ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@@ เทพพิทักษ์ขุนทัพ โดย Luk (จบบริบูรณ์)

    ลำดับตอนที่ #1 : ไอ้ขี้ขลาด

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 55


                        ไอ้ขี้ขลาด!

      “เก็บถุงเท้ากูด้วย เสร็จแล้วขึ้นไปเอางานกูมาทำให้เสร็จพรุ่งนี้กูไม่มีส่งมึงต้องรับผิดชอบ” คำพูดจากปากชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หุ่นนักกีฬาวิศวะปิโตรเลียมปีสองจากสถาบันชื่อดังของรัฐฯ มีศักดิ์เป็นลูกชายของผู้มีอุปการะคุณของหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่จากคณะและมหาลัยเดียวกัน แม้ความสูงจะเลื่อมล้ำกันไม่มากแต่ความหนาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงใน
    ขณะที่อีกคนเป็นถึงนักกีฬารักบี้ของสถาบัน แต่อีกคนกับสูงโปร่งกล้าม
    เนื้อพองาม  คงเพราะไม่ได้เล่นกีฬาหักโหมเหมือนอีกฝ่าย  
      แค่เอาเวลามาคอยดูแลรับใช้คนออกคำสั่ง กอปรกับเรียนอย่างหนักทั้งงานซึ่งเป็นของตัวเองแถมยังต้องทำให้อีกคนด้วยต่างหาก แค่นี้เด็กกำพร้านามว่า ‘ขุนดอน’ ก็ไม่เหลือเวลาจะไปทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาห่าเหวอะไรอีกแล้ว
    ขุนดอน อยู่กับหลวงตาที่วัดต่างจังหวัดแถบภาคอีสานตั้งแต่จำความได้พ่อแม่หน้าตาเป็นอย่างไรคือใคร? นามสกุลอะไรไม่รู้เลยสักนิดเคยลองถามหลวงตาแล้ว  ท่านบอกแต่เพียงว่าเก็บตนมาจากหน้าวัดตรงเนินดินข้างกำแพง ทางภาคอิสานเรียกว่า ‘ดอน’ เพราะมีใครไม่รู้นำเอามาทิ้งไว้ตั้งแต่ตนคลอดได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ท่านจึงเก็บมาเลี้ยงพร้อมกับตั้ง
    ชื่อให้ว่าขุนดอน  และให้ใช้นามสกุล ‘เทพพิทักษ์ขุน’ ซึ่งเป็นนามสกุลของ
    ชายหนุ่มที่ออกคำสั่งตนเมื่อกี้ชื่อว่า ‘ขุนทัพ  เทพพิทักษ์ขุน’ ทุกวันนี้ชาติ
    กำเนิดของขุนดอนยังคงเป็นปริศนาอย่างไม่มีทางหาความเป็นมาได้เลย
      ตั้งแต่จำความได้ มีแต่หลวงตานี่แหละเป็นเสมือนพ่อ ได้มีโอกาสเข้าเรียนโรงเรียนวัดพร้อมกับรับใช้หลวงตาไปด้วย ทำให้ขุนดอนเป็นคนมีอุปนิสัยใจเย็นสงบเสงี่ยมเจียมตัว อยู่ในกรอบระเบียบด้วยดีมาโดยตลอดจนอายุย่างเข้าสิบห้าเป็นหนุ่มรุ่นกระทง หลวงตาผู้ซึ่งชราภาพมากก็เกิดอาพาธก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่ถึงสองวันครอบครัวตระกูล ‘เทพพิทักษ์ขุน’  โดยมีหัวหน้าครอบครัวซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงตา เติบโตจากการเป็นเด็กวัดมาก่อน คือคุณท่าน ‘ขุนพรหม’ ไปได้ดิบได้ดีเพราะศรีภรรยาร่ำรวยมีสมบัติเกื้อกูล ให้ทำธุรกิจจนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่มีหุ้นในการลงทุนขุนเจาะน้ำมันทั้งในอ่าวไทยและอีกหลายประเทศ ถือได้ว่าเป็นตระกูลเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้
