คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Part 9
Part 9...ชาติกำเนิด
ผักตบคิดหนักหลังทุกคนยืนยันตรงกัน เขาคือผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี จากนั้นเรื่องราวสุดเหลือเชื่อเกี่ยวกับตำนาน
ของผู้ถือครองเทพมหาธาตุ ก็ถูกถ่ายทอดให้เขาฟัง นับตั้งแต่ยุคสมัยที่เริ่มต้นเลยทีเดียว
เรื่องราวทั้งหมดเขารับฟังพร้อมแม่เล็ก จนรู้ถึงปัญหาของสงคราม นครไตรคานแห่งนี้ถูกปิดล้อมมานานหลายปี
พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เก็บเกี่ยวแต่ละปีลดปริมาณลงอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่สามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายกับนครอื่นดังเช่นในอดีต
ด้วยเมืองเหล่านั้นได้ตกเป็นเมืองขึ้นของนครเวฬุวรรณ..จนไม่เหลือเอกราชอีกต่อไป
ขณะนี้ไตรคานกำลังลำบากแสนสาหัส แหล่งน้ำที่เรียกว่าโอเอซิสจัดเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงผู้คน
กำลังเหือดแห้งลงทุกขณะ พวกเขาเหมือนหนูติดจั่นรอวันหมดแรงให้ศัตรูบดขยี้ซ้ำ
องค์ชายวายุภักษ์ที่ผักตบตั้งแง่ด้วย กลับแบกรับภาระไว้ทั้งหมด พสกนิกรในไตรคานจึงรักบูชาดุจเป็นโอรสสวรรค์
กลกะลาถึงได้จงรักภักดีชนิดยอมถวายหัว ทำให้เขารู้สึกดีกับองค์ชายผู้นี้กว่าเดิม อย่างน้อยก็เริ่มมองในมุมที่ไม่คาดคิด
อีกฝ่ายจะเป็นวีรบุรุษในหัวใจผู้คนทั้งแผ่นดินไปได้
“เจ้ารับรู้เรื่องราวแล้ว ยินดีร่วมมือกับวายุภักษ์ช่วยพวกเราไหม”
องค์เหนือหัวรับสั่งถาม หลังพระองค์กับมหาโหราผลัดกันถ่ายทอดเรื่องราว
“เดี๋ยวครับ! จากที่ได้ฟังมาทั้งหมด ผู้ถือครองเทพมหาธาตุมีพลังพิเศษสามารถเรียกใช้ธาตุนั้นได้
ผมอยากบอกฝ่าบาทและทุกท่านในที่นี้ว่า ผมไม่มีความสามารถตามที่ว่ามาเลย” ผักตบบอกไปตามจริง
“เจ้ากล่าววาจาอันใด” พระปิตุลานิ่งฟังมาโดยตลอด ถึงกับตรัสถามด้วยพระองค์ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ผมใช้มหาธาตุอัคคีนั่นไม่ได้” ผักตบกลับเน้นย้ำให้ฟังกันชัดๆ
“เหนือความคาดหมายเรายิ่งนัก มหาโหราท่านหาสาเหตุดูทีเถิด เหตุใดผักตบมิสามารถเรียกใช้มหาธาตุอัคคี”
รับสั่งองค์อนิละ ที่คิดไม่ต่างกับพระเชษฐา แม้แต่พระมเหสีชายาคู่บัลลังก์ องค์หญิงศศิธรพระคู่หมั้นองค์ชายวายุภักษ์
ต่างแสดงพระพักตร์งุนงงคำสารภาพของผักตบ
ต่างคิดไม่ถึงว่า เขาใช้พลังจากเทพธาตุที่ติดกายแต่กำเนิดไม่ได้ นับแต่อดีตผู้ถือครองเทพมหาธาตุล้วนฝึกฝนเรียนรู้
ที่จะใช้พลังนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญกันมาทุกรุ่น แต่ผักตบกลับไม่สามารถเรียกใช้พลังที่ว่านี้ได้
“เจ้าให้กำเนิดเปลวไฟได้หรือไม่” มหาโหราผู้เฒ่าไต่ถาม เขาไม่ตอบคำ ล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมหยิบไฟแช็คออกมาจุดทันที
“แช๊ะ!..พรึ่บ!..นี่ไงให้กำเนิดเปลวไฟ” แต่ละคนสงสัยเข้าไปใหญ่
วัตถุในมือผักตบสามารถให้กำเนิดเปลวไฟเล็กจิ๋วขึ้นมาได้
“นี่เป็นสิ่งใด ถึงให้กำเนิดเปลวไฟในชั่วพริบตา” องค์หญิงรำพันด้วยความสนพระทัย
“ไฟแช็ค สิ่งประดิษฐ์บ้านเมืองผม” ผักตบหันไปตอบ เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสพูดกับเธอ
ยังผลให้คนที่ได้รับการเสวนาด้วยรู้สึกร้อนผ่าวตรงพระพักตร์อย่างไม่ทราบสาเหตุ
“เจ้าช่างมีสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างความสนใจยิ่งนัก สามารถให้กำเนิดเปลวไฟ เช่นนั้นผู้คนบ้านเมืองของเจ้า
คงไม่อนาทรในการจุดเพลิง เราใคร่รู้ว่าเจ้ามีสิ่งที่ให้กำเนิดสายน้ำด้วยหรือไม่” พระมเหสีทอดเสียงอ่อนโยน
พระพักตร์แย้มสรวลอบอุ่นตรัสถามผักตบ
“หากเป็นที่ผมจากมาย่อมมี แต่ที่นี่ผมมีขวดน้ำดื่มติดมาสองขวด ไม่มีตัวผลิตน้ำหรอกครับ”
ผักตบตอบตามจริง องค์คณะซึ่งรับฟังงงหนัก เขาเห็นทุกคนมีท่าทางไม่เข้าใจ พานถอนใจค่อยอธิบายเพิ่มเติม
“มันคือระบบที่ให้กำเนิดน้ำ ไฟ สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตมนุษย์ บ้านเมืองที่ผมเติบโตมามีครบทุกอย่าง
เกิดจากความคิดค่อยประดิษฐ์พวกมันขึ้นมา อธิบายไปพวกคุณคงไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
กลับกันหากเจ้าชายพลัดหลงไปยังบ้านเมืองผม คุณจะได้รับการยกย่องบูชาเป็นเทวดาเพราะเรียกลมมารับใช้ได้
บ้านผมไม่มีคนแบบนี้ ถ้าหากมีคนผู้นั้นจะถูกยกให้เป็นผู้วิเศษ ผู้คนหลั่งไหลมากราบไหว้บูชา”
“ดินแดนที่เจ้าจากมา..ล้วนมีนักประดิษฐ์ความคิดหลักแหลม สามารถให้กำเนิดสายน้ำ เปลวไฟ
ความจำเป็นพื้นฐานได้ทุกสิ่ง ใยผู้คนบ้านเมืองของเจ้าต้องพึ่งพาเทพเทวา ศรัทธาเลื่อมใสมนุษย์ที่มีพลังเทพอีก
ในเมื่อสามารถประดิษฐ์สิ่งที่เนรมิตได้ดั่งเทพ ย่อมไม่ต้องรอความเมตตาจากทวยเทพอันใด เรากล่าวถูกต้องหรือไม่”
ดำรัสของพระมเหสี พระนางตั้งข้อสังเกตตามที่รับฟังจากคำบอกเล่าของผักตบ
“ไม่ถึงกับลบหลู่เทวาอารักษ์หรอกครับ บ้านผมให้ความสนใจเคารพบูชาไม่ต่างผู้คนที่นี่
เพราะเราถูกปลูกฝังความเชื่อเรื่องให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ให้รู้จักละอายต่อการทำบาป
ไม่เช่นนั้นอยู่ร่วมกันไม่มีสันติ มีแต่แก่งแย่งชิงอำนาจฆ่าแกงดุจผักปลา ขาดความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์
จึงต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยวน้อมนำจิตใจ ให้เป็นคนโอบอ้อมอารีย์มีจิตใจเผื่อแผ่ ทำบุญสุนทานเมตตาต่อสัตว์ผู้ยาก
เป็นการอยู่ร่วมกันให้เกิดสันติสุขที่สุด เราจึงน้อมนำคำสอนของศาสดามาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ที่พูดมาใช่บ้านเมืองของผมจะสงบจนไม่มีการเข่นฆ่า แต่มันเป็นการก่อคดีเพียงเล็กน้อย
ไม่ถึงขั้นสงครามอย่างที่พวกคุณกำลังประสบ
เพราะเหตุนี้จึงมีผู้คนไม่น้อยเลื่อมใสศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบขอพรให้ชีวิตครอบครัวผู้คนที่รักอยู่อย่างมีความสุข
แคล้วคลาดภัยอันตราย ผมถึงบอกถ้ามีคนใช้พลังเหนือธรรมชาติ เขาจะถูกยกย่องให้เป็นผู้วิเศษ
ผมมาจากที่ไม่ได้มีพลังเหมือนเจ้าชาย ถ้ามีคงกลายเป็นผู้วิเศษไปแล้ว”
ผักตบยืนกรานบางทีคงมีการเข้าใจผิด เกี่ยวกับรูปปานของเขา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ
ขืนรับปากแล้วดันทำไม่ได้ จะยิ่งไปกันใหญ่
“เสด็จพ่อ..ข้ามีข้อเสนอ” องค์ยุพราชตรัสกับพระบิดา ทุกคนมุ่งความสนใจรอฟังพระองค์จักรับสั่งอันใด
“กล่าวมาเถิดวายุภักษ์” เหนือหัวรับสั่งกับพระโอรสใช้พระสุรเสียงทอดอ่อนเปี่ยมเมตตา
“ข้าเห็นว่าผักตบผู้นี้ถือกำเนิดปริศนา ใยจุติยังดินแดนที่ไม่เคยมีบันทึกประวัติ
ผู้ถือครองเทพมหาธาตุถือกำเนิดจากสายพระโลหิตของเหล่าเชื้อพระวงศ์ เช่นนั้นมารดาหรือบิดาผู้ใดที่มีเชื้อสายราชนิกูล
หาไม่แล้วเขาใยมีสัญลักษณ์ของผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี” ดำรัสของยุพราชผู้งดงามสง่า
จุดประกายองค์คณะพลอยขบคิดแลเห็นพ้องต้องตามไปด้วย
