ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@@ {My..Love}

    ลำดับตอนที่ #3 : Part 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 56


    My Love
    Part 2


    จุดเปลี่ยนเกิดตอนผมอยู่.4 บอลลูนเข้ามาเรียนม.1
    อายุแค่ 13 แต่สูงเลยหัวผมแล้ว
    แถมหล่อร้ายกาจจนรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียนตั้งเป็นแฟนคลับ..
    ไม่ใช่เรื่องแปลกน้องผมหล่อจริง..หล่อม๊ากกกก!!..
    หน้าลูกครึ่งโดดเด่นสะดุดตาปล่อยออร่ามาแต่ไกล..!!

     

    ใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียว..บอลลูนกลายเป็นหนุ่มฮอทของโรงเรียนไปโดยปริยาย
    แต่ผมกลายเป็นหัวหน้าแก็งค์ จนดีกรีนักเรียนดีเด่นหายไปในพริบตาเช่นกัน
    เหลือแต่สถิติเข้าห้องปกครองเป็นอันดับต้นๆ

     

                น้องโดนเขม่นตั้งแต่วันแรก สาเหตุเกิดจากสาวๆ
    ทำให้มีอริโดยที่ไม่ตั้งใจ หากเป็นรุ่นเดียวกันผมคงไม่เท่าไหร่
    ดันเป็นรุ่นพี่ที่หมั่นไส้เพราะบอลลูนเกิดไปต้องตาต้องใจ
    คนของเขาเข้า ปัญหาตามมาจนได้

     

                “พลั๊ก..ตุ๊บ!..จำใส่กะโหลกมึงไว้
    อย่าคิดแตะต้องน้องกูเด็ดขาด” ผมตวาดใส่คู่กรณี
    โดยไม่แคร์สายตานับร้อยที่ตีวงอยู่รายรอบ

     

                “ถุย!อีบูตัส น้องมึงแย่งแฟนกู” 
     


    “มึงไปห้ามเด็กมึงโน้น ไม่มีสิทธิ์มาลงกับน้องกู..ไอ้สัด”
     


    “ถ้ามันไม่อ่อยแฟนกูก่อน กูคงไม่คิดรุมตีนมันหรอก
    อีตุ๊ดอย่างมึงหลงน้องจนหน้ามืดตามัวเอามันทำผัวเสียเลยสิ
    จะได้ไม่ต้องมาอ่อยแฟนเค้าไปทั่วอย่างที่มันทำ”
    มันเยาะเย้ยเสียงดังทั้งที่เลือดกบปาก

     


     "กูเป็นตุ๊ดมันหนักหัวโคตรมึงหรือไง อิจฉาหน้าตาน้องกูหล่อกว่ามึงสิท่า
    ถึงได้วางแผนหาทางรุมมัน ปากแบบนี้มึงจะเอาอีกใช่ไหม”
    พูดจบผมก็ประเคนทั้งมือทั้งเท้าเข้าใส่อีกฝ่าย
    ท่ามกลางสายตานับร้อยที่สนใจชมมวยคู่เอกก่อนกลับบ้าน
    แม้มันจะตัวโตกว่าและสู้เป็น กลับเพลี่ยงพล้ำแพ้ให้ความคล่องแคล่วว่องไว
    เกินตัวของคนที่เพิ่งถูกเรียกว่าตุ๊ด
    จนตกเป็นกระสอบทรายรับมือเท้า..นอนหมอบหมดสภาพไปในที่สุด 

     

    สุดท้ายผมก็ถูกเรียกเข้าห้องปกครอง ชื่อกระฉ่อนเพียงข้ามวัน
    แต่ก็ไม่ได้ลำบากใจเท่าไหร่ ผมคิดว่าเลือกทำในสิ่งที่ดีแล้ว
    ขืนปล่อยให้มันยกพวกไปรุมน้องผมสิ กลับเป็นผมที่ต้องมานั่งเสียใจมากกว่า
    หากต้องทำตัวเป็นคนดีเก็บมือเท้าซุกกระเป๋าแล้วปล่อยให้คนอื่นรังแกน้องอย่างในอดีต
    ผมขอเลือกไม่ทำแบบนั้น แต่ความเสียใจของผมก็เกิดขึ้นจนได้
    เมื่อผูกพันที่เคยมีให้กันดันพลิกผันอย่างกะทันหัน

     


