ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@@ {My..Love}

    ลำดับตอนที่ #2 : Part 1

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 56


    My love
    Part 1


     

     “อีบูววว!!..ซึมเป็นผีกระสืออดขี้ไปได้ หนังหน้าอย่างมึง
    ไม่เหมาะทำมิวสิคชีวิตรันทดหรอก
    หาอะไรหยัดกระเพาะดีกว่า โล๊ะสมองบ้างสิอีนี่
    เก็บใส่หัวตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ”โจ๊กเพื่อนตุ๊ดหน้าหล่อ
    แต่ปากตลาดเสียงแปร๋นๆของมัน ดึงผมออกจากสิ่งที่หมกมุ่นอย่างได้ผล

     

     “อืม!!..แล้วแบมกับไอ้หนกล่ะ” แบมคือกระเทยหน้าสวยน้องๆปอยตรีชฎา
    ส่วนไอ้หนกหรือนางสาวกรกนกคือทอมหล่อกลุ่มเราบอนทูบีโดยไม่ต้องสงสัย

     

     “ก้นแม่งงอกรากติดเก้าอี้รอแล้วเหอะ พวกมันให้กูมาตามมึงนี่ไง”
    ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตีคู่โจ๊ก..ตรงไปยังโรงอาหาร

     

     “ไงบู..เป็นห่าไรหงอยแต่เช้าเลยมึง” แบมทัก
    ก่อนหันไปบรรจงวาดลิปสติกสีอ่อนบนปากรูปกระจับของมันต่อ

     

     “นั่นสิ..ไม่สบายใจอะไรเล่าให้พวกกูฟังบ้างแบกไว้มากๆ จิตเสื่อมนะมึง”
    ไอ้หนกเงยหน้ามาบ่นเสร็จ ก้มโซ้ยก๋วยเตี๋ยวต่ออย่างหน้ามึน

     

     พวกมันห่วง..ผมรู้ โคตรจะห่วงความรู้สึกผมสุดๆ
    เพียงแต่ผมชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียว
    ไม่อยากให้เพื่อนพลอยไม่สบายใจไปด้วย
    นอกจากพวกมันจะรู้เอาเอง

     

     เราคบกันมาตั้งแต่ม.1กระทั่งม.6 ทำไมจะไม่รู้ว่าแต่ละคนเป็นยังไง
    แบมกับผมกอดคอลุยกันมาตั้งแต่ม.ต้น
    ส่วนอีโจ๊กกับไอ้หนกมาสนิทกันตอนม.4
    มันสองคนสอบเข้าที่นี่ เป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากันมาก่อน

     

     “ไม่มีหรอกน่า..ว่าแต่มึงแดกแล้วสิ” เปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้พวกมันกังวล
    ถามไปงั้นหลักฐานวางอยู่ทนโท่

     

     “อืม..ไม่งั้นกูจะทาลิปทำไม มึงไปหาอะไรเลี้ยงพยาธิได้แล้วเดี๋ยวก็เจ็บท้องอีกหรอก”
    ค้อนผมทีหนึ่ง หน้ามันสวยทำอะไรก็ดูเข้ากับหนังหน้า
    ติดอันดับตุ๊ดสวยในโรงเรียนด้วยสิ

     

     “ป่ะ!.หาอะไรแดกดีกว่าอีบู” โจ๊กฉุดแขนผมไปกับมัน อีนีตุ๊ดหล่อแต่สาวแตก
    นักเรียนพากันมองตรึม..ไม่มีใครไม่รู้จักแก็งค์สวยประหาร
    ทั้งที่สวยเพียงคนเดียวคือแบม..นอกนั้นต้องบอกว่าหล่อน่าจะถูก
    ยกเว้นผมที่หน้าตาธรรมดา!!!

