ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@ โดย Luk {สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ}

    ลำดับตอนที่ #13 : Part 12

    • อัปเดตล่าสุด 30 ม.ค. 57


    Part 12...เพื่อเธอ
     

    “เจ้าเป็นผู้เลือกกติกาในข้อแรก เงื่อนไขการเดิมพันในข้อที่เหลือควรเป็นข้ากำหนด
    เพราะข้าได้ให้โอกาสเจ้าสร้างเงื่อนไขครั้งนี้ จริงหรือไม่” พระปิตุลาทรงข่มโทสะที่คุกรุ่นในพระทัย
    ยิ่งเห็นท่าทีดีอกดีใจบรรดาทหารไตรคานกันแล้ว พระองค์แทบอยากถอนคำพูด ยกทัพบดขยี้ให้แหลกลาญ 
    จึงคิดแผนการนำมาเป็นข้ออ้าง หากผักตบไม่รับคำจักกระทำตามนั้น

     

    “หมายความว่ายังไง..” ผักตบถาม เมื่อคู่กรณีดันยกอ้างมาแบบนี้ เขาไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก
    สังหรณ์บางอย่างบอกให้ต้องระวังเป็นพิเศษ

     

    “หึหึ! ข้ารับคำท้าโดยที่เจ้าเป็นผู้กำหนดกติกาทายปริศนา ขืนข้อที่เหลือเจ้ายังเป็นผู้กำหนด
    ใยมิใช่ไร้ความยุติธรรมต่อข้าแล้ว..เจ้าหนุ่ม” เจอคารมอย่างผู้ใหญ่ใจดี กำลังถูกเด็กรุ่นลูกเอาเปรียบ
    ต่อหน้าเหล่าทหารของทั้งสองนคร ผักตบรู้ทันทีพระปิตุลาต้องการตั้งเงื่อนไขเดิมพันที่เหลือ
    หากเขาปฏิเสธเชื่อแน่ว่าอีกฝ่ายคงขอยกเลิกข้อตกลง หันดาบเข่นฆ่าแทนการออมชอมเป็นแน่

     

    “หมายความคุณต้องการกำหนดกติกา” ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว
    ในเมื่ออีกฝ่ายเจตนาขอตั้งเงื่อนไข คงไม่มีทางยอมให้เสียเปรียบเด็ดขาด

     

    “นั่นย่อมเท่าเทียม ข้าอ่อนข้อให้เจ้าแล้ว ขืนเจ้ายังเป็นผู้กำหนด ใยมิใช่ปิดประตูชัยเสียเล่า
    เช่นนั้นข้ามิอาจยอมรับเช่นกัน ย่อมไม่ผิดวาจาถ้าหากข้าจักไม่รักษาสัจจะที่มีต่อเจ้า” ผักตบอึ้ง
    ไม่ต่างองค์ชายวายุภักษ์ทรงกำพระหัตถ์แน่น เนื่องด้วยพระองค์ก็ไม่สามารถหาถ้อยคำมาหักล้างเหตุผล
    ของพระปิตุลาได้เช่นกัน เกิดวู่วามไปจะเข้าทางอีกฝ่ายเสียมากกว่า

     

    “ตกลง..ผมยกให้คุณเป็นคนกำหนดเงื่อนไขที่เหลือ ไม่ว่าผลจะออกมายังไง คุณต้องรักษาคำพูด”
    ผักตบไม่เหลือทางเลือก อย่างน้อยเขามีข้อได้เปรียบที่ทำคะแนนนำไปก่อน
    ขอแค่ชนะอีกข้อข้าศึกจำต้องถอนทัพกลับไปตามที่ได้ตกลงเอาไว้

     

    “หึหึ! เช่นนั้นข้าย่อมรักษาสัจจะ เพื่อไม่เป็นการเอาเปรียบต่อผู้ใด ไตรคานของเจ้ามั่นใจจักชนะ
    จงส่งตัวแทนมาสองคน ต่อสู้กับหญิงชลธารและชายธรณิณราชนิกูลแห่งเวฬุวรรณ เจ้ากล้ารับคำท้านี้ไว้หรือไม่”

    สิ้นสุดดำรัสพระปิตุลา บรรดาทหารไตรคานต่างพากันส่งเสียงดังอึงอลต่อเงื่อนไขที่ได้รับรู้
    จะมีผู้ใดสามารถต่อกรกับสองคนนี้ ทั้งไตรคานคงมีเพียงองค์ชายวายุภักษ์ ซึ่งเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุผู้เดียวเท่านั้น

     

    “ข้าต้องเป็นตัวแทนเสียแล้ว กลกะลาฝากความหวังไว้ที่เจ้าด้วย”
    องค์ชายวายุภักษ์ทรงรับสั่ง ผักตบรีบเอ่ยห้ามแทบไม่เสียเวลาคิด...

     

    “ไม่ไหวน่า..คุณบาดเจ็บสาหัส ฝืนสู้รังแต่เอาตัวไปรับดาบเปล่าๆ พวกเขามีเทพมหาธาตุคุ้มครอง
    สภาพคุณตอนนี้เหมือนหมูขึ้นเขียงชัดๆ” เผลอเหน็บเพราะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่เจียมสังขาร
    รู้ว่าเป็นคนรักบ้านเมืองและผู้คน บางครั้งก็ต้องดูกำลังตัวเองด้วย

     

    “ไม่ให้เราสู้หรือจักเป็นเจ้าแทน ผู้ซึ่งไม่มีทักษะเพลงอาวุธอันใด เพียงการขี่ม้าเจ้ายังไม่สามารถเช่นนั้นหรือ”
    พระองค์เหน็บได้แสบทรวง

     

    “เออเนอะ! ดันชวนทะเลาะ ที่พูดเพราะผมเป็นห่วงหรอก..เกิดคุณเป็นอะไรไปคิดถึงคนข้างหลังบ้าง
    พวกเขาจะเสียขวัญกันแค่ไหนรู้ไหมครับ ใครจะเป็นศูนย์รวมใจให้พวกเขา คิดถึงข้อนี้ก่อนดีกว่าไหม..เจ้าชายขอรับ”
    ผักตบย้ำลงเสียงหนักมีประชดเล็กน้อย ใช้สายตาดุจ้องพระพักตร์ซีดเผือด ที่ยังคงดูหล่อเหลาจนเขาพลอยหมั่นไส้

     

    “เจ้าเป็นห่วงเรา” พระองค์ทรงแย้มสรวลก่อนเอ่ยวาจา เนตรคมพราวระยับ
    แม้จะทนสะกดกลั้นอาการบาดเจ็บ กลับรู้สึกชุ่มชื่นพระทัยนัก

     

    “ตีความไปไหนของคุณ” ผักตบอึ้ง เขาพูดได้แค่นั้น
    ชักรู้สึกเขินสายตาท่าทางของคู่สนทนาที่ส่งมาให้ อย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

     

    “พวกเจ้าจักปรึกษากันอีกนานไหม เรามิอาจทนรอได้” พระปิตุลาทรงเห็นท่าทีสองบุรุษหนุ่มบนกำแพงวัง
    ผู้นำทัพข้าศึกปรึกษากันท่าทางดูเคร่งเครียด แต่ทำไมพระองค์กลับสัมผัสบรรยากาศซึ่งแวดล้อมพวกเขานั้น
    อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุขสันต์หรรษา ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
    พระองค์ทรงมั่นพระทัย ไม่ต้องรอการพิสูจน์เลยด้วยซ้ำ

     

    “พระปิ..ตุ๊ด..ลา ฝ่ายคุณมีผู้ถือครองเทพมหาธาตุเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ยื่นเงื่อนไขแบบนี้ไม่เท่ากับเอาเปรียบผมเกินไปไหม”
    ผักตบกลับโต้ตอบผู้มีวัยอาวุโสกว่าต้องการให้ได้อาย ที่ตั้งเงื่อนไขรังแกเด็ก

     

    “หึ! เจ้ามีวายุภักษ์ถือครองเทพมหาธาตุเช่นกัน ตัวเจ้าเองใยมิใช่  ข้ามิได้บังคับให้ส่งคู่ต่อสู้ที่ด้อยฝีมือเสียหน่อย
    ปัญหาย่อมเป็นพวกเจ้าต้องหาทางแก้ไข อย่าได้ยกอ้างเรื่องนี้..หาได้มีประโยชน์อันใด
    เว้นเสียแต่เจ้าจักยอมรับความพ่ายแพ้ต่อข้า เช่นนั้นข้าจักไม่ถือสาหาความต่อพวกเจ้า”

     

    “ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์...” ผักตบสบถให้ได้ยินแค่บนกำแพง
    หนึ่งในนั้นย่อมมีองค์ชายวายุภักษ์ กับองครักษ์คู่พระทัยที่ยืนอยู่ใกล้เขา

     

    “ย่อมเป็นอุปนิสัยที่ผู้คนยกย่อง บุคคลผู้นี้แล้ว” องค์ชายดันย้ำคำพูดผักตบได้หน้ามึนมาก
    ทำเอาเกือบหลุดขำคำพูดซื่อๆ ที่เสริมเขาเฉย จนต้องรีบเก๊กหน้าจริงจัง เพื่อไม่ให้รู้สึกกำลังเล่นปาหี่สนุกสนาน
    ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ต้องใช้วิธีเกร็งท้องแทบตายเลยเหมือนกัน

     

    “เอางี้..คุณยืนกรานที่จะสู้ใช่ไหม ผมจะลองปั่นหัวเฒ่าเจ้าเล่ห์ดู” สุดท้ายไม่มีทางเลือก
    ในแผ่นดินเท่าที่รู้คนเก่งกล้าฝีมือดี ก็คนที่ยืนข้างเขา เจ้าชายซึ่งเป็นที่รักใคร่บูชาของคนทั้งแผ่นดิน
    รองลงมาก็องครักษ์คู่กายที่ยืนหน้าแดงไม่หาย นอกเหนือจากสองคนนี้ เขานึกไม่ออกจะส่งใครไปสู้
    โดยที่ไม่ให้เสียเปรียบ ยิ่งตัวเขาเองมีหวังออกไปให้อีกฝ่ายควงดาบไล่ฟัน
    ขายขี้หน้าเสียเปล่าๆ คนพวกนี้ไม่ใช่ธรรมดาที่จะนึกสนุกชวนชกต่อย

     

    “เรายังพอไหว ถ้าใช้เพลงอาวุธเข้าห้ำหั่น มิใช้พลังมหาธาตุล่ะก็” คำตอบที่ผักตบต้องการที่สุด
    แม้จะห่วงสภาพร่างกายคนที่ยืนยันหนักแน่น ดูแล้วน่าเป็นห่วงไม่น้อย แต่ถ้าเจ้าตัวพูดแบบนี้ก็ต้องเชื่อมั่นให้กำลังใจกัน

     

    “กลกะลา..คุณคิดว่าสามารถเอาชนะใครได้ระหว่างสองคนนั่น” คราวนี้ผักตบจงใจถามองครักษ์หนุ่มโดยตรง
     

    “ข้าน้อยย่อมมิใช่คู่มือพวกเขาดอก กระนั้นจักขอสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับนายท่าน”
    คำตอบซึ่งแสดงจุดยืนเด็ดเดี่ยว ทำเอาผักตบซาบซึ้งในความจงรักภักดีต่อเลือดรักชาติของคนผู้นี้
    ประเทศไทยถ้ามีคนแบบนี้ไม่ต้องมาก แค่เป็นนักการเมืองในสภา
    คงสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ จนเพื่อนบ้านพากันอิจฉาควันออกหูแน่

