ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yaoi @@ โดย Luk {สงครามทะเลทราย..ศึกเทพมหาธาตุ}

    ลำดับตอนที่ #12 : Part 11

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 57


    Part 11...เผชิญหน้า

     

    กองทัพอพยพพลเรือนมาถึงในสองวัน ทางนี้ตระเตรียมกระโจมพร้อมเสบียงอาหารรอรับสถานการณ์ล่วงหน้า
    จึงไม่เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย พลเรือนร่วมพันต่างพาครอบครัวเข้าพำนักกระโจม ซึ่งมีอยู่กว่าสี่ร้อยหลัง
    ตั้งเรียงรายอยู่นอกกำแพงวังอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แลดูสวยงามดุจกระโจมของชนเผ่าอินเดียนแดง

     

    ส่วนทัพทหารพอมาถึง แม่ทัพนายกองพากันเข้าเฝ้าถวายรายงานต่อองค์ชายวายุภักษ์
    พร้อมด้วยบรรดาเสนาอำมาตย์ หนึ่งในนั้นย่อมมีที่ปรึกษาคนพิเศษ
    ผักตบ ร่วมฟังรายงานกับเขาด้วย

     

    ปิดท้ายประชุมวางแผนรับมือข้าศึก เป็นไปอย่างราบรื่นไร้ปัญหา ผักตบรับหน้าที่บรรยายซักซ้อมความเข้าใจ
    ให้พวกแม่ทัพนายกองทุกคน  ได้เตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะมีขึ้น ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
    จบด้วยพระบัญชาขององค์ยุพราชหนุ่ม ให้พวกแม่ทัพและนายทหารที่เดินทางรอนแรมมาไกล ได้กลับไปพักผ่อนหลังเลิกประชุม

     

    ส่วนกองกำลังดูแลความสงบเรียบร้อย ใช้ทหารของนครหลวงเข้าประจำหน้าที่
    วางกำลังลาดตระเวนตรวจตราทุกทิศ เวรยามประจำเชิงเทินบนกำแพงเมืองรัดกุมแน่นหนา
    หากเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น ย่อมไม่รอดพ้นสายตาทหารยามไปได้ ให้ถวายรายงานสายตรงองค์ชายในทันที..

     

    ด้านระเบิดที่ผักตบประกอบขึ้นกว่าห้าสิบลูก ได้ขุดหลุมทรายทำเป็นแนวป้องกันฝังไว้ 30 ลูก
    เหลืออีกยี่สิบฝังในแนวกระโจมพลเรือนห่างกำแพงวังไปสามร้อยเมตร
    เพื่อใช้เป็นแผนสำรองเมื่อข้าศึกตีฝ่าเข้ามาในระยะกำแพงวัง..ก็ต้องตัดสินวัดกันตรงจุดนี้เป็นด่านสุดท้าย

     

    ชายหนุ่มวัย 20 ปีในยุคเทคโนโลยี กลับใช้ประโยชน์จากกล้องถ่ายรูปเก็บภาพมาทำเวิร์คช็อป
    ขีดร่างแผนที่อย่างละเอียด ค่อยนำเสนอให้เหล่าแม่ทัพนายกองรับรู้จุดยุทธศาสตร์
    ทำให้เขาได้รับการยอมรับด้านความสามารถ ถึงขั้นพูดกันปากต่อปากชื่นชมในความฉลาดหลักแหลม
    ยกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งยุคเป็นที่เรียบร้อย ทำให้นามบุรุษผู้มาจากดินแดนปริศนา
    ซ้ำเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี ดังกระฉ่อนไปทั่วนครในเวลาอันรวดเร็ว เขากลายเป็นบุคคลสำคัญ
    ที่คอยให้คำปรึกษาวางแผนการรบแก่องค์รัชทายาท ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจและความหวังพสกนิกร

     

    เกิดคำเล่าลือเสริมแต่งต่อเติมกันไป ถึงขั้นผักตบมีอาวุธศาสตราเทพสามารถให้แสงสว่าง
    ให้กำเนิดเปลวไฟ แต่ที่ดูร้ายกาจสุดเขาได้จำลองบุคคลสถานที่เสมือนจริงไม่ผิดเพี้ยน
    เหมือนยิ่งกว่าภาพวาดจิตรกรเอกในแผ่นดินเสียอีก เพื่อใช้ในการวางแผนครั้งนี้
    ซึ่งทั้งหมดที่ถูกนำไปบอกเล่า..ล้วนเป็นอาวุธศาสตราเทพที่เขานำมาด้วยทั้งสิ้น

     

    คำเล่าลือยกอ้างจากกล้องถ่ายรูป ไฟแช็ค ไฟฉาย และปืนพกสั้น ผู้คนตีความกันไปใหญ่โต
    มีเพียงยุพราชหนุ่มและบรรดาราชนิกูลชั้นสูง ที่รู้ความจริงว่าของเหล่านี้คือสิ่งประดิษฐ์ทรงประสิทธิภาพของผักตบ
    หาใช่อาวุธศาสตราเทพแต่อย่างใดไม่

     

    สองบุรุษหนุ่มคือจุดศูนย์รวมใหญ่ ในการจัดกำลังรับศึกสงครามที่จะมีขึ้น ต่างยุ่งวุ่นวายกินนอนแทบไม่เป็นเวลา
    พูดให้ถูกนับตั้งแต่วันที่องค์ชายวายุภักษ์รู้ความลับของผักตบ พวกเขาก็ไม่ได้นอนร่วมห้องกันนับตั้งแต่วันนั้น

     

    ผ่านมาจนคืนที่สามแล้ว ผักตบยังคงหลับนอนห้องบรรทมเจ้าของตำหนักตามปกติ ส่วนองค์ชายไม่รู้ไปนอนที่ไหน
    อีกฝ่ายหายตัวช่วงค่ำคืน เจออีกทีคือเช้าวันใหม่ เป็นแบบนี้ตั้งแต่วันนั้น เขาไม่ได้ปริปากถาม
    ถึงแม้จะอยากรู้อยู่พอสมควร..ว่าเจ้าของเตียงตัวจริงไปหลับนอนที่ไหนมา

     

    สุดท้ายไม่เก็บเอามาคิดให้ปวดหัว อย่างน้อยไม่ต้องทนอึดอัดหากอยู่ร่วมกันตามลำพังในยามวิกาล
    โดยเฉพาะตอนนอนไม่มากก็น้อยคงอดระแวงไม่ได้ พานไม่ถามมากความ องค์ชายดูไม่มีปัญหาในการทำตัวลึกลับ
    หายไปในยามค่ำคืน ด้วยพระองค์ทรงมีเหตุผลยึดถือพระเกียรติไม่ทำผักตบเสื่อมเสียชื่อเสียง
    ซึ่งทรงมั่นพระทัยมีความเป็นอิสตรีครึ่งหนึ่ง จึงเลือกที่จะไปพำนักยังตำหนักรับรองแทน

    ทรงปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ แม้แต่เหนือหัวอนิละก็มิทรงทราบ
    ว่าพระโอรสมิได้พำนักตำหนักส่วนพระองค์ ยกเว้นองครักษ์กลกะลา

    เวลาทานอาหารผักตบทานมื้อเย็นกับแม่เล็ก มื้อที่เหลือเขาอาศัยสะดวกเข้าว่าไม่ยึดติดต้องทานตอนไหน
    เอาแต่หมกมุ่นกับการทำระเบิด ทดลองประสิทธิภาพจนมั่นใจ ค่อยประกอบออกมาตามวัตถุดิบ
    ที่หาได้นั้นจะเอื้ออำนวยจนผลิตขึ้นมา
    50 ลูก

     