“เราขอถามสตรีผู้เป็นมารดา เจ้ามีเชื้อสายของกษัตริย์หรือไม่”
เหนือหัวรับสั่งถามแม่เล็ก พอเธอโดนถามเผลอสั่นหัวปฏิเสธยกใหญ่
“อึ้ยไม่มี๊!!..ลูกคนธรรมดา” ปฏิเสธเสียงสูง เหนือหัวถึงกับแย้มสรวลขบขัน
พระองค์หาได้นึกโกรธเคืองพระทัยแต่อย่างใด
“สามีของเจ้าเล่า” แม่เล็กตั้งท่าส่ายหัวอีกรอบ ผักตบชิงพูดขัดเสียก่อน
เขารู้เรื่องนี้ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ ชาติกำเนิดของเขาคลุมเครือเป็นปริศนา
ไม่รู้พ่อแม่ที่แท้จริงคือใครด้วยซ้ำ ครั้นให้บอกก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาเปิดเผยปมด้อยของตัวเอง
“ไม่ครับ พ่อแม่ผมเป็นคนธรรมดาสามัญ” ชิงบอกเสียเอง คำตอบของผักตบทำองค์คณะครุ่นคิดหนัก
องค์ชายหาได้ยอมรามือกลับดำรัสขออนุญาตเสด็จพ่อของพระองค์ว่า
“เช่นนั้นทรงพระกรุณานำมุกราตรีดำ ออกมาพิสูจน์ให้แน่ใจเถิดด้วยมุกราตรีดำจักมีปฏิกิริยาต่อผู้ถือครองเทพมหาธาตุ
ถ้าหากมิแสดงปรากฏการณ์อันใด ย่อมหมายความเขามิใช่ผู้ถือครองเทพมหาธาตุแล้ว” ดำรัสพระโอรส
เป็นที่เห็นด้วยของมหาโหราเฒ่า รีบค้อมศีรษะเห็นพ้องไปกับความคิดของศิษย์รัก เหนือหัวพยักพระพักตร์รับทำตามนั้น
“เช่นนั้นคงมีวิธีนี้” รับสั่งเสร็จทรงล้วงเอากล่องนคราชจากฉลองพระองค์ออกมา ค่อยยื่นหัตถ์ส่งให้พระโอรสรับเอาไป
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ยุพราชหนุ่มเปิดกล่องหยิบมุกราตรีสีดำขนาดเท่าไข่นกกระทา
วางลงตรงกลางฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์
ฉับพลันความมหัศจรรย์บังเกิด มุกราตรีสีดำวาววับเปล่งประกายขาวนวลเจิดจ้าในฝ่าพระหัตถ์
จากนั้นพระองค์ทรงลุกจากพระเก้าอี้ประทับ พระดำเนินมาหยุดตรงเก้าอี้ของผักตบ
ดวงเนตรคมกริบจ้องหน้าหล่อค่อยแย้มโอษฐ์รับสั่งขึ้นว่า
“ส่งมือของเจ้าให้กับเรา” ผักตบซึ่งมองทุกอากัปกิริยาตั้งแต่ต้นไม่ได้แสดงทีท่าขัดขืน
เขาเองก็ต้องการพิสูจน์ให้แน่ชัด ยอมหงายฝ่ามือรับมุกราตรีดำเอาไว้ไม่อิดออด
ท่ามกลางดวงเนตรจับจ้องจากผู้สังเกตุการณ์รอชมการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ยอมพลาดนาทีสำคัญ
ทันใดนั้น...มุกราตรีดำซึ่งเปล่งประกายสีขาวนวล พอสัมผัสฝ่ามือของผักตบ
กลับเปลี่ยนประกายรัศมีเป็นสีแดงเจิดจ้าขึ้นมาแทน
“อ้า! มิผิดแล้วรัศมีอัคคีธาตุ เขาคือผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี”
วาจามหาโหรากล่าวยืนยัน องค์คณะพากันโคลงพระเศียรด้วยความยินดี
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ไม่ทันไรมุกราตรีดำกลับเปลี่ยนสีฟ้าสดใสแวววาวเปล่งรัศมีไปทั่วทั้งห้อง
มหาโหราผู้เฒ่ารำพันขึ้นอีกครั้ง
“รัศมีแห่งมหาวารีธาตุ ใยเปล่งแสงด้วยเล่า” องค์คณะพากันอึ้ง
ดวงเนตรเบิกกว้างกับสิ่งที่ปรากฏ ไม่เว้นแม้องค์ชายวายุภักษ์ผู้เป็นต้นคิด
พระองค์ถึงกับมุ่นพระโขนงเข้มด้วยรู้สึกแปลกพระทัย ขณะทุกคนตะลึงต่อเหตุการณ์
มุกราตรีดำในฝ่ามือผักตบกลับเปล่งแสงสลับสีไปมา ระหว่างแดงเจิดจ้ากับฟ้าสดใส
เปล่งประกายวิบวับเหมือนไฟเธคตามผับไปเสียแล้วตอนนี้..เล่นเอาตะลึงพึงเพริดกันเข้าไปใหญ่
“ยุ่งแล้วตบ มันสลับสีอย่างกับไฟดิสโก้” แม่เล็กซึ่งนั่งข้างลูกชายหลุดปากอย่างตื่นเต้น
ผักตบไม่ได้ตอบคำ รู้สึกร่างกายเขาคึกคักสดชื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลือดลมภายในร่างวิ่งพล่าน
สีหน้าจากขาววิ้งค์ๆ กลับซับเลือดฝาดอมชมพูไปเรียบร้อย กลีบปากมันวาวแดงสดเสียยิ่งกว่าทาลิปสติก
ลูกตาดำสนิทฉายประกายเจิดจ้าดุจมีน้ำเลี้ยงเสริมให้คมงามวาวระยับไปแล้วเช่นกัน ลดความดุดันลงไปในพริบตา
“ไม่น่าเชื่อ..บุรุษผู้นี้มีเทพมหาธาตุในร่าง 2 ชนิด วารีกับอัคคีธาตุ เหมือนดั่งองค์หญิงชลธาร
เขาคือผู้ถือครองเทพมหาธาตุจริงแท้แน่นอน” สิ้นสุดวาจามหาโหราผู้เฒ่า
ทุกคนพลอยรู้คำตอบว่าทำไมมุกราตรีดำถึงเปล่งรัศมีสีแดงสีฟ้าสลับกันวิบวับไปมา
“ช่างน่ายินดีหากเขาเรียกใช้วารีธาตุได้ พวกเราย่อมไม่จนหนทางฟื้นฟูความเป็นอยู่
ด้านเสบียงอาหารกันอีกต่อไปแล้ว” องค์เหนือหัวรับสั่ง
ทรงแย้มพระสรวลอย่างปิติยินดี พระมเหสีพลอยแย้มโอษฐ์งดงามตามพระสวามี
พระปิตุลาโคลงเศียรอย่างปรีดา องค์หญิงศศิธรไม่กล้าทอดเนตรใบหน้าหล่อเปี่ยมเสน่ห์ของผักตบตรงๆ
ทรงยอมรับบัดนี้ทั่วร่างของผักตบแลดูมีเสน่ห์เพิ่มเป็นทวีคูณ ด้านองค์ชายวายุภักษ์แม้นคาดเดาความรู้สึกไม่ออก
แต่ดวงเนตรคมกริบกลับแวววาวเป็นประกายเช่นกัน
“ผักตบเอ๋ย เจ้าคือผู้ถือครองเทพมหาธาตุยิ่งใหญ่ถึงสองมหาธาตุ มิอาจเป็นอื่นได้
มุกราตรีดำสำแดงฤทธานุภาพตอบรับผู้ครองเทพมหาธาตุ บัดนี้พวกเราล้วนประจักษ์
เราในฐานะกษัตริย์ไตรคานนครขอร้องเจ้าช่วยบรรเทาทุกข์ให้บ้านเมืองเราด้วยเถิด ช่วยให้รอดพ้นจากวิกฤตเลวร้ายนี้
ลำพังวายุภักษ์มิอาจชนะศัตรู อีกฝ่ายมีกำลังกล้าแข็งตามที่เราได้บอกต่อเจ้า
นอกเหนือจากพระปิตุลาผู้ขมังอาคมเป็นถึงจอมเวทย์แห่งยุค ยังมีองค์หญิงชลธารผู้ครอบครองเทพมหาธาตุ
ถึงสองชนิดเช่นเดียวกับเจ้า ซ้ำยังมีองค์ชายธรณิณโอรสพระปิตุลา ถือครองเทพมหาธาตุธรณีอีกด้วย
วายุภักษ์โอรสเราย่อมยากจะรับมือพวกเขาแล้วจริงๆ”
องค์เหนือหัวเป็นตัวแทนพสกนิกร ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ทรงตรัสขอร้องผักตบ
พระเชษฐา พระมเหสี มหาโหรา องค์หญิงศศิธร รวมทั้งองค์ชายวายุภักษ์ เมื่อเหนือหัวมีพระดำรัสขอร้อง
ต่างพร้อมใจฉายพระเนตรขอร้องด้วยเช่นกัน กลกะลาที่ยืนตรงประตูถึงกับคุกเข่าก้มศีรษะให้ผักตบไปแล้วเรียบร้อย
ยุพราชหนุ่มเก็บมุกราตรีดำใส่กล่องนคราชทรงดำเนินกลับมาประทับยังพระเก้าอี้ดังเดิม
เจอแบบนี้พานทำตัวไม่ถูก ไม่คิดว่าทุกคนจะขอร้องให้เขาช่วย ไม่ใช่ไม่รู้ธรรมเนียมถึงขั้นราชนิกูลเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
ยอมลดพระเกียรติถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างที่สุด โดยเฉพาะกษัตริย์ผู้นำนครด้วยแล้ว
“เอาเป็นว่าผมจะช่วย เท่าที่ความสามารถของผมมีก็แล้วกันครับ” จบคำพูดองค์คณะต่างผินพักตร์มองกัน
ค่อยหันมาแย้มสรวลให้ผักตบแทนการขอบใจ ที่พวกเขาถือเป็นการรับปากเรียบร้อย
“เจ้าย่อมมีความสามารถ อย่าได้กังวลอันใด” มหาโหราเป็นผู้เอ่ย
“ถึงแม้มุกราตรีดำจะบ่งบอกว่าผมมีพลังมหาธาตุ แต่ผมไม่รู้วิธีใช้ ผมไม่ได้โกหกนะ”
ผักตบรีบบอกความขัดข้องในใจ ซึ่งเป็นปัญหาของเขา ไม่คิดว่าตนจะมีพลังแบบนี้มาก่อน
“ปัญหาย่อมมีหนทางแก้ไข” มหาโหราผู้เฒ่ากล่าวต่อ
“ผมต้องทำยังไง” ผักตบถามทันที
“ผู้ถือครองเทพมหาธาตุ สามารถเรียกใช้เทพธาตุตามปรารถนา ฝึกฝนจิตสมาธิตั้งแต่เยาว์วัย
กรณีของเจ้าคงมิเคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน เราใคร่ขอถามมารดาผักตบ พวกเจ้าไม่มีผู้ใดรู้เกี่ยวกับตำนานเชียวหรือ”
มหาโหราหันไปถามแม่เล็กโดยตรง เพราะเข้าใจเป็นผู้ให้กำเนิด แม่เล็กนั่งฟังมาตั้งแต่ต้น
เริ่มอึดอัดที่ต้องปิดบัง..จึงอ้าปากตั้งใจเล่าความจริง
“ผักตบไม่ใช่..”