     

    “ตกลงเป็นคุณสองคน” ผักตบตัดบทดื้อๆ ไม่รอใครออกความเห็น
     

    “ท่านปิ..ตุ๊ด..ลา ผมพร้อมส่งตัวแทนไปสู้กับคนของคุณแล้ว แต่มีเงื่อนไขห้ามใช้พลังเทพมหาธาตุ
    ให้ใช้อาวุธถนัดเท่านั้น แค่ให้รู้ผลแพ้ชนะ ห้ามมีการสังหารชีวิตล้มตายเป็นอันขาด ยินดีรับเงื่อนไขไหม
    อย่าบอกไม่ยอมเชียวล่ะ ผมให้คุณเป็นคนกำหนดกติกาถึงสองข้อ เอาเปรียบผมแล้ว เรื่องแค่นี้..คุณคงไม่ใจแคบกระมัง”
    ผักตบฉลาดพูดต่อรองแบบมัดมือชก มีหรืออีกฝ่ายจะสามารถปฏิเสธ เมื่อโดนดักคำพูดล่วงหน้า

     

    “เจ้ากล่าววาจาเบ็ดเสร็จ จักเหลือทางเลือกอันใดให้เรา กระนั้นเรายังคงรับปาก ห้ามมิให้ผู้ใดใช้พลังเทพมหาธาตุ
    จักไม่มีการเข่นฆ่าถึงแก่ชีวิต เพียงเท่านี้ใช่ไหมที่เจ้าต้องการต่อรอง” อีกฝ่ายรับปาก เข้าแผนผักตบทำให้เขาใจชื้นขึ้นมา
    เมื่อมองเห็นช่องทางเอาชนะได้บ้าง

     

    “ครับ..ถ้างั้นคุณส่งตัวแทนคนแรกมาเลย” พูดจบลานทรายหน้ากำแพงวังที่สองกองทัพต่างยืนประจันกัน
    กลายเป็นลานพิสูจน์ฝีมือไปแล้ว เหล่าขุนพลนายทหารแปรสภาพเป็นกองเชียร์
    เพื่อส่งกำลังใจให้ตัวแทนฝ่ายตน..คว้าชัยชนะมาให้ได้

     

    “ข้าองค์ชายธรณิณแห่งเวฬุวรรณ ขอท้าพิสูจน์ฝีมือชาวไตรคาน ผู้ใดคิดว่าล้มข้าได้ จงก้าวออกมา”
    ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเข้าขั้นเด่นกว่าใครในฝ่ายศัตรู กระโดดลงจากหลังม้า ก้าวออกมาประกาศศักดาให้ได้ยินกันทั่ว
    ท่าทางองอาจมั่นใจข่มขวัญทหาร ให้รู้สึกครั่นคร้ามต่อบุคลิกซึ่งน่าเกรงขามนี้ ยกเว้นบุคคลที่รอโอกาสเอาคืน
    หลังโดนขบขันเห็นเขาเป็นตัวตลกไปก่อนหน้า..
    กลกะลา

     

    “ให้ข้ารับมือเขาเถอะ” องครักษ์หนุ่ม..รีบค้อมศีรษะขันอาสาทันที ผักตบรอให้อีกฝ่ายแสดงความจำนงแต่แรก
    คิดว่ายังไงกลกะลาก็ร่างกายแข็งแรงพร้อมสู้ มากกว่าคนตัวโตใจแข็ง แต่สังขารไม่เอื้ออำนวย

     

    “ตกลงคุณสู้กับเขา เห็นท่าไม่ดีอย่าฝืน จำไว้การต่อสู้ครั้งนี้อย่าโง่เอาชีวิตเข้าแลก ผมไม่ต้องการเห็นใครตาย”
    องค์ชายไม่ทันรับสั่งอนุญาต ผักตบชิงจัดการเสียเอง แถมกำชับองครักษ์หนุ่มรักษาชีวิตเป็นสำคัญ

     

    “ขอรับ..นายท่าน” รับคำเสร็จ ค่อยหันมาจ้องคนที่ยืนอยู่ในลานต่อสู้อย่างเอาเรื่อง
    สายตาคมปล่อยรังสีสังหารให้คนรอบข้างได้ขนหัวลุก ถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือย่อมไม่สามารถสร้างรังสีสังหารเช่นนี้
    กลกะลาเป็นยอดองครักษ์ฝีมือดีอันดับหนึ่งของไตรคาน

     

    วินาทีถัดมา รูปร่างสมชายชาตรีในชุดเกราะรัดกุมทะยานลงจากกำแพงวังอย่างไม่กลัวขาจะหัก
    ผักตบมองท่วงท่าเหินเวหาสุดงดงามอย่างตื่นตะลึงในความสามารถตัวแทนฝั่งตน หลังกลกะลาไปยืนประจันหน้าองค์ชายธรณิณ
    โดยไม่มีทีท่าหวั่นเกรง พานนึกชมในใจที่ได้มีโอกาสเห็นด้วยสายตาตนเอง กำแพงวังสูงพอกับตึกสามชั้น ดันกระโดดตัวเบาหวิว

     

    “ข้ามีนามกลกะลาองครักษ์องค์ชายวายุภักษ์..เชิญเถิดพะยะค่ะ” ถึงยังไงคู่ต่อสู้ก็มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงมกุฎราชกุมาร
    ตามธรรมเนียมปฏิบัติเขาต้องให้เกียรติไม่ว่าจะอยู่ในฐานะมิตรหรือศัตรู เป็นกฎที่รู้กันอยู่

     

    “หึ!ไม่คิดว่านอกจากความสามารถผายลม เจ้ายังมีทักษะต่อสู้อีก
    ถือเป็นครั้งแรก..ที่ข้าได้ทดสอบฝีมือกับผู้เก่งกาจในการผายลม”

    ถ้อยวาจาองค์ชายธรณิณทรงรับสั่ง กับพระพักตร์ยียวนกวนโทสะ
    ทำเอาใบหน้าเรียบนิ่งที่ไม่แสดงความรู้สึก ถึงกับแดงก่ำหลังฟังประโยคนี้

    กลกะลาไม่สันทัดในการใช้วาจาโต้ตอบ เจอแบบนี้เขาตัดสินใจชักดาบคู่กายกระชับมือมั่น
    พร้อมทั้งให้สัญญาณเพียงสั้นๆ

     

    “รับมือ!” เพียงแค่นั้นก็ทะยานร่างใส่ อาศัยความไวเป็นประโยชน์ ในขณะอีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว
    แต่ก็ยังคำนวณฝีมือคู่ต่อสู้ต่ำไป องค์ชายธรณิณจัดเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเวฬุวรรณ
    ไม่นับพลังเหนือธรรมชาติล่ะก็ไม่มีใครเป็นคู่มือพระองค์ด้วยซ้ำ
    มีหรือจะเปิดช่องให้องครักษ์หนุ่มช่วงชิงจังหวะให้ได้เปรียบอย่างที่หวัง

    พระองค์พลิ้ววรกายหลบอย่างไม่กินแรง พร้อมกับดึงดาบออกจากฝักรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน
    พร้อมกับใช้ต้านรับคมดาบของกลกะลา แรงปะทะก่อให้เกิดประกายไฟ พร้อมกับเสียงอาวุธเสียดสีกันจนปวดหู

     

    “เกร๊ง!..เกร๊งๆๆ!” ต่างรุกรับรัวเร็วตวัดซ้ายป่ายขวา
    เฉือนฟันด้วยกำลังแขนและแรงกายที่หนักหน่วง ชวนให้ลายตาลุ้นตามใจหายใจคว่ำ

     

    ผักตบต้องอาศัยกล้องช่วยจับภาพใจจดจ่อ ทำให้สามารถมองตามการปะทะของคมดาบ
    ขณะใช้ท่าร่างกระโดดหลบ ถอยฉากทะยานเข้าสู้อย่างไม่ลำบากเท่าไหร่ เดิมที่มองด้วยตาเปล่าแทบดูไม่ทัน

    แม้จะยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ แต่ถ้าสังเกตสีหน้ากลกะลากินแรงกว่าองค์ชายธรณิณพอดู
    อีกฝ่ายคล่องแคล่วว่องไวเกิน ดักทางเพลงอาวุธของกลกะลาไว้ได้หมด มียกยิ้มมุมโอษฐ์ยักพระโขนงล้อเลียนส่งไปให้ด้วย
    เป็นการยั่วโทสะกลกะลาเพื่อรบกวนสมาธิคู่ต่อสู้อย่างถูกจุด

    สองฝ่ายใช้ดาบเข้าห้ำหั่นเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้จะมีเงื่อนไขไม่ให้บาดเจ็บถึงแก่ชีวิต
    แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ผักตบกลับนึกไม่ออกว่าถ้าเกิดฝ่ายใดพลาดท่า มีหรือที่จะไม่ได้เลือดสักหยด...

     

    องค์ชายธรณิณทรงทึ่งในฝีมือคู่ต่อสู้เช่นกัน นานแล้วที่พระองค์ไม่เจอคู่มือแข็งแกร่งดุดันเหมือนองครักษ์หนุ่มผู้นี้
    พระองค์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ถึงกับใช้ฝีมือต่อกรแทบไม่ออมแรง เดิมทีพระองค์หมดพลังไปกว่าครึ่งจากการใช้เทพมหาธาตุ
    ทำลายเกราะขององค์ชายวายุภักษ์จนอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ ผ่านไปครึ่งชั่วยามพระองค์ยังกำราบให้อยู่หมัดไม่ได้
    เหล่าทหารเวฬุวรรณ..ทั้งแม่ทัพนายกองยังแทบไม่เชื่อสายตา ที่บุคคลผู้มีตำแหน่งองครักษ์
    กลับสามารถรับมือองค์ชายผู้ได้ชื่อเป็นสุดยอดนักรบของเวฬุวรรณได้อย่างคู่คี่สูสีเช่นนี้

     

    “เกร๊งๆ!..เช้งๆ!..ชิ้ว!..ฉับ!..เกร๊งๆๆ!..โอ๊ะ!” ชั่วกะพริบตากลกะลาก็พลาดท่าเสียที
    ด้วยไม่รู้กลอุบายองค์ชายธรณิณแอบใช้พลังเทพมหาธาตุ สั่งธรณีให้กรวดทรายตรึงเท้าของเขาไว้
    ทำให้เสียจังหวะถูกคมดาบตวัดพาดลำคอในทันที โดยเจ้าของดาบพลิ้วตัวมาอยู่ด้านหลังเขา
    ด้วยท่าร่างที่รวดเร็วมาก ก่อนกระซิบผ่านริมหูให้ได้ยินว่า

     

    “เจ้าแพ้แล้ว..อย่าขัดขืนมิเช่นนั้นเราจักไม่เกรงใจ” กลกะลานิ่งขึงสีหน้าไม่ยอมจำนน
    แต่รูปการที่มีคมดาบพาดลำคอเขา ไม่เหลือระยะห่างจนสัมผัสเนื้อโลหะเย็นยะเยือก ดุจพญามัจจุราชส่งยิ้มมาให้
    จำต้องปล่อยแขนที่ถือดาบห้อยตกแนบลำตัว ยิ่งคำพูดของผักตบผุดเตือนขึ้นมา

     