     

     ที่ผมหมกมุ่นคิดไม่ตกไม่สามารถตัดออกจากหัวได้ปัญหาเดิมๆ
    หลายครั้งที่คิดจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เพราะคำสัญญาที่เคยรับปากพ่อกับแม่ไว้
    ก่อนท่านจะจากไป ทั้งที่เขาคนนั้นไม่อยากเสวันนากับผมด้วยซ้ำ

     

    เช้าวันนี้เขาเดินกระหนุงกระหนิงควงสาวงามระดับนางนพมาศสองปีซ้อน
    ทำให้ผมอดห่วงไม่ได้ เธอเป็นแฟนเด็กอาชีวะ
    คงไม่พ้นมีเรื่องยุ่งยากอีกตามเคย นึกย้อนไปเมื่อ 14 ปีก่อน
    ผมอยู่อนุบาล 2 อายุ 4 ขวบ หลังนั่งรถโรงเรียนกลับถึงบ้านตอนเย็น

     

    “บูเข้ามาทำความรู้จักกับน้องสิลูก”
    แม่เรียกผมให้ไปทำความรู้จักสิ่งมีชีวิตผิวขาวตัวกลมบนเบาะนุ่ม 

     

    “หวัดดีครับพ่อ..หวัดดีครับแม่” พวกท่านยิ้มรับแววตาอบอุ่นยังคงฉายชัด
    ผมขยับเข้าไปใกล้ก่อนวางกระเป๋า แล้วยืนเอามือไพล่หลังมองอยู่ห่างๆ
    รู้สึกตื่นเต้นปนสงสัย ถามตามที่คิด

     

     “เจ้าตัวอ้วนนี่มาจากไหน” ท่าทางลังเลไม่ผลีผลามของผมทำให้พ่อกับแม่กลั้นขำ
    แน่ล่ะผมไม่มีทางตกหลุมพรางอีกแน่
    หลังเคยโดนพวกท่านหลอกมาแล้ว
    กลัวหน้าแตกถึงได้รอฟังคำตอบให้มั่นใจเสียก่อน

     

     “คุณดูลูกสาวเราระวังตัวแจเลยคราวนี้ฮะฮ่าๆ” หัวเราะทิ้งท้ายกวนอีกต่างหาก

     “เฮ้ย!แม่” ผมแหวเสียงขุ่น คิดหรือว่าพ่อกับแม่จะฟัง
    พากันชอบใจใหญ่หลังยั่วโมโหผมสำเร็จ

     

     “จร้าไม่ใช่ลูกสาวแต่เป็นลูกผู้ฉิง..กร๊ากก!” พอกันทั้งคู่
    หลังผมค้นพบรสนิยมตัวเอง นุ่มนิ่มเหมือนเด็กผู้หญิง
    ไม่ชอบการใช้กำลังหรือเล่นแบบเด็กผู้ชาย
    โดยเฉพาะผมชอบคบเพื่อนผู้หญิง พวกท่านก็เอามาล้อเป็นเรื่องตลก
    ไอ้เรื่องที่คิดว่าท่านรับไม่ได้ตรรกะข้อนี้ตัดออกจากหัวพ่อแม่ผมได้เลย
    มาสนใจไอ้ตัวกลมปุกที่กำลังจ้องมาตาแป๋ว
    ไม่หือไม่อือตรงหน้าดีกว่า ปล่อยคนบ้าขำกันให้พอ

     

    “น่ารักมากใช่ไหม ตั้งแต่นี้เขามาเป็นน้องของลูกแล้ว”เสียงพ่อพูด
     

     “........???”
     

    “ไม่เชื่อสิ..พ่อพูดจริง” หนุ่มใหญ่รูปหล่อยืนยันหนักแน่น
    มองหน้าสุดสวยเธอยิ้มให้ผมเช่นกัน แต่ก็ยังต้องการย้ำให้มั่นใจอีกที

     

     “จริง” ทั้งคู่พยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าผมพุ่งเข้าไปคุกเข่าจ้องเจ้าตัวกลมป๊อก
    ที่นอนลืมตาแป๋วตั้งแต่ตอนไหน ก่อนจะเอื้อมมือสั่นน้อยๆ
    เข้าไปใกล้ใบหน้าเล็กขนาดฝ่ามือปิดอย่างห้ามไม่อยู่
    จวนสัมผัสรอมร่อนึกขึ้นได้รีบยั้งไว้ทัน
    ผุดลุกพรวดวิ่งออกนอกห้องไม่เหลียวหลัง ไม่ลืมตะโกนสั่ง

     

