คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Part 8
Part 8...ท้าทาย
“เจ้าจักไปที่ใดกัน” ผักตบชะงักเท้าอยู่กับที่ ไม่ได้หันกลับมาตอบ พอเสร็จจากร่วมเสวยพระกระยาหาร
กับองค์เหนือหัวและเหล่าพระญาติ ตลอดจนเสนาอำมาตย์ เขาอุตส่าห์ทำตัวเป็นอากาศธาตุเนียนนัดแนะแม่อย่างดิบดี
คอยรอจังหวะเหมาะดอดหนีออกจากห้องเพื่อกลับห้องพัก
ขอเวลาเตรียมอุปกรณ์ เมื่อต้องเข้าร่วมในห้องรับรองพิเศษตามพระดำรัสเชิญขององค์เหนือหัว
หรือถ้าพูดให้ถูกคือการบังคับกลายๆ ห้ามไม่ให้เขาสองแม่ลูกปฏิเสธ งานนี้ต้องแสดงปาหี่สร้างเกราะคุ้มกันแน่นหนามากกว่าเดิม
หากจะอยู่ที่นี่โดยไม่ตกเป็นเป้าอันตรายล่ะก็
กลับไม่เป็นดังคาด เมื่อบุรุษซึ่งผักตบไม่ยักชอบขี้หน้า ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบด้านหลัง
ทั้งที่เขาสองแม่ลูกหลบออกจากห้องเสวยได้แล้ว กำลังเผ่นไปตั้งหลักให้พร้อมที่ห้องของเขาก่อน
“ผมจำเป็นต้องพาแม่ไปทำภารกิจส่วนตัว” ผักตบยอมหันกลับไปตอบคำถามองค์ชายวายุภักษ์ เขาปรับสีหน้าให้ดูปกติ
ไม่แสดงพิรุธ กลัวอีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่พอใจที่ถูกจับตาดูจากคนตรงหน้า ส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจ เพราะกำลังวุ่นส่งเสด็จเหนือหัว
กับพระมเหสีกันอยู่ เขาจึงอาศัยโอกาสนี้ลอบออกจากห้องเสวย แต่ไอ้เจ้าชายขี้เก๊กยังดันตามมานี่สิ
“เจ้าคุ้นเคยวังหลวงดีกระนั้นหรือ พำนักเพียงหนึ่งราตรีมิพ้นทิวา กลับกล้าเพ่นพ่าน มิเกรงหลงทางแต่อย่างใด”
สุรเสียงทุ้มนุ่มวางอำนาจแฝงความหมายแดกดัน ชนิดคนสมองทึบยังตีความออก แม่เล็กหน้าถอดสีใจเต้นระทึก
ไม่กล้ามีปากมีเสียง ต่อให้คนการศึกษาไม่สูง กลับพอจะรู้ถึงอำนาจบารมีของเจ้าชายสุดหล่อผู้นี้
แค่ใช้นิสัยสอดรู้ซักถามกับพวกผู้หญิงที่มาคอยดูแลความสะดวกในคืนที่ผ่านมา ทำให้ได้ข้อมูลมาพอสมควร
เจ้าชายวายุภักษ์องค์รัชทายาท คือพระโอรสพระองค์เดียวของเหนือหัวอนิละกษัตริย์ของนครไตรคาน
เมืองซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองรองจากมหานครเวฬุวรรณ ที่กำลังมีศึกสงครามกันอยู่ขณะนี้ นั่นไม่น่าสนใจเท่าความสามารถ
ว่ากันว่าเจ้าชายองค์นี้คือตัวแทนของเหล่าทวยเทพจากสรวงสวรรค์ ถือพลังวิเศษเทพธาตุมาเกิด
สามารถเรียกใช้อำนาจจากสายลมได้ตามใจปรารถนา เข้าใจในแบบชาวบ้าน ‘เป็นเจ้าแห่งสายลมนั่นเอง’
แค่นี้พอจะทำให้เธอเกรง โดยไม่ต้องยกอ้างความเก่งกาจด้านอื่นซึ่งมีอยู่อีกเพียบ ทั้งเรื่องฝีมือเพลงดาบเพลงอาวุธ
เป็นชายในฝันของสาวน้อยสาวใหญ่เปรียบซุปเปอร์สตาร์ดัง..ยากบรรยายคุณสมบัติมาได้หมด
“ถ้าหากคุณกลัวผมหลงทาง ตัดความกังวลเรื่องนี้ได้ สมองผมยังใช้งานได้ดี ทางกลับห้องพักผมจำขึ้นใจ
แต่ถ้ากังวลกลัวเพ่นพ่านวุ่นวายในส่วนต้องห้าม สบายใจได้ผมไม่ชอบยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง”
คำพูดโต้ตอบของผักตบ เล่นเอาแม่เล็กตาเหลือก เอื้อมมือกระตุกแขนเสื้อลูกชายเป็นการใหญ่
นอกจากกระตุกยังทำปากขมุบขมิบ พูดโดยไร้ซุ่มเสียงบอกใบ้ให้ลูกชายระวังคำพูด ยังไงอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายเมืองนี้
แม่เล็กลอบชำเลืองพระพักตร์หล่อเหลายังคงเรียบนิ่ง ไม่แสดงอาการหลังผักตบพูดจบ
แต่แววตาแข็งกร้าววาวดุจ้องลูกชายเธอเขม็งแล้ว เดาอารมณ์ได้ไม่ยาก ถ้าจับคอผักตบหักได้
คงไม่เหลือคอตั้งอยู่บนบ่าแน่ น่ากลัวชะมัดยาดเลย เจ้าชายสุดหล่อคนนี้
ไม่ว่าเธอจะพยายามส่งซิกยังไง ไอ้ลูกตัวดีกลับเฉยไม่แม้จะหันมาสบตาเธอนี่สิ
‘กล้ามากลูกกู จ้องตาแข็งไม่มีลดราวาศอก แกกำลังเอาหัวแม่กับหัวแกขึ้นเขียงเสี่ยงหัวขาดอยู่นะไอ้ตบ!’
ผู้เป็นแม่ซึ่งผ่านโลกมามาก ถึงกับก่นบ่นลูกชายในใจ หากเป็นเวลาอื่นเธอคงปรบมือให้ในความกล้า
แต่ไม่ใช่ที่นี่กับบุคคลตรงหน้านี้ มันผิดที่ผิดเวลาไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
“เราพานพบบุคคลวางท่ายโสมิใช่น้อย กลับไม่มีผู้ใดกระตุ้นโทสะของเราได้ แม้นว่าศัตรูก็มิอาจกล่าววาจา
ทำให้โทสะเราบังเกิด วาจาของเจ้าเพียงไม่กี่คำ เรากลับใคร่ทดสอบเสียแล้ว เจ้ามีดีอันใดให้มั่นใจนักหนา
ถึงทะนงตนเพียงนี้ เช่นนั้นมีความสามารถใดจงสำแดงเถิด บุรุษผู้มาจากดินแดนปริศนา” พูดจบพระองค์ผายพระหัตถ์เชื้อเชิญ
ท่าทางดูผ่อนคลาย แย้มสรวลมุมโอษฐ์เพียงเล็กน้อย แม่เล็กตาค้างลอบชื่นชมในใจเท่ระเบิด ตรงข้ามความคิดลูกชายสิ้นเชิง
ผักตบกลับเห็นว่ายียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างของเขาสุดๆ
“มีดีย่อมไม่อวด คนชอบอวดเขาเรียกพวกอวดดี ผมไม่ขอรับคำท้าของคุณ จะเข้าใจว่าขี้ขลาดสุดแล้วแต่
กรุณาอย่ารั้งเรามีภารกิจส่วนตัวต้องรีบไปทำ อีกสักครู่ต้องเข้าห้องรับรองต่อ คงไม่คิดว่าพวกผม
สามารถอั้นปวดหนักปวดเบาได้กระมัง..เจ้าชาย”
ผักตบพูดนิ่มๆ ขณะคนเป็นแม่มือเย็นเชียบใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม หลังหน้าหล่อเหลาจุดยิ้มมุมปากจนเผลอชื่นชม
ตอนนี้แววตาวาวโรจน์เขม็งดุ จ้องผักตบแทนดาบฟันเหวอะไปแล้ว ขืนลูกชายไม่ยอมอ่อนข้อล่ะก็