    เห็นท่าไม่ดีอย่าฝืน จำไว้การต่อสู้ครั้งนี้อย่าโง่เอาชีวิตเข้าแลก ผมไม่ต้องการเห็นใครตาย
    ทำให้เขาทิ้งดาบแสดงการยอมแพ้ตามกฎ

     

    “หึหึ!..ข้าชักชอบเจ้าแล้วสิ” พูดในขณะพระพักตร์ชิดใบหูอีกฝ่าย พร้อมอาศัยร่างกายกำบังสายตาผู้คน
    แอบเอาหัตถ์ซ้ายที่ว่างขย้ำก้อนเนื้อกลมแน่นไปทีเต็มๆ กลกะลาถึงกับสะดุ้งโหยง

     

    “อ๊ะ!..นี่ท่าน” เขาไม่สามารถเอ่ยอันใด นอกจากส่งสายตาอาฆาตอย่างแค้นเคือง ที่อีกฝ่ายหยามศักดิ์ศรีกันซึ่งหน้า
     

    “ฮะฮ่าๆ” เสียงหัวเราะอย่างผู้กำชัย ดวงเนตรกรุ้มกริ่มส่งให้คู่ต่อสู้ซึ่งพระองค์เพิ่งปล่อยตัวเป็นอิสระ
    พร้อมเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของบรรดาทหารฝ่ายเวฬุวรรณ ข่มขวัญกองทัพไตรคานต่างกำหมัดขบกรามอย่างสะกดกลั้น
    โทสะไว้อย่างเต็มฝืน พวกเขาต่างรู้เต็มอก ถึงแม้กลกะลาจะเป็นยอดองครักษ์ของไตรคานฝีมือเป็นเลิศ
    แต่ถ้าเทียบองค์ชายธรณิณผู้มีฉายาโด่งดังไปทั่วยังห่างชั้นอยู่มาก ที่สามารถรับมือได้ยาวนานคงเพราะอีกฝ่าย
    เสียพลังไปในการใช้เทพมหาธาตุ ทำให้สู้ได้คู่คี่สูสีช่วงแรก ก่อนจะเพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด..

     

    “เจ้ากระทำอย่างสุดความสามารถแล้ว อย่าได้นึกโทษตัวเองเลย”
    องค์ชายวายุภักษ์ ทรงดำรัสปลอบองครักษ์ หรืออีกฐานะหนึ่งคือพระสหาย

     

    “ข้าพระองค์สมควรรับพระอาญา” กลกะลากลับยืนค้อมศีรษะไม่กล้าเงยหน้าสบพระพักตร์
    จนผักตบต้องเดินเข้าไปตบบ่าแกร่งปลอบเบาๆ

     

    “คิดมากน่า..คุณทำเต็มที่แล้ว ผมมีคำถามเล็กน้อย อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงก้าวขาไม่ออก
    ถ้าไม่เพราะจังหวะคุณเสียพอดี..คงไม่แพ้” กลกะลารู้สึกซาบซึ้งใจ ที่ผักตบมีสายตาแหลมคม รู้ว่าเขาพลาดตรงไหน

     

    “ข้าน้อยมิทราบขอรับ จังหวะนั้นเหมือนว่าร่างกายถูกตรึงเอาไว้” เขาตอบไปตามความจริง
     

    “พลังมหาธาตุธรณี องค์ชายธรณิณลอบใช้ตรึงร่างกายของเจ้าไว้ หาไม่แล้วขืนยืดเยื้อต่อสู้เนิ่นนานย่อมเสียเปรียบเจ้าได้
    เนื่องเพราะพลังในกายทรงลดลงไปกว่าครึ่ง” องค์ยุพราชแห่งไตรคาน เป็นผู้ไขความกระจ่าง
    ให้ผักตบและกลกะลารับทราบความจริง

     

    “ขี้โกงนี่หว่า ตกลงกันแล้วห้ามใช้ แบบนี้ถือเป็นโมฆะครับ” ผักตบสบถด้วยความโมโห
     

    “เจ้าจักเอาหลักฐานอันใดไปโต้แย้ง ย่อมไม่สามารถถกเถียงชนะพระปิตุลาได้สำเร็จ”
    องค์ชายเตือนสติคนฉลาด ที่ควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่

     

    “ได้..เล่นแบบนี้มาตัดสินที่คุณแทน..เจ้าชาย ฟังผมให้ดีไม่เข้าใจให้รีบถามผมด่วน” พระองค์พยักพระพักตร์รับ
     

    “รับปืนผมไป วิธีใช้ให้ขึ้นนกตรงนี้..นำกระสุนเข้ารังเพลิง จะยิงให้คุณเล็งปากกระบอกไปยังเป้าหมาย แล้วกดไกตรงนี้..
    ลูกกระสุนจะวิ่งไปยังเป้าที่คุณต้องการ สำคัญมือห้ามสั่นเล็งให้แม่นเป็นพอ ในนี้มีกระสุนสิบนัด
    อย่าใช้ดาบสู้เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง ไม่งั้นผมคงตกเป็นเชลยฝ่ายนั้นแทน แถมมุกราตรีดำของคู่บ้านคู่เมืองคุณอีก
    ต้องยกให้เขาไป..เข้าใจวิธีใช้ไหม” ผักตบสอนการยิงปืนให้องค์ชายวายุภักษ์อย่างรวบรัด
    เขามั่นใจมันสมองระดับเจ้าชายองค์นี้ คงไม่ซื่อบื้อยิงปืนไม่เป็นแน่

     

    “เรายิงธนูแม่น คิดว่าสิ่งนี้คงไม่เป็นปัญหา เจ้าต้องการให้เรายิงองค์หญิงชลธารเช่นนั้นหรือ
    ใยมิทำให้นางบาดเจ็บผิดเงื่อนไขที่เจ้ากำหนด พระปิตุลามิยอมรามือเป็นแน่” พระองค์มิทรงวิตกในการยิงปืน
    หลังดูกลไกต่างๆ แล้วทรงเข้าใจในทันที แต่กลับกังวลหากใช้ปืนยิงองค์หญิงชลธาร ซึ่งเป็นอาวุธจากดินแดนปริศนาของผักตบ
    นางย่อมได้รับบาดเจ็บเพราะไม่ได้ใช้พลังมหาธาตุสร้างเกราะคุ้มครองกาย

     

    “ใครใช้ให้คุณยิงเธอเลือดตกยางออกเล่า เล็งที่หมวกเหล็กของเธอสิครับ ทำให้กระเด็นหลุดจากหัวได้หรือเปล่า
    ถ้าทำได้ถือว่าเธอแพ้โดยที่คุณไม่ต้องเข้าประชิดตัว ผมจะเป็นคนให้ยุติการต่อสู้เอง สำคัญคุณได้ออมแรงไม่ต้องบาดเจ็บไปกว่านี้
    เข้าใจแผนหรือยังครับ” ผักตบรีบสร้างความเข้าใจให้องค์ชาย พระองค์พยักพระพักตร์หลังรู้ความต้องการเขา

    ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การทำให้หมวกเหล็กที่สวมศีรษะกระเด็น เท่ากับศีรษะคนผู้นั้นขาดออกจากลำคอ
    ย่อมพ่ายแพ้โดยมิต้องหลั่งโลหิต

     

    “ตกลง..เราจักทำตามแผนของเจ้า” พระองค์รับคำ
    ก่อนผักตบจะรับหน้าที่ตะโกนจากบนกำแพง ส่งสาส์นไปให้พระปิตุลา

     

    “ตอนนี้เราต่างมีคนละแต้ม สมควรมาตัดสินกันยกสาม ใครชนะต้องทำตามเงื่อนไขตามข้อตกลง”
    พระปิตุลารับฟังด้วยพระพักตร์เย้ยหยัน ใช่คาดเดาไม่ออก ตัวแทนคนต่อไปย่อมเป็นอื่นไม่ได้นอกจากวายุภักษ์แล้ว
    สำคัญอีกฝ่ายบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย หากฝืนสังขารก็จักช่วยสงเคราะห์ให้ด้วย

     

    “ย่อมเป็นเช่นนั้น เรายึดถือสัจจะไม่คืนคำ คนของเราพร้อมแล้วเชิญตัวแทนฝ่ายเจ้าเถิด”
    ตรัสเสร็จทรงผินพระพักตร์ส่งสัญญาณองค์หญิง สตรีในชุดนักรบพลิ้วกายสง่างาม ไม่ด้อยกว่าบุรุษลงจากอาชาคู่พระทัย
    ประทับยืนบนผืนทรายอย่างมั่นคง ค่อยย่างพระบาทมากลางลานประลอง

    หัตถ์เรียวกระชับด้ามดาบไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด พระองค์ทรงมั่นในพระทัย
    ไม่มีใครรับมือได้แน่ต่อให้เป็นยุพราชหนุ่มรูปงาม ที่ผู้คนแซ่ซ้องไปทั่วแผ่นดินนามวายุภักษ์
    ใช่จักเป็นคู่ต่อสู้พระองค์ได้ เพราะอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้วนั่นเอง

     

    “เจ้าช่วยพาเราลงสู่ลานประลองที” รับสั่งกับองครักษ์หนุ่มให้นำพระองค์ลงไปยังลานประลอง
    ด้วยไม่สามารถเหินลงจากกำแพงวัง แค่การทรงกายให้มั่นคงยังหนักหนา ขืนฝืนใช้พลังที่มีพลิ้วร่างโดดลงไป
    คงล้มทั้งยืนไม่เป็นท่า กลกะลากลับรับฟังอย่างเข้าใจในพระประสงค์ โดยไม่คิดถามให้มากความ ค้อมศีรษะถวายความเคารพ

     

    “ข้าพระองค์ขอประทานอภัย พะยะค่ะ” พูดจบเข้าประคองพระกรด้านซ้ายออกแรงพยุงพระวรกาย
    ก่อนพากระโดดลงจากกำแพงวังหลวง ซึ่งการกระทำทั้งหมด ยังผลให้เหล่าทหารถึงกับน้ำตาคลอไปตามกัน

     

    เมื่อพวกเขาได้เห็นน้ำพระทัยเด็ดเดี่ยวสมเป็นผู้นำกองทัพ ถึงแม้จะทรงบาดเจ็บสาหัสพระองค์กลับอาสาเข้าต่อสู้
    พวกเขาพร้อมใจคุกเข่าถวายความเคารพอันเป็นการกระทำสูงสุด แสดงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกันทั้งกองทัพ
    องค์ชายทรงประทับยืนกลางลานประลอง ถึงกับรู้สึกตื้นตันพระทัย รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเปี่ยมพระเมตตาแก่ทหารของพระองค์

     

    “ลุกขึ้นเถิดทหารกล้าแห่งไตรคาน บัดนี้เราจักรักษาอธิปไตยดำรงไว้ซึ่งเอกราช เพื่ออิสรภาพของชาวไตรคาน
    อย่างเต็มกำลังความสามารถ เราจักต่อสู้เพื่อพวกเจ้าทุกคน อย่าได้ขลาดกลัวอันใด..จงสู้เยี่ยงนักรบ”

     

    “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ องค์ชายวายุภักษ์ทรงพระเจริญๆๆ!!
    เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญพระบารมี ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ

    ทำเอาหัวใจหนุ่มหล่อนามผักตบจุกแน่นไปทั้งอก กับภาพที่เห็นกับสิ่งที่ได้สัมผัสที่เขาได้มีส่วนร่วมในครั้งนี้
    รอยยิ้มจริงใจที่ไม่เคยมอบให้ใครมาก่อน เป็นสิ่งที่บรรดาหนุ่มสาวพากันหลงใหลอยากได้มากหนักหนา แต่กลับไม่มีใครได้รับ
    บัดนี้ผักตบใช้เป็นสื่อส่งกำลังใจไป มอบให้ผู้ชายตัวโตสูงใหญ่องอาจสง่างาม ซึ่งกำลังเงยพระพักตร์มองมาที่เขาพอดี
    รอยยิ้มสว่างบาดจิตของบุรุษผู้มาจากดินแดนปริศนา กำลังสะกดตรึงสายตาทุกผู้คน
    เหล่าทหารทั้งสองกองทัพเผลอจ้องมองตาค้าง

    รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกชุ่มเย็น ประดุจสายวารีทิพย์เหล่าทวยเทพ รอยยิ้มที่ใครพอได้ยล
    พานถูกดึงดูดสะกดตรึงจนยากถอนสายตาได้

     

    “สู้นะครับ..เจ้าชาย” น้ำเสียงทุ้มหล่อ ส่งแรงเชียร์และกำลังใจแฝงความอบอุ่นไปให้เต็มเปี่ยม
    ทำเอาพระทัยยุพราชหนุ่มขยายพองอัดแน่นในพระอุระ ดุจมีพลังไร้สภาพช่วยให้พระองค์ฟื้นคืนพระกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง

     

    “เราจะสู้ เพื่อเจ้า” พระองค์ดำรัสตอบ ความหมายซึ่งแฝงความใน ทำเอาผักตบที่รับรู้อยู่เต็มอก
    ถึงกับหน้าร้อนค่อยเปลี่ยนเป็นแดงก่ำสุกปลั่งอย่างห้ามไม่อยู่ จนต้องรีบเบี่ยงประเด็น
    กลัวจะเผยไต๋ให้เจ้าของประโยค..ตีความเข้าข้างตัวเองไปเสียก่อน

     

    “พระปิตุลา เนื่องจากองค์ชายของผม สู้กับตัวแทนคุณที่เป็นสตรี ผมมีข้อเสนอเล็กน้อย พร้อมจะรับฟังหรือไม่”
    แก้อาการเขิน ด้วยแผนในหัว

     

    “เจ้ามีอันใดอีก” พระองค์ตรัสถามอย่างไม่นึกรำคาญ
    ทรงอยากรู้เช่นกัน ผักตบพูดเหมือนให้เกียรติองค์หญิงชลธาร ทรงใคร่รอชมว่ามีอันใด

     

    “ถ้าองค์ชาย ทำให้หมวกเหล็กที่องค์หญิงสวมหลุดจากศีรษะได้ ถือว่าองค์หญิงพ่ายแพ้
    แต่ถ้าองค์หญิงสามารถทำให้องค์ชายมีรอยขีดข่วนแค่ปลายเล็บ ถือว่าฝ่ายผมแพ้..ตกลงไหม”
    ฟังเงื่อนไขเหมือนกำลังหยิบยื่นความได้เปรียบให้องค์หญิงชลธาร

    การขีดข่วนเพียงปลายเล็บใยมิใช่ง่ายดายสำหรับองค์หญิงที่จักสามารถกระทำเล่า
    ตรงกันข้ามการทำให้หมวกเหล็กหลุดกระเด็นจากพระเศียรขององค์หญิง ผู้ถือครองเทพมหาธาตุซึ่งปรีชาสามารถเก่งกาจ
    ในการต่อสู้ ย่อมเป็นเรื่องกระทำได้ยากสำหรับองค์ชายวายุภักษ์ตอนนี้ เพราะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยอยู่เห็นๆ

     

    “ฮะฮ่าๆ..เจ้าช่างยากคาดเดานักเจ้าหนุ่ม นี่ใช่เป็นการส่งมอบตัวเจ้าเองให้ข้าอย่างยินยอมพร้อมใจ
    ถึงได้เสนอเงื่อนไขเช่นนี้ ข้าย่อมยินดีรับข้อเสนอของเจ้าไว้..ฮะฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะไม่เก็บอาการของพระปิตุลาแล้ว
    กองทัพข้าศึกก็พลอยหัวเราะกันดังสนั่น ขบขันข้อเสนอที่ช่วยให้แพ้เร็วขึ้นของผักตบ พวกเขาจึงพร้อมใจกันหัวเราะเสียยกใหญ่
    เวทนาในความโง่เขลาเบาปัญญาของอีกฝ่าย..ที่คิดหาหนทางให้พ่ายแพ้มากกว่าจะเอาชนะ

     

    “ถ้างั้นเริ่มได้เลย เจ้าชายอย่าใจอ่อนลุยเลย” ผักตบรับหน้าที่เป็นกองเชียร์จนออกนอกหน้า ตะโกนเสียงดังสุดๆ
     

    องค์ชายวายุภักษ์พอได้ยิน ทรงไม่รอช้ากระชับปืนพกสั้นยกเล็งเป้าหมายที่อยู่ห่างไม่ถึงห้าก้าว จังหวะกองทัพข้าศึก
    กำลังหัวเราะครื้นเครง องค์หญิงชลธารยืนแย้มโอษฐ์ขบขันด้วย แม้จะยังไม่รู้ว่าองค์ชายถืออันใดในพระหัตถ์
    คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นด้วยความสงสัย แต่ไม่ทันการเสียแล้ว..

     

    “เปรี้ยง!..โอววว!!” เสียงปืนเพียงนัดเดียว แม่นปานจับวางก็ว่าได้ ไม่เพียงแต่หมวกเหล็กขององค์หญิง
    จะกระเด็นหลุดออกจากศีรษะไปนอนเค้งเต้งอยู่ที่พื้นเท่านั้น วรองค์เธอก็เซถลายกมืออุดพระกรรณ
    พระพักตร์ทรงดูตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัว...

     

    “ชนะแล้ว..เฮๆๆ..เราชนะแล้ว” เสียงทหารไตรคานกระโดดโห่ร้องแสดงความดีใจกันทั้งกองทัพ
    กลกะลารีบเข้าไปพยุงวรกายขององค์ชายไว้ เมื่อเห็นพระองค์มีอาการพระหัตถ์สั่นระริกผลจากแรงกระแทก

     

    ผักตบถลาวิ่งลงมาจากกำแพงวังอย่างไม่คิดชีวิต โผล่ออกประตูมาได้
    ก็พุ่งเขาไปสวมกอดยุพราชหนุ่มไว้เต็มรักทั้งสองแขนอย่างลืมตัว

     

    “คุณทำสำเร็จแล้ว เก่งสุดๆ ยิงปืนแม่นกว่าผมอีก” ทั้งชมทั้งกอดด้วยความดีใจ
    จึงไม่ได้ระวังกิริยาแม้แต่น้อยว่าเผลอกอดอีกฝ่ายเข้าให้

    ทางฝ่ายพระปิตุลา องค์ชายธรณิณ องค์หญิงชลธารต่างหน้าเผือดสี ไม่คิดว่าผลจะออกมาแบบนี้
    แม้จะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง เพราะได้ตกปากรับคำเงื่อนไขเองแต่แรก

     

    “ถอยทัพ!!...ตึงๆๆ!!” รับสั่งสุรเสียงดุดันอย่างมีโทสะ ก่อนชักม้านำขบวนไม่เอ่ยอันใดอีก
    พระพักตร์บึ้งตึงหายพระทัยหนักหน่วง อย่างทรงสะกดกลั้นพระอารมณ์ไว้เต็มกลืน
    กระนั้นเนตรคมเฉี่ยวดุจเหยี่ยวกลับวาวโรจน์สบถเพียงลำพังบนหลังม้า ด้วยสายพระเนตรมาดร้ายแลดูน่ากลัว

     

    “เจ้าอย่าหวังจักรอดชีวิต..วายุภักษ์”
    นั่นคือพระดำรัสอาฆาตทรงตรัสทิ้งทวนฝากไปกับสายลม โดยมิมีผู้ใดเฉลียวใจกันเลยสักคน

     

    องค์ชาย องค์หญิง แม่ทัพพลทหาร พากันยกขบวนถอยทัพกลับสู่เวฬุวรรณนคร
    ตามหลังผู้นำกองทัพ..ด้วยอาการงงงันยังไม่หาย..

    ส่วนองค์ยุพราชหนุ่ม หลังตอบรับการแสดงความยินดีจากบุคคลที่พระองค์ผูกพระทัยปฏิพัทธิ์
    ทันใดนั้นเกิดทรุดฮวบทั้งยังกระอักพระโลหิตออกมาเป็นลิ่มเลือด สร้างความแตกตื่นตกตะลึงให้ผักตบ
    และเหล่าทหารกันเป็นอันมาก ที่วีรบุรุษของพวกเขาบาดเจ็บสาหัสหนักหนาถึงขนาดนี้

     

    “แอ๊ก!..แค่กๆ!!..องค์ชายพะยะค่ะ!..เจ้าชายคุณเป็นอะไร..คุณ!
    เสียงสุดท้ายที่พระองค์ทรงได้ยิน ก่อนพระสติจะมืดดับไม่รับรู้อันใดอีก

    > 

    > 

                    “ท่านมหาโหรา โอรสของเราปลอดภัยหรือไม่” เหนือหัวองค์อนิละรับสั่งถามมหาโหราผู้เฒ่า
    หลังหมอหลวงตรวจพระอาการเพียงแต่วินิจฉัยว่าพระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บบอบช้ำภายในสาหัส
    ส่วนพระอาการที่ทรงไม่ฟื้นคืนพระสตินั่นยังไม่ทราบสาเหตุ จึงเป็นหน้าที่ของมหาโหราผู้เฒ่าตรวจชีพจร
    หาสาเหตุอีกทางหนึ่ง ภายใต้ความวิตกกังวลของผู้คนทั่วทั้งไตรคาน

     

    เหล่าทหารต่างติดตามพระอาการอยู่ด้านนอก พสกนิกรที่ทราบข่าวเองก็ร้อนใจคอยรอข่าวเกี่ยวกับพระอาการเช่นกัน
    แต่ขณะนี้ในห้องบรรทมของตำหนักวาโยทิพย์ ที่ทรงพำนักร่วมกับผักตบ กลกะลาองครักษ์คู่พระทัย พร้อมแม่ทัพร่างใหญ่ได้นำ
    พระองค์มาประทับยังเตียงบรรทม ก่อนถวายรายงานแก่ทุกภาคส่วนให้รับทราบ เลยพากันมาออเต็มไปหมด

    พลอยกระวนกระวายใจกันไปใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่แม่เล็กของผักตบ หนุ่มหล่อยุคไฮเทคเก็บงำความรู้สึกไว้มิดชิด
    ทั้งที่ห่วงอาการผู้ที่ไม่รู้สึกตัวนอนอยู่บนเตียงมากกว่าใคร เพราะเขาเป็นคนส่งเจ้าชายองค์นี้เป็นตัวแทนเข้าต่อสู้
    ทั้งที่รู้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส ยังปล่อยให้รับภาระหนัก พานรู้สึกผิดขึ้นมาพลอยพูดไม่ออก หากคนผู้นี้เกิดเป็นอะไรไปล่ะก็

     

    “องค์ชายทรงถูกพิษร้าย เป็นพิษเบญจมาศดำชนเผ่าเร่ร่อนตอนใต้ของนครไอยรา หากไม่ได้ยาถอนพิษภายในสามราตรี
    เกรงไม่ทันการ..” มหาโหราผู้เฒ่าหยุดวาจาไว้แค่นั้น แต่เป็นที่เข้าใจตรงกันในคำตอบที่ละไว้