    เขาอาศัยหลักการบั้งไฟเป็นแนวทาง ความรุนแรงก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตในรัศมี 20 เมตร
    ไกลกว่านี้จะเพียงแค่บาดเจ็บจากสะเก็ด อาจไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะหรือชีวิต เพราะลดความรุนแรงลงไปมาก
    ด้วยมีข้อจำกัดด้านองค์ประกอบ ดังนั้นการฝังลงในหลุมทราย ต้องทำการวางสายชนวนชุบด้วยน้ำมันดิบ
    ซึ่งหาได้ไม่ยากควบคู่กันไปด้วย กำหนดจุดอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    ส่วนการจุดชนวนต้องอาศัยพลธนูมือฉมัง ซึ่งมีความแม่นยำเข้าขั้นยอดขุนพลธนู
    รับหน้าที่ยิงธนูไฟจุดสายชนวนแทน โดยระบุเป้าหมายไว้ในแผนที่ซึ่งจัดทำขึ้น อาศัยเก็บภาพด้วยกล้องถ่ายรูป
    โชคดีเขาประหยัดแบตเตอรี่ ซ้ำยังมีแบตฯ สำรองชาร์ตไฟเรียบร้อยอีกก้อน สามารถใช้งานไม่ติดขัดแต่ก็ต้องประหยัด
    ให้ได้มากที่สุด เขายังหาช่องทางทำประจุไฟฟ้าขึ้นมาใช้เองไม่ได้ ช่วงนี้มีเวลาจำกัด เรื่องเร่งด่วนตรงหน้าสำคัญกว่า

     

    เขาจำเป็นต้องใช้กล้องถ่ายรูปซูมภาพระยะไกล ยุคสมัยนี้ยังไม่มีกล้องส่องทางไกลใช้
    อาศัยการมองภาพระยะไกลจากเขาสัตว์ที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยการใส่กระจกขยายช่วยตามภูมิปัญญาท้องถิ่น
    แน่นอนว่าด้านประสิทธิภาพย่อมได้ไม่ดีนัก ต้องมานั่งคำนวณระยะทางเพิ่มเติมเอาอีก
    กลายเป็นยุ่งยากอยู่พอสมควร ต่างจากกล้องราคาครึ่งล้านที่สามารถซูมภาพระยะไกลนับเป็นกิโลได้สบาย
    พอยืนบนกำแพงเมืองจึงทำให้ทัศนวิสัยในการมองชัยภูมิโดยรอบทำได้ทั่วถึงกว่ามาก ไม่เป็นปัญหาสักนิด..

     

    ตรงจุดนี้เขาเลือกตั้งศูนย์บัญชาการ ใช้ควบคุมสั่งการบนกำแพงเมืองพร้อมกับองค์ชายวายุภักษ์
    ซึ่งมีหน้าที่ใช้พลังของเทพมหาธาตุวายุร่วมกับมุกราตรีดำ สร้างเกราะป้องกันคุ้มครองอาณาเขต

    ผักตบเพิ่งรู้งานนี้องค์ชายรับภาระหนัก การใช้พลังมหาธาตุใช่ง่ายดายอย่างที่คิด
    ยิ่งต้องต่อกรกับคู่มือซึ่งเหนือชั้น เท่ากับเอาพลังชีวิตเข้าห้ำหั่นกันเลยทีเดียว

    ผู้ถือครองเทพมหาธาตุเมื่อต้องใช้พลังเหนือธรรมชาติ คือการดึงเอาพลังชีวิตมาใช้
    กินแรงมากมายหลายเท่า ผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจบาดเจ็บสาหัส..คร่าชีวิตตนเองไปด้วย

    แผนรับมือถูกซักซ้อมทำความเข้าใจอยู่หลายเที่ยว ถึงคราวคับขันข้าศึกตีฝ่าแนวป้องกันเข้ามาได้
    แผนสำรองให้รีบอพยพพลเรือนหนีเข้าไปในกำแพงวังให้หมด อาศัยการป้องกันจุดสุดท้ายคือระเบิด
    20 ลูกที่เหลือ
    และกองทัพทหารเข้าสู้แทน ผักตบได้แต่หวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

    เขาภาวนาให้ข้าศึกล่าถอย ตั้งแต่เจอค่ายกลพายุดำทะเลทรายขององค์ชายวายุภักษ์เข้าไปแล้ว
    การไม่อพยพพลเรือนเข้ากำแพงวังแต่เริ่มแรก เพราะไม่ต้องการให้วุ่นวายโกลาหลสร้างความแตกตื่นต่อพลเรือนภายในวัง
    ไม่เช่นนั้นจะยิ่งสร้างปัญหา ถ้าไม่ถึงวินาทีวิกฤตจะไม่อพยพ

    > 

    > 

                “พระปิตุลา..อีกสองทิวาเราจักถึงนครไตรคาน ข้าเห็นสมควรให้ทหารตั้งกระโจมค้างแรม
    ข้าจักเรียกสายวารีให้กำเนิดแอ่งน้ำ เหล่าทหารจักได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า เพื่อให้มีแรงเดินทัพในยามรุ่ง
    ท่านเห็นควรเยี่ยงไรเพคะ” องค์หญิงชลธารตรัสกับพระปิตุลา พระองค์ประทับบนหลังม้าสีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

                “อืม..ดำเนินการตามนั้น” พระองค์ทรงอนุญาต องค์หญิงในชุดทะมัดทะแมงมิรอช้า
    รับสั่งองครักษ์คู่พระทัยรับพระบัญชาไปดำเนินการ

     

    ในไม่ช้ากองทัพร่วมแสนก็ตั้งกระโจมที่พัก ฝ่ายเสบียงลงมือปรุงอาหารเลี้ยงกองทัพ
    ทหารเวรรับหน้าที่ตรวจตรา พวกที่ไม่มีภารกิจพักผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
    หลังเดินทัพฝ่าอากาศร้อนระอุในแผ่นดินทะเลทราย ติดตามกองทัพชาวไตรคานซึ่งร่นถอยกลับสู่วังหลวง
    เหตุการณ์นี้พวกเขาต่างรู้ดีว่าข้าศึกยกทัพกลับมาตั้งหลัก แต่พระปิตุลาก็หาได้ชะล่าใจเดินทัพไล่ตามติดมาในระยะเวลาไล่เลี่ย...

    หลังองค์หญิงชลธารกับองค์ชายธรณิณ ทำลายค่ายกลพายุดำทะเลทรายขององค์ชายวายุภักษ์
    ซึ่งอ่อนประสิทธิภาพจนเป็นผลสำเร็จ

    สายภายในที่พระองค์ใช้เป็นไส้ศึก ส่งข่าวรายงานไตรคานเตรียมแผนรับมืออยู่นอกกำแพงวัง
    แม้นไม่มีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแผนการรบของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีบุรุษถือครองเทพมหาธาตุอัคคีเป็นผู้วางกลยุทธ์

    แต่นั่นไม่ทำให้ทรงวิตกกังวล พระปิตุลามั่นพระทัยจักนำกองทัพบุกยึดไตรคานได้สำเร็จ
    ณ เวลานี้พลังเทพมหาธาตุขององค์หญิงชลธารแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งยังมีองค์ชายธรณิณที่ไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากันสักเท่าไหร่

    สำคัญพระองค์ได้เตรียมมนตรากำกับ ต่อให้อีกฝ่ายเก่งกล้าใช่จะต้านทานได้
    โดยเฉพาะข้อมูลที่ทำให้ทรงกระหยิ่มยิ้มย่องพระทัย เกี่ยวกับแหล่งน้ำภายในวังหลวงเหลือไม่เพียงพอสำหรับผู้คน
    ทรงคาดว่าอยู่ได้อีกไม่เกิน
    15 ราตรี การนี้มีหรือข้าศึกจะสู้กับกองทัพของพระองค์ ซึ่งมีผู้เรียกสายวารีเป็นเสบียงได้อย่างง่ายดาย

     

    “วารีในพิภพจงฟังข้า ให้กำเนิดแหล่งน้ำยังผืนทรายในบัดดล..” พระสุรเสียงกังวานดุจระฆังแก้ว
    ขององค์หญิงชลธารจบลง มวลอากาศโดยรอบพระวรกายกลับแปรเปลี่ยน
    ฉับพลับบังเกิดคลื่นน้ำวนขนาดใหญ่หมุนเป็นเกลียวสว่านรอบพระวรกาย
    ก่อนขยายกว้างสร้างความแตกตื่นให้พวกทหารที่ยืนจ้องตาค้าง มวลมหาวารีก้อนมหึมาค่อยพุ่งลงสู่ผืนทราย
    เกิดเสียงดังกัมปนาทกลายเป็นแอ่งน้ำใช้ เพียงพอแก่การอุปโภคบริโภคให้กับกองทัพเรือนแสนได้อย่างสบาย

     

    “องค์หญิงชลธารจงเจริญ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญถวายพระพรดังกึกก้อง
    หลังองค์หญิงสำแดงแสนยานุภาพของมหาธาตุวารีให้พวกเขาได้ประจักษ์