มีหวังได้เจ็บตัวฟรีเป็นแน่ รายนั้นนอกจากรูปร่างสูงใหญ่กว่าแถมเก่งด้วยสิ
“เจ้าช่างลื่นไหลนัก เพียงชั่วเพลาหายใจไม่ครบ 5 คู่ กลับเปลี่ยนวาจาได้พริบตา เช่นนี้เป็นบุคคลแบบใดกัน
หรือจักเข้าข่ายดังคำกล่าวที่ว่า วาจากลับกลอกหน้าอย่างใจอย่างเช่นนั้นหรือไม่ เรากลับประจักษ์แจ้งในความสามารถ
ที่ภาคภูมิใจของเจ้าเสียแล้ว นี่สินะที่เจ้าเชี่ยวชาญนัก”
พระองค์มิยอมปล่อย ดำรัสคมกรีดลึกสะท้านทรวงไหลจากโอษฐ์ได้รูปอย่างต่อเนื่อง
แม่เล็กที่เคยเจอแต่คำหยาบโลนด่าทอถึงกึ๋น ยังไม่รู้สึกเจ็บร้าวเมื่อเจอวาจาทอดเสียงเรียบโดยไม่ลงน้ำหนัก
แต่สำนวนหลอกด่าเจ็บจี๊ดฟังบาดตับ ยันไปถึงม้าม ปอด ค่อยกระแทกหัวใจเข้าจั๋งหนับ
แปลความหมายกำลังถูกด่าพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน หน้าไหว้หลังหลอกเทือกนั้นเลย
ประโยคเดียวตีความได้เน้นๆ แน่มากเจ้าชายคนนี้ เล่นเอาคนเป็นแม่แทบดิ้นแทนลูกเป็นเจ้าเข้า
ถึงกลับยอมเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ แอบกระซิบกระซาบลอดไรฟันให้ได้ยินกันสองคนแม่ลูก
“ไอ้ตบ!..เค้าด่าแกอยู่นะ ผู้ชายอะไรปากจัดฉิบ ไม่ธรรมดาเลยว่ะ ดูท่าจะไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆ
ท่าทางจะอยากลองวิชาแกให้ได้เลยด้วย” ท่าทางของแม่เล็ก ทำเอาพระโขนงเข้มของยุพราชหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อย
ก่อนปรับเป็นปกติในเวลารวดเร็ว พระองค์กลับมีความสามารถควบคุมพระองคาพยพ
ให้ดูเคร่งขรึมไม่แสดงความรู้สึกได้แนบเนียนเช่นกัน
ผักตบหรี่ตาคมจ้องตอบโดยวางหน้านิ่งไม่หันไปหาแม่ ยังคงจดจ้องพระพักตร์คมคายองค์ชายวายุภักษ์ไม่วางตา
ทั้งคู่ต่างจ้องกันชนิดไม่มีใครยอม ประหนึ่งกำลังทดสอบพลังจิตดูใครจะหลบตาก่อน ผักตบแอบกระซิบตอบแม่เล็กไปเบาๆ
“ผมรู้แม่เฉยไว้ ให้ผมรับมือหมอนี่เอง” ลูกชายปราม คนเป็นแม่ที่รู้สึกเดือดดาลยอมทำตามอย่างว่าง่าย
เธอรู้สถานการณ์ตรงหน้าแตกต่างจากที่เคยลับฝีปากกับคนแถวสลัม ฉะนั้นบุคคลที่เธอกำลังผจญอยู่เวลานี้
สมควรยกให้ลูกลุยเหมาะสุด จัดเป็นมวยไล่รุ่นถูกคู่ดีแล้ว เธอไม่คุ้นการรับมือคนประเภทนี้เสียด้วย
ประเภทหน้านิ่งบุคลิกสง่างามจนไม่กล้าแตะ
“อย่างนี้ไหม ถ้าต้องการพิสูจน์ฝีมือ เรายืนห่างกันคนละ 5 ก้าว ผมจะไม่แตะต้องร่างกายคุณแม้เส้นผม
แต่จะทำให้คุณออกจากจุดที่ยืน หากคุณไม่ขยับถือว่าผมแพ้ แต่ถ้าขยับถือว่าคุณแพ้
ห้ามพิสูจน์เวทย์มนต์ความสามารถของผมอีก ตกลงไหมเจ้าชาย”
ผักตบวางแผนในหัวอย่างเร็ว เป็นฝ่ายยื่นเงื่อนไขให้ยุพราชหนุ่มเสียเอง องค์ชายวายุภักษ์นิ่งไปอึดใจใหญ่
จ้องผักตบสำรวจเล่ห์เหลี่ยมว่าวางกำดักล่อลวงหรือไม่ ระหว่างนั้นพวกเสนาอำมาตย์ กลกะลา มหาโหรา
และข้าราชบริพารอีกไม่น้อย ส่งเสด็จเสร็จพากันเดินมาทางนี้พอดี พอเห็นพวกเขาสามคนยืนจ้องกันด้วยท่าทางแปลกๆ
ต่างให้ความสนใจมุ่งตรงมาทางนี้แทน นำหน้าโดยมหาโหราผู้เฒ่าและกลกะลาองครักษ์คู่กาย
“วายุภักษ์ เจ้ามีอันใดหรือ” มหาโหราเป็นฝ่ายถามศิษย์รัก ทุกคนที่มาสมทบ
ต่างรอฟังด้วยความสนใจใคร่รู้ด้วย ฝ่ายศิษย์เมื่อพระอาจารย์ไต่ถาม ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ตอบคำ
“บุรุษผู้นี้กำลังยื่นคำท้า แม้นข้าเพียงขยับกายออกจากจุดที่ยืน โดยเขาไม่แตะต้องกระทั่งเส้นผม
ให้นับว่าข้าพ่ายแพ้แก่เขา” องค์ชายผินพักตร์มาตอบคำถามผู้เป็นอาจารย์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“กาลใดทำให้เกิดการทดสอบเช่นนี้เล่า” ผู้เฒ่าชราแคลงใจถึงสิ่งที่ได้รับรู้
มีเหตุผลอะไรทำให้มีการท้าทายให้เกิดผลแพ้ชนะระหว่างสองคนนี้
“ย่อมเป็นข้าที่เริ่ม ข้าใคร่พิสูจน์ฝีมือเวทย์มนต์ที่เขาเชี่ยวชาญสามารถนัก
ผู้อ่อนด้อยเช่นข้าจักรับมือได้หรือไม่ขอรับ พวกท่านมาดีแล้ว จักได้เป็นสักขีพยานในการพิสูจน์หนนี้”
“หามิได้พะยะค่ะฝ่าบาท” กลกะลาถลันออกไปค่อมศีรษะทัดทานเหนือหัวของตนทันที
“แม้แต่เจ้า มิอาจเชื่อข้าจักชนะงั้นหรือ” ยุพราชหนุ่มถามองครักษ์ พระองค์รู้สึกแปลกพระทัย
กลกะลาถึงกลับออกหน้าทักท้วงไม่ให้พระองค์รับคำท้าของบุรุษผู้มาจากดินแดนปริศนา คบหากันมาตั้งแต่วัยเยาว์ชันษา
กลกะลาไม่เคยท้วงติงเพราะเชื่อมั่นในพระองค์ เคยรบเคียงไหล่ซึ่งพระองค์พลาดท่าเสียทีให้แก่องค์หญิงชลธารเพียงหนเดียว
ที่ผ่านมาพระองค์ยังไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้ผู้ใดมาก่อน แค่เงื่อนไขขยับพระวรกายช่างเป็นเรื่องที่พระองค์ทรงมั่นพระทัยนัก
หากใช้พลังวายุสร้างเกราะป้องกันพระวรกายใยจักพ่ายแพ้ได้อีกเล่า มาดแม้นอีกฝ่ายใช้พลังมหาธาตุอัคคี
ย่อมมิอาจทำลายอาณาเขตกำแพงวายุเข้ามาได้ จักมีอันใดที่บุรุษหนุ่มหน้าขาวผู้นี้สามารถทำให้พระองค์เคลื่อนกายอีก
หากพระองค์ประสงค์ประทับตรงนี้
“พระอาญามิพ้นเกล้าพะยะค่ะ ข้าพระองค์เห็นว่าฝ่าบาทมิบังควรลดพระเกียรติรับคำท้าบุรุษผู้นี้
ทรงรับสั่งให้ข้าพระองค์กระทำแทนเถิด ตัวข้ามั่นใจจักทำให้บุรุษต่างแดนประจักษ์ในชาวไตรคาน หาได้ด้อยฝีมือไม่”