     “อย่าเอาเจ้าตัวกลมไปไหน ผมไปล้างมือก่อน”
    ยังได้ยินเสียงหัวเราะดังตามมา สามีภรรยาจอมซ่าชอบแกล้งเป็นนิสัย
    จำต้องกำชับไว้ล้างมือจนสะอาดสะอ้าน มั่นใจว่าจะไม่ทำให้
    ผิวอ่อนละมุนเป็นอันตรายจากสิ่งสกปรกแล้ว
    รีบกลับเข้าไปข้างในทันที พ่อกับแม่ยังคงจ้องเจ้าตัวกลมไม่ห่าง
    ผมไม่ยอมเสียเวลาตรงเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างๆ
    อยากมองตัวกลมปุกผิวขาวอ้วนจ้ำม่ำชัดๆ
    จังหวะสายตาของเราประสานกันพอดี

     

     “.....!!!” เสียงหัวใจผมเต้นตึกตักๆดังแทบทะลุอก
    ส่วนเจ้าตัวน้อยหน้ากลมบ็อกลูกตาใสบริสุทธิ์สบตาผมนิ่ง...
    ความรู้สึกอุ่นซ่านในใจแผ่ขยายลุกลามไปทั่วทั้งตัว

     

     ฉับพลันความรู้สึกรักและหวงแหนก็เกิดตามมาอย่างท่วมท้น
    ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้แต่เพียงว่าเจ้าตัวน้อยเป็นของผม
    เป็นน้องที่ผมฝันอยากมีมานาน คิดว่าตัวเองคงยิ้มไม่หุบ
    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามือไปแตะอยู่ตรงแก้มนุ่มนิ่มเจ้าตัวกลมตั้งแต่เมื่อไหร่
    ทั้งที่สายตาเรายังจ้องกันนิ่ง ผมค่อยลูบแก้มเจ้าตัวน้อยเบาๆ
    ผิวเจ้าตัวกลมดูนุ่มจังบอบบางน่าทะนุถนอม.เขาคือน้องของผม
    คงไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม ผิวนุ่มที่สัมผัสอยู่ ยืนยันชัดผมมีน้องแล้ว!!

     

    “น้องของบู” เสียงผมครางเหมือนละเมอ จู่ๆแม่พูดขึ้นมาลอยๆ
     

     “เวน..”
     

    “ห๊ะ!.......” เครื่องหมายคำถามแสดงชัดบนหน้าผมแน่ๆ
     

    “เวน คอนเนอร์คือชื่อเจ้าหนูนี่” พ่อพูดผมกะพริบตาปริบๆทบทวนสิ่งที่ได้ยิน
    นามสกุลคอนเนอร์ออกฝรั่งจ๋า ไม่ต้องบอกเลยเชื้อชาติไหน
    ที่สำคัญเรียกเจ้าหนูแสดงว่าเจ้าตัวกลมแก้มนิ่มเป็นเด็กผู้ชาย ผมมีน้องชาย

    “แต่ตอนนี่พ่อกับแม่รับเป็นลูกบุญธรรมตั้งชื่อภาณุพงษ์ บริรักษ์
    ชื่อเล่นบอลลูน” ภาณุพงษ์งั้นเหรอไอเดียบรรเจิด
    เข้ากับชื่อผม ‘ภาณุวัฒน์’ ชื่อเล่นก็เหมาะตัวกลมๆชื่อบอลลูน
    ขอความมั่นใจชัวร์ๆ

     

    “จะไม่มีใครแย่งเขาไปจากผมใช่ไหม?”
    แววตาพ่อกับแม่ไหววูบ ก่อนพ่อตอบเสียงนิ่ง

     

    “ตอนนี้น้องมีแค่พวกเราที่คอยดูแล บูรักและดูแลน้องหรือเปล่า?”


    “เขาเป็นน้องของผม พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงผมดูแลเขาเองครับ”


    “สัญญากับแม่ว่าจะไม่ทอดทิ้งน้องนะลูก” ผู้หญิงที่ผมคิดว่า
    เธอหัวเราะได้วันละร้อยรอบกลับทำหน้าตาจริงจัง
    หันไปสบตาผู้ชายที่คิดว่าความสุขของเขาคือการแกล้งผม
    ให้หน้าแตกดันพยักหน้าย้ำอีกคน พ่อก็ต้องการให้ผมรับปากด้วยหรือ
    ท่านดูนิ่งแววตาจริงจังแฝงความกังวลแปลกๆ
    น้อยครั้งจะได้เห็นแววตาแบบนี้ของท่านทั้งสอง

     