    “บู..ต่อไปไม่ต้องรอไปเรียนพร้อมบอลแล้วนะ”
    น้องบอกขณะกำลังเตรียมตัวไปโรงเรียน
    บอลลูนไม่เคยเรียกผมพี่ เขาติดเรียกชื่อตั้งแต่เริ่มพูดคำแรก

     


    “ทำไม” ความจริงเป็นบอลลูนที่เคยสั่งให้ผมรอเค้า
     


    “บอลจะไปกับเพื่อน” ผมพอเข้าใจ
    ช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวต้องทำความรู้จักเพื่อนใหม่

     


    “อืม..” ผมรับคำ แต่น้องกลับไม่ยอมสบตาด้วย จังหวะที่ยื่นมือไปลูบผมนิ่มบนหัว .
     


    “ผลั๊ว!..อย่าจับ” อึ้งครับ..ผมเคยลูบผมสีน้ำตาลเข้มของบอลลูนตั้งแต่เด็ก
    น้องไม่เคยปฏิเสธการสัมผัสของผมมาก่อน
    นี่ถึงขั้นปัดมือทิ้งอย่างไม่ออมแรงกันเลย

     


    “ต่อไปนี้..ไม่ต้องลูบแล้ว” เสียงขุ่น แสดงความไม่พอใจชัดเจน
     


    “(.>”<.)??” ผมงงอยู่..ไม่มีคำพูดหลุดออกมา
     


    “บอลโตแล้ว..เลิกทำเหมือนเป็นเด็กสักที”
    ทิ้งท้ายก่อนจะเดินไม่เหลียวหลัง
    เพียงแค่อาทิตย์เดียวบอลลูนของผมไม่ยอมให้ลูบหัว
    ไม่รอไปโรงเรียนพร้อมกัน
    กลายเป็นผมวิ่งตามน้องที่เดินหน้าตั้งเสียอย่างนั้น
    เหตุผลที่แท้จริงเปิดเผยหลังจากนั้นเพียงแค่สามวัน

     


    “บู..บอลมีเรื่องจะเคลียร์หน่อย” บอลลูนพูดกับผม
    หลังเลิกเรียนก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเอง  

     


    “มีอะไรจะคุยกับพี่ครับ...”
     


    “ถามจริง..บูเป็นตุ๊ดใช่เปล่า” คำถามสั้นๆ ที่ผมฟังแล้วสะอึก
     


    “ทำไมถามแบบนี้” ไปไม่เป็นไม่รู้ต้องตอบยังไง
     


    “เพื่อนมันล้อ..ว่าบอลมีพี่เป็นตุ๊ด..พี่ชายมันก็พูด
    ในโรงเรียนเค้ารู้กันหมด..ว่าบูเป็นตุ๊ด”
    สายตาขยะแขยงที่น้องมอง พูดไม่ออกไม่คิดว่าจะถูกมอง
    ด้วยสายตาอย่างนี้จากน้องที่ผมรัก
    แต่ก็ยังใจกล้าถามออกไปตรงๆ

     


    “บูเป็น..แล้วมันทำไม”
     


    “บูไม่ต้องเข้าใกล้บอลเลย..” คำพูดสั้นๆ
    แต่เป็นประโยคน้ำกรดที่รดหัวใจผมเหวอหวะ
    ผมเป็นตุ๊ดพ่อไม่เคยว่าแม่ไม่เคยบ่น แต่น้องรังเกียจ

     


    “บอลลูน..รังเกียจพี่หรือ” เสียงสั่นๆ
    แผ่วเบาที่กลั้นใจถามออกไป ทั้งที่กลัวคำตอบจากปากน้องเช่นกัน

     


    “ใช่เกลียด ที่โรงเรียนเก่าพี่ของเพื่อนเป็นตุ๊ด
    มันหลอกจับจู๋บอลโคตรหยะแหยงเลยรู้ไหม
    ดีที่บอลหนีออกมาได้ สิ่งที่อีตุ๊ดนั่นทำยังจำติดตาอยู่เลย..
    น้ำลายของมันทั้งเหม็นทั้งสกปรก
    พยายามเลียคอของบอล นึกแล้วอยากจะอ้วก
    พวกตุ๊ดนิสัยเสีย..บอลโคตรสะอิดสะเอียน”
    เข่าแทบทรุดลงไปกอง นี่ผมโดนน้องรังเกียจเพียง
    เพราะผมเป็นตุ๊ดอย่างนั้นหรือ
    อึ้งจนไม่มีคำพูด น้ำตาคลอเบ้าแน่ๆ รู้สึกได้

