใยต้องห้ำหั่นเข่นฆ่ากันไม่จบสิ้น
    ข้าไม่เข้าใจเลยเพคะเจ้าพี่” น้ำเสียงเศร้าสร้อยพักตร์งามหดหู่ หามีความสุขเช่นก่อนหน้า
    พลอยให้องค์วายุภักษ์นึกเวทนานัก ทำไมพระองค์จะไม่รู้ถึงความปวดร้าว ของผู้คนที่อยู่ท่ามกลางศึกสงคราม
    ครอบครัวต้องพลัดพราก บรรดาทหารหาญจำใจจากลูกเมีย ต่างแบกรับความสูญเสีย

     

    พระองค์พบเห็นการหลั่งน้ำตามามากต่อมาก รวมถึงความอดยากแร้นแค้น ผู้คนลำบากเกินบรรยายได้
    ให้รู้สึกอดสูใจ ใคร่ให้ทุกอย่างยุติ หรือไม่ก็ให้แตกดับพังพินาศกันไปข้าง พระองค์เพียงได้แต่เก็บงำในพระทัย
    มิอาจปริปากระบายให้ผู้ใดรับรู้ ด้วยบทบาทหน้าที่จำต้องเป็นเสาหลักให้ประชาชนยึดเหนี่ยว
    จักแสดงความอ่อนไหวออกมาไม่ได้เป็นอันขาด

    ด้วยเหตุนี้บุคลิกของพระองค์จึงเข้มแข็งแลดูแกร่งดังหินผา เป็นมิ่งขวัญกำลังใจของผู้คนในไตรคาน
    ศูนย์รวมความหวังเพียงหนึ่งเดียว

     

    “อย่าได้เศร้าโศกไปเลย ข้าตอบคำถามเจ้าไม่ได้ เมื่อไหร่สงครามจักยุติ ข้าเองใช่ปรารถนาสงคราม
    ถ้าหากเรายอมแพ้แน่ใจหรือมีความสุข จักได้รับการปฏิบัติในฐานะเชลยอย่างสมเกียรติ เราจักแน่ใจได้อย่างไรกัน
    ในเมื่อนครที่พ่ายแพ้ต่างถูกหยามเกียรติไปแล้วทั้งสิ้น ขัตติยนารีเหล่าเชื้อพระวงศ์ตกเป็นนางบำเรอ
    ส่วนบุรุษไม่แคล้วถูกกักกันไร้ซึ่งอิสรภาพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพสกนิกรต่างต้องทำงานหนัก
    เพื่อนำผลผลิตส่งส่วยกองคลังซึ่งนครเวฬุวรรณเป็นผู้กำหนดมาให้ แร้นแค้นลำบากยิ่งกว่าเดิม

    การปล้นสะดมเข่นฆ่าระบาดหนัก ไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ยากแก่การควบคุม ในภาวะบ้านเมืองไม่มั่นคงเช่นนี้
    หลายนครผู้คนต่างแบ่งแยก ขาดจิตสำนึกหมดความเอื้ออาทรให้กันเสียแล้ว ต่างหวังเพียงเอาตัวรอด
    ล้วนเห็นแก่ตัวเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เช่นนั้นการสู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ยังดีเสียกว่า อย่างน้อยถึงแม้มีสงคราม
    แต่เราไม่เสียเอกราช ยังคงมีอธิปไตยในผืนแผ่นดินของเรา ผู้คนไม่แตกแยกแบ่งฝักฝ่าย
    ทำการปล้นสะดมตั้งตนเป็นก๊กเป็นเหล่า เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่”

    ดำรัสองค์วายุภักษ์ สะเทือนความรู้สึกองค์หญิงศศิธรนัก นางรู้สึกละอายพระทัยที่เกิดอารมณ์ชั่ววูบ
    ถึงกับรำพันตัดพ้อโดยขาดสติยั้งคิด ทั้งนี้เป็นเพราะนางมิต่างปุถุชนทั่วไป ยังมีกิเลสต้องการใช้เวลากับคนรัก
    ใช่ถูกสงครามพลัดพรากให้ห่างกันเช่นนี้