     “ผมรับปากไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่ทอดทิ้งน้องแน่ครับ”
    ผมให้สัญญาถึงจะงงๆ ทำไมพ่อกับแม่จริงจังกันเหลือเกิน
    แต่คำสัญญาของผมก็จริงจังนะ โห..ไอ้ตัวเล็กน่ารักขนาดนี้
    ผมจะพิสูจน์ให้พ่อกับแม่เห็น ว่าผมรักน้องมากแค่ไหน
    และผมสามารถดูแลน้องได้แน่นอน!! มีรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อกว่าวัย
    ของพ่อและรอยยิ้มสุขใจจากสุดสวยของผมอีกครั้ง

     

    ตอนนี้ผมมีน้องชายกับเขาแล้ว แม่ไม่สามารถตั้งท้องได้อีก
    เพราะอุบัติเหตุตอนที่คลอดผมจำต้องตัดมดลูกทิ้ง
    ผมคือลูกชายเพียงคนเดียวหรือเป็นลูกสาวดี อย่างที่พวกท่านชอบแหย่ประจำ
    จะอะไรก็ช่างผมรู้แค่ว่านับแต่นี้ ‘ภาณุวัฒน์ บริรักษ์
    จะเป็นพี่ชายให้ ภาณุพงษ์ บริรักษ์ ณ บัดนาว’

     

    ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
     

    “แม่!! น้องขี้”
     

    “แม่!!..น้องเยี่ยวอีกแล้ว” เป็นประจำ
    ที่ผมจะต้องเรียกแม่ให้มาทำความสะอาด
    หลังน้องปล่อยสิ่งปฏิกูลใส่แพมเพิสเสมอ
    ผมกำลังเรียนรู้วิธีดูแลทำความสะอาดให้น้องจากแม่
    แต่ยังไม่ชำนาญพอที่จะฉายเดี่ยวต้องให้สุดสวยเป็นมือเอก
    แล้วผมเป็นผู้ช่วยไปก่อน

     

    หลังเลิกเรียนผมรับหน้าที่เลี้ยงน้อง
    แม้จะวุ่นวายกับบทเรียนที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้าป.1
    อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ผมก็ไม่เคยให้น้องห่างกาย
    ข้างเก้าอี้ต้องมีเปลนอนของน้องอยู่ใกล้ๆ ดีอยู่อย่างบอลลูนไม่เคยร้องไห้งอแง
    แต่..ไม่เคยร้องเลยนี่สิ ทั้งที่อายุจะขวบแล้ว


    “แม่..ไม่แปลกใจบ้างหรือ..ทำไมน้องไม่เคยร้องไห้ เหมือนเด็กคนอื่นเลยอ้ะ”


    “แปลกหรือ  แต่ก็เลี้ยงง่ายดีนะ” แม่ตีมึนสรุปเอาเองสั้นๆ
     

     “แต่บูว่าแปลกสุดๆนะแม่ น้องไม่หลุดเสียงออกมาให้ได้ยินเลยบูกลัวน้องจะมีปัญหา..”
     

     “อะไร..บูคิดว่าน้องเป็นอะไร”
     

     “น้องอาจจะ..พูด..ไม่..ได้” ตาแม่วาวโรจน์ตบโต๊ะเสียงดัง
     

     “ป๊าป!!..คิดไว้แล้ว เอาล่ะยังไม่สายเกินไปน้องเพิ่งขวบเดีนวเอง
    บูลองหาวิธีง้างปากให้น้องหลุดเสียงร้องออกมาให้ได้สิลูก”
    อ้าว!..สุดสวยพูดง่ายๆซะงั้น  ฮืมม..ฟังแล้วจะชวนให้ผมคิดง่ายๆ ตามอ้ะดิ

     

     “แม่!!!!..เด็กพูดไม่ได้ จะง้างปากให้พูดเนี่นนะ”
    ต้องโวย..กระผมไม่ใช่เทวดานะครับ

     

     “ลูกลองทำดูก่อนสิ” แม่ตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
     

    “ทำไมพ่อกับแม่ไม่พาน้องไปตรวจ” ผมถามตรงๆ
     

    “น้องไม่ได้ป่วย ทำไมต้องพาไปหาหมอ” ฟังแล้วอึ้ง!!
     