กลกะลาออกตัวแทน ว่ากันตามศักดิ์แล้วองค์ชายวายุภักษ์มิควรลดวรองค์ นับตามลำดับฝีมือเขาเป็นองครักษ์คู่กาย
มั่นใจว่าไม่ได้ประเมินฝีมือผักตบผิดพลาด สิ่งที่ทำให้กลกะลาคาดการเช่นนี้ เกิดจากการสังเกตท่าก้าวย่าง
คนที่ผ่านการฝึกฝีมือเชิงอาวุธทักษะต่อสู้จนเก่งกาจ การก้าวเท้าย่อมเงียบกริบแทบไม่ลงน้ำหนัก
ผักตบไม่มีท่วงท่าเดินเหินอย่างบุคคลฝึกปรือฝีมือ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกมีฝีมือสูงส่ง คงมีดีแต่เวทย์มนต์เสียมากกว่า
แต่ใช่ว่าเขาจะไม่มีวิชาอาคม หากใช้พระเวทย์เขาก็พอมีหนทางรับมือเช่นกัน
“เจ้าแน่ใจหรือ บุรุษผู้นี่แม้นมิใช่ผู้ฝึกทักษะการต่อสู้ เจ้าอย่าลืมเขาถือครองมหาธาตุอัคคี หากใช้พลังอัคคี
เกรงว่าเจ้าหาใช่คู่มือเขาไม่” คำกล่าวเตือนขององค์ชาย ทำให้กลกะลายั้งคิดไตร่ตรอง โดยมิตอบคำ
“ปล่อยเขาทดสอบแทนเจ้าเถิดวายุภักษ์ ข้าก็ใคร่ประจักษ์เช่นกันหากบุรุษผู้นี้เรียกมหาธาตุอัคคีเป็นอาวุธ
เจ้าก็สามารถสร้างเกราะกำบังเพลิงให้กลกะลาได้ ในเมื่อเงื่อนไขเพียงระบุมิให้ขยับกายออกจากจุดที่ยืน
ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกินกำลังองครักษ์ของเจ้าดอก” วาจามหาโหราผู้เฒ่า ล้วนได้รับการสนับสนุนจากเสนาอำมาตย์ผงกศีรษะตาม
ด้านสองแม่ลูกยืนฟังพวกเขาสนทนา เริ่มกระซิบกระซาบเพราะแม่เล็กร้อนใจกับสิ่งที่ได้ยิน
นึกเป็นห่วงลูกชายอย่างบอกไม่ถูก คนพวกนี้ต่างพูดถึงพลังเร้นลับ แม้ไม่เห็นกับตาแต่ใช่จะไม่มีจริง
“ตบ..แกแน่ใจว่าจะทำให้มันแพ้ได้ พวกมันดูมีพลังมีเวทย์มนต์นะ เรายังไม่รู้ไม่เห็น
มากันขั้นนี้..แม่ว่าพวกนี้คงมีพลังวิเศษอยู่จริง”
“ผมก็คิดแบบนั้น ถ้าของพวกนี้ไม่มีจริง เราสองคนคงไม่มาโผล่ที่นี่ได้หรอกครับแม่ ไว้ใจเถอะผมจะใช้อุบายสู้แทน”
ฟังลูกยืนยันจากปาก คนเป็นแม่แม้จะแอบกังวล แต่ก็มั่นใจว่าลูกแก้ปัญหาได้แน่ ไม่ทันไรฝ่ายตรงข้ามก็พูดกับองครักษ์ส่วนตัวว่า
“เช่นนั้น..ข้าจะให้เจ้ารับมือ” รับสั่งจากยุพราชหนุ่ม กลกะลาค้อมศีรษะถวายความเคารพเพื่อรับพระบัญชา
จากนั้นองค์ชายผินพระพักตร์ตรัสกับผักตบว่า
“เราจักให้องครักษ์นามกลกะลา เป็นตัวแทนทดสอบฝีมือกับเจ้า มีปัญหาอันใดหรือไม่” พระองค์รับสั่งถาม
“หึหึ! หมายความคุณไม่กล้า” ผักตบหัวเราะเสียงต่ำ ถามกลับไปด้วยสีหน้าแววตาดูแคลนนิดๆ
เขาจำต้องกำราบคนตรงหน้าไม่ใช่องครักษ์
“บังอาจนัก..กำเริบเสิบสานยิ่ง แม้นเจ้ามีฝีมือเพียงใด พึงสังวรไว้เจ้าอยู่ในแผ่นดินไตรคาน
หากหมิ่นพระเกียรติองค์ชายอีก ข้าจักเป็นผู้สั่งสอนให้เจ้าได้รู้สำนึก” กลกะลาตวาดเสียงเข้ม เมื่อระงับโทสะไว้ไม่ไหว
เขาทนเห็นสายตากิริยาที่ผักตบเอ่ยวาจาต่อองค์ชายวายุภักษ์ไม่ได้ บ่งบอกว่าท้าทายองค์ชายของเขาอย่างชัดเจน
“เออเหะ! น่ายกนิ้วให้ ซื่อสัตย์จงรักภักดีแบบนี้หายาก ที่พูดไม่ได้แปลว่าผมดูถูกองค์ชายคุณ
ในเมื่อคุณเป็นผู้ท้าผมก่อน ตอนนี้กลับออกตัวให้องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ทดสอบแทน จะให้คิดยังไง” ผักตบชี้แจงเสียงเรียบ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ยินยอม เราเพิ่งเจอผู้กล้าขัดรับสั่ง หากเจ้ายืนกรานให้เราเป็นผู้รับการทดสอบ
ก่อนอื่นเจ้าลองประจักษ์ในฝีมือของเราดูก่อน” พูดจบพระองค์ยกหัตถ์ขวาชูสุดพระกร พร้อมรับสั่งเสียงทุ้มกังวานให้ได้ยิน
“สายลมแห่งเรา จงฟังเรา ณ บัดนี้” สิ้นสุรเสียง ผักตบถึงกับรีบกันแม่เล็กให้ออกห่างตัวทันที
เพราะรับรู้ถึงมวลอากาศผิดปกติกดดันหมุนวนอยู่รอบร่าง ในความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก
ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ในบ้านก่อนเขาหมดสติ พลันวูบขึ้นในหัว..เขาเห็นมวลน้ำหนาแน่นหมุนเป็นเกลียวสว่าน
ตีวงกว้างโอบล้อมเขากับแม่ ก่อนสติจะดับมืดไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ไม่ต่างกับตอนนี้ เพียงแต่ไม่ใช่น้ำ
เป็นกระแสลมที่หมุนวนรอบร่างทำเอาชุดที่ใส่ปลิวแนบตัว ทรงตัวจวนไม่อยู่แล้วตอนนี้
“เจ้าจักแก้ไขเช่นไร เราใยไม่สัมผัสถึงกระแสมหาธาตุอัคคีต่อต้าน แม้แต่เกราะป้องกันรอบกายเจ้าหามีไม่
เช่นนี้เราสามารถยกร่างของเจ้ากระแทกพื้นได้ในพริบตา” พูดจบร่างของผักตบลอยขึ้นจากพื้น
ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองอย่างตื่นตะลึง ถึงพวกเขาจะรู้องค์ชายคือเจ้าแห่งสายลม
แต่น้อยคนจะได้เห็นพลังที่พระองค์สำแดง ต่างจากมหาโหรากับกลกะลา พวกเขาคุ้นชินเป็นอย่างดี
นี่เพียงแค่สั่งสอนเล็กน้อยของพระองค์ ไม่ได้หวังทำร้ายผักตบให้บาดเจ็บแต่อย่างใด
“ผักตบ..ตบลูกแม่ ปล่อยลูกฉันเถอะค่ะเจ้าชาย ตายแล้วเอามันลงมา เดี๋ยวได้ตกคอหักกันพอดี”
แม่เล็กโวยวาย หลังได้สติจากที่ถูกลูกดันเธอถอยออกห่าง หันไปอีกทีลูกตกอยู่ในวงล้อมลมพายุหมุนรอบร่างแล้ว
คนอื่นไม่ได้โดนไปด้วย ตอนนี้ผักตบตัวลอยสูงขึ้นจากพื้นเหนือหัวทุกคน ต้องแหงนหน้ามอง องค์ชายกลับยืนยิ้มมุมปาก
เหมือนผู้ใหญ่กำลังสนุกในการกลั่นแกล้งเด็กเสียอย่างนั้น
“เจ้าจักยอมแพ้หรือไม่ หากยอมแพ้เราจักพาลงสู่พื้น” ทรงรับสั่งถามผักตบ