      ความสัมพันธ์ระหว่างขุนดอนกับขุนทัพนั้น ไม่ได้สวยงามราบรื่นเลยสักนิด ทั้งที่นามสกุลก็เหมือนกัน เพราะนามสกุลนี้หลวงตาให้ตนใช้ตั้งแต่ที่นำตนมาเลี้ยงนั่นแหละ แถมยังเป็นนามสกุลเดียวกับคุณท่าน
    ขุนพรหมเช่นกัน เพราะงั้นขุนดอนจึงกลายเป็นคนของ  ‘เทพพิทักษ์ขุน’ ไปโดยปริยาย 
      ปัจจุบันนี้  ถึงแม้คนรับใช้กว่ายี่สิบคนจะให้ความเคารพขุนดอนประหนึ่งเจ้านายในบ้านตามคำสั่งของคุณท่านขุนพรหมและคุณหญิง
    พิมาลา ที่รักและเอ็นดูขุนดอนเหมือนลูกชายของตน พร้อมกับรับปากหลวงตาก่อนท่านมรณภาพว่าจะเลี้ยงดูขุนดอนส่งเสียเล่าเรียนไม่ให้ต้องลำบากในฐานะลูกชายคนหนึ่ง นี่คือสาเหตุที่ทำให้ขุนดอนได้เข้ามาอยู่ใน
    คฤหาสน์ของตระกูลเทพพิทักษ์ขุน แม้ก่อนหน้าขุนดอนจะเคยพบกับคุณท่านขุนพรหมและคุณหญิงพิมาลา พร้อมด้วยคุณขุนทัพก่อนนี้แล้วเมื่ออายุเพียงสิบสองขวบ ในขณะที่อีกฝ่ายอายุสิบขวบ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ขุนทัพ ไม่เคยญาติดีกับขุนดอนเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
    ย้อนหลังไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน  รถเบนซ์สีดำคันหรูนำครอบครัวเทพพิทักษ์ขุน มากราบหลวงตาที่วัด วันนั้นขุนดอนถูกหลวงตาเรียกให้ไปสวัสดีคุณท่านขุนพรหมและคุณหญิงพิมาลา โดยมีเด็กชายอายุไล่เลี่ยกับตนอีกคน  นั้นก็คือคุณขุนทัพจ้องตนตาแป๋ว
      การเจอกันครั้งนั้น เริ่มต้นด้วยดีเพราะตนได้รับหน้าที่ให้เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลพาคุณขุนทัพไปเล่นยังลานวัด ในขณะที่หลวงตาและพวกผู้ใหญ่อยู่คุยธุระกันต่อ  ความเป็นลูกคนรวยคุณขุนทัพจึงมีของเล่นราคาแพงนั่นคือรถยนต์วิทยุบังคับที่นำติดตัวมาด้วย เป็นความสนุกสนานและความสุขครั้งหนึ่งเลยก็ว่าได้สำหรับขุนดอน ฟังจากเสียงหัวเราะของเด็กชายทั้งสองร่าเริงกันอย่างเต็มที่ในขณะที่เล่นรถวิทยุบังคับตรงลานกว้างของวัดด้วยกันนั้น
      “ฮ่าๆๆๆ พี่ดอน บังคับให้เลี้ยวซ้ายดิ ปล่อยชนกองทรายได้ไง ล้อมันก็ติดทรายดิ อ่อนวะ!มาๆทัพสอนขับเอง”  นั่นคือคำพูดของคุณขุนทัพ
    ผู้กระตือรือร้นกับการสอนเพื่อนใหม่นามว่าขุนดอนเล่นรถยนต์บังคับ
    อย่างตั้งอกตั้งใจ  
    “ว้าวๆ! พี่ทำได้แล้ววิ่งฉิวไปเลย ดูดิคุณทัพเลี้ยวจนหลังปัดยังกะรถแข่งเลย เจ๋งป่ะ?” เสียงพูดบ่งบอกถึงความสุข เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เล่นของเล่นราคาแพงและไฮเทคของเด็กวัดอย่างขุนดอน  