     “น้องไม่ร้อง ไม่เปล่งเสียงเลยนะแม่..มันผิดปกติ”
     

     “แม่ถึงให้บูหาวิธีให้น้องเปล่งเสียงยังไงเล่าจ๊ะ บูลองทำหรือยังล่ะ
    ไม่ควรเสียเวลามายืนเถียงแม่อยู่แบบนี้
    กลับไปดูน้องแล้วหาทางให้น้องพูดออกมาสิจ๊ะ”
    อ้าววว!! ไหงกลายเป็นผมซะงั้นครับ =.=?

     

    “แล้วใครกันที่รับปากพ่อกับแม่..ว่าจะดูแลไม่ทอดทิ้งน้อง
    ปัญหาแค่นี้ก็จนปัญญาเสียแล้ว แบบนี้พ่อกับแม่จะวางใจได้ยังไง”
    ประโยคจบข่าว บูตัสคนหน้าใสก้มหน้ารับภารกิจอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
    แต่ขอเดินหน้าเชิดไปเริ่มปฏิบัติการ
    ให้เจ้าตัวกลมส่งเสียงพูดออกมา..แม้สักพยางค์ก็ยังดี

     

     ตั้งแต่นั้นมาเป็นเดือนแล้ว ที่ผมคลุกอยู่กับบอลลูน
    พูดๆๆๆบอลลูนของผมจะต้องพูดได้...บอลลูนของผมจะต้องไม่เป็นอะไร

     

    “พ่อ..”
     

    “พ่อ..พูดสิพ่อ” ผมจ้องเจ้าตัวดีที่มองตาแป๋ว
    รอยยิ้มบริสุทธิ์เผยจากปากเล็ก จนเห็นเหงือกแดง แต่ก็ยังไม่มีเสียง

     

    ฮืมมม..คำว่า ‘พ่อ’ คงออกเสียงลำบากไป เด็กน่าจะออกเสียง ’ม’ได้ก่อน
    ไม่งั้นคำว่าแม่ของทุกชาติภาษาจะเป็นเสียง ’ม’ เหรอครับจริงไหม?

     

     “แม่..แม..แม่..พูดสิบอลลูนแม่..แม่ๆๆๆ”
    ผมชี้นิ้วดึงความสนใจให้เจ้าตัวกลมจ้องปากผมเวลาพูด
    แต่ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิมน้องยิ้มลูกเดียว

     

    “บู..เรียกสิ..บู..บูๆๆ” เปลี่ยนเป็นชื่อผม
     

     “บู..บอลลูนพูดซิ..บู..เรียกสิบูๆๆ” เจ้าตัวกลมยังยิ้มนิ่ง
    จ้องผมใหญ่ แล้วปากเล็กๆก็เริ่มขยับไปมา ผมลุ้นจนแทบลืมหายใจ

     

     “บะ...” เสียงที่เบาแทบไม่ได้ยิน ถึงไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร
    แต่..บอลลูนของผม..พูดแล้ว!!!!!   ผมไม่คิดไปเองใช่ไหม?

     

     “แม่..แม่..แม่” ผมพูดนำอีก บอลลูนน่าจะพยายามออกเสียง‘แม่’ 
    แต่ปากตัวเล็กกลับนิ่งไปซะงั้น

     

    “บู..บู..พูดสิ..บูวววว” ผมลองเปลี่ยนมาเรียกชื่อตัวเอง
    ลากเสียงสระอูยาวววว..ไปถึงเชียงใหม่เลยมั้ง
    บอลลูนจ้องผมนิ่ง ก่อนปากเล็กกะจิดริดจะเริ่มขยับอีกครั้ง..

     

    “บะ..บุ..บู” ...เสียงเบาๆที่บอลลูนเปล่งออกมา
    แต่ดังกึกก้องในหัวใจผม!! ความสุข..ความดีใจ..
    ความตื้นตันผสมกันยุ่ง..ออกมาเป็นน้ำตาซะงั้น 
    ผม...กำลังร้องไห้ บอลลูนพูดได้คำแรก.. คือชื่อผม!!!

     

    พ่อกับแม่รู้คงดีใจ  ผมทำให้บอลลูนพูดได้แล้วครับ!!
     