“แม่ครับ!!..” ผักตบกลับหยุดคำพูดแม่เอาไว้ แต่หนนี้เธอไม่ฟังลูก
“ตบ..ฟังแม่นะ เราต่างรู้ว่าความจริงเป็นยังไง แม่ลองมาคิดดูแล้ว เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแก
ล้วนมีต้นสายปลายเหตุมาจากที่นี่ แม่เชื่อถ้าเราบอกความจริงให้พวกเขาฟัง อาจช่วยไขความลับดำมืดให้แกกับแม่รู้ก็ได้
เหมือนเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นนี่ไง เมื่อชะตาฟ้าลิขิตให้แกมีส่วนพัวพันกับพวกเขา เราสองแม่ลูกถึงได้มาโผล่ที่นี่
ยอมให้แม่เล่าเถอะ” ประโยคท้ายผู้เป็นแม่ทอดเสียงอ่อน ผักตบนั่งนิ่งไม่ทัดทานห้ามปรามอีก
บางทีแม่อาจพูดถูก ชีวิตของเขาคงเกี่ยวพันกับที่นี่ ลางสังหรณ์บอกกับเขาแบบนั้น
“ครับ! ถ้าแม่คิดว่ามีประโยชน์” เขายอมให้แม่เล็กบอกความจริง
“ฉันจะเล่าความจริงเกี่ยวกับผักตบให้พวกคุณได้รับรู้..บลาๆๆ” จากนั้นเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดจากปากแม่เล็กละเอียดยิบ
เธอไม่คิดปิดบังสาระสำคัญ เพราะไว้ใจและเชื่อใจคนกลุ่มนี้ พวกเขาต้องหาคำตอบให้เธอและลูกชายได้
ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนยอมลดพระเกียรติขอร้องคนแปลกหน้า หากพวกเขาไม่เชื่อมั่นบุคคลผู้นั้น
เธอใช้จุดนี้ในการตัดสินใจที่จะไม่ปิดบังประวัติของผักตบเอาไว้
“เรื่องทั้งหมดก็อย่างที่บอก พวกคุณคงมีคำตอบให้เราได้ว่าผักตบเป็นใครมาจากไหน
พ่อแม่ที่แท้จริงเป็นใคร” แม่เล็กใช้เวลาไม่นานก็เล่าจบ
“ท่านคิดเช่นไร..มหาโหรา” องค์เหนือหัวตรัสถามผู้เฒ่าอาวุโส
“ข้ามั่นใจว่าเขาย่อมเป็นคนในดินแดนของเรา สำคัญเป็นเชื้อไขกษัตริย์ หาไม่แล้วมิอาจถือครองเทพมหาธาตุได้
ปัญหามีอยู่ว่าเขาไปอยู่ดินแดนปริศนาได้อย่างไร..เครือญาติคือผู้ใด..สิ่งนี้ช่างน่าขบคิดนัก”
“เรื่องนี้ล้วนมีคำตอบอยู่นครเวฬุวรรณ” องค์ชายวายุภักษ์ตรัสขึ้น
ทำให้องค์คณะ..พากันหันมองพระพักตร์หล่อโดยพร้อมเพรียง
“อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น” องค์เหนือหัวรับสั่งถามพระโอรส
“มีข้อสังเกต ผักตบถือครองเทพมหาธาตุได้สองชนิด
ดุจองค์หญิงชลธารพระธิดาขององค์หัสดิน ตามคำบอกเล่าที่พูดต่อกันมา...
พระมเหสีหลังมีประสูติกาลพระธิดา พลันสิ้นพระชนม์ในเพลานั้น เหล่านางกำนัลผู้ถวายรับใช้ในกาลนี้
ล้วนสติวิปลาสถูกกักขังตำหนักเย็น หมอหลวงที่รับหน้าที่ดูแลในการประสูติ ถูกบั่นศีรษะในสภาพสติวิปลาส
เรื่องนี้ฟังดูชอบกลนัก ตามคำเล่าลือองค์หญิงชลธารมีสัญลักษณ์มหาธาตุวารี
แต่นางกลับสามารถเรียกอัคคีธาตุมาใช้ได้ ผักตบมีปานอัคคี แต่มุกราตรีดำสำแดงให้รู้
เขามีมหาธาตุวารีครอบครอง ทั้งสองมีความต่างที่คล้ายคลึงกันอยู่ ซึ่งข้ายังไม่มีข้อพิสูจน์มายืนยัน
ส่วนปัญหาที่เขาไปอยู่ดินแดนปริศนาได้เช่นไร ยากจะคาดเดา ย่อมมีใครซักคนเป็นผู้กระทำขึ้น”
พระดำรัสของพระโอรสแสดงออกถึงพระปรีชาปัญญายิ่ง เหล่าองค์คณะที่รับฟังล้วนเห็นด้วยกับองค์ชาย
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ มีพระเวทย์มนตราอยู่บทหนึ่ง อาจารย์ข้าเคยถ่ายทอดให้ฟัง
เกี่ยวกับมนตราผนึกกาลเวลาใช้กักขังคนที่มีชีวิต ไว้ในห้วงแห่งกาลเวลาอันมืดมิด ไม่อาจเห็นแสงเดือนแสงตะวัน
รอวันดับสลายไปตามกาล โดยความเป็นจริงมิมีผู้ใดรู้มนตรานำพาผู้ที่ถูกกักขังไปแห่งหนใด
หลังปิดผนึกต้องสร้างมนต์กำกับไว้ด้วย หาไม่แล้วมิอาจปิดผนึกสำเร็จ
มนต์กำกับเปรียบดั่งกุญแจลบล้างมนต์ผนึก..ดุจมีปิดย่อมมีเปิดของคู่กัน
ในอดีตเคยมีนักบวชใช้มนต์ตราแห่งกาลเวลากักขังจอมเวทย์ โดยกำกับมนต์ผนึกด้วยเลือดของหญิงพรหมจรรย์
ให้ทำลายล้าง หารู้ไม่จอมเวทย์สามารถส่งกระแสจิตเข้าไปในความฝันผู้คน เขาย่อมใช้โอกาสนี้ล่อลวงหญิงพรหมจรรย์
มาลบล้างมนต์กำกับ เพื่อเปิดผนึกใช้ปลดปล่อยตัวเองออกมาเป็นอิสระ หวนคืนกลับมาแก้แค้นนักบวชดังกล่าว
แม้นสุดท้ายเขาจะถูกปลิดชีวิต แต่กลับทำให้เรารู้ในอานุภาพของมนต์ผนึกแห่งกาลเวลา
จักถูกทำลายลงถ้าเงื่อนไขกำกับถูกนำมาลบล้าง” มหาโหราผู้เฒ่าอธิบายให้ฟัง ซึ่งเป็นไปได้ว่าผักตบทำไมไปโผล่ดินแดนอื่น
“เช่นนั้นแล้วย่อมมีผู้ใช้มนต์ผนึกแห่งกาลเวลา สาเหตุที่เขาย้อนคืนกลับมาเพราะมนต์กำกับถูกทำลายล้าง
เราใคร่ถามก่อนที่เจ้าจักมายังนอกกำแพงวังหลวง เกิดอันใดหรือไม่” องค์ชายวายุภักษ์รับสั่งถามผักตบ
ฝ่ายถูกถามไม่เสียเวลาคิดนาน เพราะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนสติจะดับไป
“ตอนนั้นที่บ้านผมเกิดไฟไหม้ ผมกับแม่หาทางหนีคิดว่าไม่รอดแน่ เพราะเปลวไฟล้อมพวกเราไว้
ช่วงนั้นรู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก จึงฮึดสู้ทนฝืนไม่ให้หมดสติ จู่ๆ กลับมีสายน้ำมาหมุนวนรอบร่างของผมกับแม่เอาไว้
เหมือนช่วยป้องกันไม่ให้ไฟเข้าใกล้เรา รู้แค่ว่าหนาวจนเข้ากระดูกทีเดียวหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกตัว
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็นอนตรงที่คุณไปพบนั่นแหละ”
ผักตบบอกองค์ชายวายุภักษ์โดยไม่คิดปิดบัง เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งที่เดิมทีรู้สึกตั้งแง่เจ้าชายคนนี้
มาถึงเวลานี้กลับคิดว่าคนผู้นี้จะสามารถคลี่คลายความลับดำมืด..เกี่ยวกับชาติกำเนิดของเขาได้
องค์ยุพราชหนุ่มผู้มีวงพักตร์หล่อเหลาคมคายยิ่ง ขบคิดเรื่องราวที่ผักตบบอกเล่าให้สดับฟังอย่างถี่ถ้วน
ค่อยผินพักตร์ไปตรัสกับพระอาจารย์ เพื่อให้ช่วยวิเคราะห์ในการคาดเดาของพระองค์ ว่าจักพอเป็นไปได้ไหม
“ข้าใคร่ไต่ถามท่านอาจารย์ สายวารีที่ก่อกำเนิดในยามคับขันนั้น
เกิดจากมหาธาตุวารีอันเป็นเทพธาตุ ที่ผักตบถือครองเป็นไปได้หรือไม่”
มหาโหราผู้เฒ่ามุ่นคิ้วขาวอย่างใคร่ครวญ ค่อยหันหน้ามองผักตบอย่างวิเคราะห์อยู่ชั่วอึดใจ
จึงหันกลับไปตอบผู้เป็นศิษย์รักว่า
“ย่อมเป็นไปได้ มิเช่นนั้นท่ามกลางเปลวเพลิงห้อมล้อม จักมีวารีใดกำเนิดขึ้นได้
นอกจากวารีแห่งเทพมหาธาตุ” เหนือหัวองค์อนิละทรงรับสั่งถามในทันที
“เช่นนั้น ใยผักตบถึงไม่สามารถเรียกเทพมหาธาตุมาใช้เล่า”
“การปรากฏขึ้นของวารีธาตุในยามนั้น ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตของผู้ถือครองที่ต้องการหลุดรอด