     

    “หึ!..เจ้าไปตามครรชิตมาพบข้าอย่าชักช้า” องค์ชายธรณิณทรงสดับฟังเสียงทหารทั้งกองทัพ
    ถวายพระพรพระคู่หมั้นอยู่ในกระโจม

    พระพักตร์เคร่งขรึมไม่สบพระอารมณ์ รับสั่งองครักษ์ให้ไปตามมหาดเล็กถวายงานรับใช้ส่วนพระองค์
    ด้วยพระสุรเสียงห้วนกระด้าง

     

    “น้อมรับพระบัญชาพะยะค่ะ” องครักษ์คู่พระทัยรู้หน้าที่ ไม่รอช้าค้อมศีรษะถวายความเคารพ
    พาร่างหายไปจากกระโจมที่พำนัก ชั่วอึดใจบุคคลที่ให้ไปตามก็มาปรากฏตัว

     

    “ถวายพระพรองค์ชาย..พะยะค่ะ” มหาดเล็กนามว่าครรชิตผู้มีร่างกายบอบบางกว่าบุรุษ
    ใบหน้าละมุนละไมดุจสตรี ยืนสำรวมค้อมศีรษะถวายความเคารพทันที ที่เข้ามาในกระโจมที่พำนักส่วนพระองค์

     

    “เจ้าหายไปไหน ปล่อยให้ข้ารอ” พระสุรเสียงไม่พอพระทัย
     

    “ขอพระองค์ทรงประทานอภัย ข้าน้อยตระเตรียมน้ำสำหรับชำระพระวรกายอยู่พะยะค่ะ
    บัดนี้ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” มหาดเล็กส่วนพระองค์รีบถวายรายงานชี้แจง โดยมิกล้าเงยหน้าสบพระพักตร์เข้ม

     

    “เอาเถอะ..ไปเอามาข้ารู้สึกร้อนมาก ส่วนเจ้ารู้นะว่าควรทำสิ่งใด” พระองค์รับสั่งด้วยสุรเสียงปกติแล้ว
     

    “พะยะค่ะ ข้าน้อยรับพระบัญชา” ผลุบหายออกจากกระโจมไปไม่นานก็กลับเข้ามา
    พร้อมทหารกว่าสิบนายที่นำถังไม้ขนาดใหญ่ สำหรับให้ลงไปแช่ได้เข้ามาภายในกระโจม
    พวกที่เหลือต่างตักน้ำมาเทใส่ถังครึ่งค่อน เสร็จแล้วพากันถวายความเคารพก่อนกลับออกไป
    เหลือเพียงมหาดเล็กและองค์ชายอยู่กันตามลำพัง

    ฝ่ายข้ารับใช้ตระเตรียมฉลองพระองค์เสร็จ หยดน้ำมันหอมระเหยใส่ลงไปในถังน้ำ
    จากนั้นย่างเท้าอย่างสำรวมมายังแท่นประทับ ค้อมศีรษะแทนการขออนุญาต
    ก่อนคุกเข่าลงมือปลดชุดเกราะออกจากพระวรกาย ตามด้วยฉลองพระองค์อย่างรู้หน้าที่

    กระทั่งบุรุษผู้มีเรือนกายกำยำ อุดมด้วยกล้ามเนื้อสมชายชาตรีเพราะได้รับการฝึกฝนฝีมืออยู่สม่ำเสมอ
    เปิดเปลือยผิวกายออกไปทางคล้ำแก่สายตาของมหาดเล็ก ดวงเนตรฉายพระอารมณ์บางอย่างให้เขารับรู้

    มหาดเล็กผู้คอยปรนนิบัติ เคลื่อนกายเข้าใกล้ส่วนกลางลำตัวซึ่งมีขนาดน่ากลัวไม่น้อย
    ก่อนจะก้มศีรษะใช้ริมฝีปากครอบครองถวายบัวให้องค์ชาย โดยมิได้เอื้อนเอ่ยวาจาอันใด

     

    ยามใดองค์ชายธรณิณออกสนามรบ ย่อมได้รับการถวายบำบัดพระกามาจากมหาดเล็กส่วนพระองค์
    ที่ติดสอยห้อยตามถวายรับใช้ โดยหนึ่งในหน้าที่กำลังปฏิบัติอยู่ขณะนี้ องค์ชายจักสังวาสกับบุรุษที่มีรูปร่างคล้ายคลึงอิสตรี
    ก็ต่อเมื่อออกสนามรบ ยามพำนักอยู่พระนครย่อมใช้สตรีนางในสิ้นเปลืองอยู่ไม่น้อย
    ถือเป็นความสำราญส่วนพระองค์ที่พวกทหารใต้สังกัดอย่างพวกเขาต่างรู้กันดี

    กระโจมที่อยู่ห่างไปพอสมควร สตรีสองนางกำลังนัวเนียบนเตียง ปรนเปรอกามตัณหาอย่างหลงใหล
    เสียงครางพร่ากระสันรัญจวนเล็ดลอดสอดประสานกันอยู่ตลอดเวลา

     

    “องค์หญิง..ข้าพระองค์ไม่ไหวแล้วเพคะ” เสียงหวานแว่วของดรุณีวัยกำดัด บิดกายเร่าด้วยความซ่านเสียวสุดทน
    บุคคลที่นางเอ่ยนามกลับเป็นองค์หญิงชลธาร ทรงคร่อมวรกายบดคลึงฝากรอยจุมพิตทั่วร่างอรชร
    ส่วนเว้าส่วนโค้งงดงามด้วยวัยแรกแย้ม ปทุมถันนั่นเล่ารับการขย้ำบีบจากหัตถ์เรียว
    กลีบปากสีสดบดจูบตอบโต้ไม่มีถอย ด้านล่างต่างบดเบียดเสียดสีปานจะลุกเป็นไฟแล้ว
    รสนิยมส่วนพระองค์ทรงพิสมัยกลิ่นกายอิสตรี ยิ่งหลงใหลอย่างหนัก เมื่อได้สัมผัสตอนพระชนม์
    17 ชันษา

    พระองค์ไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นได้เยี่ยงไร ทรงหาได้มีพระประจำเดือนดุจสตรีพึงมี
    แม้จะทรงพระศิริโฉมจนเป็นที่อิจฉาในหมู่สตรี พระองค์กลับชมชอบสรีระสตรีเช่นเดียวกัน
    ทรงปลดปล่อยพระกำหนัดกับอิสตรีตั้งแต่นั้นเรื่อยมา หาได้มีพระทัยปฏิพัทธิ์ต่อบุรุษไม่

    แม้นทรงมีพันธะผูกพันอภิเษกกับองค์ชายธรณิณในกาลข้างหน้า กระนั้นหาได้ทรงวิตกแต่อย่างใด
    ทรงคิดไว้ในพระทัยพิธีอภิเษกจักกระทำตามหน้าที่ ย่อมไม่มีการร่วมหอก่อความสัมพันธ์ทางกายแน่
    จักทรงอยู่ร่วมกันดุจพี่น้อง แต่ในสายตาผู้คนทั่วทั้งนครย่อมเข้าใจว่าพระองค์เป็นคู่อภิเษก
    คงมีเพียงองค์ชายธรณิณเท่านั้น ที่จะทำสัญญาลับต่อกัน

    ที่สุดแล้วพระองค์รู้พระทัยดีว่า ทรงพิสมัยต่ออิสตรีลึกล้ำไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้
    ต่อให้ยังไงก็มิอาจชื่นชอบร่างกายบุรุษที่พระองค์ให้ความรู้สึกรังเกียจเสียด้วยซ้ำ ถ้าต้องมีการสัมผัสลึกล้ำต่อกัน
    เรื่องนี้แม้แต่พระปิตุลาก็มิทรงล่วงรู้ ล้วนเป็นความลับที่เก็บงำมาเนิ่นนาน...