     

    “วายุภักษ์โดนพิษได้เยี่ยงไร กลกะลาเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ทำไมถึงปล่อยองค์ชายถูกพิษ” พระองค์หันไปรับสั่งถาม
    องครักษ์หนุ่ม ที่ยืนค้อมศีรษะอย่างสำนึกผิด เพราะมิอาจระวังดูแลความปลอดภัยให้เจ้านายได้

     

    “ข้าพระองค์สมควรรับพระอาญา คงเป็นจังหวะที่พวกเรายินดีในชัยชนะ หลังจากพระองค์ยิงหมวกเหล็กหลุดจากเศียร
    ขององค์หญิงชลธาร พระปิตุลามีสายพระเนตรโกรธเกรี้ยวมาก ข้าไม่ทันเฉลียวใจ ทั้งที่มองเห็นพระปิตุลาสะบัดพระหัตถ์หนึ่งที
    แต่มิคิดอันใดเพราะมิเห็นสิ่งผิดปกติ พานเข้าใจพระองค์คงระบายโทสะที่พ่ายแพ้ จนต้องถอยทัพยกกลับเวฬุวรรณ 
    กระทั่งองค์ชายทรงล้มลงกระอักพระโลหิตก่อนหมดพระสติ ข้าพระองค์ยังเข้าใจองค์ชายทรงทนฝืนอาการบาดเจ็บไว้ยาวนาน
    มิคิดจักได้รับพิษร้าย”

    คำพูดพรั่งพรูออกจากปากกลกะลา ผู้ที่ได้รับฟังต่างนึกภาพตามจนเห็นเป็นฉากๆ จึงไม่ต้องสืบหาสาเหตุอีก
    สรุปองค์ชายวายุภักษ์ถูกพิษร้ายของดอกเบญจมาศดำได้ยังไง ล้วนได้รับคำตอบกันแล้ว

     

    “เช่นนั้นย่อมเป็นพระปิตุลาฉวยโอกาสใช้พิษกับองค์ชายหวังปลิดปลงพระชนม์ชีพ ยังดีที่พระองค์มีเทพมหาธาตุ
    ช่วยยื้อชีวิตเอาไว้ ขืนเป็นบุคคลทั่วไปคงไม่รอดราตรีนี้ การจักช่วยชีวิตองค์ชายได้ ย่อมต้องมียาถอนพิษเพียงเท่านั้น
    ผู้ใดจักสามารถไปเอาจากพระปิตุลาเล่า อีกฝ่ายถอนทัพทิ้งปัญหาไว้ คงมิต้องการให้องค์ชายทรงมีพระชนม์ชีพอีกต่อไป
    ยากยิ่งนักที่จักได้ยาถอนพิษมาจากบุคคลผู้นี้”

    มหาโหราผู้เฒ่าเอ่ยวาจา ทำลายความหวังผู้คนที่อยู่ภายในห้องบรรทมจนหมด
    พระมเหสีทรงมิอาจสะกดกลั้นอัสสุชลไว้ได้ ทรงสะอื้นร่ำไห้ในความโชคร้ายของพระโอรสโดยไม่เก็บพระอาการ
    ทำให้แม่เล็กซึ่งเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ดีที่สุด เมื่อลูกได้รับบาดเจ็บถึงขั้นยื้อชีวิตอยู่แบบนี้

    เธอไม่รีรอเข้าไปสวมกอดวรกายพระมเหสี ปลอบประโลมอย่างเห็นอกเห็นใจ
    การกระทำของแม่เล็กแสดงออกด้วยความจริงใจไม่ได้นึกถึงความเหมาะสม กระนั้นก็มิมีผู้ใดตำหนิ
    เพราะต่างวิตกกังวลกับปัญหาหนักตรงหน้า พลอยเศร้าโศกเสียใจไปกันหมด องค์หญิงศศิธรพระคู่หมั้นถึงกับสะอื้นตาม
    พระมเหสี พลอยให้พระปิตุลาผู้เป็นพระบิดาคอยปลอบประโลมด้วยเช่นกัน ผักตบหน้าซีดเผือดหลังได้ฟังวิธีรักษา

     

    “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไง ที่จะรักษาเขานอกจากต้องได้ยาถอนห๊ะ!
    เผลอตะคอกถามมหาโหราผู้เฒ่า เพราะทนกดดันไม่ไหวแล้วเช่นกัน

    เขานึกโทษตัวเองที่ประมาทไม่ระวัง จนทำให้บุรุษผู้เป็นศูนย์รวมใจของผู้คนตกที่นั่งลำบาก
    ต้องเอาชีวิตมาแขวนบนเส้นด้าย เวลาสามวันไม่ได้ยาวนานเลยสักนิด พอที่จะใช้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันเสียด้วย

    ผู้เฒ่าผมขาวไม่ถือโทษบุรุษผู้มาจากต่างแดน ที่สำแดงกิริยาไม่เหมาะสมใส่ตน
    เพราะรู้อารมณ์ผักตบขณะนี้ แบกรับความรู้สึกไม่ด้อยไปกว่าใครในที่นี่ ทั้งยังนึกขอบคุณที่บ้านเมืองรอดพ้นมาได้
    อาศัยไหวพริบสติปัญญาความเฉลียวฉลาดหลักแหลม ประดุจอัจฉริยะของผักตบช่วยแก้ไขวิกฤติกู้สถานการณ์
    ไตรคานจึงไม่เสียเลือดเนื้อผู้คนเพราะสงคราม

    กระนั้นเมื่อเห็นท่าทีห่วงใยของผักตบ ที่เผลอตัวแสดงออกมาจนไม่เก็บอาการอย่างที่กระทำได้ดีมาโดยตลอด
    ก็เริ่มมองเห็นความหวังในการช่วยชีวิตองค์ชายวายุภักษ์ ผู้เป็นศิษย์รักของตนเองขึ้นมาทันที

     

    “ข้ามีเรื่องปรึกษาเจ้าเพียงลำพัง มิสะดวกพูดเพลานี้” มหาโหราตัดสินใจเอ่ยกับผักตบโดยเฉพาะ
    ไม่มีใครแทรกขัดขอความกระจ่าง พากันเข้าใจว่าคงต้องการปรึกษาหาหนทางรักษา ขณะทุกคนมุ่งสนใจองค์ชายวายุภักษ์
    ซึ่งทรงนอนหมดสติบนเตียงบรรทม พระพักตร์ซีดเผือดไร้สีโลหิต เริ่มออกคล้ำแลดูน่าเป็นห่วงมากๆ
    ย่อมเป็นผลของพิษร้ายที่กำลังรุมเร้า บวกกับพระอาการบอบช้ำสาหัสเป็นทุน จึงทำให้พระวรกายอ่อนแอยิ่งนัก

     

    ขณะนั้นองครักษ์หนุ่มที่ตำหนิตนเองไม่ต่างผักตบ ได้เร้นกายหายออกไปจากห้องบรรทม โดยมิมีผู้ใดทันสังเกต
    เขามองไม่เห็นหนทางใดจะช่วยชีวิตองค์ชายที่ตนจงรักภักดียิ่งชีพอีกแล้ว
    ยกเว้นได้ยาถอนพิษจากผู้ทำร้ายพระองค์หนทางเดียวเท่านั้น

    เขามั่นใจพระปิตุลาต้องค้างแรม ยังจุดที่คิดว่าไม่น่าคำนวณพลาดหากนับระยะทางและภูมิทำเลเป็นองค์ประกอบ
    วิธีเดียวที่องครักษ์หนุ่มมุ่งมั่น เขาจำต้องลักลอบเข้าไปชิงเอายาถอนพิษ มิต้องการทำให้ผู้ใดเดือดร้อน
    เขารอช้าไม่ได้เมื่อเวลาเหลือน้อยเช่นนี้

    เสียงควบม้าคู่กายออกจากกำแพงวัง โดยไม่มีทหารยามคนไหนขัดขวางเพราะรู้จักเป็นอย่างดี
    อีกทั้งตำแหน่งของบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดา

    องครักษ์หนุ่มในชุดดำอำพรางใบหน้ามิดชิด เห็นแค่ดวงตาคมที่ดูมุ่งมั่น ห้ออาชาตะบึงไปในทะเลทราย
    จนละอองฝุ่นตลบเห็นเป็นจุดเล็กๆ ห่างไกลจากกำแพงวังออกไปทุกที ก่อนจะลับหายไปจากสายตา....

    > 

    > 

    “เมื่อไหร่จะตื่นผมเฝ้ามาค่อนคืนแล้วหืม รู้ว่าคุณป่วยอยู่แต่หมอหลวงจัดยาบำรุง อีกทั้งอาจารย์คุณบอกเอง
    ไม่เกินคืนนี้คุณจะรู้สึกตัวแล้ว  หรือขี้เกียจไม่อยากลุกครับ..เจ้าชาย” ผักตบเปรยคนเดียว เขาอาสาเฝ้าไข้ยุพราชหนุ่มรูปงาม
    ในห้องนอนที่พักอาศัยมาตลอด แม้มีเรื่องให้คิดหนัก เกี่ยวกับวิธีแก้พิษที่มหาโหราผู้เฒ่าขอคุยเป็นการส่วนตัว
    ยอมรับว่าเขาอึ้งตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ ถึงขั้นพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว...

     

    “หนทางเดียวที่จะทำให้วายุภักษ์รอดชีวิต เจ้าต้องให้เขากลืนมุกราตรีดำลงสู่ท้อง
    ขั้นตอนหลังจากนั้นเจ้าจักต้องร่วมเสพสังวาส ยินยอมให้วายุภักษ์ล่วงล้ำสู่ภายในกายเจ้า ดุจเดียวกับบุรุษกระทำต่อสตรี
    มีเพียงวิธีนี้ที่จักช่วยชีวิตวายุภักษ์ได้ นอกจากจะรักษาพิษร้ายของเบญจมาศดำแล้ว ยังรักษาอาการบาดเจ็บให้หายขาด

    สำคัญประโยชน์สูงสุดในกาลนี้ เจ้ากับวายุภักษ์จักกลายเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุที่มีพลังยิ่งใหญ่ทั้ง 4 มหาธาตุ
    เป็นการถ่ายโอนพลังมหาธาตุหลอมรวมกันระหว่างพวกเจ้า ก่อเกิดพลังจตุรธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่ง
    ในพิภพ ตัวเจ้าจักสามารถเรียกใช้พลังโดยมิต้องกระทำอันใด เพียงใจปรารถนาก็จักควบคุมได้ตามต้องการ
    มิเสียเพลาในการฝึกสมาธิบำเพ็ญฌานอันใดอีก นี่คือหนทางเดียวจักกระทำได้ ชีวิตของวายุภักษ์
    ความหวังผู้คนไตรคาน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าแล้ว”

    คำพูดนี้วนเวียนในหัวผักตบ ไม่ว่ากำลังกินข้าวเขากลืนแทบไม่ลง หรือตอนอาบน้ำ
    เขายอมเห็นแก่ตัวอาบน้ำจนชุ่มปอด เพื่อให้ร่างกายและหัวสมองรู้สึกสดชื่นขึ้น หลังไม่ได้อาบมาเป็นอาทิตย์ นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

    คิดว่าจะช่วยให้จิตใจผ่องใส สมองโล่งกว่าเดิมลดความหนักอึ้งที่มีลงไปได้บ้าง จึงยอมฝืนความตั้งใจเดิม
    ขอน้ำจากบุปผาราตรีมาอาบซ้า
    !