    “บูอีกครั้ง..เรียกพี่อีกครั้ง..อึก..บูๆๆ”
    น้องจ้องผมก่อนจะขมุบขมิบปากเสียงเล็กๆ ลอดออกมาได้ยินชัดๆอีกครั้ง

     

     “บุ..แอ้..แอ้..บู”
     

     “ฮึกๆ..แม่!! แม่ครับ!!"
    ผมตะโกนเรียกแม่ไปน้ำตาไหลไป สุดสวยวิ่งหน้าตั้งเข้ามา

     

    "บูตัสเป็นอะไรไปลูก..แล้วเสียงดังทำไม..เดี๋ยวน้องตกใจหมด"
     

    "ฮ่าๆๆๆ  "  ผมหัวเราะทั้งน้ำตา แม่มองอาการประหลาดของผม
     

    "น้อง..ฮึก...น้อง..พูดได้แล้วครับ!!"  แม่จ้องผมนิ่ง
    ก่อนละสายตาไปจ้องบอลลูนพร้อมๆกับสลับจ้องผมไปด้วย

     

     “คิคิ..คิคิ”เสียงบอลลูนหัวเราะออกมา ผมกลับแม่เรามองหน้ากัน
    ก่อนเราจะระเบิดเสียงหัวเราะตามน้อง

     

     “ฮะฮ่าๆๆๆ..” เสียงหัวเราะของเราผสมผสานเสียงหัวเราะเล็กๆ
    ของบอลลูน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ล้นไปด้วยความสุขจากบ้านบริรักษ์

     

    ถ้าพ่อรู้เข้าเราคงได้ฉลองใหญ่แน่ ฉลองที่บอลลูนของผมพูดได้แล้ว
    เสียงที่เจ้าตัวเล็กเปล่งได้คำแรกคือชื่อผม!!
    รักบอลลูนของพี่ที่สุดในโลกคร้าบ..ฮะฮ่าๆๆ!!!!!!!!!!

     

    หน้าที่คนเป็นพี่ต้องดูแลปกป้องน้อง นับตั้งแต่นั้น
    บูตัสอยู่ที่ไหนย่อมเห็นบอลลูนเป็นเงาตามตัว
    เราห่างกันเฉพาะตอนเข้าเรียนน้องอยู่อนุบาล 3 ผมเรียนป.2

     

    ปัญหามันมีอยู่ว่า..ผมจะปกป้องน้องได้อย่างไรถ้าสู้ใครไม่เป็น
    สาเหตุเล็กๆด้วยเรื่องของเด็กอนุบาลทะเลาะกัน
    บอลลูนตัวใหญ่ตามเชื้อชาติตะวันตก ทำให้ตัวโตกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก
    ผลของการทะเลาะกันของเด็กอนุบาล
    กลายเป็นการเอาคืนจากเด็กประถม เมื่อพี่ชายของคู่กรณีบอลลูน
    ดันตบหัวน้องผมจนร้องไห้ และเพื่อนผมไปเห็นเข้าพอดี
    มันวิ่งมาบอกผมซึ่งติดเวรทำความสะอาดหลังเลิกเรียน

     

    “บู..บูตัสเกิดเรื่องแล้ว..น้องมึงโดนรุ่นพี่ป.5
    ตบกบาลยืนร้องไห้อยู่ที่สนามเด็กเล่น..รีบไปเร็ว”
    ผมทิ้งไม้ถูพื้นวิ่งนำโดยไม่รอฟังซ้ำ
    พอมาเห็นผมปวดใจจนตัวสั่น เมื่อน้องโดนรุ่นพี่ป.5
    ดึงคอเสียบีบแก้มจนหน้าแดงก่ำ น้ำตาไหลเต็มหน้าเสียงสะอื้นอยู่ในคอ
    เพราะมันบีบปากไว้จนแก้มบุ๋ม พวกเด็กๆที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครกล้ายุ่ง
    รุ่นพี่กลุ่มนี้เป็นที่รู้กันดี..เกเรที่สุด

     

    “จำไว้..ห้ามแกล้งน้องกู..ไอ้อ้วน!!” บอลลูนตัวสั่นงันงก หน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
    ไม่รอช้าผมวิ่งเข้าไปผลักไอ้รุ่นพี่ร่างสูง
    จนมันเซปล่อยมือหลุดจากคอเสื้อบอลลูนทันที

     

    “ปล่อยนะ..ทำไมรังแกเด็ก” ผมตะโกนเสียงดังใส่หน้ามัน
    ที่กำลังจ้องผมตาขวางอย่างเอาเรื่อง

     