      “เจ๋งๆ ใช้ได้หัวดีสอนไม่ยากแหะ!”  คุณขุนทัพผู้วางมาดทำตัวเป็นพี่เลี้ยงสอนเด็กรุ่นพี่อย่างขุนดอน ก็พลอยปลื้มฝีมือการสอนของตนไปด้วย ทุกอย่างเหมือนไปได้สวยหากไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเสียก่อน
      “เฮ้ย! ไงมึงไอ้เด็กกำพร้า มีของดีไม่แบ่งพวกกูเลยนะ” มันคือหัวโจกเด็กแถวนี้ อายุมันสิบห้าเข้าไปแล้ว แถมสมุนอีกเป็นพรวนกว่าหกคนชื่อไอ้โจ้ลูกชาวบ้านแถวนี้ที่มักคอยหาเรื่องกลั้นแกล้งขุนดอนประจำ อาศัยพวกมากเข้าว่า แม้จะตัวโตกว่าอายุมากกว่ามันก็ไม่สามารถกดขุนดอนให้เป็นสมุนในก๊วนได้  นั่นเพราะขุนดอนคือนักมวยเอกรุ่นเยาว์ ที่มักหลบหลวงตาไปชกตามงานวัดประจำ ฝีมือชกมวยของขุนดอนเป็นที่รู้จักกันดีในย่านนี้  ไม่มีมวยเด็กรุ่นไหนสู้ขุนดอนได้เลย แพ้น็อกตลอดจากไหวพริบลีลาสายตาและความคล่องแคล่วว่องไวเป็นเลิศ 
      อาจารย์มวยอย่างคู่บุญ หมายหมั้นปั้นมือให้ขุนดอนเป็นนักมวยเต็มตัว ถึงแม้จะหลบหลวงตาสอนกันก็ตามเถอะ ขุนดอนรู้ดีว่าหลวงตาท่านรู้ แต่ที่ท่านไม่ห้ามคงเพราะเห็นว่าขุนดอนไม่ได้ทำตัวเหลวไหล ที่ชกมวยเพราะหาเงินใช้ส่วนตัวตอนไปเรียน ขุนดอนไม่อยากรบกวนหลวงตาจนเกินไป กระทั่งหลวงตามรณภาพทำให้ชีวิตขุนดอนต้องหักเหเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ  ถึงได้หยุดชกมวยไปโดยปริยาย  แต่ไม่เคยหยุดซ้อมหากมีโอกาสในช่วงคาบว่าง ขุนดอนมักโดดไปซ้อมมวยที่ยิมของมหาลัยเป็นประจำโดยไม่เคยให้ขุนทัพรู้สักครั้ง เหมือนกับตอนแอบหลวงตานั่นแหละเพียงแต่รายนี้ร้ายกว่าหลวงตาหลายร้อยเท่าถึงยอมให้รู้ไม่ได้
      “มึงต้องการอะไรวะไอ้โจ้?” ขุนดอนยืนกร่างถามอย่างเอาเรื่องกับ
    นักเลงรุ่นเยาว์
    “ถ้ามึงไม่อยากให้ไอ้นี่มันเจ็บตัว เอารถคันนั่นมาให้พวกกูเสียดีดี”เป็นการปล้นของเล่นกันซึ่งๆหน้า หากแม้ขุนดอนมาเพียงลำพังแทบจะไม่ต้องคิดว่าต้องทำยังไง ตนหากลัวพวกมันทั้งเจ็ดคนไม่ อย่างมากก็แค่เจ็บตัวแต่อย่างน้อยพวกมันก็คงไม่ต่างกับตนเหมือนกัน  แต่เมื่ออยู่ในภาวะจำยอมเพราะห่วงความปลอดภัยของคุณขุนทัพ  ความคิดในตอนนั้นจึงทำได้แค่เพียงว่า
    “ถ้าพวกมึงได้รถไปแล้วจะไม่ยุ่งกับพวกกูงั้นดิ พูดจริงนะ!” ฟังดูเหมือนคนขี้ขลาด ภาพการยอมแพ้โดยที่ไม่ยอมสู้ของขุนดอน คือความผิดหวังฝังลึกของขุนทัพที่ไม่มีทางลืมได้  เพราะ...
    “ไม่ได้นะไปยอมมันทำไมพี่ดอน นี่มันรถของทัพนะ” เด็กน้อยวัยสิบขวบผิวพรรณลูกคุณหนูจ๋า กลับไม่ยอมที่จะยกรถยนต์วิทยุบังคับให้กลุ่มเด็กอันธพาลเอาไปง่ายๆสบายๆ แต่ต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อ...