ซึ่งลอยเคว้งกลางอากาศสีหน้าดูลำบากใจ ก่อนกลับมานิ่งขรึมจ้องมองคนถามเขม็ง โดยไม่ยอมเอ่ยปากตอบ
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอดูว่า ผักตบจะปริปากยอมแพ้หรือเปล่า กลับต้องตกใจแตกฮือ
กระโดดหนีอุดหูกันจ้าละหวั่น แม้แต่องค์ชายยังต้องกระโดดลอยวรองค์..ห่างไปเป็นสิบก้าวด้วยเช่นกัน
“ปังๆๆๆ!!!..เพล้งๆๆ!!..เปรี้ยง!!..เพล้งๆๆ!!..ว๊ากกก!..เฮ้ยยย!!” เสียงปืนรัวกว่าสิบนัดต่อเนื่องไม่หยุด
กระถาง โคมไฟ คบเพลิง ของตกแต่งแตกกระจายดังสนั่นลั่นบริเวณ แต่กลับไม่มีใครบาดเจ็บ ต่างกระโดดวิ่งหลบอุตลุต
ผักตบไม่คิดจะยิงใส่คน เขาเลือกเล็งเป้าไปยังสิ่งของ พานแตกระเนระนาด ผู้คนต่างวิ่งหลบกระสุนปืนอุตลุต
“ปล่อยผมได้หรือยัง คุณแพ้แล้วองค์ชาย คุณขยับกว่าสิบก้าว รักษาคำพูดใช่ไหม”
เสียงตวาดถามดังจากร่างที่ลอยสูงเหนือพื้น ในมือมีปืนพกสั้นถืออยู่ ฝ่ายถูกถามถึงกับจนคำพูดหลักฐานเห็นกันทนโท่
ยุพราชหนุ่มลอยตัวด้วยพลังลม ออกห่างกระถางที่แตกกระเด็นหนีไกลเป็นสิบก้าว แม้แต่กลกะลา มหาโหรา
เสนาอำมาตย์ฟากเดียวกัน ต่างวิ่งหัวซุกหัวซุ่นแอบตามหลังเสาคนละต้นสองต้น
บางต้นอยู่ถึงสองคนกอดกันตัวสั่น..ยกมือปิดหูไว้แน่น
“นี่เป็นเวทย์มนต์ใด ใยมีพลังทำลายรุนแรงแหลมคมถึงเพียงนี้”
มหาโหราผู้เฒ่าเปรยให้ได้ยิน ทุกคนค่อยโผล่หน้าออกมาดูกล้าๆ กลัวๆ ต่างตั้งคำถามในใจด้วยเช่นกัน
“เป็นเวทย์มนต์ที่ไม่มีในแผ่นดินนี่หรอก” ผักตบพูดขึ้น ในสภาพที่ยังลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ
“เจ้าเป็นผู้ชนะ” รับสั่งจบ ร่างผักตบลอยสู่พื้นอย่างมั่นคง พร้อมกับแม่เล็กที่ยืนอุดหู
ได้สติวิ่งเข้าไปรวบกอดลูกชายแน่น ผักตบกอดกระชับปลอบขวัญแม่ตอบ แม่คงตกใจพอดูที่เขายิงปืนรัวกระหน่ำ
“ขอโทษครับแม่ ที่ทำให้ตกใจ” เขารีบขอโทษแม่เล็ก
“เรื่องนั้นไม่เป็นไร แม่ห่วงกลัวแกจะเป็นอันตราย คนพวกนี้ล้วนมีคาถาอาคมน่ากลัวนะตบ ดีที่แกมีปืนพวกมันไม่รู้จัก”
ผู้เป็นแม่รีบพูดให้ลูกสบายใจ มือไม้ลูบคลำตามร่างกายสำรวจว่าลูกบาดเจ็บตรงไหนหรือไหม
“ผมไม่เป็นไรครับเขาแค่ขู่ ถ้าเหวี่ยงกระแทกพื้นก็ไม่แน่ อาจม้ามแตกตายได้เหมือนกัน”
ผักตบพูดหน้านิ่ง แอบติดตลกปิดท้าย
“ยังมีหน้าทำขำ หน้าสิ่วหน้าขวานอยู่ด้วย” แม่ดุเบาๆ ไม่จริงจัง
“แม่ดูหน้าพวกเขาสิ กลายเป็นกลัวเราไปแล้ว คนเรามักกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก เป็นหลักจิตวิทยาทั่วไป
แค่นำมาใช้กับคนพวกนี้ โชคดีเรามีของเล่นมาเยอะ บางทีพวกเขาอาจคิดว่าเราเป็นจอมขมังเวทย์ไปแล้วด้วยมั้ง”
ผักตบพูดไม่ผิด พอเธอหันไปสำรวจ แต่ละคนไม่กล้าสู้ตาเธอเลย ยืนก้มงุดซุบซิบกันใหญ่
ยกเว้นองค์ชายคู่กรณีดูนิ่งเฉยควบคุมตัวเองได้มั่นคงกว่าใคร ยังมีมหาโหรายืนคิ้วขมวดข้างองค์ชาย
ส่วนองครักษ์พิทักษ์นายจ้องผักตบอึ้ง แม้สีหน้าไม่ออกอาการหวาดกลัว แต่แววตาดูสับสนมึนงงอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อาจไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็นอยู่ก็ได้
“คึคึ! ถ้าจะเป็นอย่างที่แกพูด พวกนี้ไม่รู้จักปืน” แม่แอบหัวเราะเมื่อมั่นใจไม่มีใครรู้จักอาวุธในยุคสมัยที่เธอกับลูกจากมา
“ผมกับแม่ ขอตัวไปห้องพักได้หรือยัง..เจ้าชาย” ผักตบต้องการปลีกตัวออกจากตรงนี้โดยเร็ว
“เช่นนั้นเราจักให้กลกะลาเป็นผู้นำเจ้าไป” ผักตบปฏิเสธทันควัน
“ไม่รบกวนดีกว่า ผมกลับถูกทางอยู่หรอก”
“เข้าใจผิดแล้ว นับแต่เจ้ายื่นข้อเสนอให้มารดาพักร่วมตำหนัก เรามีรับสั่งให้ย้ายของเจ้ามายังตำหนักวาโยทิพย์
เจ้ามิรู้ทางดอก หาใช่ตำหนักรับรองอาคันตุกะ ที่เจ้าพำนักราตรีที่ผ่านมาแล้ว” ฟังแบบนี้ผักตบถึงกับคิ้วมุ่นเข้าหากัน
“หมายความว่าไง ย้ายกระเป๋า..หมายถึงสิ่งของที่คุณบอกครับ”
ต้องแปลตามด้วย หลังอีกฝ่ายคิ้วกระตุกไม่เข้าใจที่เขาพูด
“ในวังล้วนมีกฎระเบียบเคร่งครัด บุรุษสตรีมิอาจพำนักร่วมกันได้ องค์ชายจึงมีพระบัญชาให้เจ้ากับมารดา
ไปพำนักยังตำหนักส่วนพระองค์ ถือเป็นเกียรติสูงสุดที่เจ้าได้รับ สมควรขอบพระทัยที่ทรงต้อนรับพวกเจ้าในตำหนัก
ยังมิเคยมีผู้ใดได้รับเกียรติเช่นนี้ พวกเจ้าเป็นบุคคลแรก” กลกะลาเป็นผู้อธิบายให้ผักตบกับแม่เล็กฟัง
สองแม่ลูกหันมองหน้ากัน ผักตบค่อยหันกลับไปจ้องเจ้าของตำหนักโดยตรง
“ผมขอบคุณที่กรุณาให้ไปพักในตำหนัก ว่าแต่ผมกับแม่นอนห้องเดียวกันใช่ไหมครับ”
องค์ชายรูปงามถึงกับขมวดพระโขนง พยายามสะกดกลั้นไม่ให้แย้มสรวลหัวเราะคำถามของผักตบ
“เจ้ากังวลสิ่งใด ตำหนักเรามีสองห้องย่อมมิอาจพำนักร่วมกับมารดาเจ้า หรือกลัวพำนักร่วมกับเราเช่นนั้นหรือ”
พระองค์ถามสีพระพักตร์ขบขัน สังเกตจากสายพระเนตรระริกไหว แม้นไม่แย้มสรวลหลุดหัวเราะ แต่บรรดาคนคุ้นเคยพอดูรู้
กลับพากันสงสัยในพระอารมณ์สุนทรีที่บังเกิดกับองค์ชายของพวกตน
“พูดจริงหรือพูดเล่น ยังไงผมก็ไม่พักร่วมกับคุณแน่ ผมไม่ชินนอนกับคนแปลกหน้า ถ้ามีสองห้องผมนอนกับแม่
ไม่ใช่กลัวอย่างที่บอกผมไม่ชินนอนกับคนไม่คุ้น” ผักตบตอบเสียงเข้ม หน้าขาวหล่อจ้องสบตาที่แสดงอาการตลก
จนเขาหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“เราเห็นว่าเจ้าควรปรับให้คุ้นเคยไว้ ยามที่ต้องพักแรมนอกวังเจ้ามิอาจนอนลำพัง แผ่นดินทะเลทรายล้วนมีข้อจำกัด
เจ้ามาจากดินแดนปริศนาควรหัดเรียนรู้เสียตอนนี้ เราหาได้ล้อเล่นตำหนักของเรามีสองห้อง ไม่สมควรที่บุรุษสตรีพึงพำนักร่วมกัน
ถือว่าผิดกฎมณเฑียรที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยเคร่งครัด เว้นเสียแต่คู่วิวาห์ เจ้ากับมารดาหาได้เข้าข่ายเงื่อนไขนี้แต่ประการใด
เรารับปากเพียงยอมให้มารดาพำนักตำหนักเดียวกับเจ้า สามารถอาบน้ำตามที่เจ้าร้องขอ ยกเว้นพำนักห้องหับเดียวกัน
เพียงนำมารดาเจ้าออกจากตำหนักของสตรี ถือว่าอ่อนข้อให้เจ้ามากแล้ว หวังว่าเจ้าคงไม่ทำให้เราลำบากใจไปกว่านี้”
เจอไม้นี้เข้าผักตบกลืนน้ำลายเหนียว สายตาผู้ร่วมเหตุการณ์ยืนยันว่าองค์ชายของพวกเขาไม่ได้โกหก
แถมยังส่งสายตากดดันให้ผักตบซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเสียสละพระตำหนักส่วนพระองค์
“สรุป..ผมพักห้องไหน” เขาต้องการคำยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
“ย่อมเป็นห้องบรรทมของเรา”
“หา!!!” คราวนี้ทั้งเสียงของผักตบและแม่เล็ก ที่ขานขึ้นพร้อมกัน
“เจ้ามีอันใดไม่สะดวก หากยืนกรานลำบากใจที่เจ้าไม่คุ้นพำนักร่วมห้องบุคคลแปลกหน้า
ถือว่าเจ้ากับเราเจอกันแล้วย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้าอีก เราเองใช่สะดวกใจนัก ด้วยจำเป็นมิอาจให้เจ้าพำนักห้องอื่นใด
ตำหนักเรามีห้องหับเพียงสองหามีมากกว่านั้น คิดเสียว่าเจ้าอาศัยหลับนอนใยต้องยุ่งยากมากความ
ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ยื่นข้อเสนอแก่เราเองมิใช่” เจอย้อนเหมือนพระองค์เป็นผู้เสียสละ
ผักตบกลายเป็นคนสร้างปัญหาขึ้น ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันกลายเป็นแบบนี้
“ตำหนักอาคันตุกะเดิมล่ะครับ ทำไมผมกับแม่พักที่นั่นไม่ได้
ขอเหตุผลดีๆ สักข้อ ให้ผมตัดสินใจหน่อยได้ไหม” เขายังไม่ยอมแพ้
“เราบอกเจ้าไปแล้วบุรุษ วังหลวงแบ่งแยกชัด ฝ่ายในเป็นส่วนของสตรีพำนัก มีพระมารดาเราดูแล
พร้อมนางข้าหลวงคอยดูแลเหล่าสตรีในวังทั้งหมด ฝ่ายนอกคือที่พำนักของบุรุษ ไม่เว้นกระทั่งตำหนักพระบิดา
และตำหนักวาโยทิพย์ของเราก็เช่นกัน เจ้ายังมีข้อสงสัยอันใดอีกหรือ หากเราไม่นำเจ้ากับมารดามาไว้ยังตำหนัก
ใยมิกลายเป็นเรื่องครหาให้ผู้คนนินทาไปทั่ววัง กับอภิสิทธิ์ที่พวกเจ้าได้รับการยกเว้น
กษัตริย์ครองนครเสด็จพ่อของเรายังมิพำนักร่วมตำหนักกับเสด็จแม่ เช่นนี้แล้วเจ้าเข้าใจหรือไม่”
เจอเหตุผลที่เขาไม่คิดว่าขนบธรรมเนียมในวัง จะเคร่งระเบียบกันขนาดนี้
ถึงกับเป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นไม่ได้ จึงไม่สามารถพูดแย้งได้อีก
“ผมต้องร่วมห้องกับ..คุณ” ผักตบย้ำช้าๆ เน้นๆ อีกเป็นครั้ง
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว” องค์ชายยืนกราน
“ตบยอมเถอะลูก ยังไงแม่กับแกก็อยู่ใกล้กัน ดีกว่าแยกกันนะลูก ขืนดื้อเพ่งแม่ว่าเรื่องจะไม่จบ
ดูท่าแล้วฝ่ายนี้เขาไม่ยอมให้เราแม่ลูกนอนร่วมห้องแน่ บางทีธรรมเนียมของเขาเคร่ง
จนเราก็ไม่สามารถบังคับให้เขาตามใจเราได้นะตบ” แม่เล็กจับแขนลูกเอ่ยให้สติ
เมื่อเห็นอาการของผักตบอิหลักอิเหลื่อ กับการที่ต้องนอนร่วมห้ององค์ชายเจ้าของตำหนัก
“หวังว่าห้องคุณมีเตียงคู่ ไม่ใช่เตียงเดี่ยว” ลูกชายแม้จะยอมถอยแต่ก็ยังไม่หมดปัญหา
“เจ้าหมายถึงสิ่งใด” พระองค์กลับเป็นฝ่ายงง
“ผมหมายถึงมีเตียงนอนกี่เตียง คงไม่ใช่เตียงเดียวใช่ไหม” คราวนี้อธิบายให้ชัดเจนกว่าเดิม
“นั่นไม่ต้องกังวล แม้นเรามีร่างกายใหญ่โต แต่เตียงบรรทมกลับกว้างพอให้คนรูปร่างเท่าเรานอนได้ถึงสี่คน”
คำตอบไปคนละทาง
“ที่พูดนี่..ไม่ได้แปลว่าผมต้องนอนเตียงเดียวกับคุณ” ผักตบถามช้าๆ แอบกังวลในใจไปด้วย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” ยุพราชหนุ่มตอบสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
“ไม่ได้!!” ปฏิเสธทันที เผลอเสียงเข้มจนคนฟังสะดุ้งตามเป็นแถว
“มีอันใดไม่สะดวก เราเป็นบุรุษ เจ้าเป็นบุรุษ หามีสิ่งใดต้องกังวล” ผักตบจนคำพูดกับสิ่งที่อีกฝ่ายยกอ้าง
เพียงรู้อยู่แก่ใจกูเป็นผู้ชายที่มีมดลูกมีประจำเดือนไม่เหมือนมึงนี่หว่า! แต่เรื่องนี้ได้แต่ก่นบ่นในใจ
“ตกลงผมไม่เหลือทางเลือก” อดถามถึงทางเลือกอีกครั้ง
“เว้นเสียแต่เจ้ายอมให้มารดาพำนักฝ่ายใน ย่อมมิเป็นปัญหาที่เจ้าจักพำนักห้องว่างในตำหนักเรา
หรือจักกลับไปพำนักตำหนักรับรองอาคันตุกะดังเดิมก็ย่อมได้” หมดคำถาม ให้เขาเลือกแยกกับแม่
เขาเลือกอย่างแรกดีกว่า ขืนห่างตาไม่รู้ว่าแม่จะพบเจออะไรบ้างกับสถานที่และผู้คนต่างยุคสมัย มีพลังเวทย์มนต์คาถา
ในรั้วในวังที่ถือยศฐาบันดาศักดิ์ ผิดพลาดอะไรขึ้นเขากลัวจะช่วยเหลือแม่ไม่ทันการ
“เอาเถอะ ให้คนของคุณนำไป” สุดท้ายก็ต้องยอมทอดเสียงอย่างจนหนทาง
ก่อนพระองค์จะรับสั่งให้กลกะลานำสองแม่ลูกไปยังตำหนักวาโยทิพย์ คณะติดตามเริ่มทยอยแยกย้ายไปทำหน้าที่
ส่วนองค์ชายและพระอาจารย์ทรงแยกไปอีกทาง คงไปรอยังห้องรับรองพิเศษ...