     

    “น้องขอประทานอภัยเพคะ เป็นเพราะความรักที่น้องมีต่อเจ้าพี่ทำให้ดวงตามืดบอดไปชั่วครู่
    ตั้งแต่เกิดสงครามน้องแทบไม่เจอหน้าเจ้าพี่ ยิ่งไม่ต้องคาดหวังถึงงานอภิเษก..เช่นนี้สตรีใดจักทำใจยอมรับได้เล่าเพคะ
    ชายอันเป็นที่รักรอนแรมไกล เจอหน้ากลับมีเวลาเพียงน้อยนิด กลั้นหายใจตื่นก็หมดลงแล้ว น้องเข้าใจเหตุผลที่เจ้าพี่ทรงอธิบาย
    แต่มิยินยอมพร้อมใจรับได้เช่นกัน แม้จะรู้ถึงความจำเป็น ยังอดสาปแช่งพระปิตุลา รวมทั้งองค์หญิงชลธาร
    และองค์ชายธรณิน ทำไมบุคคลเหล่านี้กระหายสงครามบ้าอำนาจด้วย ใช่ทุกวันนี้มิมีอำนาจหรือ..ก็หาไม่”

     

    “ข้าตอบเจ้าไม่ได้ ใจคนเรานั้นยากหยั่งถึง เราอาจเข้าใจพวกเขากระหายซึ่งอำนาจ แท้จริงไม่รู้พวกเขาต้องการอะไรแน่
    ให้กล่าวถึงอำนาจพวกเขามีอยู่ล้นแผ่นดิน ใครเล่าไม่กริ่งเกรงบารมีที่แผ่ไปทั่วผืนทะเลทราย เหยียบย่างแห่งหนใด
    ไม่มีใครไม่รู้จัก พระปิตุลา องค์หญิงชลธาร องค์ชายธรณินกันบ้าง ข้ากลับคิดว่าที่พวกเขาต้องการไตรคาน
    คงมีความนัยบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ เพียงไม่รู้มันคือเหตุผลอันใด” องค์หญิงเลอโฉมสดับฟัง ไม่เอ่ยวาจาขัดแต่อย่างใดอีก
    ในเมื่อพระคู่หมั้นยังหาเหตุผลแท้จริงของศัตรูไม่ได้ ปัญญาใดกัน..ที่พระองค์จะล่วงรู้เล่า

     

    “เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเถอะเพคะ น้องต้องการใช้เวลาน้อยนิดให้มีค่ากับเจ้าพี่ ไม่ติดจารีตประเพณีดีงาม
    ศักดิ์ศรีกุลสตรีพึงมี น้องคงไม่ปล่อยเสด็จพี่กลับยังตำหนักเป็นแน่ ฐานันดรศักดิ์พระเกียรติที่ค้ำอยู่
    ยังคงมิอาจกระทำได้ดั่งใจปรารถนาเพคะ” วาจากล้าเกินหญิง มีเพียงยุพราชหนุ่มที่มีโอกาสสัมผัส
    แม้พระองค์จะรู้สึกไม่ประทับใจ แต่เพราะเข้าพระทัยอุปนิสัยพระคู่หมั้น ด้วยเป็นธิดาพระปิตุลาเพียงองค์เดียว
    ได้รับการตามพระทัยตั้งแต่ยังพระเยาว์ บางครั้งการแสดงความคิดโผงผางไปสักหน่อย
    พระองค์จึงไม่เก็บมาเป็นข้อตำหนิแต่อย่างใด ได้แต่แอบทอดถอนพระทัยเท่านั้น..