     


                 “เราห่างกันบ้างเถอะ...” น้องยังคงพูดขึ้นอีก
     


                 “อ้าว!..ทำไมล่ะบอลลูน” ถามทั้งที่รู้คำตอบ
     


                 “เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว ฟังตุ๊ดชะมัด”
     


                 “พี่ก็เรียกแบบนี้..ตั้งแต่เรายังเด็ก”
     


                 “บอลไม่ชอบ ต่อไปถ้าจะเรียกไม่ต้องบอลลูน แค่บอลก็พอ”
     


                 “เปิดเทอมอาทิตย์เดียว  น้องชายพี่เปลี่ยนไปมากเลยนะ”
     


                 “บอลไม่ได้เปลี่ยน บูต่างหากที่เปลี่ยน”
     


                 “เปลี่ยนงั้นหรือ พี่เปลี่ยนเมื่อไหร่ เปลี่ยนตรงไหน”
     


                 “บูแหละเปลี่ยน บูเป็นตุ๊ด..บอลไม่อยากมีพี่เป็นตุ๊ด!!!!”
     


    คนอื่นล้อยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านเท่ากับคนๆ
    เดียวที่แสดงสีหน้าเหยียดหยามใส่ผมตอนนี้
    แม้แต่ชื่อที่เคยเรียกมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ได้สิทธิ์เรียกอีกเลย

     


    ตั้งแต่นั้นน้องก็ทำตัวห่างเหินเย็นชาใส่ผม นับครั้งที่จะคุยด้วยซ้ำ
    ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิม..รักและห่วงบอลลูนไม่เปลี่ยน

     


    “ดูเหมือนบูกับน้อง..จะมีปัญหากันอยู่หรือเปล่า”
    แม่ถาม ตอนที่ผมช่วยล้างจานอยู่ในครัว

     


    “เปล่าครับ..” ผมกำลังโกหก ไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจ
    พอผมยืนยันหนักแน่นแม่ก็ไม่เซ้าซี้อีก
    หันไปสนใจทำกับข้าวที่ค้างอยู่ต่อ

     


    รู้สึกโชคร้ายจะขยันวิ่งเข้าหาครอบครัวผมเหลือเกิน
    หลังจากที่ผมคุยกับแม่ได้เพียงสองวัน

     


    “ติ้งต่องzz..ขออภัยอาจารย์ผู้สอน..นายภาณุวัฒน์ บริรักษ์
    ให้มาติดต่อฝ่ายธุรการด่วนๆ”
    เสียงตามสายของโรงเรียนประกาศออกไมค์ถึงสองครั้ง..ชื่อผมดังไปทั่วโรงเรียน

     


    “เห้ย!..บูตัส เค้าประกาศเรียกมึงได้ยินไหม”
    แบมตุ๊ดหน้าสวยจนหญิงอายนั่งติดกับผมสะกิดให้ฟัง

     


    “อืม..ได้ยินแล้ว..กูขออาจารย์ก่อน ฝากดูงานให้ด้วย”
    ผมบอกมันซึ่งพยักหน้าตอบงึกงัก
    แล้วค่อยลุกไปขออนุญาตอาจารย์ท่ามกลางสายตาเพื่อนที่มองอย่างสอดรู้
    ผมเองก็แปลกใจไม่น้อย
    ที่ถูกประกาศเรียกระหว่างคาบเรียนกะทันหันแบบนี้

     


    ฟ้าผ่ากบาลถึงกับช็อค คนที่ประกาศเรียกผมไปพบคือตำรวจในเครื่องแบบ
    ประโยคสั้นๆ พอฟังแล้วจำไม่ได้ว่ามาผมอยู่ที่นี่ได้ยังไง

     


                “พ่อกับแม่น้องประสพอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ห้องฉุกเฉิน”
    จำไม่ได้ว่าผมมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินตอนไหน
    รู้ตัวอีกทีก็จมอยู่กับการรอคอยด้วยหวังว่า
    พ่อกับแม่ที่อยู่ภายในห้องจะปลอดภัย อธิฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์วนไปวนมา

     


    เป็นการรอคอยที่ทรมานใจสุดๆ น้ำตาผมไหลโดยไม่มีเสียง
    ที่จริงผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้
    เล็บจิกฝ่ามือจนเลือดซิบแต่ไม่ยักเจ็บ
    ลุ้นแต่ให้ประตูที่ขึ้นไฟสีแดงเปิดออกสักที
    สุดท้ายการรอคอยที่ยาวนานของผมก็สิ้นสุดลง