    “ให้พวกมันไปเถอะ เชื่อพี่” คำพูดเพียงประโยคเดียว ที่ทำให้ความสัมพันธ์และความรู้สึกดีดีของทั้งคู่เปลี่ยนไปทันที ขุนทัพหมดความศรัทธาเพื่อนใหม่ที่ตนเพิ่งรู้สึกดีด้วยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ด้วยคำจำกัดความตามความคิดของเด็กในเวลานั้นว่า ‘ขี้ขลาดตาขาว’ เบ้าตาสองข้างของใบหน้าหมดจดอย่างลูกคุณหนูคลอไปด้วยน้ำรื้อขึ้นมาวาววับ แต่เจ้าตัวกลับเม้มปากแน่นไม่ยอมให้มันไหลออกมาทำความขายหน้าให้ตนเป็นอันขาด  กำลังยืนจ้องเขม็งมองภาพของเพื่อนใหม่เดินไปหยิบรถยนต์คันเล็กแสนรัก พร้อมกับกล่องบังคับยื่นให้กับไอ้เด็กโข่งที่ข่มขู่เอาไปอย่าง
    ไม่ยอมดิ้นรนขัดขืน พอพวกมันได้ในสิ่งที่ต้องการก็พากันหัวเราะดีใจกันเสียยกใหญ่
    “ฮ่าๆๆๆ ขอบใจวะไม่นึกว่ามึงจะเชื่อง พวกกูไปหละ” พูดจบพวกมันก็ยกโขยงกันเดินจากไปไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้เด็กน้อยลูกขุนหนูยืนกลั้นน้ำตากำมือแน่นจ้องตามของเล่นแสนรักไปอย่างเจ็บปวด  ไอ้เสียดายของเล่นคงไม่เท่าไหร่  แต่เสียใจที่ถูกชิงของรักของตนไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่ทำอะไรเลยต่างหาก
    ในขณะที่เพื่อนใหม่เจ้าถิ่นที่ตนน่าจะพึ่งพาได้ กลับขี้ขลาดตาขาวเป็นฝ่ายตกลงรับปากยกของเล่นของตนให้หน้าตาเฉยเพียงเพราะขี้ขลาดกลัวเจ็บ นั่นคือความคิดของขุนทัพก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปยังกุฏิหลวงตาไม่ยอมเหลียวหลังกลับมาอีกเลย
    แต่ตนหารู้ไม่ว่าสายตาอีกคนที่ยืนมองตามหลังพวกไอ้โจ้ไปนั้น
    ก็แดงก่ำ ข่มความรู้สึกกดดันจนเผลอกัดกรามกรอด พอหันมาเห็นเพื่อนใหม่ใจกว้างวิ่งหนีไปยังทางกุฏิหลวงตา ตนก็สาวเท้าวิ่งออกไปเหมือนกัน แต่หาใช่ทิศทางไปยังกุฏิหลวงตาไม่ กลับเป็นทางที่พวกไอ้โจ้เพิ่งเดินออกไปกันเป็นกลุ่มสดๆ ร้อนๆ
      ขุนทัพไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ในขณะที่ตนกำลังนั่งรถเบนซ์คันหรูเดินทางกลับไปพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดบอบช้ำไม่พูดไม่จาหน้าบึ้งอย่างไม่มีใครทราบสาเหตุ เพราะเจ้าตัวไม่ปริปากเลยสักนิด ทำให้คุณท่านขุนพรหมและคุณหญิงพิมาลาไม่เซ้าซี้ถามให้มากความ  เพราะรู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวเป็นคนหัวแข็งไม่ยอมคนจนติดเป็นนิสัย คงอยู่ในภาวะไม่สบอารมณ์อะไรเข้าสักอย่าง 
                       ในเวลานั้น  คือเวลาเดียวกับที่ร่างของเด็กผอมแกร่งอีกคนกำลังตะลุมบอนกับเด็กกว่าเจ็ดคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงกับหน้าตาแตกยับเลือดกำเดาไหลทะลัก  แต่พวกมันทั้งเจ็ดก็ไม่แตกต่างกันเผลอๆอาจจะหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ บ้างก็เบ้าตาแตกบ้างก็นอนกุมหว่างขาหน้าตาบิดเบี้ยวร้องไห้ระงม  บ้างก็ปากแตกเลือดอาบไม่ต่างกัน 