    คำนวณจากการตีเกราะเคาะบอกเวลาของทหารยาม ตอนนี้คงราวสี่ทุ่มโดยประมาณ
    คนที่ได้รับการยืนยันว่าจะรู้สึกตัว ยังไม่ลืมตามาคุยกับเขาสักคำ ผักตบนั่งเฝ้าข้างเตียงโดยไม่รู้สึกง่วง เขามีเรื่องต้องคิดหนัก

    คิดแล้วคิดอีกวนไปเวียนมาถอนหายใจเป็นร้อยรอบ ชั่งน้ำหนักกับชีวิตคนซึ่งสำคัญต่อบ้านเมือง
    รวมถึงปัญหาที่รอการแก้ไขอีกมากมาย ทั้งน้ำกินน้ำใช้เยอะแยะไปหมด สิ่งเหล่านี้จะได้รับการคลี่คลายในพริบตา
    เพียงแค่เขายินยอมให้เจ้าชายคนนี้..ทอยตูด?

     

    “ก๊อกๆๆ..ข้าน้อยขอบังอาจรบกวนนายท่าน”
    เสียงเคาะประตู พร้อมกับเอ่ยวาจาหวาน เป็นใครไปไม่ได้นอกจากสองดรุณีผู้รับใช้ที่คุ้นเคย

     

    “เข้ามา” ผักตบตอบคำ ไม่นานบุปผากับราตรีก็โผล่เข้ามาในห้อง
     

    “ข้าน้อยนำกำยานหอม ได้รับการประทานจากพระมเหสีให้นำมาถวายเจ้าค่ะ
    เพื่อช่วยองค์ชายทรงฟื้นคืนพระสติได้เร็วขึ้น..เจ้าค่ะนายท่าน”

     

    “อ้าวเหรอ!..เชิญพวกคุณเถอะ ดีเหมือนกันผมนั่งเฝ้ามาค่อนคืนยังไม่รู้สึกตัวเลย เผื่อกำยานพระมเหสีจะช่วยได้”
    ผักตบพูดตอบสองนางกำนัล พวกเธอค่อยกระถางกำยานมาวางลงที่โต๊ะ ห่างจากผักตบและองค์ชายไม่ไกลนัก
    ก่อนยอบกายคารวะ แล้วขอตัวกลับออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ลืมปิดประตูงับบานให้แน่นหนาตามหลังอีกต่างหาก

     

    “แม่ของคุณคงทุกข์ใจมาก ถึงขั้นขอให้แม่ผมไปนอนเป็นเพื่อน ชั่วโมงนี้พ่อคุณก็เครียดหนัก ถึงกับไม่กินไม่นอน
    ทรงงานอยู่ในห้องอักษร มีท่านมหาโหราอาจารย์คุณคอยช่วย ตกลงคุณจะลืมตาได้หรือยัง ทำไมปล่อยให้คนเขาห่วงกันไปหมด
    สิ่งเดียวที่ผมสงสัย..องครักษ์ผู้ภักดีของคุณหายหัวไปตั้งแต่บ่าย จนป่านนี้ยังไม่เห็นหน้าเขาเลย ไม่รู้ไปทำอะไรที่ไหน”

    ผักตบก่นบ่นเหมือนคนบ้า แต่จะให้เขาอยู่เงียบๆ กลับทำไม่ได้ในหัวมันพานคิดวนอยู่กับทางออกที่ได้รับรู้
    ซึ่งเขายอมรับว่าแอบคิดเผื่อนาทีสุดท้ายไว้แล้ว ใช่จะไม่เคยมีประสบการณ์กับผู้ชาย ที่มีผ่านมาเขาเป็นฝ่ายกระทำ
    ตอนนี้กลับต้องเป็นฝ่ายรับนี่สิ ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

    ถ้าให้เป็นฝ่ายกระทำเพื่อช่วยรักษาล่ะก็ ไม่ต้องขอผักตบยินดีช่วย ปัญหาหนักคือจะให้เขาเป็นฝ่ายรับยังไง
    ในเมื่อคนร่วมมือยังไม่ฟื้นมาเลย จะทำกันอีท่าไหนเล่าหืม..กรรม?
    ..อุตส่าห์เตรียมใจตั้งแต่อาบน้ำกินข้าวไว้แล้วเชียว..
    มาถึงขั้นนี้คงไม่มีทางเลือก..

    นั่นคือสิ่งที่ผักตบคิดสะระตะ จนทำให้บ่นเป็นคุ้งเป็นแควจับต้นชนปลายหาสาระไม่ได้
    แค่อยากพูดไม่ให้ห้องมันดูวังเวงไปมากกว่านี้

     

    “อืมมม...แค่กๆๆ!!” เสียงครางดังลอดให้ได้ยิน ก่อนจะไอตามมา
     

    “เฮ้ย!..รู้สึกตัวแล้วเหรอ เป็นไงบ้างคุณ ผมออกไปตามหมอก่อน”
    ผักตบถามรัว ก่อนจะผุดลุกตั้งท่าโกยแน่บไปตามหมอ พลันชะงักกึก..

     

    “ไม่ต้องตามหรอกเจ้า ขอน้ำเราจิบหน่อย” รีบหันไปยังกาน้ำร้อนที่เตรียมไว้บนโต๊ะ
    เดินไปหยิบถ้วยผสมน้ำเย็นพออุ่น กลับมาที่เตียงหย่อนก้นนั่งลงตรงขอบ ค่อยช้อนศีรษะคนป่วยขึ้นพร้อมกับจ่อถ้วยให้จิบน้ำช้าๆ

     

    “พอแล้วเหรอ อีกหน่อยไหม” ถามหลังอีกฝ่ายจิบไปเล็กน้อย
     

    “ไม่แล้ว ขอบใจเจ้ามาก” พระองค์ตรัส ผักตบค่อยวางพระเศียรพระองค์ลงบนหมอนดังเดิม
    ลุกเอาถ้วยชาไปเก็บ เผลอสูดกลิ่นกำยานเข้าไปเต็มปอด นึกชอบความหอมอ่อนละมุนของกลิ่นสมุนไพรอยู่ไม่น้อย

     

    “คุณรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามหลังกลับมานั่งเก้าอี้ข้างเตียงเป็นที่เรียบร้อย
     

    “เราไม่มีแรง เหมือนอ่อนเปลี้ยไร้สิ้นเรี่ยวแรง” พระองค์ทรงบอกพระอาการที่ทรงประสบอยู่
     

    “เป็นเพราะคุณถูกพิษดอกเบญจมาศดำของพระปิตุลา” รีบเฉลยสาเหตุให้คนป่วยได้รับรู้
     

    “เราพอคาดเดาได้ มิเช่นนั่นคงไม่เกิดอาการกะทันหัน หากเพียงบอบช้ำบาดเจ็บภายในเรายังพอทนไหว
    ไม่ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อเช่นนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะถูกพิษร้ายกาจ” พระองค์ตรัสกับผักตบ

     

    “เป็นเพราะผม” เขาจ้องพระพักตร์ดูคล้ำจากพิษร้ายอย่างรู้สึกผิด
     

    “หาใช่ความผิดของเจ้าไม่ ใยนึกโทษตัวเองเสียเล่า” พระองค์ตรัส
     

    “ถ้าไม่เพราะคุณยกแหวนมรกตวงนี้ให้ผมใส่ คงไม่รับพิษตราบใดที่แหวนวงนี้อยู่กับคุณ ผมรู้ความจริงหมดแล้ว
    แหวนวงนี้สามารถป้องกันพิษร้ายคุณไสย กระทั่งเป็นเกราะไร้สภาพให้ผู้สวมใส่ คุณสมบัติเหล่านี้ไม่ต้องสงสัย
    พระอาจารย์คุณเป็นคนบอกสรรพคุณให้ผมรู้หมดแล้ว

    สำคัญสุดแหวนวงนี้เป็นสมบัติของราชวงศ์ ยกให้องค์รัชทายาท องค์หญิงพระคู่หมั้นของคุณถามผมว่า
    ผมได้มันมายังไง ผมต้องรีบแก้ตัวยกใหญ่ อ้างว่าออกศึกบัญชาการรบร่วมกับคุณ คงเห็นว่าผมไม่มีอะไรไว้ป้องกันตัว
    เลยให้ผมไว้เผื่อยามคับขัน ทั้งหมดที่ผมพูดให้ฟังแค่อยากให้คุณรับรู้ไว้ ขอบคุณที่ห่วงผม
    ถ้าคุณสวมแหวนคงไม่เป็นหนักอย่างนี้หรอก” ผักตบเฉลยความจริง ให้องค์ชายวายุภักษ์รับทราบทั้งหมด

     

    “กระนั้นก็หาใช่ความผิดเจ้า เป็นเราเต็มใจเอง..จักให้ย้ำอันใดกัน เจตจำนงที่เรามอบแหวนให้เจ้า
    ย่อมรู้สาเหตุที่เรากระทำ” พระองค์กลับดำรัสแย้ง พร้อมทอดสายพระเนตร..สื่อความหมายในพระทัยที่มีให้ผักตบ

     

    “เฮ้อ! คุณจริงจังเรื่องนี้ เป็นเพราะต้องการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ต้องการพลังเพิ่ม
    ต้องการช่วยชาติ หรือเพราะรู้สึกกับผมกันแน่” ผักตบอดถามไม่ได้ เหตุผลที่ยกอ้างล้วนมีน้ำหนักทำให้เขาคิด

     

    อีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายสูงศักดิ์ รูปงามเป็นที่หมายปองของสาวๆ แถมมีคู่หมั้นสวยหยาดฟ้า
    หากจะบอกว่าชอบเขาที่เจอหน้าอาทิตย์เดียว ย่อมฟังไม่ขึ้นแลดูตลกฝืด พาให้หัวเราะไม่ออกเสียมากกว่า

     

    “เรามิอาจยืนยันอันใดให้เจ้าเชื่อมั่น แต่จงรับฟังเราไว้..บุรุษชาตินักรบว่าที่กษัตริย์แห่งไตรคาน
    กระทำการใดล้วนมิได้มุ่งหวังประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งหมดเราไม่ขอโต้แย้งในความจริง ที่มีผลพลอยได้ตามมา
    แต่เดิมเราไม่เคยมีใจปฏิพัทธิ์ต่อบุรุษ แม้มิใช่เรื่องแปลกแยก บัณเฑาะว์ในวังก็มีคู่รักเป็นบุรุษให้เห็นอยู่มิน้อย
    อันสตรีที่รักใคร่ชมชอบซึ่งกันและกัน ดังเช่นสตรีนางในก็มีอยู่มากหลาย ย่อมมิผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี
    สาเหตุที่เรามีใจรักปฏิพัทธิ์ต่อเจ้า ล้วนเป็นเพราะเจ้าทำให้เรารู้สึกทั้งสิ้น ช่วยรับรู้ความรู้สึกของเราได้หรือไม่
    เจ้าคือคนแรกที่เราฝากใจรักด้วย”

    ถือเป็นการบอกรักในแบบฉบับคนยุคนี้ โดยเฉพาะบุคคลตรงหน้าเป็นถึงองค์รัชทายาทว่าที่กษัตริย์
    การเล่นลิ้นปลิ้นปล้อนกะล่อนหลอกลวง ดูไม่แฟร์ที่จะตัดสินอีกฝ่ายเร็วเกินไปนัก ผักตบจึงได้แต่รับฟังนิ่ง
    พร้อมกับมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ใช้ความพยายามปั้นหน้ายากเย็นพอดู