    > 

    > 

                “เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” พระดำรัสตรัสถามดังจากด้านหลัง ทำให้ผักตบที่ยืนคิดเพลินๆ
    รับลมอยู่ในสวนกระบองเพชรของพระตำหนัก ถึงกับแปลกใจไม่น้อย ปาเข้ามาสี่วันแล้วที่ไม่เห็นเงาคนถามในยามค่ำคืน
    ดันมาโผล่ให้เห็น ทั้งที่ตอนนี้จากการตีเกราะบอกเวลาของทหารยาม น่าจะเที่ยงคืนไปแล้ว..ทำไมอีกฝ่ายกลับมาปรากฏตัวอยู่อีก

     

                “ถามผม..แล้วคุณทำไมยังไม่นอน” เขาไม่ตอบ กลับถามคืนเฉย
     

                “เราถามเจ้าก่อน สมควรเป็นเจ้าให้คำตอบเรา” พระองค์ไม่ยอมตอบเช่นกัน ใช้วิธียอกย้อนได้สมน้ำสมเนื้อ
    ผักตบจ้องคนพูดนิ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าจะถูกย้อน เริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ

     

                “ผมยืนอยู่ในสวน จะถามทำไมว่ายังไม่นอน ถ้านอนจะมายืนที่นี่หรือครับ”
    กวนใส่เสียเลย สองสามวันมานี้ทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกัน

    ต่างคนต่างมีหน้าที่ องค์ชายคุมการซ้อมรบของทหารด้วยตนเอง เพื่อเตรียมรับมือข้าศึก
    ส่วนผักตบหมกอยู่กับฝ่ายสรรพาวุธที่เขาคัดเลือกจากการสัมภาษณ์ช่วยกันประกอบระเบิด
    เพิ่งมีเวลาหายใจหายคอเมื่อทุกอย่างดำเนินการแล้วเสร็จตามกำหนด

    ล่าสุดหน่วยข่าวกรองส่งรายงานมาว่า กองทัพข้าศึกเดินทางใกล้เข้ามาแล้ว วันมะรืนคงประชิดยังนคร
    องค์ชายได้มีพระบัญชา ให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมประชุมปรึกษาโค้งสุดท้ายในเช้าพรุ่งนี้
    เขาก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับสาส์นจากองครักษ์หน้านิ่ง เป็นผู้นำมามอบให้ด้วยตัวเอง

     

                “เราเห็นเจ้าไม่นอนจึงไต่ถาม เพียงอยากรู้มีเหตุอันใดทำให้เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่เป็นเพลาหลับพักผ่อน”
    พระองค์พระทัยเย็นใช้สุรเสียงทุ้มนุ่มมิได้ยอกย้อนดังเดิม รู้ดีขืนทำแบบนั้นผักตบคงไม่รามือ
    ต่อปากต่อคำไม่สิ้นสุด บทจะรั้นก็ดื้อเอาเรื่อง นิสัยข้อนี้พระองค์เริ่มเรียนรู้พอสมควร

     

                “ผมนอนไม่หลับ เลยออกมาสูดอากาศ” ผักตบยอมลดท่าทีลง เมื่อองค์ชายไม่ยียวนกวนโมโหเขาอีก
     

                “มีเรื่องใดรบกวนใจเจ้า ใช่จักเป็นเรื่องการศึก” พระองค์ทรงถามด้วยพระสุรเสียงเอื้ออาทร
    บ่งบอกให้รับรู้ว่าทรงเป็นห่วง

     

                “เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเข้าร่วมสงครามจริง ไม่เหมือนนั่งดูจากในหนังในละคร”
    พอพูดประโยคนี้ก็ต้องชะงัก พระพักตร์คนฟังเริ่มแสดงอาการพระโขนงขมวดปมพันกันยุ่งไปแล้ว

     

                “หมายถึงการแสดงไม่ใช่ของจริง..บ้านเมืองที่ผมจากมาเขามีการแสดงเหล่านี้ให้ชม
    แต่คราวนี้มันเป็นของจริง ใช้ชีวิตผู้คนเดิมพันจะไม่ให้กังวลคงเป็นไปไม่ได้” ผักตบบอกตามที่รู้สึก เขาอดห่วงไม่ได้
    ล่าสุดปัญหาเรื่องน้ำเป็นเรื่องใหญ่ยังไม่มีทางแก้ไข แหล่งน้ำในนครเริ่มจะตื้นเขินเรื่อยๆ เหลือไว้กินไว้ใช้ได้อีกไม่เกินสิบกว่าวัน

     

                “เราเข้าใจความรู้สึกเจ้า จึงอยากขอบใจเป็นการส่วนตัวที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเหลือพวกเรา
    หลายวันมานี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” ดวงเนตรคมทอดอ่อน..มองใบหน้าขาวช่างหล่อเหลา
    อย่างต้องการบอกความรู้สึกว่าทรงเป็นห่วง พระสุรเสียงฟังดูอบอุ่นอ่อนโยนยิ่งนัก

     

                “มะ..ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ ไม่ต้องขอบคุณผม ที่จริงถ้าไม่มีคุณไปพาผมกับแม่มาที่นี่
    ป่านนี้เราสองแม่ลูกยังไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไงเลยด้วยซ้ำ ถือว่าคุณช่วยผม..ผมช่วยคุณเป็นการตอบแทน
    เราต่างไม่ติดค้างว่าไหม” ผักตบไม่กล้าสบเนตรคมที่มองไม่วางตา วางหน้าไม่ถูกกับการโดนอีกฝ่ายจ้องเขาแบบนี้
    ไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน พูดให้ถูกเขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ใครรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว
    ใกล้ชิดพูดคุยสนิทใจได้เท่าคนตรงหน้า พานทำให้หัวใจดันเต้นแปลกๆ ควบคุมได้ลำบาก..

     

                “เจ้าช่างถ่อมตัวนัก รู้หรือไม่พสกนิกรไตรคานของเรายกย่องเชิดชูเจ้าเป็นปราชญ์แห่งแผ่นดินไปแล้ว
    ชื่อของเจ้าเป็นที่ถูกกล่าวขานไปทั่ว ผู้คนไม่น้อยต้องการยลโฉมของเจ้า มากกว่ารับฟังจากคำบอกเล่า”

    พระดำรัสองค์วายุภักษ์ ทำเอาผักตบกลั้นขำไว้ไม่ได้ หลุดหัวเราะอย่างไม่ทันเก็บอาการ
     

                “คึคึ!!...ผมนึกว่าการสร้างกระแส จะเก่งเฉพาะยุคของผมเสียอีก ยุคเก่าล้าหลังหลายพันปีก็ใช่ย่อย
    นึกภาพตอนผมยืนโบกมือทักทายผู้คนทำอะไรแบบนั้นแล้วอดขำไม่ไหว โทษทีที่เสียมารยาทหัวเราะต่อหน้าคุณ
    มันน่าขำน้อยซะเมื่อไหร่..ปราชญ์แห่งยุคเชียวนะ ไว้ผมจะยืดอกรับคำชมก็ต่อเมื่อเราขับไล่ข้าศึกไปได้
    เมื่อยังไม่ถึงเวลานั้น ผมไม่กล้ารับไว้หรอกครับละอายใจตายชัก..ถ้าเกิดเราแพ้ขึ้นมาล่ะก็ ไม่เท่ากับผมวางแผนห่วยนะสิ”

     

                “แม้นเราจักพ่ายแพ้ ย่อมไม่มีใครกล่าวโทษเป็นความผิดเจ้าดอก  เจ้าเป็นผู้ใดฝีมือเพลงอาวุธหามีไม่
    ได้ชื่อเป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุกลับมิอาจเรียกใช้เทพธาตุได้ ใยมิต่างจากบุคคลธรรมดา

    แต่เจ้ากลับมีมันสมองเฉลียวฉลาด วางแผนการรบใช้สิ่งประดิษฐ์ที่เจ้ามีให้เกิดประโยชน์ต่อพวกเรา
    ข้อนี้ต่างหากทำให้เจ้าสมควรได้รับการยกย่องเชิดชู
    เจ้าคือวีรบุรุษในใจเรา แทนการขอบคุณ
    ขอจงรับสิ่งนี้เอาไว้ อย่าได้ถอดออกจากนิ้วเป็นอันขาด” พูดจบล้วงเอาแหวนมรกตกลมเกลี้ยงออกมาให้ผักตบดู
    อีกฝ่ายมองด้วยความงุนงง แต่ไม่ได้ถามอะไรไป เขารอองค์ชายพูดต่อให้จบ 

     