จากอันตรายในกาลนั้น เจ้าหนุ่มผักตบมิได้ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของเทพมหาธาตุในกาย
ทั้งมิเคยฝึกฝนควบคุมสมาธิเพื่อบังคับใช้ ทุกสิ่งล้วนเกิดในยามคับขันหวังเพียงให้ชีวิตพ้นความตาย
ย่อมเป็นจิตที่มุ่งมั่นพลันกลายเป็นสมาธิ หาใช่เรียกใช้พลังจากมหาธาตุด้วยจิตอันพึงกระทำแต่อย่างใด”
ข้อสรุปของมหาโหราถือเป็นการวิเคราะห์ที่มีเหตุผลรองรับฟังขึ้น องค์คณะต่างเห็นพ้องต้องตาม
“ข้าเห็นว่าเหตุที่เกิดชักนำเขามายังดินแดนเรา มนต์ตรากำกับคงถูกทำลายให้เสื่อมสลาย
เช่นนั้นแล้วสายวารีแห่งเทพมหาธาตุคือสิ่งที่ผู้ปิดผนึกมนต์ตรา ได้สร้างเงื่อนไขกำกับผนึกแห่งกาลเวลาเป็นแน่แท้”
ดำรัสขององค์ชายวายุภักษ์ เป็นเหตุผลที่องค์คณะต่างเห็นด้วย ไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากนี้แล้ว
ที่นำพาสองแม่ลูกมายังนครไตรคาน
“เจ้าทำให้พวกเรารู้ถึงสาเหตุที่มา หาไม่แล้วคงเป็นปริศนามิอาจไขความกระจ่างอันใดได้”
องค์เหนือหัวดำรัสชมพระโอรส พระองค์ภาคภูมิพระทัยที่พระโอรสทรงพระปรีชาปัญญายิ่ง
“ชาติกำเนิดของเขา คงต้องรอพิสูจน์ยืนยัน ผู้ที่สามารถให้คำตอบ นอกเหนือจากพระปิตุลาแห่งเวฬุวรรณนครแล้ว
ยังคงเป็นนางข้าหลวงที่อยู่ในตำหนักเย็น หากเราได้ตัวพวกนางมาไต่ถาม ย่อมมีคำตอบในเพลามีพระประสูติกาลขององค์มเหสี”
มหาโหราเฒ่าเป็นผู้ออกความเห็น
หากต้องการยืนยันชาติกำเนิดของผักตบ คงมีเหลือเพียงสองวิธี อย่างแรกตัดทิ้งไปได้
พระปิตุลาคงไม่ยอมปริปากบอกเล่าเก้าสิบแน่นอนองค์คณะล้วนปักใจเชื่อว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นที่นครเวฬุวรรณ
“ช่างเป็นเรื่องลำบากยิ่ง เรามิอาจลักพาตัวนางเหล่านั้นได้ ปัญหาสำคัญมิควรมองข้าม
พวกนางล้วนมีสติวิปลาสมิใช่ เช่นนี้ยังสามารถให้ปากคำอันเป็นประโยชน์ได้อย่างไรเล่าเพคะ”
องค์หญิงศศิธรแย้มโอษฐ์อิ่ม ดำรัสถึงปัญหาที่ไม่เห็นหนทางแก้ไข
“น้องหญิงเรื่องนี้คงมิใช่ในเพลาอันใกล้พึงกระทำ แม้นมีโอกาสเหมาะสมเราย่อมไม่พลาดที่จะจัดการให้กระจ่าง
ตอนนี้สำคัญคือสงครามของสองนคร ที่เรากำลังประสบปัญหา ควรเร่งแก้ไขคลี่คลายสถานการณ์เป็นอันดับแรก”
องค์ชายวายุภักษ์ทรงตรัสขึ้น
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว เรื่องราวหนักหนาสาหัสมิอาจรอช้าได้อีก ผักตบเจ้ารับปากจักช่วยเหลือชาวไตรคาน
นั่นถือเป็นสวรรค์เมตตานำพาผู้ถือครองเทพมหาธาตุวารีให้แก่พวกเรา ปัญหาเราจักกระทำเช่นไร
ให้ผักตบสามารถเรียกใช้มหาธาตุวารีดั่งใจปรารถนา” พระดำรัสเหนือหัวอนิละ
“ช่างเป็นเรื่องที่มิอาจทำในระยะเวลาอันใกล้ ผู้ฝึกฝนจิตสมาธิสู่ภวังค์แห่งฌาณได้
ย่อมต้องฝึกบำเพ็ญภาวนาเพื่อเข้าถึงสมาธิให้จงได้เสียก่อนแม้นองค์ชายวายุภักษ์ยังต้องใช้เวลาเป็นปี
เจ้ายังจำได้อยู่หรือไม่ศิษย์ข้า กว่าที่เจ้าจักสามารถควบคุมจิตสั่งสายลมได้ก็เมื่อมีชันษา 9 ปี
ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ในวันที่พระบิดานำเจ้ามาฝากฝังด้วยวัยเพียง 7 ชันษา เช่นนั้นเจ้ายังต้องใช้เพลาถึงสองปี
ทั้งที่เจ้าทรงปรีชายิ่ง กลับยังต้องใช้เวลาไม่น้อย กว่าจะควบคุมจิตให้มีพลังอำนาจเรียกใช้มหาธาตุได้เป็นผลสำเร็จ
เฉกเดียวกับองค์หญิงชลธารองค์ชายธรณิณ กว่าทั้งสองจักสำแดงฤทธานุภาพของเทพมหาธาตุที่ถือครอง
ล้วนมีวัย 12 ชันษาไปแล้ว หากจักให้เจ้าหนุ่มผักตบฝึกสมาธิฌาน เพื่อสามารถควบคุมเทพมหาธาตุในกายได้ดั่งใจ
ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาไม่น้อย ข้าเกรงจักไม่ทันการณ์”
วาจามหาโหราผู้เฒ่า กลับสร้างความหนักอึ้งพระทัยให้องค์คณะ ทุกคนรับรู้ปัญหาแหล่งน้ำในนครมีพอใช้ได้ไม่นาน
ทั้งที่ราชวังประกาศให้ใช้กันอย่างประหยัดที่สุด อย่างช้าไม่เกิน 1 เดือนพวกเขาจักไม่มีน้ำใช้แล้ว
“เรารอนานเช่นนั้นไม่ได้ แหล่งน้ำในนครเหลือไม่พอถึงเพลานั้น”
พระมเหสีตรัสด้วยพระสุรเสียงไม่สู้ดี ผักตบกับแม่เล็กรับรู้ได้ว่าทุกคนกำลังประสบปัญหาใหญ่ระดับชาติอยู่
“มีวิธีที่รวดเร็วกว่านี้หรือเปล่า ที่ผมพอจะเรียนลัดได้” เขาถึงกับทนกดดันไม่ไหวโพล่งถามอย่างลืมตัว
หลังเห็นสีหน้าทุกคนย่ำแย่กันหมด หากเขาคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ปัญหานี้บรรเทาได้
ไม่คิดรีรอหวงแรงที่จะช่วยเหลือแน่ ชีวิตผู้คนนับแสนเป็นเรื่องสำคัญกว่ามาก
“วิธีนั้นย่อมมีอยู่ดอก” มหาโหราผู้เฒ่ากลับกล่าววาจาให้ทุกฝ่ายเห็นแสงสว่างของความหวัง
“วิธีอันใดหรือ” องค์เหนือหัวรับสั่งถามอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาทยังคงลืมมุกราตรีดำไปเสียแล้ว” พระองค์พยักพระพักตร์
“สิ่งนั้นคือหนทางเดียวที่จักทำให้ผักตบ สามารถเรียกใช้พลังแห่งมหาธาตุในกายได้
หากดำเนินตามเงื่อนไขการใช้มุกราตรีดำ สำคัญจักใช้เทพมหาธาตุได้ถึง 4 ชนิด มีพลังอำนาจมากสุดในประวัติกาลเลยก็ว่าได้”
มหาโหราผู้เฒ่ายกอ้างเงื่อนไขมุกราตรีดำที่เคยร่วมเสวนา ยกเว้นองค์หญิงศศิธร
พระปิตุลาผู้เป็นบิดาของพระองค์แล้ว องค์คณะที่เหลือในห้องต่างรู้ถึงเงื่อนไขนี้
ยังมีผักตบกับแม่เล็กที่ไม่รู้ความลับสำคัญนี้ด้วย
“เสด็จพี่..ท่านคงไม่เสี่ยงที่จะให้ผักตบนำมุกราตรีดำไปใช้กับทางเวฬุวรรณนครใช่ไหมเพคะ
หากผิดพลาดมุกราตรีดำใยมิสูญเปล่า เราอาจเพิ่มพลังอำนาจให้ศัตรู ผลที่ได้ข้าเกรงมิคุ้มเสีย”
พระมเหสีรับสั่งยับยั้งพระสวามี พระนางคิดไปไกล หากไม่เหลือทางเลือก
เกรงพระสวามีจะให้ผักตบใช้มุกราตรีดำกับฝ่ายศัตรูขึ้นมา
“เจ้าคิดไปถึงไหนน้องหญิง เรื่องนี้มิอาจยอมให้เกิด การที่เราส่งผักตบไปให้พระปิตุลาพร้อมมุกราตรีดำ
นั่นย่อมหมายความว่าพวกเรายอมพ่ายแพ้ไม่คิดต่อสู้อีก ใยมิถือว่าให้ของกำนัลล้ำค่าที่อีกฝ่ายต้องการ
หลังจากนั้นคิดหรือพวกเราจักยังมีแผ่นดินอยู่ ข้าไม่คิดว่าพระปิตุลาผู้มากเล่ห์จักปล่อยพวกเรา โดยเฉพาะวายุภักษ์”
พระดำรัสขององค์เหนือหัวเป็นอันยืนยันว่า เรื่องนี้พระองค์ไม่ทำแน่นอน
“เช่นนั้นคงแล้วแต่การตัดสินพระทัยของศิษย์ข้า” มหาโหราผู้เฒ่าหันมาสบพระเนตรคมกริบขององค์ชายวายุภักษ์...