     

    “พูดจารักษาเกียรติเจ้าด้วยหญิงอ้าย พี่เป็นบุรุษมิเสียหายอันใด เจ้าเป็นสตรีราชนิกูล
    หากใครผ่านมาได้ยินเข้า ไม่เป็นการดีต่อตัวเจ้าเอง

    แม้นเจ้ามิใช่สตรีในราชนิกูล ต่อให้เป็นหญิงชาวบ้าน ข้ามิอาจหักหาญทำลายเกียรติเจ้าก่อนการอภิเษก
    ย่อมแปลว่าข้าไม่เคารพเกียรติตัวเองเช่นกัน หวังว่าเจ้าคงไม่ตีความที่ข้าหมางเมิน เข้าใจไปเองว่าข้าไม่เห็นในความงาม
    และเสน่ห์ของเจ้าดอกนะ เจ้าหาใช่นางผู้ถวายปรนนิบัติ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดให้ถวายงานรับใช้
    เจ้าคือองค์หญิงแห่งไตรคานว่าที่ชายารัชทายาท มิอาจใจเร็วไป พอเข้าใจที่ข้ากล่าวหรือไม่..หญิงอ้าย”
    การเอ่ยวาจาเตือนสติพระคู่หมั้น คือสิ่งที่องค์ชายทรงเจตนา พระองค์ไม่ต่างบุรุษผู้ฝักใฝ่ตัณหาในบางเวลา
    การกลับวังหลวงย่อมมีนางถวายปรนนิบัติรออยู่ เป็นเรื่องที่เชื้อพระวงศ์เห็นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน
    สำหรับบุรุษที่กรำศึกต้องได้รับการผ่อนคลายเสียบ้าง

    สำหรับพระองค์ พักหลังมิได้เรียกหานางเหล่านั้นรับใช้ ทรงเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะหมกมุ่น
    กลับมาครั้งนี้มีภารกิจขจัดพิษให้พระบิดา ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันเลย ทำไมพระองค์จะไม่เข้าใจถึงหัวอกองค์หญิงศศิธร

    นางรักและหวงแหนพระองค์มากแค่ไหน ใช่พระองค์จะปิดหูปิดตาจนไม่รู้ข่าววงใน
    นางกำนัลที่เคยถวายการปรนนิบัติพระองค์ ล้วนหายสาบสูญโดยไร้ร่องรอย นี่คือสาเหตุหนึ่ง
    ที่พระองค์ไม่เรียกใครมาปรนนิบัติพระองค์อีกเลย แม้หลักฐานไม่ได้บ่งชี้เป็นฝีมือผู้ใด แต่พระองค์ทรงมั่นพระทัยว่า
    พระคู่หมั้นของพระองค์มีส่วนรู้เห็นไม่มากก็น้อย..

     

    โบราณมีคำกล่าว จิตใจสตรียากแท้หยั่งถึง อาจเด็ดเดี่ยวอำมหิตโหดเหี้ยมมิด้อยกว่าบุรุษ
    บางทีพวกนางโหดเหี้ยมกว่า เด็ดเดี่ยวยิ่งกว่า ขึ้นอยู่ว่าผลของการกระทำ พวกนางได้แรงบันดาลใจจากสิ่งใด

     

    ดั่งองค์หญิงชลธารผู้เลอโฉม กลับฆ่าคนไม่กะพริบตา พักตร์งามไม่เปลี่ยนสีด้วยซ้ำ ชี้ให้เห็นคำกล่าวไม่เกินจริง
    นางแข็งแกร่งยิ่งกว่าบุรุษ  องค์วายุภักษ์ยังต้องยอมรับ หลังมีโอกาสประฝีมือกันแล้ว รู้ตัวยังห่างชั้นอยู่พอสมควร
    เช่นนี้จะเรียกว่าสตรีอ่อนแอกว่าบุรุษได้อีกหรือ...

     

    “เอาเถอะนี่ก็สมควรแก่เวลา ข้าคงต้องขอตัว เจ้าเองอย่าลืมดูแลสุขภาพ ไว้ข้าจะหาโอกาสแวะมาเยี่ยมเจ้าอีก”
    องค์ชายตัดจบสนทนาขอตัวกลับตำหนัก เพราะไม่อาจทนสบเนตรเว้าวอนทอดหวาน ที่จ้องพระองค์ได้อีกต่อไป
    ยังไงสตรีก็คือเพศที่น่ากลัว หากบุรุษใดไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีแล้ว มีหรือจะรอดจากบ่วงที่พวกนางวางกับดักเอาไว้

     