                “นี่คือธำมรงค์มรกตมีความสำคัญต่อเรานัก จงสวมติดนิ้วเอาไว้อย่าได้ถอด มันจักเป็นเกราะกำบังมนตราชั่วร้าย
    ตลอดจนศาสตราวุธทุกชนิดให้เจ้าได้ เจ้าเองมิอาจสร้างเกราะกำบังกาย จงสวมธำมรงค์เอาไว้ รับปากเราได้หรือไม่
    ว่าเจ้าจักเก็บรักษาตลอดไป” พระองค์กลับย้ำขอคำสัญญาผักตบ สายพระเนตรที่ใช้ทอดมองขณะมีกระแสรับสั่ง
    ดูจริงจังเกินกว่าจะเป็นการรับสั่งตามปกติ

     

                “เออ..สวมแหวนวงนี้เนี่ยนะ” เขารู้สึกเขินสายตาคนให้ พานไม่อยากรับ บรรยากาศแวดล้อมบวกสถานที่
    อีกทั้งคำพูดของคนให้ ถึงไม่ใช่การขอแต่งงาน แต่มาเน้นย้ำให้สวมแหวนมันออกไปแนวนั้นกลายๆ

     

                “เป็นไรไปแล้ว ลังเลอันใดใบหน้าถึงซับสีโลหิต ลำบากใจหรือเจ้า เราเป็นห่วงรู้หรือไม่
    ยามรบเพลาคับขันเราเกรงจักมิอาจปกป้องเจ้าได้ทัน หากมีธำมรงค์วงนี้ยังพอคุ้มภัย รับไปเถอะนะ”
    พระองค์กลับใช้พระสุรเสียงวิงวอนแทนแล้ว หลังเข้าพระทัยว่าผักตบไม่อยากรับแหวนมรกต
    เพราะเขาเล่นเงียบ ยืนหน้าแดงเป็นลูกพลับสุกไปเสียเฉยๆ

     

                “เฮ้อ! ก็ได้..เดี๋ยวคุณจะพานคิดว่าผมลำบากใจ ความจริงลำบากใจอยู่พอสมควร”
    ผักตบตัดบทหยิบแหวนมาสวมปากบ่นไปด้วย เขาตั้งใจให้เจ้าของได้ยิน นิ้วชี้ดันใส่ไม่ลง
    นิ้วกลางไม่ต้องพูดถึง นิ้วชี้สวมไม่ได้ประสาอะไรกับนิ้วกลาง ลองนิ้วนางกลับสวมได้พอดี
    สำคัญนิ้วนางมือขวาใส่ไม่ได้ แม่เจ้า
    !..นิ้วนางมือซ้ายคล่องปรื๋อไม่มีติด เหมือนทำมาเพื่อนิ้วนี้เสียอย่างนั้น พอดีเป๊ะ!

     

                “หึ!..เหมือนจะรู้เนอะ ต้องน้องนางข้างซ้าย” ผักตบคุยกับตัวเองแต่เป็นการพูดออกแนวประชด
     

                “ถึงกับลำบากใจในการสวมใส่ธำมรงค์ของเราเชียวหรือ”
    เจ้าของแหวนมรกตทอดเสียงตัดพ้อ คนฟังยังจับกระแสความรู้สึกได้ชัด

     

                “เอาน่า..น้อยใจอะไรกันคุณ ผมก็ใส่แล้วไงครับ คนที่สมควรคิดมากคิดเยอะจึงเป็นผม
    คุณรู้ไหมขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมที่บ้านเมืองผม การรับแหวนคนอื่นมาสวมนิ้วนาง..หมายความว่ายังไง”
    ผักตบนิ่วหน้าถามน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย เขาหมั่นไส้หนุ่มหล่อตัวโตตรงหน้าที่ดันออกอาการน้อยใจ
    ในคำพูดที่ไม่จริงจังของเขาเสียอย่างนั้น

     

                “เราย่อมมิอาจรู้ได้” พระองค์ยอมรับตรงๆ
     

                “หมายความขอแต่งงาน..ถ้าคนรับไม่ปฏิเสธแปลว่าตอบรับคำขอ เข้าใจหรือยังทำไมผมถึงอึดอัด”
    ผักตบอธิบายอย่างใจเย็น เผื่ออีกฝ่ายจะรับรู้ในความกระอักกระอ่วนของเขา ที่อ้ำอึ้งต่อการรับแหวน

     

                “เป็นเช่นนั้นดอกหรือ..ย่อมมิต่างธรรมเนียมของเราดอก การมอบของแทนใจให้คนผู้หนึ่ง
    แปลว่าผู้ให้ขอมาเป็นคู่วิวาห์ แม้นยังไม่มีพิธีอย่างเป็นทางการ แต่การรับรู้ย่อมทราบกันดีว่า
    ฝ่ายที่มอบให้ได้ขอผู้รับสิ่งของเพื่อการวิวาห์ เป็นคู่ชีวิตของเขาเรียบร้อยแล้ว”

     

                “หา!..คุณอย่าบอก” ผักตบอ้าปากค้าง ละคำพูดในประโยคเอาไว้ ไม่กล้าต่อจนจบ
     

                “ย่อมเป็นเช่นนั้น” องค์ชายแย้มสรวลชนิดหล่อฉิบหายวายป่วง ถ้าใครเห็นพระพักตร์ยามนี้
    แต่ผักตบกลับมองว่าเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์สุดๆ

     

                “เฮ้ย! ถ้างั้นเอาคืนไปผมไม่รับ คุณวางแผนหลอกล่อผมนะครับ” เขาโวยตั้งท่าถอดแหวนออกจากนิ้ว
    ฝ่ายที่ตัวโตกว่ากลับรวบมือเขาเอาไปกุมทั้งสองข้าง บังคับไม่ให้ถอด พร้อมกับสบตาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพราว
    อย่างคนมีความสุข ผักตบไม่รู้สักนิด ว่าแหวนมรกตที่สวมอยู่มันกำลังเปล่งประกายเขียวนวลกว่าปกติ
    นั่นเป็นเพราะมันถ่ายทอดความรู้สึกคนใส่สู่เจ้าของที่มอบให้ องค์ยุพราชหนุ่มย่อมรับรู้ได้
    ว่าหนุ่มหล่อตรงหน้าตกอยู่ในภาวะลำบากพอดู ในการควบคุมจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อที่พวกเขาต่างเรียกว่า
    หัวใจ

     

                “เจ้ามิอาจถอดออกจากนิ้วหากเราไม่อนุญาต แหวนมรกตวงนี้มีพลานุภาพตามที่เราบอกแก่เจ้ามิได้โป้ปด
    ให้แหวนคุ้มครองปกป้องเจ้าแทนเราเถิด ส่วนเรื่องยอมรับคำขออภิเษกของเราหรือไม่ ให้เพลาเป็นผู้ตัดสิน
    อย่าได้ด่วนผลีผลามปฏิเสธคำขอของเราในตอนนี้ ถึงเพลานั้นเจ้าอาจเปลี่ยนใจ เรามั่นใจแม้นเรามิใช่สตรีงดงามในแผ่นดิน
    ที่เจ้าใคร่อยากครอบครอง แต่ถ้าเทียบกับบุรุษแล้ว เราหาได้ด้อยกว่าใคร
    เช่นนั้นเจ้าควรภูมิใจที่มีพระสวามีสง่างามดังเราเป็นคู่ชีวิต”

     

                “แค่กๆๆ..บ้าเอร้ย! ชมตัวเองก็เป็น เอาเหอะอยากคิดอยากทำอะไรตามใจ ผมยอมรับคุณหล่อมาก
    แต่อย่าลืมผมก็พอตัวไม่ได้ด้อยกว่าคุณหรอก แล้วทำไมคนหล่อสองคนต้องมาเป็นผัวเมียกันเองครับ
    รบกวนช่วยเอาเรื่องนี้เก็บกรุก่อนดีไหม..ประสาทว่ะ
    !” ประโยคทิ้งทวนที่สองหนุ่มเสวนาร่วมกัน
    ก่อนผักตบจะปลีกตัวหนีเข้าห้อง โดยอ้างว่ารู้สึกง่วงแล้ว เหตุผลแท้จริง เขาทนมองหน้าคนอวยตัวเองไม่ไหว
    มีอย่างที่ไหนเชียร์ตัวเองให้เขารับเป็นสามี ยอมมาเป็นเมียเขาสิ..จะรับไว้พิจารณา..หึหึ
    !