    “มึงเสือกอะไรด้วย..ไอ้หมูอ้วนนี่แกล้งน้องกู” เพิ่งสังเกต
    นอกจากมันยังมีเพื่อนมันอีกสองและเด็กผู้ชายตัวเล็กยืนข้างๆ
    ทำหน้าสะใจที่เห็นบอลลูนร้องไห้หมดรูป เข้าใจทันทีคงเป็นคู่กรณีของน้องชัวร์

     

    “เด็กทะเลาะกันทำไมพี่ต้องใช้กำลัง สอนเค้าสิ” ผมเตือนสติ
    แต่คงทำให้มันรู้สึกเสียหน้า..ที่โดนเด็กรุ่นน้องอบรมเข้าให้

     

    “มันเรื่องของกู มึงเสือกอะไรด้วย” มันตวาดเสียงแข็ง
    ตาวาวโรจน์อย่างเอาเรื่อง ไม่ฟังเหตุผล

     

    “เขาเป็นน้องผมเอง” ผมเอามือลูบหัวบอลลูกที่ยังสะอื้นไม่หยุดคาดว่า
    คงตกใจกลัวไม่น้อย พยายามปลอบน้องไม่ต้องกลัว
    ผมจะไม่ยอมให้ใครทำบอลลูนเจ็บตัวเป็นอันขาด

     

    “ดีเลย..ไม่ให้กูรังแกเด็กใช่ไหม เปลี่ยนเป็นมึงคงไม่ผิด
    กูจะได้ไม่โดนว่ารังแกเด็กอีก” พูดจบมันไม่รอให้ผมทักท้วง
    ร่างสูงเดินมาซัดกำปั้นใส่หน้าผมไปเต็มๆ

     

    “พลั๊ก!!” เป็นการถูกต่อยครั้งแรกในชีวิต
    ตั้งแต่เล็กจนโตผมกลัวการมีเรื่องทะเลาะวิวาท
    ผมไม่ชอบการชกต่อยเกลียดการใช้กำลังที่สุด

     

    “ต่อยผมทำไม..พูดดีดีก็ได้” ยกมือกุมปากเลือดซึม
    เพราะผนังด้านในกระทบฟันอย่างแรง
    คำพูดของผมไม่ได้ช่วยให้มันมีสติเลยสักนิด ตรงข้ามมันกลับ..

     

    “พลั๊ก!..ผลั๊ว!!..ตุ๊บ!..ปั๊ก!..พูดด้วยหมัดนี่แหละ..
    ลูกผู้ชายเขาตัดสินแบบนี้ ใครแข็งกว่าเป็นผู้ชนะใครแพ้ก็รับกรรมไป”
    ผมโดนทั้งหมัดทั้งเท้าจนร่วงลงไปนอนกุมท้อง จุกเจ็บไปหมดจนร้องไม่ออก
    คู้ตัวงอคลุกฝุ่นยังกับไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก
    เลือดกำเดาออกปากจมูก บอลลูนแผดเสียงร้องไห้จ้า
    ในหัวมึนไปหมดถ้าไม่ได้เพื่อนมันสองคนมารั้งตัวมันออกไป
    ผมคงจมตีนดับอนาถอยู่ตรงนั้น

     

    “พอแล้วเห้ย..มันร่วงแล้วกลับเถอะ”
     

    “ถุย!..ที่หลังอย่าเสือก..นึกว่าจะแน่” ถุยน้ำลายใส่ผมทิ้งท้าย
    แล้วพวกมันก็พากันเดินจากไป
    ไม่คิดชายตาแลดูผลงานด้วยซ้ำ เพื่อนคนที่วิ่งไปตามผมมา..
    รีบเข้ามาดูอาการท่าทางหน้าซีดปากสั่น

     

    “เป็นยังไงบ้างบูตัส กูว่ามึงไปล้างเลือดก่อนเถอะ”
    เสียงของมันกอปรกับหน้าตาเหมือนสะหยดสยองสภาพผมไม่น้อย
    บอกอาการได้ดียิ่งกว่าส่องกระจกเสียอีก ก่อนมันจะพยุงผมลุก
    ฝืนทนไม่ลืมคว้าข้อมือของบอลลูนจูงกันเดินตรงไปยังห้องน้ำ
    น้องยังคงร้องไห้ไม่หยุด สิ่งที่ทำได้ตอนนี้พยายามปลอบน้องให้หายกลัว