    แม้องค์หญิงศศิธรจะเป็นขัตติยนารี แต่จริตมารยาอิสตรีหาได้ใสซื่ออย่างที่ควรจะเป็น นางกลับงดงามเพียบพร้อม
    ด้วยจริตหญิง ทำให้บุรุษสยบแทบเท้าได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้คงได้รับการลอกเลียนหรือจำมาปรุงแต่งอาศัยตัวอย่างนางกำนัล
    ส่วนใหญ่ล้วนหาใช่ตัวดี พวกนางเร่าร้อนดังกระดังงาลนไฟ..เป็นที่รู้กันในหมู่บุรุษ

    > 

    > 

    “เจ้ามาแล้ว..” สุรเสียงห้าวทุ้มกังวานไม่ดังนัก
     

    “ข้ามาแล้วพะยะค่ะ..องค์ชาย” ร่างบุรุษชุดดำอำพรางกายค่อยแสดงตัวออกจากเงามืด
    ภายในห้องบรรทมองค์ยุพราชหนุ่ม

     

    “ได้ความเช่นไร” องค์วายุภักษ์ถามองครักษ์ กลกะลาคือองครักษ์และพระสหายในคราเดียว
    ตั้งแต่พระองค์ถูกส่งไปร่ำเรียนวิชากับมหาโหราทำให้ได้พบกลกะลา..เด็กชายวัยเดียวกันซึ่งอาศัยอยู่ในหลืบเขา
    ดินแดนทะเลทรายรกร้างว่างเปล่าทางตอนใต้ของนคร อันเป็นแหล่งพำนักของมหาโหราผู้เฒ่า
    กลกะลาเป็นชนเผ่าดารยันซึ่งมีความสามารถซ่อนกายไปมาไร้ร่องรอย ฝีมือการต่อสู้ย่อมไม่ธรรดา

     

    แต่เดิมชนเผ่าดารยันเป็นชนกลุ่มน้อย ซึ่งแข็งแกร่งในทะเลทราย ดำรงชีพด้วยการทำปศุสัตว์เพาะอูฐพันธุ์ดี
    แถมมีฝีมือในการรบ พวกเขาจึงรอดพ้นจากการรุกรานของชนเผ่าอื่น โดยไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย

     

    เด็กสองคนรู้จักกันโดยบังเอิญ กลกะลาเกิดพลัดหลงเข้ามายังที่พำนักของมหาโหราผู้เฒ่า
    เจอค่ายกลทรายดูดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

     

    ซึ่งโหราผู้เฒ่าวางกับดักไม่ให้ใครรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว องค์ชายวายุภักษ์มาเจอเข้าพอดี จึงยื่นหัตถ์ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
    ตั้งแต่นั้นกลกะลาก็คบหาองค์ชายเป็นสหาย กลายเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียว ท่ามกลางดินแดนรกร้างจนเติบโตมาด้วยกัน

     

    กระทั่งองค์ชายต้องเดินทางกลับสู่พระนคร เพื่อรับภาระปกป้องดินแดนที่กำลังถูกข้าศึกโจมตี
    กลกะลาก็ได้อาศัยติดสอยห้อยตามมาด้วย โดยเข้ารับตำแหน่งองครักษ์ประจำกายนับแต่นั้น ถือเป็นสหายรู้ใจเพียงคนเดียว
    ที่พระองค์ไว้ใจให้อยู่ข้างกายเคียงบ่าเคียงไหล่ เรียกได้ว่าเป็นองครักษ์มือขวาของพระองค์เลยก็ย่อมได้

     

    “เจ้าเปิดเผยโฉมหน้าเถอะ มิได้ปฏิบัติภารกิจลับ..ใยต้องอำพราง” ท่าทางผ่อนคลายเป็นกันเอง
    เมื่อพระองค์อยู่ลำพังกับสหายมักไม่ถือองค์ดังเช่นอยู่ต่อหน้าข้าราชบริพารปกติ

     