>
>
“ดูพวกเขาจริงจังมาก” แม่เล็กกระซิบบอกลูกชาย หลังอยู่ภายในห้องรับรองพิเศษ
เหนือหัวองค์อนิละและพระมเหสีประทับเป็นประธาน องค์ชายวายุภักษ์ พระเชษฐาองค์อนิละกับพระธิดาศศิธร
พร้อมมหาโหรา นั่งเรียงลำดับทางฝั่งซ้ายพระกร เหลือเก้าอี้ให้สองแม่ลูกฝั่งขวา กลกะลารับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยภายในห้องยืนตรงประตู ด้านนอกยังมีองครักษ์อีก 4 นาย มีพระบัญชารับสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเฝ้าในเวลานี้
“เจ้าประทับใจตำหนักโอรสเราหรือไม่..บุรุษหนุ่ม” เหนือหัวรับสั่งถามผักตบ หลังสองแม่ลูกนั่งลงเรียบร้อย
ฝ่ายถูกเจาะจงมองสบพระเนตร พระสุรเสียงบ่งบอกไมตรีจิต แฝงความอาทรมาให้จริงใจจนสัมผัสได้
“ด้านความสวยงาม..ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่ตื่นตาตื่นใจมากครับ ผมหมายถึงการก่อสร้างแปลกตาและสวยงาม
แต่ถ้าเป็นเรื่องความสะดวกใจที่ต้องพักร่วมห้องกับองค์ชาย ผมไม่สะดวกใจเท่าไหร่ครับ” ผักตบตอบตามที่รู้สึกไม่ปิดบัง
เล่นเอาฝ่ายถูกพาดพิงซึ่งประทับหล่ออยู่ตรงกันข้าม ถึงกับพระโขนงหนาเข้มขมวดเข้าหากัน เนตรคมกริบจ้องผักตบวาววับ
เขายอมรับตำหนักองค์ชายวายุภักษ์ ที่ชื่อพระตำหนักวาโยทิพย์ สวยงามทางสถาปัตยกรรม
สร้างด้วยแท่นหินทั้งหลัง มีความเป็นอาร์ตดิบแต่กลับคลาสสิคถูกใจสุดๆ เครื่องตกแต่งภายในไม่มากไม่น้อยเกินดูลงตัว
ล้วนเป็นเครื่องปั้นมากกว่าจะเป็นพวกโลหะ เหมือนที่เห็นจากตำหนักรับรองอาคันตุกะและอาณาบริเวณภายในวัง
ดังนั้นตำหนักนี้จึงดูแตกต่าง
สำคัญลวดลายภาชนะเครื่องใช้ เหมือนกับเขาอยู่ในดินแดนธิเบตบนเทือกเขาหิมาลัย
มากกว่าอยู่กลางทะเลทราย รู้สึกถึงการผสมผสานทางศิลปะวัฒนธรรมซึ่งหลากหลายอยู่พอสมควร
“ฮะฮ่าๆ..นามของเจ้าคือผักตบ เช่นนั้นให้เราเรียกเจ้าตามนามนี้เป็นไรไหม”
เหนือหัวกลับแย้มสรวลหัวเราะร่า พระพักตร์ดูสำราญเบิกบานพระทัย พระองค์ทรงเห็นวาจาผักตบเป็นเรื่องรื่นเริงไปเสียนี่
“เชิญครับ..ผมไม่เข้าใจ..ฝ่าบาทขบขันคำพูดผมทำไมหรือครับ” ผักตบอนุญาตพระองค์
หลังฟังสรรพนามแทนตัว ‘บุรุษหนุ่ม’ แปร่งหูพิลึก ไม่เข้าใจเหนือหัวนึกขำคำตอบของเขา ที่บอกความรู้สึกไปตรงๆ ทำไมกัน
“โอ้! เราเผลอไร้มารยาทเสียแล้ว วายุภักษ์โอรสเราใยมิลำบากใจกว่าหลายเท่า
กล้าวางใจนอนร่วมกับเจ้า..ใยมิคำนึงว่าเจ้าอาจลอบทำร้ายในยามหลับ นั่นย่อมเป็นโอรสของเราที่เสี่ยงชีวิตมากกว่า
หากเทียบความลำบากใจของเจ้าแล้ว ผู้ใดเสียเปรียบเล่า ผักตบเจ้าว่าเรากล่าวถูกหรือไม่”
รับสั่งแบบนี้ผักตบอึ้งไปเช่นกัน เขาไม่ทันนึกถึงข้อนี้ เพราะไม่มีความคิดเรื่องลอบทำร้ายเจ้าชาย
พอเอาคำพูดที่ได้ฟังมาไตร่ตรองพานให้นึกแปลกใจ ทำไมเจ้าชายจอมเก๊กถึงกล้าเสี่ยงวางใจเขา..
“นั่นสิครับ องค์ชายไม่กลัวผมลอบทำร้ายหรือ”
คราวนี้เขาเจาะจงถามเอาคำตอบกับต้นเรื่องโดยตรง ซึ่งนั่งหน้าขรึมแต่ดันดูดีไปเสียนี่
“เพราะข้ารู้เจ้ามิกระทำเช่นนั้นแน่” คำตอบไม่ได้ให้ความกระจ่างแม้แต่น้อย
พานทำผักตบหงุดหงิด ต้องสะกดกลั้นไว้ไม่แสดงสีหน้าให้อีกฝ่ายจับความรู้สึกเขาได้
“ประมาทหรือเปล่า ผมอาจทำก็ได้” ไม่รู้ทำไมพานพูดในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำสวนกลับอีกฝ่าย
คงเพราะหมั่นไส้ท่าทางมั่นใจของคนตรงหน้า
“หึ! เรามิเคยเจอคนร้ายกล่าวเช่นเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นบุคคลแรก หากคิดลงมือลอบทำร้ายเราจริง
ย่อมมีโอกาสนับแต่หนแรกที่พบกัน ซ้ำเรายังให้เจ้านั่งหลังม้ากลับเข้าวัง ใยเพลานั้นไม่สะดวกกว่ามาก
กับการพาตนเข้ามาในวังหลวงซึ่งเจ้าไม่คุ้นเคยสถานที่ หากลงมือสำเร็จเจ้าจักหลบหนีเช่นไร
มารดาเจ้าเล่าใยต้องนำพามาลำบากไปกับเจ้าด้วยเช่นนี้
ทั้งหมดที่เรากล่าว ล้วนไม่ใช่องค์ประกอบของคนร้ายที่วางแผนเข้ามาสอดแนมลอบทำร้ายเราดอก
นั่นหาใช่ประมาทเพียงเราสัมผัสเจ้าได้ เจ้าไม่เคยได้รับการฝึกฝนฝีมือ บุคคลที่ผ่านการฝึกล้วนมีท่วงท่าเดินเหิน
แตกต่างคนปกติ สำคัญจิตสังหารย่อมมีติดกายไม่มากก็น้อย ต่อให้เก็บงำประกายไว้ได้เก่งกาจเพียงใด
แววตามิสามารถเก็บงำดังตัวเจ้าและมารดาของเจ้าได้ดอก เหตุผลเพียงเท่านี้พอหรือยังที่เราเชื่อว่าเจ้า
หามีจุดประสงค์มายังไตรคาน เพื่อลอบสังหารเราหรือบุคคลใดในที่นี่”
ทุกคนที่นั่งฟังคำวินิจฉัยในตัวผักตบ ต่างผงกศีรษะเบาๆ อย่างเห็นด้วยในคำพูดองค์ชาย
“คุณพูดไม่ผิด ผมไม่เคยฝึกฝีมืออย่างที่คุณยกเหตุผล แต่ไม่ได้หมายความสู้ไม่เป็น
วันนี้ผมพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้ว คุณแพ้ย่อมแปลว่าผมไม่ธรรมดา” ผักตบยกเหตุการณ์ก่อนหน้าขึ้นอ้าง
“หึหึ! เรายอมรับพ่ายแพ้ตามเงื่อนไขที่เจ้ากำหนด เจ้าแน่ใจหรือว่าเวทย์มนต์ของเจ้าชนะเราได้
สิ่งที่เจ้าใช้ไม่มีผู้ใดไตร่ตรองให้รอบคอบ ต่างเข้าใจเป็นเวทย์มนต์ที่เจ้ากระทำขึ้น
สำหรับเราเมื่อขบคิดอย่างถี่ถ้วน เรากลับเชื่อว่าเจ้าหาได้มีเวทย์มนต์ไม่”
ผักตบหรี่ตาจ้องพักตร์หล่อเหลา ที่กำลังเปิดโปงความลับเขาให้ทุกคนฟัง