     

    “ผมขอบคุณกับความรู้สึกดีๆ ที่คุณมอบให้ รู้ตัวไหมคุณอยู่ได้อีกไม่เกินสามคืน
    ถ้าหากไม่ได้ยาถอนพิษจากพระปิตุลา” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย อยากดูว่าคนฟังจะตอบยังไง

     

    “เราพอรู้ ถึงความร้ายกาจของพิษเบญจมาศดำ ยาพิษชนิดนี้ใช่จักมีใช้แพร่หลาย
    การปรุงแต่งและยาถอน..เป็นตำรับลับถ่ายทอดจากชนเร่ร่อนทางตอนใต้ของนครไอยรา
    อีกทั้งชนเผ่านี้หาได้มีหลักแหล่งที่แน่นอนในการพำนักอาศัย พระปิตุลามีสิ่งนี้ ใยมิใช่บริวารพระองค์คือพวกเร่ร่อนชนกลุ่มนี้
    อยู่ใต้อาณัติไปเสียแล้ว เช่นนี้ยากนักที่จะต่อกรกับเวฬุวรรณจริงๆ

    เราต้องขอบใจเจ้ามาก ที่นำพาบ้านเมืองเรารอดพ้นจากสงคราม ทำให้พระปิตุลาถอยทัพกลับเวฬุวรรณ
    มิเช่นนั้นไตรคานคงลำบากมิอาจสงบสุขได้แน่นอน เราอาจพลีชีพในสนามรบไปแล้วก็ได้
    คงมิต้องนอนรอความตายในสามราตรีมาเยือนอันใดอีก ขอบใจนะ..ผักตบ”

    พระองค์กลับรับสั่งไปในทางมองโลกแง่ดีเสียเช่นนั้น ไม่มีประโยคไหนบ่งบอกทรงท้อแท้สิ้นหวังตัดพ้อโชคชะตา
    กระทั่งกลัวความตายทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายก็ไม่มีให้เห็น เหลือเวลาเพียงแค่สามคืนกลับทรงยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
    เสียอย่างนั้น ผิดความคาดหมายผักตบไปมากทีเดียว เขารู้สึกชื่นชมจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของคนผู้นี้จริงๆ

     

    “คุณไม่คิดบ้างว่า พอคุณตายไปคนข้างหลังจะอยู่ยังไง ประชาชนของคุณล่ะ พ่อแม่ญาติพี่น้อง
    พวกทหารที่เขาจงรักเคารพเทิดทูนคุณอีกล่ะ พวกเขาจะมีกำลังใจอะไรไปต่อสู้ ถ้าข้าศึกยกทัพกลับมาหืม”
    ผักตบถามออกไปตรงๆ อยากจะรู้ความคิดอีกฝ่าย ว่ามีห่วงบ้างหรือไม่ถ้าต้องตายไป

     

    “นั่นเรายอมเศร้าโศก วิญญาณเราในปรโลกย่อมทุกข์ตรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขา แต่เจ้าจักให้เราทำเยี่ยงไร
    ในเมื่อฟ้ากำหนดให้เรามีอายุขัยมาเพียงแค่นี้ จักให้เราเรียกร้องหาความยุติธรรมจากผู้ใดกันเล่า”

    หลังฟังคำตอบ เขาจึงได้รู้ว่า..แท้จริงแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีความสุขหากต้องสละชีพไปในสถานการณ์ที่เป็นอยู่
    ในตอนนี้ ตายตาไม่หลับก็ว่าได้

     

    “เวรกรรมจริงๆ..คุณได้กลิ่นกำยานไหม แม่คุณให้บุปผาราตรีเอามาให้ บอกว่ามีสรรพคุณช่วยให้คุณฟื้นเร็วขึ้น
    แล้วก็ได้ผลเสียด้วย ผมนั่งเฝ้าคุณยันดึกไม่ยักตื่น พอมีกำยานมาไม่ถึงสิบนาที คุณกลับฟื้นเฉยเลย”
    ผักตบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ หลังชวนคุยเรื่องเครียดมาพอสมควร

     

    “อืม..เราได้กลิ่น แต่กลับรู้สึกร้อนรุ่มแปลกๆ” พระองค์บอกเขา
     

    “เออ..ผมคิดว่าเป็นคนเดียวเสียอีก สงสัยเป็นผลจากสรรพคุณ” ผักตบก็รู้สึกใจสั่นร้อนรุ่มร่างกายอยู่พอสมควร
    เขาพอทนไหวจึงไม่คิดอะไร นึกว่าเป็นอยู่คนเดียว พออีกฝ่ายพูดออกมาถึงได้รู้เป็นเหมือนกัน

     

    “เอางี้..ผมมีนิทานจะเล่าให้ฟัง ถือเป็นเรื่องขำขันแก้เครียด”
     

    “เจ้าสามารถเล่านิทานขำขันด้วย ช่างปรีชาสามารถมากหลาย” พระองค์แย้มสรวลอิดโรย แต่สาย
    พระเนตรกลับสุกใส ยามจ้องหน้าขาวหล่อเหลาชวนลุ่มหลงของคนที่นั่งข้างเตียง ซึ่งมองสบพระองค์ไม่วางตา

     

    “หึหึ! ผมไม่ใช่ตัวดีนักหรอกอย่ายอให้มาก ถ้าคุณรู้ประวัติเก่าของผมอาจจะไม่ชอบก็ได้
    ผมทำเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อย เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในสังคมที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีใครไม่เห็นแก่ตัว
    เพียงแต่ผมเลือกที่จะทำกับคนประเภทไหนละเว้นใคร ให้ความเอ็นดูสงสารคนชนิดไหนก็เท่านั้น

    คนเราไม่มีใครยอมให้ถูกกดขี่ข่มเหง โดยไม่คิดสู้หรอกเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาสู้ไม่ได้จริงๆ
    ผมก็ไม่ต่างกันไม่ยอมให้ใครมาหยามโดยไม่คิดสู้ ขึ้นอยู่กับวิธีการว่าจะสู้ด้วยกำลังหรือใช้สมอง
    ซึ่งผมถนัดวิธีหลังมากกว่าจะให้ใช้กำลังเข้าห้ำหั่นอย่างที่พวกคุณทำสงคราม ผมว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย”

     

    “เจ้าถึงมีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมนัก เป็นเพราะเจ้าใช้สมองแก้ปัญหามาโดยตลอด
    เรายอมรับนับถือในข้อนี้มาก” พระองค์ตรัสชม

     

    “คุณก็ใช่ย่อย ผมไม่ได้ตาถั่วที่จะไม่รู้ใครโง่ใครฉลาด เท่าที่ได้รู้จักพวกคุณทั้งหมด
    ผมว่าคุณฉลาดสุดๆ ถ้ามีโอกาสเรียนรู้ที่บ้านเมืองของผม อาจจะฉลาดกว่าผมก็เป็นได้ สอนยิงปืนโดยไม่มีการสาธิต
    คุณยังทำได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่านักกีฬาโอลิมปิคเสียอีก”

     

    “อะไรคือโอลิมปิค” พระองค์ทรงงุนงง
     

    “ช่างเถอะอย่าสนใจเลยอธิบายคงยาว มาพูดถึงนิทานที่ผมค้างเอาไว้ดีกว่า
    มีชายหนุ่มสามคน..ตกเป็นเชลยของกษัตริย์องค์หนึ่ง พวกเขารับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต
    บังเอิญเป็นช่วงที่กษัตริย์องค์นี้ครบรอบวันประสูติได้เวียนมาบรรจบพอดี จึงให้โอกาสทั้งสามคนได้รอดชีวิต
    ภายใต้เงื่อนไขที่พระองค์กำหนดขึ้นว่า ให้ชายสามคนเข้าป่าไปหาผลไม้มาคนละสิบลูก
    แต่ต้องเป็นชนิดเดียวกัน..ห้ามปะปนหรือผสมกันมาแม้แต่น้อย

    จากนั้นก็ปล่อยชายทั้งสามเข้าป่า โดยให้ทหารยอดฝีมือตามไปประกบไม่ให้หลบหนี
    ชายคนแรกกลับออกมาก่อนพร้อมมีมะม่วงมาสิบลูก พระองค์ทรงรับสั่งหากเขาต้องการมีชีวิตรอด
    พระองค์จะมอบอิสระภาพให้ไม่เอาผิด ก็ให้เอามะม่วงทั้งสิบลูกยัดรูทวารจนหมดทีละลูก ห้ามส่งเสียงออกมาเป็นอันขาด
    ถ้าเกิดหลุดเสียงร้องจะโดนประหารทันทีไม่มีละเว้น

    เขายัดลูกแรกเข้าไปแล้วด้วยความทรมานสุดๆ พอลูกที่สองก็ทนเจ็บไม่ไหวร้องโอ้ย!
    ออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้ จึงถูกกษัตริย์สั่งประหารชีวิต ชายคนที่สองออกมาพร้อมลิ้นจี่
    1 พวง
    มีสิบลูกพอดีถือว่าไม่ผิดกติกา พระองค์รับสั่งเช่นเดียวกันกับชายคนแรก เขาสามารถยัดลูกลิ้นจี่เข้าในทวารจวนจะหมด
    เหลือลูกสุดท้ายเขากลับหลุดขำหัวเราะก๊าก
    !!! ออกมาอย่างลืมตัว จึงโดนประหารทั้งที่ควรจะรอดชีวิต”
    ผักตบหยุดไว้ไม่ยอมเล่าต่อ ยังความแปลกใจให้องค์ชายวายุภักษ์ที่ทรงตั้งพระทัยฟังยิ่งนัก

     

    “เหตุใดเขาถึงขบขันขึ้นเล่า ทั้งที่จักสำเร็จภารกิจอยู่แล้วมิใช่หรือ”
    พระองค์รับสั่งถามเขาทันที อย่างไม่คิดเก็บความสงสัยเอาไว้

     

    “เป็นเพราะเขาหันไปเห็นชายคนที่สาม เดินหิ้วลูกทุเรียนสิบลูกเข้ามาพอดี เขาจึงกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้..คึคึ!!
    ผักตบหัวเราะหลังจากเฉลย

     

    “ฮะฮ่าๆช่างเป็นเรื่องเกินสะกดกลั้นมิให้หัวเราะได้จริงๆ น่าสงสารชายคนที่สองยิ่งนัก
    ต้องมาล้มเหลวเพราะชายคนที่สาม..เจ้าเล่านิทานได้ขบขันมาก พานทำให้เราพลอยหัวเราะไปกับเจ้าด้วย..ฮะฮ่าๆ”

    พระองค์แย้มสรวลเปล่งเสียงหัวเราะ ด้วยพระอาการขบขันในนิทานของผักตบ
    สองหนุ่มหล่อต่างหัวเราะด้วยกัน กับจ้องมองกันไปด้วย

    ฉับพลันต่างฝ่ายต่างหยุดหัวเราะ มองตากันนิ่งใบหน้าผักตบซับสีเลือดจนแดงปลั่ง
    องค์ชายทรงทอดเนตรคมยังใบหน้าขาว ผักตบกลับเอ่ยวาจาเสียงพร่า หลังมีความต้องการทางเพศพุ่งขึ้นสูง
    อย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้แต่ว่าตอนนี้เขาเกิดมีอารมณ์กับคนตรงหน้า ต้องการปลดปล่อยมากๆ