    “ข้าพระองค์สืบได้ความบางอย่าง น่าจะเป็นข้อมูลสาวตัวคนร้ายได้บ้างพะยะค่ะ” ใบหน้าหล่อไม่ขี้เหร่
    เผยให้เห็นหลังเจ้าของปลดผ้าออก ค่อยกล่าววาจาถวายรายงาน ตามหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายดำเนินภารกิจลับ
    มิให้ผู้ใดล่วงรู้ ขณะที่องค์ชายกลับสู่นคร แอบส่งกลกะลาเดินทางมาก่อนล่วงหน้า เพื่อลอบหาเบาะแสของคนร้าย
    ที่วางยาพิษเหนือหัวอนิละ

     

    “เจ้าได้เบาะแสอันใดมา” องค์ชายรับสั่ง อิริยาบถผ่อนคลายเป็นพิเศษ พระองค์ไม่แผ่รังสีกดดันยามอยู่กับสหาย
     

    “ข้าพระองค์สืบได้ความ พิษที่เหนือหัวได้รับมาจากพิษแมงมุมดำของเผ่าแมงมุมดำ จัดเป็นพิษร้ายแรงไร้สีไร้กลิ่น”
     

    “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ท่านอาจารย์บอก เจ้ามีเบาะแสอื่นหรือไม่”
     

    “เผ่าแมงมุมดำมิอาจปะปนถึงวังหลวง สำคัญพิษนี้ไม่มีแพร่หลาย ทั้งการปรุงแต่งและยาถอน
    ล้วนเป็นความลับถ่ายทอดเฉพาะคนในเผ่า ไม่ได้รับอนุญาตให้แพร่งพรายต่อบุคคลภายนอก ข้าสืบดูว่าใครที่น่าสงสัย
    ตั้งแต่กระบวนการปรุงพระกระยาหาร จนผ่านการตรวจสอบก่อนถวายแด่เหนือหัว” พักตร์คมคายคงเรียบสงบ
    แต่เนตรกลับเจิดจ้าแลทรงภูมิปัญญา

     

    “เช่นนั้นย่อมเป็นกระบวนการสุดท้าย หลังการตรวจด้วยเข็มเงินของมหาดเล็ก
    มิว่าพิษใดย่อมไม่รอดพ้นเข็มเงินได้” พระองค์ทรงวิเคราะห์  ได้รับสายตาชื่นชมในพระอัจฉริยภาพทางปัญญาจากกลกะลา
    แววตาคมดุฉายความพึงพอใจในพระปรีชาอย่างเทิดทูน

     

    “ทรงคิดไม่ผิดพะยะค่ะ ขั้นตอนต่อจากนั้นต่างหาก คือช่วงเวลาที่คนร้ายวางยา”
    เนตรคมวาว คิ้วเข้มผูกปมค่อยคลายออก พร้อมกับรับสั่ง

     

    “นางกำนัลสนองพระโอษฐ์สินะ ข้ายังมีข้อสงสัยนางกำนัลเหล่านี้ล้วนเข้าวังตั้งแต่เล็ก
    ถวายตัวโดยไม่สามารถติดต่อบุคคลภายนอกได้อีก เช่นนั้นจะมีเผ่าแมงมุมดำแฝงกายเป็นไส้ศึกได้อย่างไร
    ต้นตระกูลที่มาที่ไปล้วนชัดเจน หาใช่ใครก็สามารถเข้ามาถวายรับใช้หน้าที่นี้ เช่นนั้นเจ้าว่าเกิดช่องว่างตรงที่ใดกัน..
    ไหนลองบอกให้ข้าฟังดู” พระองค์ตรัสถามสหาย

     

    “เพราะเราคิดว่าเข้มงวด จึงมองข้ามในส่วนนี้ เป็นใครก็คาดไม่ถึง จากข้อมูลที่ข้าพระองค์สืบได้
    เผ่าแมงมุมดำปลูกฝังการปรุงพิษตั้งแต่เล็ก นางกำนัลสนองพระโอษฐ์อาจมีคนใดคนหนึ่ง ถือสายเลือดเผ่าแมงมุมดำ
    ถูกส่งให้เป็นไส้ศึกวางแผนกันมาแต่ต้น..พะยะค่ะ” ความเห็นของกลกะลา ใช่เป็นไปไม่ได้
    องค์ชายวายุภักษ์เห็นเค้าลางบางอย่างเช่นกัน