     


                “หมอครับ..พ่อกับแม่ผมปลอดภัยใช่ไหมครับ”
    ผมพุ่งเข้าไปถามผู้ชายหน้าตาภูมิฐานสวมชุดกาวน์ทันทีที่ประตูเปิดออก

     


                “หมอเสียใจด้วยเราพยายามสุดความสามารถแล้ว
    คุณแม่เหลือเวลาอีกไม่มาก รีบเข้าไปสิ” ผมร้องไห้โฮขึ้นมาทันที
    ก่อนจะพุ่งพรวดเข้าไปข้างในอย่างไม่รอช้า
    มีพี่พยาบาลที่อยู่ในนั้นจับผมไว้แน่น
    ผมพยายามดิ้นสะบัดร่างไปมาก่อนจะชะงัก
    เพราะเสียงกระซิบเบาๆ พูดอยู่ข้างหูผมว่า

     


                “รีบคุยกับแม่อย่าเพิ่งร้อง ตั้งสติให้ดีใจเย็นๆ
    แม่ของน้องเหลือเวลาไม่มากแล้วนะค่ะ” ถึงค่อยคุมสติกลั้นเสียงสะอื้น
    เดินเข้าไปหาแม่ที่มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด
    แม่นอนน้ำตาไหลลงข้างแก้ม เห็นแล้วผมแทบหมดแรงเข่าทรุด
    หน้าตาแม่ฟกช้ำศีรษะมีผ้าพันอยู่รอบ พอท่านเห็นหน้าผมเท่านั้น
    สายตาที่มองมาอาบไปด้วยม่านน้ำตา

     


                “บู..ตัส” แม่เรียกผมเสียงแผ่ว จนต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ
    ไม่ลืมจับมือแม่มากุมเอาไว้แน่น ผมไม่สามารถห้ามน้ำตาได้อีกต่อไป

     


                “ฮึก..ฮือออ..แม่ครับ..แม่ต้องอยู่กับบู
    อย่าทิ้งบูกับน้องไปนะครับแม่อยู่กับบูนะแม่นะ” ผมอ้อนวอนเสียงสั่น
    น้ำตาหยดลงบนอกแม่จนชุ่ม

     


                “แม่อยู่กับบูเสมอ..ลิ้นชักบนหัวเตียงในห้องแม่
    จำไว้นะลูก..ฝากน้องด้วยนะบู..แม่ฝากบอล..ลูน..”
    แม่พูดประโยคสุดท้ายก่อนหนังตาจะปิดลงไม่ตื่นมามองผมอีกเลย

     


                “แม่มมมมมม!!!!!” ได้ยินเสียงตัวเองตะโกนดังลั่น
    พร้อมกับเขย่าร่างแม่ที่แน่นิ่งไม่ไหวติง
    ผมเขย่าเท่าไหร่แม่ก็ไม่ฟื้น ไม่ขานตอบผมเลย

     


    “แม่ครับ..ฮืออๆๆ..แม่ตื่นมาหาบูก่อน
    ตื่นมาก่อนนะแม่นะ.อย่าทิ้งบูไปเลยนะครับแม่..ฮืออๆๆ”
    ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้เสียงดังแค่ไหน
    หอบจนตัวโยนดึงอากาศเข้าปอดแทบไม่ทัน
    กระทั่งพี่พยาบาลกับพี่ตำรวจคนที่ไปพาผมมาจากโรงเรียนเข้ามากอดผมไว้
    ดึงตัวผมผละออกจากร่างของแม่
    พร้อมกับช่วยกันพูดปลอบผมไปด้วย

     


                “ใจดีดีนะครับน้อง..พ่อกับแม่น้องไปสบายแล้ว
    อย่าทำให้พวกท่านต้องห่วง..เรายังมีน้องที่ต้องดูแลอยู่นะ”
    ประโยคที่ทำให้ผมได้สติ บอลลูนยังไม่รู้น้องยังไม่รู้เรื่อง
    ผมจะอ่อนแอไม่ได้ต้องเป็นที่พึ่งให้น้อง

     