ยุพราชรูปงามบัดนี้ต้องเป็นผู้ชี้ขาด กับประเด็นการใช้มุกราตรีดำเพื่อช่วยเหลือพสกนิกรและบ้านเมือง
ให้พ้นวิกฤตถึงกับผุดหยาดเหงื่อทั่ววงพระพักตร์คมคาย พระองค์ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จักตกมาเป็นภาระ
ขณะผักตบกับแม่เล็ก องค์หญิงศศิธร พระปิตุลาสัมผัสถึงความลำบากพระทัย
ที่องค์ชายแสดงออกทางสีพระพักตร์มิอาจกลบเกลื่อนหรือควบคุมไว้ได้ดั่งที่ควรจะเป็น
“ท่านอาจารย์ ท่านกล่าวเช่นนี้มิใช่หมายความว่าข้า..”
พระองค์รับสั่งถาม โดยทิ้งปริศนาเอาไว้เป็นที่เข้าใจ เฉพาะผู้ที่รู้เงื่อนไขมุกราตรีดำ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” มหาโหราผู้เฒ่ายืนกรานด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เสด็จพ่อ..” พระองค์ผินพระพักตร์สบพระเนตรพระบิดา
“พ่อขึ้นอยู่กับเจ้าตัดสินใจแล้ว” องค์เหนือหัวทรงดำรัสสั้นๆ
“เสด็จแม่..” พระองค์ผินพักตร์ตรัสถามพระมารดา
“แม่มิอาจกล่าวกระไรได้ แล้วแต่ลูกเถิดวายุภักษ์” พระนางรับสั่งไม่ต่างพระสวามี
แม้นในพระทัยรู้สึกเจ็บปวดแทนไม่น้อย แต่ปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ชีวิตของผู้คนทั้งนคร
รวมถึงการล่มสลายของไตรคานขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของพระโอรสแล้ว
เพื่อบ้านเมืองและส่วนรวมย่อมมาก่อนความรู้สึกส่วนพระองค์ กระทั่งพระสวามีทรงดำรัสสละพระชนม์ชีพ
เรื่องนี้พระองค์จักทรงคัดค้านได้เช่นไรกัน...
“มีอันใดที่อ้ายไม่รู้หรือเปล่าเพคะเสด็จพี่วายุ สิ่งใดที่เป็นความลับของมุกราตรีดำที่อ้ายกับเสด็จพ่อมิอาจล่วงรู้”
องค์หญิงตรัสถามหลังทนสดับฟังมานานพอสมควร ทรงทนความกดดันไร้สภาพต่อไปไม่ไหว
“เรื่องนี้มิอาจแพร่งพรายหลานข้า แม้นพี่ชายข้าเสด็จพ่อของเจ้าข้ายังลำบากใจที่จะเปิดเผย
ขอร้องพวกเจ้าเมินเฉยต่อเรื่องนี้เถอะ อย่าได้เก็บมาเป็นกังวลให้มีความกังขาอันใดอีกเลย
ปล่อยเป็นการตัดสินใจของวายุภักษ์แต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่พวกเจ้าจงรับรู้ไว้ ในกาลนี้มิมีวีรบุรุษใดมิเสียสละ
แม้นต้องสละชีพเพื่อรักษาบ้านเมืองรวมถึงพสกนิกรให้อยู่รอด เราในฐานะกษัตริย์ยินดีสละแล้วเช่นกัน
ที่ข้ากล่าวมิได้กดดันเจ้าแต่อย่างใดวายุภักษ์ ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าเป็นผู้ตัดสิน ใช่มีแต่เจ้าที่ลำบากใจ
ผู้ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้ ซ้ำยังต้องลงเรือลำเดียวกับเจ้า ใยมิลำบากกว่ามากนัก
รอเจ้าตัดสินใจเช่นไรค่อยว่ากันเถิด ควรระลึกไว้ด้วยเรามีเพลาเหลือน้อย จักทำการใดขอให้รีบเร่ง
มิเช่นนั้นคงไร้ประโยชน์มิทันการณ์ใด” แง่คิดจากพระบิดา ทำให้องค์ชายวายุภักษ์ทรงค้อมพระเศียร
น้อมรับด้วยท่าทีสำรวม สำนึกในพระมหากรุณาที่ทรงมีให้กับพระองค์
“พะยะค่ะเสด็จพ่อ ข้าจักไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ขอเพลาไม่นานข้าย่อมมีคำตอบให้กับท่าน”
เป็นอันจบการประชุมพิเศษ โดยผักตบไม่ได้คำตอบว่าวิธีลัดที่เกี่ยวข้องกับมุกราตรีดำ ทำไมถึงกลายเป็นภาระองค์ชาย
แต่เขาก็ไม่คิดจะถามเอาความจริง เมื่อเห็นว่ากระทั่งองค์หญิงและลุงขององค์ชาย
ยังโดนปฏิเสธจากเหนือหัว ประสาอะไรสามารถยกมือขอความกระจ่างให้หายข้องใจได้ คิดดังนี้จึงปล่อยเรื่องราวทิ้งไป
ครุ่นคิดถึงชาติกำเนิดตัวเองที่จุดความสนใจเขามากกว่าแทน
“ตบ!..พอแม่รู้ว่าพวกเขากำลังลำบากเรื่องน้ำ รู้ไหมแม่ไม่คิดจะขอน้ำอาบเลยแก เรากำลังเรียกร้องความสบาย
ในขณะที่พวกเขาลำบาก แม่กะว่าจะเช็ดตัวแทน ดูแล้วก็สะอาดดีไม่ได้สกปรกอะไร” แม่เล็กเปรยกับลูกชาย
หลังทั้งคู่กลับมายังห้องพักในตำหนักวาโยทิพย์ ผักตบมานอนแกร่วอยู่บนเตียงในห้องแม่
กระเป๋าสัมภาระของแม่ถูกนำมาไว้ให้เรียบร้อย ส่วนกระเป๋าผักตบอยู่ที่ห้องบรรทมองค์ชายเจ้าของตำหนัก
ซึ่งยังไม่กลับ เห็นว่ามีธุระสำคัญต้องไปประชุมต่อกับพวกแม่ทัพนายทหาร
“อืมผมก็ต้องทำด้วย ไม่คิดว่าเราสุขสบายใช้น้ำกันปาวๆ ผู้คนที่นี่กำลังจะอดน้ำตาย” ลูกชายเสริมคำพูดแม่
“คนเราไม่เห็นคุณค่ายามที่คิดว่าของมันหาได้ง่าย กลับกันของสิ่งนั้นดันล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำสำหรับบางที่”
สองแม่ลูกมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา โดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก...