     

    “ไม่เป็นไรแล้วบอลลูน..ไม่ต้องกลัวพี่ไม่เป็นไรแล้วครับ”
    แม้ผมจะพยายามปลอบน้องแค่ไหน ช่วยได้มากที่สุดคือ
    เปลี่ยนจากเสียงร้องเป็นสะอื้นฮักๆน้ำตาเต็มแก้ม
    ซึ่งผมเองก็น้ำตาคลอเบ้าปวดใจสุดๆ

    ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดบาดแผลที่ถูกชกเท่าไหร่ แต่เกิดจากความโมโหตัวเอง
    ที่ไม่เอาไหนสู้ใครไม่ได้มากกว่า
    มันกลายเป็นความมุ่งมั่นที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่
    นับตั้งแต่วินาทีนี้ผมจะไม่ยอมงอมืองอเท้าอีกต่อไป
    หากต้องใช้กำลังพิสูจน์เพื่อยุติปัญหา โดยผู้ชนะคือเหตุผลที่ถูกต้อง
    ผมก็จะใช้กำลังเป็นตัวตัดสินไม่หลีกเลี่ยงหรือขลาดกลัวมันแล้ว

     

    กลับถึงบ้านพ่อกับแม่ตกใจไปตามระเบียบ
    ร้อยวันพันปีไม่เคยที่บูตัสจะก่อคดีด้วยเรื่องชกต่อย
    พอเห็นหน้าบวมช้ำเบ้าตาเขียวปากแตก เสื้อนักเรียนเปื้อนไปด้วยกำเดา
    ย่อมเป็นเรื่องปกติที่พวกท่านจะตกใจ

     

    โดยเฉพาะยิ่งเห็นหน้าอูมแก้มยุ่ยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
    ล้างแล้วก็ยังไม่หายเพราะบอลลูนเล่นร้องไม่หยุด
    ผิดกับตอนเด็กไม่ร้องสักแอ๊ะ! หนำซ้ำตากลมโตขนตายาวเกาะพราวไปด้วยวาวน้ำ
    แถมบวมแดงเพราะเจ้าตัวร้องมานาน

     

    พ่อกับแม่แค่สอบถามถึงต้นเหตุ แต่ไม่ได้ลงโทษผมซ้ำ
    ทั้งที่พวกท่านสั่งห้ามไม่ให้มีเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่ประจำ
    สุดท้ายผมก็หลีกไม่พ้น แม่เป็นคนทำแผลประคบเย็นตรงแก้มให้
    ผมตัดสินใจพูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น

     

    “พ่อครับ..” พอผมเรียกสายตาอ่อนโยนก็มองตอบ
    ก่อนมือหนาที่แสนจะอบอุ่นค่อยลูบลงบนหัวผมเบาๆ แทนการปลอบโยน

     

    “ว่ายังไงครับ” เสียงทุ้มนุ่มถามอย่างห่วงใย
     

    “บูจะเรียนชกมวย” เป็นคำขอที่พ่อกับแม่คงไม่คิดมาก่อน
    พวกท่านรู้ว่าลูกชายเกลียดการใช้กำลังเป็นที่สุด
    จู่ๆมาบอกขอเรียนชกมวย

     

    “บูแน่ใจหรือลูก” พ่อถามสั้นๆไม่ใช่แค่ขอคำยืนยัน
    ผมรู้ต้องการให้ตรึกตรองอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่วูบวาบไปตามอารมณ์
    พ่อไม่ชอบให้พวกผมเป็นคนแบบนั้น ตั้งใจแล้วก็ต้องลงมือทำให้สำเร็จ
    ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ พ่อไม่อยากให้เป็นคนที่มีจิตใจโลเล

     

    “ผมไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อน” ผมตอบพ่อไปตามจริง
    หากจะดูแลปกป้องบอลลูนได้ คงต้องแกร่งและเก่งพอตัว

     

    “ถ้าอย่างนั้นไม่มีปัญหา หลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์ลูกได้เรียนแน่นอน
    เตรียมตัวได้เลย” นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเรียนชกมวย
    ทั้งที่หลายคนมองว่ารูปร่างหน้าตาไม่อำนวยเลยสักนิด
    แต่ผมไม่เคยสนของแบบนี้หุ่นไม่เกี่ยว


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×