     

                “ตึง!..ตึงๆๆ!!!..” เสียงกลองศึกดังสนั่นไปทั่วทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
    เมื่อกองทัพนับแสนประจันหน้ากัน หลังข้าศึกยกทัพตั้งแนวรบอยู่ห่างกว่ากิโล

     

                “เป็นอย่างไรเล่า” องค์ชายทรงตรัสถามผักตบ ที่กำลังตั้งอกตั้งใจเล็งสายตาผ่านเลนส์กล้อง
    สำรวจกองทัพข้าศึกอย่างละเอียด

     

                “ชายชราผมขาวประปรายสวมชุดเกราะรูปร่างสูงใหญ่นั่งบนหลังม้าสีน้ำตาลเข้มหน้าตาดุไม่น้อย
    ข้างกายซ้ายขวาด้านหนึ่งเป็นสาวงามสวมชุดเกราะอย่างกับทหาร นั่งบนหลังม้าสีขาว
    อีกฝั่งเป็นผู้ชายสูงใหญ่ตัวพอกับผมรูปร่างหน้าตาใช้ได้ ที่เหลือเป็นทหาร..พวกเขาชักม้าแถวยาว
    กลุ่มหน้ามีโล่กับดาบครบมือ แถวที่สองพลธนูเยอะมาก น่าจะร่วมแสนได้”

                ผักตบรายงานแม่ทัพใหญ่ ทั้งคู่ตั้งกองบัญชาการบนกำแพงเมืองหน้าประตูวัง
    แวดล้อมพลธนูประจำเชิงเทิน ด้านล่างกองกำลังทหารราบมีอาวุธโล่กับดาบไม่ต่างฝ่ายตรงข้าม

     

                “บุรุษชันษาสูงวัยคือพระปิตุลา ซ้ายขวาที่กล่าวมาดรุณีย่อมเป็นองค์หญิงชลธาร
    ส่วนบุรุษคือโอรสพระปิตุลาองค์ชายธรณิณ มากันพร้อมตามข้อมูลที่ได้รับไม่ผิดไปจากนี้”
    ยุพราชหนุ่มทรงตรัสอธิบาย ให้ผักตบรู้ว่าใครเป็นใคร เขารับฟังนิ่งยังคงซูมภาพดูอยู่ตลอด

     

                “นั่น! ฝ่ายตรงข้ามส่งทหารถือธงควบม้ามาทางนี้แล้ว” ผักตบรีบแจ้งองค์ชายทราบทันที
     

                “คงเป็นผู้ส่งสาส์น เราจักปล่อยให้เข้ามา” ดำรัสพร้อมชูพระหัตถ์ขึ้น..ยังผลให้ทิวธงบนกำแพงโบกสะบัด
    ส่งสัญญาณให้กองทัพด้านล่างปล่อยคนส่งสาส์นผ่านเข้ามา

    ใช้เวลาไม่นานบุคคลดังกล่าว ก็ชักม้าหยุดหน้าประตูวังแหงนมองแม่ทัพใหญ่เจ้าของนคร
    ที่กองทัพพวกเขาประกาศสงคราม ก่อนตะโกนเสียงดังกังวานอย่างฮึกเหิมให้ได้ยินกันทั่ว

     

                “ข้าคือองครักษ์นามกาวิน รับพระบัญชาพระปิตุลาแม่ทัพใหญ่แห่งเวฬุวรรณนคร
    พระองค์มีพระประสงค์ให้ข้าส่งสาส์นทางวาจาแทนลายลักษณ์อักษร ต่อองค์ชายวายุภักษ์รัชทายาทแห่งไตรคานให้ทรงทราบ
      กองทัพเรายกพลมาครั้งนี้ มิหวังให้เกิดการนองเลือด หากท่านสวามิภักดิ์ยอมสงบศึก
    ยกไตรคานเป็นนครในอาณัติเวฬุวรรณ โดยมิทำการต่อสู้

                พระปิตุลาจักทรงละเว้นชีวิตเหนือหัวอนิละ และบรรดาราชนิกูล ตลอดจนมิเข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตพสกนิกร
    ขอท่านจงตอบเรามา พระองค์มิทรงให้เพลาในการตัดสินใจ นอกจากให้ข้ากลับไปทูลถวายรายงานทันที”

    องครักษ์ผู้นำสาส์นนามกาวินกล่าววาจาเสร็จ พระพักตร์คมคายหาได้แสดงอันใดต่อคำข่มขู่
    ซึ่งเรียกว่าสาส์นจากผู้ที่รุกรานอธิปไตย พักตร์หล่อเหลากลับสงบเยือกเย็น ผักตบชำเลืองคนข้างกายตลอดเวลา

     

                “เจ้าจงนำสาส์นเราไป เรามิอาจเป็นเมืองใต้อาณัติของเวฬุวรรณ หากแม่ทัพของเจ้าประสงค์เปิดศึก
    แล้วแต่เห็นสมควรเถิด พวกเราไตรคานมิงอมืองอเท้ายอมให้แผ่นดินถูกรุกรานดอก กาลนี้ใช่เราเป็นผู้ก่อสงคราม
    ใยพระปิตุลามิถอยทัพกลับ เราเองมิประสงค์ยุ่งเกี่ยวอันใดกับเวฬุวรรณ นี่คือคำตอบจากเรา”
    พระองค์ทรงใช้พระสุรเสียงทุ้มเรียบ แต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ บวกกับวรองค์สง่าผ่าเผย
    กระทั่งองครักษ์ส่งสาส์นยังชื่นชมในใจ กับความองอาจเยี่ยงชายชาติบุรุษ ซึ่งเปล่งรัศมีออกมาจากพระวรกาย

     

                “เช่นนั้นเราจักนำความกราบทูล” พูดจบชักม้าหันหลังกลับควบขับด้วยมือเดียว
    อีกมือชูธงรบประจำกองทัพโบกสะบัดไปกับสายลมที่ปะทะ ห้อตะบึงม้ากลับสู่กองทัพฝ่ายตน
    ที่ตั้งขบวนอย่างเป็นระเบียบอยู่ฟากฝั่งเนินทรายด้วยความเร็วปานพายุ..สมเป็นองครักษ์ยอดฝีมือ

     

                “ตกลง..รบกันจนได้” ผักตบเอ่ยถามตรงๆ
     

                “เจ้าฟังสาส์นที่พระปิตุลาส่งมาแล้ว หรือจักให้เรายอมรับเงื่อนไข”
     

                “ถามดีๆ ทำไมต้องกวนวะครับ” ผักตบเขม็งตาดุใส่คนตรงหน้า
     

                “อันใดหรือที่เจ้าเรียกว่ากวน เราไต่ถามเจ้าด้วยความจริงใจดอก” เจอไม้นี้เขารับมือลำบาก เจ้าชายช่างหน้ามึนสุดๆ
     

                “ช่างเถอะ..พวกเขากำลังทำอะไร องค์หญิงกับองค์ชายที่คุณบอก พากันชักม้าตีคู่เข้ามาในค่ายกลพายุของคุณแล้ว”
    องค์ชายพอฟัง มิทรงรอช้ายกเขาสัตว์ที่ใช้แทนกล้องส่อง แต่ผักตบกลับเอามือไปจับไว้ ก่อนขยับเข้าใกล้แล้วเอ่ยกับองค์ชายว่า

     

                “ดูหน้าจอผมดีกว่า” พูดจบ ยื่นจอกล้องซึ่งตั้งซูมปรับโฟกัสจนได้ศูนย์
    เผยภาพบุรุษสตรีที่คุ้นชิน ยืนม้าตีคู่วาดมือด้วยท่วงท่าคล้ายคลึงกัน

     

                “เราต้องรับมือแล้ว” พูดจบพระองค์หันกลับดำเนินไปยังพระเก้าอี้ ประทับนั่ง ล้วงฉลองพระองค์หยิบมุกราตรีดำ
    ที่เหนือหัวทรงยกให้ดูแลวางในฝ่าพระหัตถ์ซ้าย พร้อมหัตถ์ขวาทรงวาดท่วงท่าเช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้าม
    มุกราตรีดำพลันเปล่งรัศมีเรืองรองสว่างจ้าแข่งดวงอาทิตย์ พระสุรเสียงทุ้มกังวานดังขึ้นให้ได้ยิน

     