>
>
“พระปิตุลา..ท่านแน่ใจข้ากับเจ้าพี่ธรจักสามารถทำลายค่ายกลพายุดำขององค์ชายวายุภักษ์สำเร็จ”
องค์หญิงชลธารรับสั่งถามพระปิตุลาซึ่งพระองค์เคารพดุจพระบิดาผู้ให้กำเนิด
“พลังของเจ้าช่วงนี้กล้าแข็งนัก ชันษาเจ้าเพิ่งครบ 20 เป็นช่วงวัยที่พลังมหาธาตุแข็งแกร่งที่สุด
ก่อนหน้าพลังของเจ้ามิอาจทำลายล้างค่ายกลพายุดำทะเลทรายลงได้ ด้วยพลังมหาธาตุของอีกฝ่าย
มีพระเวทย์กำกับแข็งแกร่งกว่าเจ้า ตอนนี้มิเป็นเช่นนั้น แม้นค่ายกลพายุดำจักคงร้ายกาจเพียงใด
หากเจ้าใช้มหาธาตุวารีซัดทำลายฝุ่นทรายเหล่านั้นจนสิ้น เหลือเพียงลมพายุ เจ้ากับธรณิณย่อมร่วมมือกัน
ใช้เกราะมหาเทพสร้างอาณาเขตพระเวทย์ นำทัพกรีฑาบุกโจมตีทัพข้าศึก ให้แตกพ่ายได้ไม่ยากอีกแล้ว”
พระดำรัสยืนยันของพระปิตุลา สร้างความมั่นใจองค์หญิงชลธารผู้มีพระศิริโฉมงดงามปานภาพวาด
ทรงแย้มโอษฐ์อย่างมาดหมาย
“เจ้ากังวลอันใดหญิงธาร เสด็จพ่อกล่าวเช่นนี้ย่อมมิผิดพลาด เดิมทีเจ้าต่างหากที่มิอาจเรียกวารีให้มีพลัง
ยังความแปลกใจให้ข้ายิ่งนัก เจ้าผู้มีปานวารีถือกำเนิดกลับเรียกวารีธาตุได้เพียง 3 ส่วน เรียกใช้อัคคีธาตุได้เสีย 7 ส่วน
ใยเจ้ามิถือมหาธาตุอัคคีติดกายเสียแต่แรกเลยเล่า” องค์ชายธรณิณใช้สุรเสียงทุ้มห้าว รับสั่งประชดพระคู่หมั้นของพระองค์
แม้นจักทรงยอมรับว่าองค์หญิงพระคู่หมั้น มีพระศิริโฉมงดงามในแผ่นดิน มิมีหญิงใดเทียบเทียบได้
แต่พระองค์กลับรู้สึกอิจฉาในพลังของมหาธาตุ เพราะองค์หญิงชลธารสามารถใช้เทพมหาธาตุได้ถึง 2 ชนิด
หนำซ้ำกล้าแข็งกว่าพระองค์ที่ถือครองมหาธาตุธรณีเสียอีก ทำให้พระองค์ถูกมองว่าตกเป็นเบี้ยล่างของอิสตรี
ที่อนาคตเป็นพระชายา มีหรือพระองค์ซึ่งเป็นบุรุษจักยอมรับไว้ได้ จึงทำให้รู้สึกเคืองพระทัยอยู่ลึกๆ
“เจ้าพี่กล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไร แม้แต่พระปิตุลายังมิอาจรู้ถึงสาเหตุของกาลนี้ ใยหาความเอากับข้า
ว่าแต่ท่านถือครองธรณีธาตุชันษาแก่กว่าข้า 5 ปี ใยจัดการองค์ชายวายุภักษ์ไม่ได้ เช่นนี้ยังกล้ากล่าวหาข้า”
เจอองค์หญิงสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ องค์ชายผู้ถือทิฐิขบพระกรามแน่น ไม่มีพระดำรัสสวนถ้อยคำคืน
ด้วยพระองค์ตระหนักในความจริงดังล่าว
“พอกันทั้งสองคน เป็นถึงคู่หมั้นหมายเสร็จภารกิจสงครามจักเข้าพิธีอภิเษกในไม่ช้า
กลับทุ่มเถียงดุจทารกไม่ยอมเปลี่ยน เมื่อไหร่พวกเจ้าจักเลิกนิสัยเช่นนี้เสียที” พระปิตุลาทรงตำหนิสุรเสียงดุ
ทำเอาคู่กรณีปิดโอษฐ์เงียบทั้งคู่ แต่ดวงเนตรกับดื้อรั้น จนปัญญาพระปิตุลาจะห้ามปราม
คิดแต่เพียงถึงเวลาร่วมหอ ทั้งคู่จะลงรอยไม่หวังชนะคะคานเช่นที่เป็นอยู่...
“มาวางแผนยุทธพิธีสงครามกับข้าต่อเถิด เราจักรออีกไม่ได้”
“ข้าแปลกใจนัก เหตุใดเสด็จพ่อถึงเร่งพิชิตศึกในเร็ววัน ก่อนหน้าสู้รบยืดเยื้อยาวนาน 6 ปี มิเห็นท่านร้อนพระทัย”
องค์ชายธรณิณดำรัสถามความกับพระบิดา หลังพระองค์ทรงเห็นผู้เป็นบิดากังวลกว่าที่ผ่านมา
“ใครว่าข้ามิร้อนใจ เป็นเพราะพวกเจ้าล้วนไม่เอาไหน หากจัดการองค์ชายวายุภักษ์สำเร็จ
คงไม่ต้องเดือดร้อนข้าลงมาคุมทัพหน้าเช่นนี้ดอก ที่ข้าต้องใจเย็นรอให้ชลธารมีพลังเต็มเปี่ยมเสียก่อน
เพลามาถึงแล้วเราไม่อาจรออันใดอีก” พระปิตุลาให้เหตุผลพระโอรส โดยปิดบังความจริงสำคัญบางส่วนที่มิอาจให้ล่วงรู้ได้
นอกจากรำพึงภายในพระทัย ‘ข้ามิอาจให้พวกเจ้ารู้ บัดนี้ในไตรคานมีผู้ถือครองมหาธาตุอัคคี ทารกแฝดของชลธารหวนคืนมา
ขืนยังชักช้าไม่รีบลงมือ ทารกนั่นจักนำภัยพิบัติทำลายแผนการทั้งหมด ที่ข้ากับพระปิตุจฉาใช้เวลากว่าค่อนชีวิต’
ทั้งสามพระองค์จึงได้ร่วมวางแผน บุกโจมตีหน้าด่านนครไตรคาน
ซ้ำมุ่งมั่นปิดฉากสงครามยาวนานครั้งนี้ ให้สำเร็จในคราเดียว..
พระปิตุลามั่นพระทัยนัก ไส้ศึกภายในทรงมอบหมายให้ทำหน้าที่ส่งข่าวถวายรายงานว่า
องค์ชายมิได้ประจำการอยู่หน้าด่าน ดังนั้นพลังของค่ายกลพายุดำย่อมถดถอย คงเหลือความร้ายกาจเพียงแค่ 7 ส่วน
เหล่าแม่ทัพรักษาการหรือจักเป็นคู่มือองค์ชายธรณิณ องค์หญิงชลธารเล่า
คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างเกรงกลัวจนหัวหด..โอกาสนี้แล้วที่ต้องรีบฉกฉวยไว้
>
>
“จะให้ผมนอนฝั่งไหน” ผักตบถามเจ้าของห้อง อีกฝ่ายเพิ่งกลับมาถึงไม่นาน
พระพักตร์ดูอิดโรยเหมือนมีเรื่องให้คิดหนัก
“แล้วแต่เจ้าเถอะ” พระองค์ตรัสตอบ
“คุณเป็นอะไรดูเครียดๆ” แทนที่ผักตบจะโมโหที่เจอคำพูดแบบนั้น
เขากลับนึกเห็นใจอีกฝ่ายคงมีเรื่องหนักใจ ถึงกับไม่สนว่าเขาจะนอนตรงไหน ตอบแบบขอไปทีเสียอย่างนั้น
เขาไม่ใช่พวกเรื่องมาก ติดที่ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องมีที่นอนประจำฝั่งไหน
นับเป็นครั้งแรกที่เขาต้องนอนร่วมกับคนแปลกหน้าตลอดคืนยันเช้า
องค์ชายประทับนั่งพระเก้าอี้ ค่อยรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วยกจิบช้าๆ ขณะทอดพระเนตรจ้องผักตบ
ที่นั่งห้อยขาตรงเตียง สวมกางเกงบอลขาสั้นเสื้อยืดตัวบางเสื้อผ้าที่เอาติดกระเป๋ามาด้วย ผักตบสบเนตรคมไม่คิดหลบ
รอฟังเจ้าชายซึ่งนั่งจิบน้ำชาจะพูดอะไร
“เจ้าสวมใส่อันใด แลดูเปิดเผยเนื้อหนัง” พระองค์ตรัสถาม