ไม่แน่ใจเจ้าชายผู้นี้รู้อะไรบ้าง เขาไม่ได้ขัดรอให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“เราคิดว่าทุกสิ่งเกิดจากของใช้ที่เจ้ามี เรายอมรับไม่เคยพบเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน
ทั้งสิ่งที่เจ้าเรียกว่ากล่องกักวิญญาณ สิ่งที่ใช้ทำลายวัตถุแตกละเอียดไม่เป็นชิ้นดี ไม่มีใครสามารถมองได้ทัน
กระนั้นเรากลับสัมผัสผ่านอากาศคือวัตถุเป็นตัวทำลายของเหล่านั้น หาใช่เวทย์มนต์ที่จับต้องไม่ได้แต่อย่างใด
กล่องกักวิญญาณของเจ้ายิ่งชวนขบคิด หากสามารถดึงวิญญาณผู้คนไปกักไว้ในกล่อง
ดุจภาพวาดเสมือนจริงจนแยกไม่ออกได้ ใยแววตาทุกคนยังคงปกติ หาใช่ผู้ที่เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ
มนุษย์ที่วิญญาณถูกชักพาออกจากร่างไปยังสิ่งอื่น มิสามารถคงสติรับรู้กระทั่งโต้ตอบเจ้าได้
สำหรับเราเชื่อยิ่งนัก เจ้าใช้เล่ห์เพทุบายในการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดกับผู้คน เราถวายรายงานต่อเสด็จพ่อ เสด็จแม่
พระปิตุลา น้องหญิงศศิธร พระอาจารย์ ก่อนหน้าที่เจ้าจะมาถึง หากแม้นความเห็นของเราไม่เป็นความจริง
เจ้าจงนำสิ่งที่เจ้าแอบอ้างมาทำร้ายเราดู เราจักพิสูจน์ให้เห็นกันตอนนี้ ว่านั่นมิใช่เวทย์มนต์
แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทรงอานุภาพของดินแดนที่เจ้าจากมา”
ประโยคท้ายเป็นการพิสูจน์ให้ผักตบและแม่เล็ก เห็นพระอัจฉริยะภาพทางปัญญาของยุพราชหนุ่ม
ในบรรดาผู้คนที่สองแม่ลูกได้พบเจ้าชายองค์นี้ทรงพระปรีชา มีสติปัญญาฉลาดล้ำเลิศมากที่สุด
“ตบ..เจ้าชายจับไต๋แกได้แล้ว ไม่คิดนอกจากจะหล่อแล้วยังฉลาดเป็นกรด
เสียดายที่ไม่มีลูกสาว แม่จะยุให้จับเป็นลูกเขยเลยคอยดู”
“แม่พูดอะไร อย่าพาผมเขวสิ” ผักตบปรามเบาๆ หลังแม่กระซิบกระซาบบอกเขา
ปิดท้ายพาออกทะเลไปไกลโข ดันชื่นชมอีกฝ่ายจนออกนอกหน้าไปแล้ว
“เออ..แม่เผลอปลื้มไปหน่อย แกเอาไงต่อโดนแฉหมดเปลือกแล้ว”
แม่เล็กยอมรับผิด เธอลืมตัวดันปลื้มองค์ชายอย่างห้ามใจไม่อยู่ คนอะไรเพอร์เฟกเสียทุกอย่าง
นี่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ หัวบันไดไม่มีแห้งสับรางไม่หวาดไม่ไหวกันเลยเชียว เรื่องหล่อก็ว่าสุดๆ แล้วนะ ยังฉลาดหลักแหลมอีกด้วย
“ปล่อยผมจัดการเอง แม่นิ่งๆ ไว้ก็พอ” ผักตบกระซิบบอกแม่
“อืม” แม่เล็กขานรับในคอเบาๆ ก่อนวกกลับไปจ้ององค์ชายด้วยสายตาชื่นชมไม่ปิดบัง
อีกฝ่ายทอดเนตรสบ มีแย้มสรวลให้เธอเล็กน้อย หลังอ่านเห็นแววตาชื่นชมจากเธอที่แสดงออกไม่ปิดบัง
เล่นเอาแม่เล็กถึงกับนึกเอ็นดูขึ้นมาทันที ในสายตาเธอองค์ชายคนนี้หาได้เลวร้ายไม่
“คุณพูดมาไม่ผิด ผมยอมรับว่าใช้สิ่งของที่มีให้เกิดประโยชน์ แต่เรื่องท้าทายให้ผมพิสูจน์ว่าใช้ทำร้ายคุณไม่ได้
ผมอยากทดสอบ หากสิ่งนี้ทำอะไรคุณไม่ได้อย่างที่คุณพูด ผมก็ต้องการยืนยันเช่นกัน”
เขามีเหตุผลที่ต้องการรู้ เกี่ยวกับพลังเร้นลับที่อีกฝ่ายมี ว่าสามารถต้านลูกกระสุนได้หรือ
“เช่นนั้นเชิญเจ้าเถิด” องค์ชายยกหัตถ์ผายเชิญอย่างไม่อนาทร
“เอาเป็นว่าผมไม่ต้องการเห็นเลือด รบกวนคุณถือแจกันใบนี้ไว้ ผมจะจัดการของสิ่งนี้แตกกระจายบนมือคุณเลย
ถ้าทำไม่ได้แสดงว่าอาวุธวิเศษของผมใช้ทำร้ายคุณไม่ได้จริงๆ” ผักตบแนะนำองค์ชายให้หยิบแจกันที่ตั้งประดับอยู่บนโต๊ะ
พระองค์ไม่ปฏิเสธกลับยอมทำง่ายๆ หยิบขึ้นมาวางบนฝ่าพระหัตถ์ยื่นมาระดับพระอุระด้านหน้า แล้วรับสั่งกับผักตบว่า
“เชิญเจ้าลงมือเถิด” ผักตบจ้องสบดวงเนตรคมกริบ ที่จ้องเขาไม่วางตาอย่างรู้สึกได้อีกฝ่ายมั่นใจมาก
ว่าเขาไม่สามารถยิงแจกันแตก ทั้งที่อยู่ในระยะไม่ถึง 5 ก้าว ใกล้แค่เอื้อมอย่าว่าห่างไปเป็นสิบเมตร เขาก็เชื่อว่ายิงไม่พลาดแน่
แต่ก็ต้องการพิสูจน์ให้รู้กันไป ตัดสินใจล้วงปืนพกที่เหน็บเอวไว้ออกมาจ่อเล็งไปยังแจกันบนฝ่าพระหัตถ์แน่วนิ่งไม่มีสั่น
แม่เล็กเห็นเช่นนั้นรีบขยับห่างลูกเล็กน้อย พร้อมเอามืออุดหูไว้เรียบร้อย
คนที่เหลือต่างทำตามเธอโดยไม่ต้องรอให้บอก เหมือนจะรู้ว่าต้องเกิดเสียงดังให้ปวดหูแน่
ส่วนคู่กรณีจดจ้องกันไม่วางตา ผักตบยังไม่ยอมเปลี่ยนสายตามายังแจกันในหัตถ์องค์ชาย
ยังจ้องเนตรคมกริบสู้ตาไม่กะพริบ ดวงเนตรคมก็เช่นกัน กลับสบตอบนัยน์ตาสีถ่านคมดุของผักตบอย่างท้าทาย
ต่างฝ่ายต่างลองเชิงกันผ่านทางแววตา เมื่อเป็นเช่นนั้นผักตบค่อยเปลี่ยนเป้าเล็งแจกัน
พร้อมกับค่อยๆ กดไกปืนช้าๆ อย่างใช้สมาธินิ่งมาก
“เปรี้ยง!..” เสียงดังขึ้น 1 นัด แต่กลับสร้างความตกตะลึงพึงเพริดให้ผักตบกับแม่เล็กเป็นอย่างยิ่ง
หัวกระสุนที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนไปนิ่งค้างอยู่ห่างแจกันไม่ถึงนิ้ว ลอยค้างนิ่งไม่ไหวติงเหมือนถูกหยุดเอาไว้
จากพลังลึกลับไร้สภาพที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พร้อมกับโอษฐ์ได้รูปแย้มสรวลอย่างหล่อเหลา
จากพระพักตร์ยุพราชหนุ่ม สุรเสียงทุ้มนุ่มดังตามมา
“เราใช้เกราะป้องกันของวายุธาตุ หยุดวัตถุของเจ้าไว้ นี่สินะคือตัวอันตรายที่ทำลายสิ่งของเสียหายไปก่อนหน้า
เล็กกว่าดัชนีเสียอีก ใยถึงมีอานุภาพรุนแรงยิ่งนัก” พระองค์กลับจับกระสุนมาทอดเนตรพินิจพิเคราะห์ไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