                “สายลมฟังเรา..สำแดงแสนยานุภาพในบัดดล” สิ้นกระแสรับสั่ง เนินทรายตรงแนวเขต
    ฝุ่นทรายม้วนตลบคละคลุ้งปลิวว่อนจนมองไม่เห็นทัศนียภาพ เสียงลมอึงอลทั่วอาณาบริเวณ
    ผักตบมองพลังเหนือธรรมชาติ ที่มีจุดกำเนิดจากบุคคลใกล้ตัวพานอดทึ่งไม่ได้

    แม้จะเคยประสบด้วยตัวเอง แต่ความรุนแรงหนักหน่วงต่างกับภาพตรงหน้าสิ้นเชิง
    เหมือนทอร์นาโดขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น น่าแปลกที่ไม่ส่งผลมายังพวกเขาหรือกระโจมพลเรือน
    ซึ่งได้รับคำสั่งให้หลบอยู่ภายใน ห้ามออกมาด้านนอกเป็นอันขาด พสกนิกรต่างรับรู้อันตรายไม่มีใครดื้อดึง
     นอกจากมีบ้างที่แอบแง้มกระโจม ลอบติดตามเหตุการณ์เอาเอง

     

                “หึหึ!!..วายุภักษ์..แม้นเจ้ามีมหาธาตุวายุ หาใช่คู่มือที่จะต่อกรกับชลธารและธรณิณได้
    จงยอมศิโรราบเสียเถิด มิเช่นนั้นเจ้ากับผู้คนจักต้องล้มตายดุจธุลี..หึหึ
    !” สุรเสียงสะท้านเตือน
    เขย่าขวัญสั่นประสาทคนฟังเป็นอย่างยิ่ง ผักตบที่ว่าใจแข็งยังเสียวสันหลัง ซุ่มเสียงดังทั่วบริเวณ
    เปรียบกับใช้เครื่องขยายเสียงก็ว่าได้ แต่พลังอำนาจนี่สิที่ทำเอาขนลุกตาม

     

                “ข้ามิอาจทำตามประสงค์ท่าน แม้นชีพวายก็ขอตายเยี่ยงนักรบ มิยอมก้มหัวให้ทรราช
    ซึ่งฝักใฝ่ในอำนาจ ช่วงชิงหาญหักอย่างไร้คุณธรรม”

                แล้วผักตบก็ตาเบิกกว้างจ้องคนที่อยู่ใกล้ ดันขยับฝีปากเอ่ยคำพูดแต่ไหงเสียงที่ควรได้ยินใกล้
    กลับสะท้อนสะเทือนดังไปทั่วบริเวณไม่ต่างกับซุ่มเสียงลึกลับก่อนหน้า หรือพวกเขาใช้เวทย์มนต์พลังของเทพมหาธาตุทำ
     น่าแปลกที่พระปิตุลาเก่งกาจได้ถึงขนาดนี้

     

                “ค่ายกลพายุดำทะเลทรายของเจ้ามีพิษสงเพียงเท่านี้ จงประจักษ์แจ้งเสียบัดนี้ บุรุษผู้โอหังไม่สำนึกตน”
    เสียงดังกล่าวกังวานตอบโต้กลับมา ขณะนั้นลมพายุที่หอบเม็ดทรายปลิวว่อนจนดูน่ากลัว กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
    เมื่อคลื่นน้ำขนาดใหญ่ม้วนดูดกลืนเม็ดทรายเหล่านั้นหมด

     

                “ครืนนน!..ครืนนน!!” ภาพที่เห็นไกลตาไม่ชัดเท่ามองผ่านกล้อง ผักตบจ้องหนึ่งชายหนึ่งหญิงบนหลังม้าเด่นสง่า
    มีรัศมีสีฟ้ากับสีน้ำตาลครอบร่างพวกเขาเหมือนอยู่ในลูกโป่ง สีหน้าท่าทางไม่วิตกทุกข์ร้อนต่อเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยซ้ำ

     

                “วารีข้าจงทำลายวายุให้สิ้นซาก”
     

    “ธรณีฟังข้า..สะกดกรวดทรายทั้งหมดอย่าได้เคลื่อนไหว” ซุ่มเสียงหญิงชายดังสลับกัน
    สร้างความตื่นตระหนกให้บรรดาทหารไตรคานพากันหน้าซีดปากสั่นเป็นแถว
    คลื่นน้ำก่อตัวเป็นกำแพงสูงดุจสึนามิซัดเข้าฝั่ง กำลังม้วนกลืนทอร์นาโดลูกใหญ่
    พร้อมกับฝุ่นทรายที่ปลิวคละคลุ้งบดบังทัศนียภาพ กลับสงบนิ่งไม่เห็นแม้แต่ละออง
    สำคัญภาพตรงหน้าคลื่นน้ำไม่เพียงแต่หยุดลมพายุ มันกำลังเคลื่อนใกล้เข้าแนวเขตที่ผักตบฝังระเบิดไว้
    ห่างไม่ถึงยี่สิบเมตรแล้วด้วย

     

                “เฮ้ย! งานเข้า..ขืนให้แถวนั้นเปียก ระเบิดด้านแน่” เขาอุทานขึ้นแต่พอหันกลับมาที่องค์ชายวายุภักษ์
    ต้องตกใจเป็นสองเท่า คนที่ตั้งใจขอคำปรึกษา พระพักตร์ซีดเผือดเหงื่อผุดไรพระเกศา
    พระโขนงเข้มขมวดมุ่นขบริมโอษฐ์เน้นจนน่ากลัว เหมือนแบกรับความลำบากอย่างเต็มเหนี่ยว

     

                “คุณเป็นอะไร..ไหวไหม” ผักตบปรี่เข้าไปถาม ชั่วพริบตาเจ้าชายที่ดูปกติ เหมือนจะโดนลมจับไปเสียอย่างนั้น
    ดวงเนตรคมลืมขึ้นมอง ดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ดำรัสทุ้มอย่างแข็งพระทัย รับสั่งขึ้นมาว่า

     

                “เราต้านพลังพวกเขาไม่ไหว แรงกดดันหนักหนากว่าที่คิดไว้นัก  แม้นมีมุกราตรียังห่างอยู่ มินานเราคงหมดแรง”
    ไม่คิดว่าคนเก่งยอมรับออกมาตรงๆ ผักตบเป็นฝ่ายคิ้วผูกโบบ้างแล้วทีนี้

    สงครามเริ่มได้ไม่ทันไร ดูท่ารับมือลำบากแล้ว เขาไม่รอฟังยุพราชหนุ่มบัญชาการรบยังไงต่อ
    เมื่อเห็นหัตถ์ซ้ายที่มีมุกราตรีดำเปล่งรัศมีขาวสั่นระริก รัศมีแรงกล้าในตอนแรกเริ่มหม่นแสงลง
    เจ้าชายหนุ่มหายพระทัยถี่เหมือนคนออกกำลังกายหนัก นี่ล่ะมั้งที่ใช้พลังชีวิตเข้าห้ำหั่น
    เมื่อพลังด้อยกว่าเลยตกที่นั่งลำบากอย่างที่เห็น

     

                “กลกะลา..คุณอพยพคนเข้าประตูวังให้หมด” ผักตบสั่งองครักษ์คู่กายรัชทายาทไตรคานเสียเลย
    รอองค์ชายไม่ทันการแน่ ฝ่ายถูกเอ่ยชื่อมองตอบเขานิ่ง แต่เมื่อนายเหนือหัวไม่รับสั่งอันใด
    ก็รีบยกมือชูให้สัญลักษณ์กับแม่ทัพด้านล่าง อีกฝ่ายพอเห็นสัญญาณ เสียงเป่าเขาสัตว์ก็ดังยาว

     

                “แปร๋นนนนนน!!!!...แปร๋นนนนน!!!!!...แปร๋นนนนน!!!!” พลเรือนที่อยู่ในกระโจมต่างหอบลูกจูงหลานแทบไม่ต้องเรียก
    พากันวิ่งมายังประตูวังซึ่งทหารคอยจัดระเบียบไม่มีชุลมุน ดีที่ได้ซักซ้อมทำความเข้าใจกันก่อน เมื่อเห็นเป็นไปตามที่ต้องการ
    ผักตบมองผ่านเลนส์กล้อง สังเกตดูคลื่นน้ำยักแย่ยักยันกับกำแพงไร้สภาพ องค์ชายวายุภักษ์เคยบอกให้ฟัง
    คือเกราะมหาธาตุที่ปกป้องอาณาเขต มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นกำแพงล่องหนเหมือนโดมแก้วครอบเอาไว้
    แต่คลื่นน้ำขนาดใหญ่ก็ยันสู้ เหลียวดูเจ้าของเกราะกับสั่นเป็นเจ้าเข้าเหงื่อกาบไหลโชก..พระพักตร์ซีดเผือด