“อ้าว!..นี่มันเสื้อผ้าของผมเปิดเผยตรงไหน บ้านเมืองผมเขาใส่กันออกเยอะแยะ
คุณอย่าสนใจว่าผมใส่อะไรเลยดีกว่า ว่าแต่คุณมีเรื่องหนักอกหนักใจอะไรระบายให้ผมฟังได้นะ”
ผักตบไม่ทิ้งประเด็นที่อยากรู้ ตั้งแต่เขาได้รู้จักเจ้าชายองค์นี้ ยังไม่เคยเห็นพระพักตร์อีกฝ่ายอมทุกข์คิดไม่ตก
เหมือนตอนนี้มาก่อน ส่วนใหญ่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรเสียมากกว่า นี่กลับไม่เก็บอาการแม้แต่น้อย ทำให้เขาพลอยอยากรู้ไปด้วย
“เราได้รับรายงานข้าศึกยกทัพประชิดหน้าด่าน เตรียมบุกโจมตีในไม่ช้านี้แล้ว คนของเรารายงานว่า
หนนี้พระปิตุลาเสด็จมาคุมการรบเอง พร้อมองค์ชายธรณิณผู้ถือครองธรณีธาตุ กับองค์หญิงชลธาร
ผู้เรียกใช้เทพมหาธาตุได้ 2 ชนิดเหมือนดั่งตัวเจ้า ช่างเป็นเรื่องเกินกำลังเราเสียแล้ว”
คำตอบองค์ยุพราชหนุ่ม ทำเอาผักตบอึ้งไปได้เหมือนกัน คำว่าสงครามย่อมเป็นเรื่องหนักหนาอย่างที่สุด
“คุณ..กลัวแพ้” กว่าจะหลุดประโยคนี้ ผักตบพูดเบาเสียจนแทบเป็นกระซิบ
เขาเกรงกระทบความรู้สึกของคนฟัง แต่ก็อยากถามอยู่ดี
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ปัญหาคือแพ้แล้วราษฎรจักเป็นยังไง ผู้คนจักบาดเจ็บล้มตายมากแค่ไหน
เราเชื่อพวกเขากรีฑาทัพมาพร้อมรบเช่นนี้ ย่อมมีหนทางทำลายค่ายกลพายุดำของเราแล้ว”
พระสุรเสียงหดหู่ที่ไม่อาจปิดกั้นของพระองค์ ทำให้ผักตบพลอยรู้สึกเศร้าตามไปด้วย
“ผมมีปืน..เหลือกระสุนอีกสองกล่อง 200 กว่านัด ช่วยล้มข้าศึกได้มากพอสมควร คงไม่หมดกองทัพ
แต่ก็น่าจะขู่พวกเขาให้กลัวได้ไม่ยาก ถ้านำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คุณพาผมไปด้วยสิ” ผักตบเสนอทางเลือก
“เจ้ามีทักษะเพลงดาบ หอก ธนู ต่อสู้มือเปล่าหรือไม่” พระองค์ทรงรับสั่งถามเขากลับ
“ดาบ ธนูใช้ไม่เป็น แต่เรื่องสู้มือเปล่า มวยไทยผมพอตัวอยู่บ้าง”
สีพระพักตร์ดูงงงันคำพูดของผักตบ เขาจำต้องอธิบายเพิ่ม
“เป็นการต่อสู้ประชิดตัวคุณไม่รู้จักหรอก รับรองไม่ด้อยหรอกน่าสบายใจได้ สำคัญผมมีปืน
คุณเห็นประสิทธิภาพของมันแล้วนี่” พูดพร้อมกับยักคิ้วยืนยันปิดท้าย องค์ชายดูอึ้งไปกับท่าทางของผักตบอยู่พอสมควร
“เพียงแค่นั้นช่วยไม่ได้ดอก เจ้าอย่าลืมเราหยุดลูกปืนของเจ้าได้ด้วยเกราะมหาธาตุ
มีหรือฝ่ายศัตรูจะไม่สามารถกระทำเช่นกัน เช่นนี้ปืนของเจ้าก็มิอาจสำแดงอิทธิฤทธิ์อันใด” เจอย้อนแบบนี้ผักตบหมดทางเถียง
“อย่าทำสีหน้าเช่นนั้นสิเจ้า เราดีใจที่เจ้าต้องการช่วยบ้านเมืองของเรา เพียงแต่เราอยากให้เจ้าคำนึงถึงตัวเอง
แค่การขี่ม้าเจ้ายังทำไม่ได้ ประสาอะไรกันกับการออกรบ..สู้พวกทหารเป็นกองทัพในสงครามหนอ”
พระองค์เห็นสีหน้าผักตบ พอจะดูออกเหมือนพระองค์ตัดกำลังใจ
ทั้งที่เขาตั้งใจดีอยากช่วยรบกับข้าศึก จึงทรงดำรัสปลอบตามมา
“เฮ้อ! บางทีคนเรานึกว่าตัวเองรู้มาก กลับจนหนทางในสภาวะที่ไม่รู้จะช่วยยังไง
ตอนนี้ผมรู้สึกว่าความรู้ที่ร่ำเรียน ซึ่งเจริญก้าวหน้ากว่าที่นี่นับเป็นพันปี ไม่ยักช่วยได้สักเท่าไหร่
พอจะมีวัสดุอุปกรณ์อะไรที่สามารถประดิษฐ์ระเบิดขวดไหม รู้จักหรือเปล่าระเบิด ดินปืนอะไรแบบนี้คุณมีไหม
ผมเรียนเอกวิทยาศาสตร์ เรื่องผสมสารเคมีประดิษฐ์ของพวกนี้รับรองไม่มีปัญหา น่าจะช่วยได้มากทีเดียว
ถ้าทำขึ้นมาให้เยอะกอปรกับวางแผนดีๆ ล่อข้าศึกมาในจุดที่เราต้องการ อาจมีได้เปรียบพลิกสถานการณ์ได้บ้างน่า”
ผักตบไม่ยอมถอยเสนอไอเดียใหม่ แม้นเจ้าชายจะทรงสดับฟังอย่างสนพระทัย
แต่พระองค์ก็ไม่เข้าใจในเรื่องที่ผักตบพูดถึง แผ่นดินนี้ไม่รู้จักระเบิด อาวุธที่พวกเขาคุ้นเคยล้วนเป็นหอก ดาบ ธนู มีด จำพวกนั้น
หามีระเบิด ปืน เกิดขึ้นมาแม้แต่น้อย จึงไม่แปลกที่พระองค์ไม่เข้าพระทัย
“เราไม่รู้เจ้ากล่าวถึงสิ่งใด ดินปืนคือสิ่งใดกัน” เจอแบบนี้ผักตบก็หมดทางไป
ของพวกนี้อาจมีแต่มันต้องใช้เวลาหา คนยุคนี้ยังไม่รู้ถึงคุณค่าทรัพยากรธรรมชาติ
ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาในการประกอบมันขึ้น
“ช่างเถอะพูดไปก็เท่านั้น คุณมีทางออกหรือยัง ว่าจะจัดการยังไง”
เปลี่ยนมาสอบถามอีกฝ่ายแทน ว่ามีแผนการเตรียมไว้หรือเปล่า
“เราคงต้องเร่งเดินทางกลับหน้าด่าน” คำตอบจากยุพราชหนุ่ม
“ไปถึงแล้วยังไงต่อ คุณพูดเองว่าสู้พวกเขาไม่ได้ จะเอาอะไรไปสู้” อดถามไม่ได้ พูดเองแหม่บๆ
ว่าอีกฝ่ายมีกำลังกล้าแข็ง ไปถึงแล้วยังกับว่าอะไรมันจะดีขึ้นกว่านี้หรือก็ไม่ กลายเป็นเขาพูดตรงไปหรือเปล่า..
“อย่างน้อย ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารก็ฮึกเหิมเมื่อมีเรานำทัพ” คำตอบไม่ตรงใจผักตบที่ต้องการ
ผุดลุกจากเตียงมายืนค้ำพระเศียรอย่างไม่ใส่ใจ มารยาทแบบนี้ผักตบไม่ทันได้คิด แต่ถึงกระนั้นองค์ชายวายุภักษ์
กลับไม่นึกตำหนิ พระองค์ทรงรู้ว่าผักตบไม่ได้ยึดถือขนบธรรมเนียมปฏิบัติแบบแผนเหล่านี้
จึงทรงนิ่งรอชมว่าบุรุษหน้าขาวจักทำอันใด
“ฟังผม..คุณไม่จำเป็นต้องพาตัวเองไปตาย โดยรู้อยู่เต็มอกว่าสู้ก็ตายเปล่า คนเราย่อมมีทางออกที่ดีกว่านั้น
บอกหน่อยเมืองหน้าด่านอยู่ไกลกว่าที่นี่มากไหม มีพลเมืองจำนวนเท่าไหร่ อพยพมาทันหรือเปล่า..