     

    “คุณ..มีอีกวิธีที่จะรักษาคุณให้หาย โดยไม่ต้องตายเพราะไม่มียาถอนพิษ เพียงแค่ร่วมรักกับผม
    ก่อนอื่นกลืนเจ้ามุกราตรีดำนี่ลงไปก่อน” พูดพร้อมกับฉวยเอามุกราตรีดำที่วางบนกล่องตรงหัวนอน
    หยิบจ่อโอษฐ์องค์ชายวายุภักษ์ ส่งสายตาหวานเชื่อมให้พระองค์กลืนลงท้อง

    องค์ชายรู้ว่าสิ่งที่ผักตบหมายถึงคือเรื่องใด สิ่งนี้พระองค์คาดหวังแต่แรกเริ่ม
    แต่พระองค์กลับคิดไม่ถึงว่า ผักตบจะขอเป็นผู้เริ่มขึ้นมาเอง

     

    “เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ที่จักพลีกายมอบพรหมจรรย์สตรีในกายเจ้าให้กับเรา
    หมายถึงนับแต่นี้เจ้าตกลงยอมเป็นชายาของเรา มิอาจคืนคำได้” พระองค์กลืนมุกราตรีเสร็จ
    รับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงทุ้มนุ่ม สายพระเนตรอบอุ่นสุดซึ้งทอดอ่อนให้ผักตบ จนอีกฝ่ายรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
    ยังไม่นับร่างกายที่มีอารมณ์ต้องการปลดปล่อยอย่างสูง โดยที่สติครบถ้วนสมบูรณ์

     

    “ถึงขั้นนี้แล้วห้ามทิ้งขว้างผมก็แล้วกัน ไม่งั้นเล่นถึงตายนะครับ” ผักตบกลับขู่เล่นเป็นเรื่องขบขัน
     

    “เรายอมให้เจ้าปลิดชีพ หากเราได้ทรยศหักหลังต่อความรักที่เจ้ามอบให้เราวันใด วันนั้นเราจักยื่นคอให้เจ้าด้วยตัวเอง”
    พระองค์ให้สัญญา ทำเอาคนฟังหัวใจพองคับแน่น เต้นกระหน่ำไปกับน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมั่นคง

     

    “คุณไม่เคยทำกับผู้ชายใช่ไหม” เขาถามหลังได้รับคำตอบถูกใจไปเรียบร้อย
    เขามั่นใจผู้ชายคนนี้ยึดถือคำพูดดุจศักดิ์ศรีของตัวเอง

     

    “มิเคยมาก่อน แต่เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถกระทำได้” พระองค์ยืนกรานให้ผักตบสบายใจ
     

    “รู้น่าว่าสามารถ แต่คุณบาดเจ็บอยู่ให้ขยับคงไม่สะดวกเท่าไหร่ นอนอย่างนี้ดีกว่า ปล่อยเป็นหน้าที่ผมก็แล้วกัน
    เป็นครั้งแรกของผมนะครับ ผ่านงานนี้ไปแล้ว คุณอย่าลืมเฝ้าไข้ผมด้วยล่ะ..เจ้าชาย” ผักตบพูดติดขำ
    ก่อนจะลุกยืนเปลื้องผ้าออกจากร่าง โชว์ผิวขาวกระจ่างให้พระองค์จ้องมองอย่างตะลึงลาน
    มิคาดว่าผิวกายที่ไร้อาภรณ์ปกปิดของบุรุษ ประหนึ่งหยกเนื้อดีไร้ตำหนิก็มีในแดนดิน
    องคชาติเล่าผงาดง้ำงดงามไม่ต่างพักตร์นวล

     

    นี่หรือคือบุรุษหามีกายหยาบกระด้างแต่อย่างใด กลับขาวนวลดุจน้ำนมบริสุทธิ์
    กล้ามเนื้องดงามปานรูปสลักจากปฏิมากรรมชิ้นเอก พลอยทำให้แก่นกายสัญลักษณ์บุรุษเพศของพระองค์ผงาดง้ำ
    โป่งนูนดันฉลองพระองค์ขึ้นมาทันที ผักตบชำเลืองเห็นความผิดปกติที่เด่นชัด ก็พลอยรู้สึกร่างกายซับสีเลือด
    วิ่งลิ่วแผ่ซ่านไปทั่วร่างเขาไปแล้ว

    แม้จะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงในขนาดที่เห็นนอกร่มผ้า กะประมาณด้วยสายตาก็รู้ไม่ธรรมดาแน่
    แต่อารมณ์ความต้องการที่กระพือโหม ผนวกกับตัดสินใจเอาไว้แล้ว เมื่อมีหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาซึ่งทุกคนกำลังทุกข์ใจ
    อยู่ในขณะนี้ ไม่นับแค่เพียงรักษาชีวิตองค์ชายวายุภักษ์เท่านั้น

    คือการที่พวกเขาสองคนต้องร่วมรักกัน มาถึงขั้นนี้ฟ้าได้กำหนดเส้นทางให้เขาเดิน
    ไม่อย่างนั้นเขากับเจ้าชายคงไม่มีเส้นทางชีวิตบรรจบพบเจอกันได้หรอก ถ้าหากฟ้าไม่ชักนำพวกเขาให้มารู้จักกัน
    ยังดินแดนที่เพียงคุ้นเคยในความฝัน แล้วจะปฏิเสธต่อต้านไปเพื่ออะไร บางครั้งเหตุผลร้อยแปดก็หาคำตอบไม่ได้
    นอกจากให้ใจกำหนดนำทางไป...

    ผักตบค่อยคุกเข่าข้างพระวรกายกำยำ ซึ่งทรงทอดเนตรคมจ้องเขาไม่วางตา
    สายพระเนตรหวานซึ้งบ่งบอกความรู้สึกจากก้นบึ้งในพระทัยสู่ดวงตาคมของหนุ่มหล่อผิวขาว
    ที่เผยรูปกายชายชาตรีงดงามได้ส่วนไม่อ้อนแอ้นบอบบาง แต่ก็ไม่กำยำหนาล่ำจนข่มวรกายพระองค์
    ตรงข้ามกลับดูเล็กกว่านัก บางกว่าพระองค์อยู่มากโข

     

    “เราจุมพิตริมฝีปากเจ้าได้หรือไม่” พระสุรเสียงทุ้มพร่า เอื้อนเอ่ยพระวาจาอย่างไม่มั่นพระทัย
    เป็นหนแรกที่พระองค์ถึงกับขออนุญาตจุมพิตกับผู้ที่กำลังจะมีสัมพันธ์ลึกล้ำ ประหนึ่งทรงเรียนรู้ประสบการณ์ริรัก
    ดุจดังบุรุษอ่อนชันษา ทั้งที่เรื่องเช่นนี้พระองค์หาด้อยประสบการณ์ แม้นจักเคยรับการถวายรับใช้จากสตรีเพื่อการนี้มามิใช่น้อย

    แต่พระองค์กลับยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ มิเคยมีครั้งใดสร้างความตื่นเต้นเร้าพระทัยได้เท่าบุรุษตรงหน้านี้
    เป็นเพราะที่ผ่านมาพระองค์ล้วนปลดปล่อยเพื่อการผ่อนคลาย เยี่ยงบุรุษเจริญพันธุ์พึงกระทำ

     

    แต่ขณะนี้..พระองค์กำลังจะร่วมสังวาสกับบุคคลที่มีความสำคัญทางกายและใจ ซึ่งผิดแผกแตกต่างสิ้นเชิง
    ทั้งทางสรีระและองค์ประกอบ สำคัญบุรุษซึ่งเปลือยกายให้พระองค์ทรงทอดเนตร โดยมิมีสิ่งใดปกปิดนั้น
    กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ที่มิอาจเปรียบสตรีแม้แต่น้อย ทรงทราบเพียงแค่ว่าร่างเปลือยตรงหน้า
    ตรึงสายพระเนตรของพระองค์ไม่อาจตีจากได้ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะดวงตาดำขลับดูมีน้ำเลี้ยงหวานฉ่ำ
    ช่างหยาดเยิ้มสะกดตรึงทำพระองค์ต้องจ้องมองอยู่เนิ่นนาน

    กลีบปากได้รูปสีสดดุจผู้มีร่างกายสมบูรณ์นั่นเล่า ใยมิยั่วยวนให้ใคร่แนบโอษฐ์บดคลึง
    ลิ้มชิมความหวานที่ซุกซ่อนไว้นัก กาลนี้พระองค์จึงได้เผยความต้องการ ร้องขอจุมพิตด้วยมิอาจหักห้ามพระทัยได้..

     

    “ได้ครับ..จูบนี้เพื่อคุณ” พูดจบค่อยเอนตัวต่ำขยับชิด โดยไม่ได้ละสายตาจากวงพักตร์คมคายหล่อเหลา
    ผักตบชื่นชมอย่างหมดใจ ชายคนนี้เกิดจากฝีมือของสวรรค์ปั้น รูปหล่อชนิดหาใครเทียบรัศมีไม่ได้เลย
    แค่นอนเฉยยังสามารถปล่อยเสน่ห์ให้เขารับรู้ได้ทุกอณู

    สองหนุ่มจ้องตากันนิ่ง ทิ้งระยะห่างเพียงปลายจมูกโด่งชนกันได้ ก่อนผักตบเป็นฝ่ายเคลื่อนใบหน้าเอียงมุมให้ได้องศา
    ค่อยแนบฝีปากเข้าประกบอีกฝ่าย ซึ่งเผยอปากรอเขาอยู่แล้ว ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผสานซึ่งกันและกัน
    ยังรู้สึกไม่เท่ากลีบปากนุ่มคลอเคลียขบเม้มอย่างเป็นจังหวะ

    ไม่เร่งรีบตะกละตะกลาม กลับอ้อยอิ่งนุ่มนวลเหมือนต่างฝ่ายต่างต้องการลิ้มชิมรสชาติของอีกคน
    ก่อนลิ้นชื้นของผักตบค่อยสอดแทรกเกี่ยวกระหวัดหยอกเอิน ดุนล้อชิวหาขององค์ยุพราชหนุ่มอย่างช่ำชอง..

     

    ตัดฉับ NC มีในเล่มหนังสือ
     

    เวลาต่อมาลมหายพระทัยองค์ชายวายุภักษ์ ก็พวยพุ่งเปลวควันสีเหลืองปนเทาออกทางพระนาสิก
    สีพระพักตร์ขับโลหิตฝาดกลับคืนความสมบูรณ์ของร่างกายสดชื่นแข็งแกร่งกว่าปกติมากมายนัก

    มีเพียงพระองค์ที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ผักตบยังไม่ได้ทำความเข้าใจร่างกายของตัวเองนัก
    เพราะขณะนี้ทั้งคู่ต่างหันเข้าหากันส่งสายตามองสบกันนิ่ง แต่ในความนิ่งโดยไร้ซุ่มเสียง
    กลับมีสิ่งหนึ่งที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน จนสามารถรับรู้ได้ชัดเจน
    เสียงของหัวใจ’..

    การถ่ายทอดวาจาผ่านดวงตาแทนคำพูด บางครั้งทำความเข้าใจได้ลึกซึ้ง ยิ่งกว่าร้อยพันคำที่ยกอ้างเสียอีก
    เฉกพวกเขาทั้งคู่ที่กำลังใช้วิธีนี้ แทนการเอ่ยวาจาให้คำมั่นสัญญาอันใดที่พึงมีให้กันและกัน...



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×