      สุดท้ายพวกมันถึงกับยกมือยอมแพ้ และยอมคืนรถวิทยุบังคับให้กับขุนดอนในที่สุด ด้วยสภาพเลือดอาบหน้าเนื้อตัวฟกช้ำเสื้อผ้ายับย่นย้อมสีแดงจากเลือดกำเดา  ดูจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเบ้าตาแทบปิดแต่ยังพยายามถือรถยนต์วิทยุบังคับ  ออกแรงวิ่งตามรถเบนซ์คันหรูที่เห็นอยู่ลิบๆ จนหมดแรงล้มฟุบ ก่อนจะละเมอออกมาหวังให้คนในรถได้ยินบ้างสักนิดก็ยังดี
    “คุณทัพ..ผมเอารถมาคืนให้..แล้ว”  เสียงสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลงไปของขุนดอน  
                   ภายในห้องส่วนตัวที่หรูหราสะดวกสบายไม่มีที่ติ ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน จากความกรุณาจากคุณท่านและคุณหญิงขุนดอนค่อยๆ หยิบรถยนต์วิทยุบังคับสภาพดีที่ตนอุตส่าห์เก็บรักษาเอาไว้
    ออกมานั่งมอง พร้อมกับนึกถึงความเป็นมาของเรื่องราวหนหลัง ตนรู้ดีว่าที่คุณทัพไม่ญาติดีด้วย แถมยังกลั่นแกล้งตนอีกนั้นเพราะอะไร ตนเคยเอารถคันนี้ไปคืนให้คุณทัพแล้ว หลังย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ในวันแรก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากเด็กหนุ่มวัยสิบสามปีซึ่งสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่มีที่ติ  เป็นเพียงคำพูดที่แสนเจ็บปวดสั้นๆ ว่า
    “หึ! มึงเก็บไว้ประดับความขี้ขลาดของมึงเหอะ ของพรรณนั้นกูไม่ต้องการและขอบอกไว้อย่าง ไม่ต้องเอามันมาให้กูเห็นอีกจำใส่หัวมึงไว้ด้วยไอ้ขี้ขลาด” นั่นคือสรรพนามที่เลือกขานของอีกฝ่ายลับหลังคุณท่านและคุณหญิง เพราะยามอยู่ต่อหน้าทั้งสองท่านนี้คุณทัพจะเรียกตนว่า‘ดอน’เฉยๆ แต่ขุนดอนก็เข้าใจไม่ถือโทษโกรธคุณทัพแม้แต่น้อยเพราะเรื่องราวมันผ่านมากว่าสามปีตนถึงมีโอกาสนำเอามาคืน  มันนานเกินไปสำหรับที่จะบอกกล่าวให้อีกคนเข้าใจ  เพราะไม่มีโอกาสที่จะได้พูดได้อธิบายอีกเลย
    ในเมื่อคุณทัพในวันนั้น แตกต่างจากคุณทัพในวันนี้อย่างสิ้นเชิงไม่เคยเปิดโอกาสให้ตนได้อธิบายใดๆ นอกจากหัวเสียหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นหน้าตน ไม่เหลือความเป็นมิตรให้กันสักนิด นอกจากการตอกย้ำให้ตนรู้ถึงฐานะตัวเองว่า มึงคือคนรับใช้ของกู ’ไอ้ขี้ขลาด’  คำว่าเพื่อนไม่เหลือให้กันอีกแล้ว  เพราะงั้นด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัวและบุญคุณที่ทำให้ตนสามารถอยู่อย่างสุขสบายร่ำเรียนได้จนถึงทุกวันนี้  แม้จะต้องคอยรองรับอารมณ์ของคุณทัพตลอดเวลา ขุนดอนก็อดทนโดยไม่เคยปริปากบ่น
    ยิ่งช่วงสองสามปีหลังมานี้คุณท่านและคุณหญิงแทบจะไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทยเพราะต้องเดินทางไปดูงานต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ขุนดอนและคุณทัพต้องอยู่ด้วยกันในคฤหาสน์หลังใหญ่เพียงลำพัง นั่นยิ่งทำให้คุณทัพก้าวร้าวและกลั่นแกล้งขุนดอนหนักยิ่งกว่าเก่า..?


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×