โดยใช้กองทัพทหารของคุณซึ่งประจำการที่นั่น อพยพพวกเขามารวมตัวที่วังหลวงให้หมด
ผมคิดว่าพื้นที่นอกกำแพงวังหลวงสามารถสร้างกระโจมที่พักให้พวกเขาอาศัยชั่วคราวก่อน แก้ไขสถานการณ์กันไป
ส่วนข้าศึกหลังพวกคุณถอนกำลังออกจากแนวตั้งรับมา พวกมันต้องแปลกใจไม่มากก็น้อย
คงไม่ตามมาทันทีหรอกน่า อย่างน้อยเราพอมีเวลาที่เหลือ ช่วงนี้ค่อยมาคิดวางกับดักต้อนรับกองทัพศัตรูดีกว่าไหม
อย่างแรกคุณไม่ต้องยกทัพไปตายเปล่า สุดท้ายราษฎรของคุณรวมทั้งวังแห่งนี้คงไม่พ้นถูกตีแตก
ผมยังไม่อยากเป็นเชลยสงครามของที่นี่ รับปากผมจะช่วยคุณหาวิธีรับมือจนสุดความสามารถ
ถึงแม้ผมจะไม่มีประสบการณ์สู้รบในสงครามมาก่อน ขอให้คุณสบายใจว่าผมเคยร่วมเดินขบวนประท้วงสารพัด
ที่เขาเรียกร้องสิทธิ ผมไปหาข้าวกินฟรี อาจมีค่าเหนื่อยบ้างเล็กน้อย คงไม่ต่างกับสงครามมากนักหรอก
เคยวิ่งหลบสลายการชุมนุมพวกแก็สน้ำตา ระเบิดปิงปองยังเอาตัวรอดมาได้
ไม่มีรอยฟกช้ำประสาอะไรแค่ธนู ดาบ มีด ผมต้องช่วยคุณแก้ไขสถานการณ์ได้แน่นอน เชื่อใจผมไหมครับ..คุณเจ้าชาย”
จบประโยคสุดท้าย ผักตบก้มตัวต่ำจนใบหน้าอยู่ห่างองค์ชายวายุภักษ์ไม่ถึงคืบ
พร้อมกับจ้องสบพระเนตรคมที่มองตอบเขาไม่กะพริบ มีทำตาปริบๆ ติดล้อเล่นเพื่อลดความเครียด
ที่อีกฝ่ายแบกรับอยู่ ถือเป็นคนแรกที่ผักตบแสดงกิริยาท่าทางแบบนี้ให้เห็น นอกจากแม่เล็กของเขาเอง
พระองค์เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ในคำบอกเล่าของผักตบที่พูดให้พระองค์ฟัง
แต่ไม่รู้ทำไม..ในพระทัยกลับรู้สึกมั่นใจว่าบุรุษหนุ่มผู้มีกลิ่นกายหอมประหลาดให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
พูดจาน่าเชื่อถือสร้างความมั่นพระทัยให้พระองค์ โดยเฉพาะแววตาดำสนิทดั่งความมืดมิดของรัตติกาล
ที่กำลังจ้องสบเนตรพระองค์ ช่างดูมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวยิ่งนักเกินกว่าจะเป็นวาจาพล่ามพล่อยของบุรุษทั่วไป
สำคัญสีหน้าล้อเลียนที่พระองค์ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากใบหน้าหล่อเหลา งดงามดุจภาพวาดในจินตนาการ
ที่กำลังหยอกเอินแกมท้าทายให้พระองค์รับปากอยู่นัยๆ
“เราจักทำตามที่เจ้าแนะนำ ให้กองทัพอพยพพลเรือนมาตั้งหลักยังนอกกำแพงนครหลวง
แต่เจ้าต้องคำนึงถึงแหล่งน้ำ หากเพิ่มจำนวนคนแหล่งน้ำที่มีอยู่เพียงสามแห่งจากทั้งหมด จักแร้นแค้นเป็นสองเท่า
เดิมเราคาดการณ์จักมีใช้ไปอีก 1 เดือน อาจเหลือไม่ถึง 8 ทิวา” ปัญหาที่ผักตบแทบกุมขมับ
เผลอถอนหายใจในระยะประชิดจนลมอุ่นเป่ารดพระพักตร์ขององค์ชายไปเต็มๆ ฝ่ายรับสัมผัสเผลอหายพระทัยยาว
เมื่อสัมผัสความหอมแปลกๆ ที่ผสมปนเปมาในอากาศ หารู้ไม่ผักตบใช้น้ำหอมแบรนด์ดังที่ได้จากไฮโซคู่ควงซื้อมาให้
พระองค์ย่อมต้องกลิ่นพิเศษนี้เข้าไปจังๆ
ผักตบแค่เห็นว่าเขาทำได้เพียงเช็ดตัวทำความสะอาด ไม่สามารถอาบน้ำตามที่ต้องการได้
ออกจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปในขณะที่ทุกคนต่างช่วยกันประหยัดน้ำที่ขาดแคลน
จึงฉีดน้ำหอมใส่ผ้าชุบน้ำเพื่อให้ร่างกายไม่มีกลิ่นตัว ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น
พระพักตร์คมคายหล่อเหลาซับสีพระโลหิต พระอุระตรงด้านซ้ายกำลังเต้นเป็นจังหวะกระชั้นถี่
อย่างที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“เรื่องนี้ผมจนปัญญาครับเจ้าชาย รู้ไหมผมกับแม่ยอมปฏิเสธการอาบน้ำตามที่คุณได้รักษาคำพูด
สั่งมหาดเล็กและนางกำนัลเตรียมให้เรา หันมาเช็ดตัวแทนแล้วนะ ถ้าผมแก้ไขเรื่องน้ำท่าให้คุณได้
คงจะอาบให้ชุ่มปอดก่อน ปัญหานี้ผมไม่รู้จะหาทางช่วยยังไง” ผักตบพูดพร้อมกับยืดตัวตรงเต็มความสูง
ยักไหล่แบมือประกอบคำพูดไปด้วย
องค์ชายทอดเนตรกิริยาผักตบ พานแย้มสรวลขบขันพระอารมณ์ผ่อนคลายความเครียดลงทันที
พระองค์ไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้มาก่อน พานนึกเปรียบเทียบไม่ออก แลดูก้าวร้าวพร้อมกับดูดี
จนมิอาจลงความเห็นชี้ชัดว่าเป็นกิริยาอันพึงกระทำหรือไม่ รู้แต่ผักตบทำแล้วทรงทำให้พระองค์รู้สึกขบขันอย่างบอกไม่ถูก
“หึหึ!..เจ้าผู้มากเล่ห์ กลับมีเพลาอับจนหนทางได้เช่นกันอีกหรือ”
พระองค์ทรงดำรัสสัพยอกแทน เพราะมิอาจสะกดกลั้นมิให้ขบขันเอาไว้ได้
“หัวเราะแล้วสิ เห็นผมจนหนทางดันขำ นี่แสดงว่ารอดูผมจนมุมอยู่สิท่า แบบนี่มันรอซ้ำกันนี่หว่าเจ้าชาย
สมควรช่วยดีไหมอีแบบนี้..หืม” ผักตบแกล้งแซวมุมปากยิ้มกระตุก
เขากลับไม่อาจละสายตาจากวงพักตร์หล่อเหลาของยุพราชหนุ่มได้
ตั้งแต่รู้จักเพศเดียวกันมา เพิ่งเห็นบุคคลตรงหน้าที่ยิ้มหัวเราะแล้วดูดีไปทุกองศาจนน่าอิจฉา
แต่ก็ทำให้มีความสุขตามไปด้วย ใบหน้าที่มักวางเข้มอยู่เป็นปกติยากที่จะเผยยิ้ม พอยิ้มเห็นฟันสวยดูผ่อนคลายลงสุดๆ
“เจ้าส่งมือมาให้เราตรวจหน่อย” จู่ๆ องค์ชายก็รับสั่งขึ้น
“เอาไปทำไมมือผม อย่าบอกว่าคุณดูดวงเป็น” พระองค์ทรงเลิกพระโขนงอย่างไม่เข้าใจที่ผักตบถาม
“หมายถึงดูดวงชะตาไง” เขาต้องอธิบายเพิ่มเติม
“เราไม่สามารถเช่นนั้นดอก แต่สามารถตรวจชีพจรดุจหมอหลวง” พระองค์รีบบอกให้ผักตบรู้ ทรงต้องการทำอะไร
“อ้าว!..นึกยังไงจะเอามือผมไปตรวจโรค” อดถามด้วยความสงสัย
“เราเพียงต้องการตรวจมหาธาตุในกายเจ้า” พอฟังแบบนั้นเขาถึงยอมยื่นมือไปให้ฝ่ายที่ขอจับชีพจรข้อมือ
องค์ชายจับนิ่งอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนพระโขนงและพระเนตรจะกลอกไปมาเหมือนไม่ค่อยแน่พระทัย
ผักตบเห็นแบบนั้นรีบถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไร มหาธาตุในร่างผมผิดปกติตรงไหนอีกหรือเปล่า”
“ไม่ดอก เราแปลกใจใยกายเจ้ามีลมปราณของอิสตรีรวมอยู่ด้วย” ได้ยินดังนั้นผักตบดึงมือกลับอย่างเร็ว
ทำเอาฝ่ายที่จับอยู่พลอยงุนงงกิริยาที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นกัน
“ขอโทษ!..คุณจับนานไปล่ะ” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“เช่นนั้นเราต้องขออภัยเจ้าด้วย เจ้าช่างเป็นบุรุษที่มีปริศนาให้ค้นหามากนัก
มิเคยพานพบลมปราณในร่างบุรุษจักมีลมปราณของอิสตรี ไหลรวมประสานจนแยกแทบไม่ออก
ไม่ติดว่าเราซึ่งชำนาญด้านนี้คงมิอาจล่วงรู้ได้ เจ้ากลับมีลมปราณนี้อยู่ภายในกายด้วย ช่างแปลกดีแท้”
พระองค์ตรัสประหนึ่งเปรยกับตัวเอง
“พอเถอะ..ผมง่วงขอนอนล่ะ” ผักตบกลบเกลื่อนไม่กล้าสบเนตรคมที่มองเขาอย่างพินิจ พานหัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม
กังวลอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาผิดปกติอย่างที่ตั้งข้อสงสัย รีบเดินหนีก้าวขึ้นเตียงขยับไปนอนหันหลังเฉย
ไม่ลืมคว้าผ้าห่มขนสัตว์หนาคลุมยันคอ ปิดตาหลับทั้งที่ในหัวกำลังสับสนไปกับความคิดที่ตีกันให้วุ่น...
กังวลไปต่างๆ นาๆ ก่นบ่นกับตัวเองไม่หยุด
‘จะรู้ไหมว้า! จะเก่งไปถึงไหน ขนาดหมอเก่งๆ ยังต้องเอกซเรย์ดูถึงสองรอบตรวจซ้ำอีกกว่าจะสรุป
นี่จับข้อมือไม่กี่วินาที ดันตั้งคำถามให้เสียวสันหลัง’ นั่นคือคำพูดที่ผักตบคุยกับตนเองในใจ
ส่วนฝ่ายที่ยังประทับเก้าอี้ ทอดเนตรมองแผ่นหลังกว้างบนเตียงบรรทมขนาดใหญ่ภายใต้ผ้าห่มหนานุ่ม
กลับกำลังครุ่นคิดถึงปมปัญหาที่พระบิดา พระอาจารย์ พระมารดา ทรงยกให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินพระทัย
พระองค์ประมวลความรู้สึกกอปรกับเหตุผลต่างๆ ในพระทัยลำพังเงียบๆ
‘ผิวกายเจ้าไม่หยาบดังบุรุษพึงเป็น กลิ่นกายเจ้าแตกต่างที่คิดนัก
ร่างกายเจ้ามีลมปราณของอิสตรีซ้อนเร้น เจ้าคือผู้ใดกัน..ผักตบ?’
ความคิดเห็น