แม่เล็กอึ้งตาค้าง ผักตบคิ้วเข้มกระตุกไม่ได้พูดอะไร
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าอะไรหรือ” พระองค์รับสั่งถาม
“ลูกปืน” คราวนี้หนุ่มกรุงหน้าหล่อขาววิ้งค์ๆ ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ลูกปืนผู้ใดให้กำเนิด หรือจักเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าถืออยู่ย่อมเป็นมารดาปืนใช่หรือไม่”
“แค่กๆๆ!!...ฮะฮ่าๆๆ!!..กร๊ากก!!.ฮะฮ่าๆๆ” ผักตบถึงกับสำลักน้ำลายเผลอไอหน้าแดง
ในขณะที่แม่เล็กดันหัวเราะสนั่นขำก๊ากอย่างลืมรักษามารยาท สร้างความงุนงงสงสัยไปทั้งคณะกับอาการหัวเราะของเธอ
“มีอันใดให้ขบขัน มารดาของผักตบ” องค์ชายที่ไม่รู้จะโกรธหรือหัวเราะตามเธอดี
พระพักตร์แดงก่ำ ด้วยรู้องค์ว่าทำขายพระพักตร์ที่ด่วนสรุปรีบเรียกวัตถุรูปร่างประหลาดในมือผักตบไปเสียก่อน
“ขอโทษนะเจ้าชาย ฉันไม่ตั้งใจหัวเราะแต่มันอดไม่อยู่ เกิดมาเพิ่งได้ยินหนแรกในชีวิต ‘มารดาปืน’ ฮะฮ่าๆ”
พูดจบหัวเราะต่อด้วยอาการเดิม
“แม่!..เบาหน่อย..” ผักตบปรามแม่เล็ก ด้วยอาการกลั้นขำจนต้องเกร็งหน้าท้อง
พยายามเก๊กหน้าเข้มอย่างยากลำบาก เขาทั้งขำความคิดองค์ชายมาดเยอะ และขำท่าทางหัวเราะไม่เกรงใจใครของแม่ตัวเอง
“เจ้าบอกเรามา เรากล่าววาจาใดผิด มารดาเจ้าถึงขบขันเราใหญ่” คราวนี้พระองค์ร้อนพระทัย กลับไปไล่เบี้ยผักตบแทน
“แม่ผมเขาขำคุณเรียกเจ้านี้ว่ามารดาปืน..คึคึ!” คราวนี่ผักตบเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแอบหัวเราะในคอเสียเอง
เขาอุตส่าห์กลั้นไว้แทบตาย ดันเสือกให้เป็นคนพูด พอพูดแล้วก็อดขำตามแม่ไม่ได้
“เช่นนั้นเราควรเรียกว่าเยี่ยงไร เจ้าบอกเราเองสิ่งนี้มีนามว่าลูกปืน ซึ่งออกมาจากสิ่งที่เจ้าถืออยู่
ใยสิ่งนั้นมิใช่มารดาดอกหรือ” พระองค์ยังคงต้องการคำอธิบาย หากคิดหยาบๆ เหมือนคนฉลาดโง่ในเรื่องที่ไม่ควรโง่
แต่ถ้าคิดให้ละเอียดองค์ชายผู้นี้ไม่ได้โง่ แต่ซื่อมากกว่า..
“ไอ้นี่เรียกว่า ปืน..ไม่มีคำว่ามารดา ปืนเฉยๆ ไม่ต้องเติมคำว่ามารดาให้หรอก พระองค์ไม่ได้เข้าใจผิด
เพียงแต่คิดต่างมุมเท่านั้น อย่าใส่ใจแม่ผมเลย แกเส้นตื้นประจำ” คราวนี้ผักตบตัดบท อธิบายรวบยอดสั้นๆ
“เรียกว่าปืน..ดูวิธีการใช้ของเจ้ามิเปลืองแรงแต่อย่างใด เราย่อมใช้ได้ไม่ยาก ไว้มีโอกาสเราจักให้เจ้าฝึกสอน
ลองใช้ดูได้หรือไม่” ขอกันซึ่งหน้าแบบนี้ ผักตบมีหรือจะกล้าปฏิเสธ ในเมื่อพึ่งพาเขาอยู่ทุกเรื่อง
“ผมรับปาก ไว้มีเวลาจะสอนให้” พระองค์รับฟังเช่นนั้น พลันแย้มสรวลกว้างเป็นครั้งแรก
สายพระเนตรทอดไมตรีมาให้อย่างอบอุ่น เล่นเอาผักตบที่ไม่ทันตั้งตัว รู้สึกแปลกๆ ไม่กล้ามองเสียอย่างนั้น
“เอาเถอะ..เมื่อพิสูจน์ในสิ่งที่วายุภักษ์คาดการณ์เสร็จสิ้นลงแล้ว เราควรเข้าเรื่องสำคัญเสียที
เชิญเถิดท่านมหาโหรา” องค์เหนือหัวอนิละเป็นผู้รับสั่ง ก่อนมอบหมายให้มหาโหราผู้เฒ่ารับช่วงต่อ
“ผักตบ ข้าใคร่ขอชมปานอัคคีตรงอกซ้ายของเจ้าได้หรือไม่”
ไม่รอช้าผู้เฒ่าผมขาวโพลนที่มวยเก็บเรียบร้อยเอ่ยปากขอผักตบดื้อๆ
“รู้ได้ยังไงว่าผมมีปานตรงอกซ้าย” เขาขอคำตอบ
“เราได้รับรายงานจากบุปผา ราตรี ว่าเจ้ามีปานอัคคีตรงอกซ้าย” คำตอบตามมา
“แสดงว่าพวกคุณส่งคนตรวจสอบผม” ผักตบถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจที่ถูกละเมิดสิทธิส่วนตัว
“อย่าได้มีโทสะ สิ่งนี้จำเป็นยิ่งกับพวกเราทั้งแผ่นดิน เจ้ายอมลดทิฐิอนุญาตในสิ่งที่เราขอเถอะ
แล้วความจริงทุกอย่างเราจักอธิบายให้เจ้ารับรู้หลังจากนั้น โดยมิคิดปิดบังอำพรางแต่ประการใด เราให้สัตย์แก่เจ้า”
เจอน้ำเสียงบวกแววตาไม่โกหก ผักตบจึงหันมาสบตากับแม่เล็ก แม่ได้แต่ส่งสายตาบอกใบ้ให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ
“ก็ได้..หลังจากนั้นต้องเล่าให้ผมรู้ตามที่รับปาก” ไม่ลืมย้ำ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” มหาโหราตอบน้ำเสียงหนักแน่น จึงไม่มีอะไรที่ผักตบต้องกังวล
ค่อยปลดคอเสื้อที่ใส่อยู่ก่อนจะร่นออกจากไหล่ให้เผยหน้าอกหนั่นแน่นสมบูรณ์ด้วยวัยหนุ่มฉกรรจ์
ผิวขาวละเอียดต่อสายตาคนทั้งหมด ที่ต่างจ้องด้วยความรู้สึกแตกต่าง องค์หญิงศศิธรถึงกับพักตร์แดงเรื่อ
ขวยอายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นผิวขาวดุจน้ำนมของบุรุษที่เธอหักห้ามใจไม่ให้คิดว่าเขาหล่อเหลายิ่งนัก
โดยใช้องค์ชายวายุภักษ์มากดผักตบให้ดูด้อยลง สุดท้ายก็ต้องยอมรับในพระทัย
‘ผักตบช่างเป็นบุรุษที่งดงามหล่อเหลาปานรูปสลัก ผิวละมุนขาวนวลดุจศิลาเนื้อดี ยากมีบุรุษใดเทียม’
ความคิดนี้หาใช่มีแต่องค์หญิงวัยกำดัดเท่านั้น พระมเหสีเองยังนึกชื่นชมรูปร่างหน้าตาผิวพรรณ
ที่เปล่งวรรณะสูงส่งของผักตบ องค์ชายวายุภักษ์เองกลับนึกสงสัย ผิวขาวนวลตรงหน้าจักหยาบหรือนุ่มหยุ่นมือ
ในเมื่อประดับอยู่บนร่างของบุรุษ พระองค์ก็อยากจะมีคำตอบ สุดท้ายทุกคนก็มุ่งความสนใจไปยังปานไฟที่สีแดงเพลิง
ที่เห็นชัดตรงราวนมด้านซ้าย
“ไม่ผิดไปจากนี้ สัญลักษณ์ผู้ถือครองมหาธาตุอัคคี” มหาโหราเปรยขึ้นมา
“ของแท้แน่แล้ว” เหนือหัวตรัสขึ้นอีกองค์
“หนึ่งในสี่ ผู้ถือครองมหาธาตุ” พระเชษฐาเหนือหัวรับสั่งปิดท้าย
ความคิดเห็น