     

    “แสดงว่า..กุลธิดาที่ส่งเข้ามา มีประวัติไม่ชอบมาพากล ช่วงนั้นข้ามิได้พำนักในวัง
    นับเวลาแล้วคงเป็นจังหวะที่ร่ำเรียนอยู่กับอาจารย์ คงต้องลำบากเจ้าแล้ว นำคำสั่งข้าไปยังกรมปกครอง
    ทำการตรวจสอบประวัตินางในเหล่านี้ให้ละเอียดอีกครั้ง ตัดเฉพาะส่วนตำหนักของเสด็จพ่อ จะได้กำจัดวงให้แคบลง

    ข้าเชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีไส้ศึกแฝงตัวอยู่ เช่นนั้นต้องกันนางในพวกนี้ ออกจากตำหนักเสด็จพ่อเสียก่อน
    นำคำสั่งข้าไปยังตำหนักเสด็จแม่ ให้ถ่ายโอนนางกำนัลของเสด็จแม่ มาคอยปรนนิบัติตำหนักเสด็จพ่อเป็นการชั่วคราว
    รอให้เราควานหาตัวคนร้ายเจอเสียก่อน ค่อยว่ากันทีหลัง”

     

    “พะยะค่ะ..ข้าพระองค์จะรีบดำเนินการทันที”
     

    “เดี๋ยว!..ข้ายังมีเรื่องที่ไม่ได้บอก คืนพรุ่งนี้ข้าจะทำการขับพิษให้เสด็จพ่อ ช่วงเวลานั้นมิอาจป้องกันตัว
    ถึงแม้อาจารย์จะคอยพิทักษ์ ยังไงข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า..กลกะลา” สายพระเนตรที่ใช้ทอดมองสหาย
    ประหนึ่งเป็นบุคคลที่พระองค์ไว้วางพระทัยที่สุด ทำให้องครักษ์หนุ่มตื้นตันใจยิ่งนัก

     

    “ข้าพระองค์จะไม่ให้ใครทำร้ายองค์ชายเป็นอันขาด ข้าขอใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน”
    วาจาหนักแน่นดุจขุนเขา เอ่ยด้วยความรู้สึกเต็มตื้น

    เขาเคยได้รับการช่วยชีวิตจากองค์ชาย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือในวันนั้น
    คงไม่มีกลกะลาคนนี้ ชีวิตของเขายกให้เป็นข้ารองบาทองค์ชายวายุภักษ์ไปแล้วนับแต่บัดนั้น

     

    “ขอบใจเจ้ามาก ลำบากเจ้าแล้วนะ..สหายข้า”
     

    “ทรงอย่าได้ตรัสเช่นนั้นพะยะค่ะ กลับเป็นความภาคภูมิใจของข้าพระองค์มากกว่าที่ได้รับหน้าที่นี้
    ชีวิตข้าพระองค์ถวายให้องค์ชายนานแล้ว ต่อให้ไม่รับสั่ง..ข้าก็มิอาจทนนิ่งเฉยเช่นกัน”
    ยุพราชหนุ่มรู้สึกปิติ อย่างน้อยในภาวะผจญข้าศึกรอบด้าน พระองค์ยังมีสหายรู้ใจเคียงข้าง

     

    “ข้าดีใจที่มีเจ้าเป็นสหาย อย่าเผยตัวให้ใครรู้ว่าเจ้าแอบอารักขาข้าเป็นอันขาด บางทีเราอาจได้ตัวคนร้ายในกาลนี้”
     

    “รับด้วยเกล้า..พะยะค่ะ” จากนั้นเงาร่างสูงโปร่งดูลึกลับ เร้นกายหายไปจากห้องบรรทม
    พระเนตรคมกล้าขององค์วายุภักษ์ยังคงครุ่นคิด เพียงแต่เรื่องที่พระองค์กังวลพระทัย
    กลับไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้องค์ชายถึงกับวางพระทัยลงไม่ได้..



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×