    เพิ่งสังเกตเตียงข้างๆ มีร่างของพ่อที่นอนสงบอยู่ใกล้กัน
    พวกท่านจากผมไปแล้วจริงๆ ถ้าเรื่องนี้เป็นความฝันคงจะดี...
    เป็นการล้อเล่นของพ่อกับแม่ที่มักแกล้งผมประจำคงดีไม่น้อย
    แต่มันไม่ใช่การล้อเล่น..พวกท่านไม่ยอมอยู่แกล้งผมแล้ว..
    ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าพ่อกับแม่ผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้ผมเสมอ..
    ตอนนี้ผมไม่มีโอกาสเจอหน้าพวกท่านแล้ว


                พิธีศพของพ่อกับแม่ผ่านไปด้วยความอนุเคราะห์จากคณะครูอาจารย์ที่โรงเรียน
    คอยเป็นธุระจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
    ด้านค่าใช้จ่ายไม่เป็นปัญหา เพราะพ่อกับแม่ทิ้งเงินประกัน
    ไว้ให้ผมก่อนโตจนสามารถดูแลตัวเองกับน้องให้เรียนจบ
    มีงานทำได้อย่างสบาย

     


                บอลลูนกอดผมร้องไห้กันสองคน ความสัมพันธ์ที่หมางเมินเฉยชา
    เหมือนจะกลับมาดีตลอดช่วงงานศพของพ่อกับแม่
    แต่พอเอกสารในซองสีน้ำตาลที่แม่บอกเอาไว้ก่อนตายในลิ้นชักหัวเตียง
    ถูกนำออกมาเปิดอ่านร่วมกันหลังจากงานศพเสร็จสิ้น
    ทุกอย่างก็กลับมาเลวร้ายลงทันที

     


    บอลลูนรู้ความจริงว่าไม่ได้เป็นลูกของพ่อกับแม่
    แต่เป็นลูกของเพื่อนแม่ที่เกิดกับชาวต่างชาติ ก่อนที่สองสามีภรรยา
    จะถูกฆ่าชิงทรัพย์ตอนน้องอายุได้เพียง 1 ขวบ
    แล้วทิ้งสมบัติก้อนโตไว้ให้ลูกชายคนเดียว

     


    พ่อกับแม่ของผมท่านรับมาอุปการะโดยรับเป็นบุตรบุญธรรม
    ตามเจตนารมณ์ของพ่อแม่ดั้งเดิมบอลลูน
    ที่เคยฝากฝังกันเอาไว้ พวกท่านไม่คิดแตะต้องสมบัติ
    ซึ่งเป็นเงินสดในธนาคารของบอลลูนเลยสักบาทเดียว

     


    บอลลูนจะได้สิทธิ์ในพินัยกรรมโดยชอบธรรมก็ต่อเมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
    ซึ่งอีกสองปีข้างหน้าที่จะถึงนี้..ตอนนั้นบอลลูนคงอยู่ม.3 แล้ว

     


    ผมรู้แต่แรกว่าน้องไม่ได้คลานตามกันมา
    แต่ผมก็รักและให้สัญญากับพ่อและแม่ไว้ว่า..
    จะดูแลไม่ทอดทิ้งน้อง ผมยังยึดมั่นคำสัญญานั้นไม่เปลี่ยนแปลง
    ทุกวันนี้บอลลูนยังคงอยู่กับผม
    เพียงแต่เราสองคนพี่น้องต่างคนต่างอยู่
    เหมือนคนแปลกหน้ากันไปทุกวัน

     


    น้องอายที่มีพี่เป็นตุ๊ด และยิ่งมารู้ทีหลังอีกว่าไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ
    บอลลูนก็กลับมาทำตัวเย็นชาอีกครั้ง
    เพราะไม่ต้องการโดนเพื่อนล้อ
    ผมแอบรู้มาว่าบอลลูนถูกเพื่อนล้อจนมีเรื่อง..


    “ไอ้บอลกับพี่บูเป็นผัวเมียกัน...พี่มึงเป็นตุ๊ด..
    ไม่พ้นเอาน้องทำผัว” ประโยคร้ายกาจนี้เป็นตัวผลักดันให้เราสองพี่น้อง
    กลายเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งผมไม่สามารถข้ามเข้าไปก้าวก่าย
    ชีวิตส่วนตัวของน้องได้นับตั้งแต่นั้น ทำได้แค่คอยดูแลเอาใจใส่
    อยู่ห่างๆ เท่าที่พี่คนหนึ่งจะทำเพื่อน้องที่รักและห่วงสุดหัวใจจะสามารถทำได้....???



     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×