     

                “คุณ..ถอนเกราะมาคุ้มกันแค่วังหลวงก็พอ ร่นพื้นที่ให้แคบลง” ผักตบแนะ องค์ชายพยักพระพักตร์รับ
    ก่อนดึงลมหายพระทัยเฮือกใหญ่ วาดมือไปมาคลื่นน้ำลูกใหญ่เริ่มกระดอนถอย จังหวะนั้นผักตบไม่เสียเวลา
    ยกปืนพกสั้นชูสุดแขนแล้วสับไก

     

                “เปรี้ยง!” เสียงปืนดังก้อง ยังความแปลกใจให้พระปิตุลาที่ได้ยินเต็มสองหู
    แม้ระยะห่างมีไม่น้อย องค์ชายองค์หญิงที่กำลังต่อสู้ด้วยพลังจากมหาธาตุก็เช่นกัน
    พลธนูบนกำแพงวังต่างง้างคันศรของธนูไฟลุกโชนเรียงหน้ากระดานกว่าห้าสิบนาย พร้อมยิงรอเพียงคำสั่ง

     

                “ยิงจุดแรก” เสียงผักตบตะโกนลั่น ธนูชุดแรกปล่อยออกจากคัน พุ่งตรงเป้าอย่างแม่นยำ ยังจุดที่มีธงปักเป็นสัญลักษณ์
     

                “พรึ่บ!..แชดด!!” ไฟลุกทันที ก่อนจะวิ่งตามสายชนวน ทันใดเสียงระเบิดดังกัมปนาทจนหูอื้อ
    ถึงขั้นทัพข้าศึกแตกตื่นยกมือปิดหูจ้าละหวั่น ดังยิ่งกว่าเสียงคลื่นน้ำที่หายไปแล้ว

     

                “บรึ้มมมมมม!!!!” เสียงของระเบิดที่ฝังในหลุมทราย
     

                “ถอย...ทัพ!..ตึงๆๆ!! เสียงกลองข้าศึกสั่งถอยทัพหลังพระปิตุลามีพระบัญชา ม้าทรงสีน้ำตาลเข้มยังแตกตื่น
    ถึงกับยกขาคู่ร้องเสียงหลง ใช่มีม้าทรงส่วนพระองค์เท่านั้น แม้แต่ม้าของเหล่าทหารก็ไม่ต่างกัน

     

                “ฮี้ๆๆๆ!!!” กลายเป็นโกลาหลแล้ว เมื่อต้องควบคุมความแตกตื่นของพาหนะคู่ชีพที่ใช้ในสงคราม
    สัตว์เหล่านี้ไม่ตื่นพลังธรรมชาติ เพราะพวกมันไม่ได้สัมผัสรู้

    คู่ต่อสู้ต่างปกป้องด้วยเกราะมหาธาตุให้พลพรรค เช่นเดียวกับฝั่งของผักตบที่ไม่ได้รับรู้ถึงพลังนอกจากภาพที่เห็น
    ยกเว้นคนแบกรับคือผู้ใช้พลังอย่างองค์ชายวายุภักษ์รับไปเต็มๆ แต่ระเบิดมีทั้งสะเก็ด เสียงดังสนั่น
    กลิ่นเขม่าดินปืนแตกกระจายฟุ้งตลบ ยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า ม้าย่อมแตกตื่นเป็นธรรมดา...

     

                “เจ้าใช้ศาตราวุธใด” เสียงดังผ่านอากาศของพระปิตุลา ผักตบได้แต่มุ่นคิ้ว ยังดีที่องค์ชายวายุภักษ์
    ซึ่งประทับพระเก้าอี้เริ่มมีสีพระพักตร์ดีขึ้นมาแล้ว หลังอีกฝ่ายถอยร่นไม่เป็นขบวน ลดพลังกดดันพระองค์ลงไป

     

                “คุณรู้สึกยังไงบ้าง” เขาห่วงหนุ่มตัวโตจริงๆ
     

                “เราไม่เป็นไร ดีที่เจ้าทำศัตรูหวั่นวิตก สั่งถอยทัพกว่าห้าสิบก้าว”
     

                “แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า ผมไม่แน่ใจระเบิดจะหยุดพวกเขาได้ ถ้าหากเขาใช้เกราะล่ะก็”
    ผักตบตระหนักในข้อเท็จจริงของอานุภาพพลังเหนือธรรมชาติ ที่อีกฝ่ายไม่ผลีผลาม
    เพราะยังไม่รู้เขาใช้อาวุธอะไรเสียมากกว่า จึงตั้งตัวยังไม่ติด

     

                “หึ่งๆๆๆ!!!” ฝูงแมลงบินว่อนเต็มท้องฟ้า ดำพรึ่บไปหมด
     

                “ตัวอะไรกันอีก บินตรงมาทางนี้ด้วย” ผักตบถามขึ้นทันที
     

                “ผึ้งทะเลทรายพิษเหล็กในร้ายกาจนัก ผู้ใดถูกต่อยอาจบาดเจ็บล้มตายได้ ย่อมเป็นฝีมือเวทย์มนต์พระปิตุลา
    ที่สามารถเรียกผึ้งเหล่านี้มาโจมตีพวกเรา” องค์ยุพราชหนุ่มทรงประทับยืน ค่อยย่างพระบาทตีคู่ผักตบ  
    หลังไม่ต้องใช้พลังรับมือองค์หญิงและองค์ชายคู่กรณี อีกฝ่ายเองก็รอดูเชิงพระองค์อยู่เช่นกัน

     

                “เราจะรับมือยังไง ผึ้งบินบนฟ้า เอาอะไรไปจัดการมัน”
     

                “เจ้าไม่ต้องกังวล เราจัดการเอง” รับสั่งเสร็จทรงวาดหัตถ์เรียกวายุธาตุในทันที
     

                “สายลมฟังเรา ทำลายฝูงผึ้งให้พินาศ” สิ้นพระสุรเสียงพายุพลันก่อตัวหมุนควงเป็นเกลียวสว่าน
    พุ่งเข้าหากองทัพผึ้งที่บินมายังกำแพงวัง ยังไม่ทันได้ทำลายพวกมัน กลับมีกำแพงน้ำแข็งเข้าสกัดสายลมเสียก่อน

     

                “แย่แล้ว..ข้าศึกป้องกันได้” ผักตบอุทานขึ้นเบาๆ
     

                “อย่าวิตก ผึ้งเหล่านั้นมิสามารถฝ่าเกราะมหาธาตุเข้ามาดอก” พระองค์ยังทรงรับสั่งให้เขาสบายใจ
    ฝูงผึ้งพอบินมาถึงแนวกำแพง ก็บินวนบริเวณนั้นไม่สามารถบินเข้ามาได้ เหมือนพวกมันเจอผนังที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้
    ส่วนลมพายุกับกำแพงน้ำแข็งค่อยสลายไปหลังปะทะกัน

    แต่ตอนนี้ดันมีลูกไฟดวงใหญ่ ซัดพุ่งเข้ามายังเกราะมหาธาตุ เนินทรายก็ม้วนตัวยกเคลื่อนเข้าโจมตีประสานกันด้วย
    งานนี้พอเกิดการปะทะ ยุพราชหนุ่มถึงกับเซถลาเหมือนนกปีกหักเกือบล้ม โชคดีผักตบพุ่งเข้าไปพยุงเอาไว้ทัน
    ไม่อย่างนั้นมีหวังหล่นจากกำแพงวังเป็นแน่

     

                “เฮ้ย!..เป็นอะไรไป” ถามหลังรวบกอดวรกายใหญ่โตเต็มกำลัง แม้จะรู้สึกหนักไม่น้อยแต่ก็ยังพอไหว
    รอจนกลกะลาเข้ามาช่วยอีกแรง

     

                “แค่กๆ..เรายังไหว” พระดำรัสยืนยัน แต่มุมโอษฐ์กลับมีโลหิตไหลซึมออกมาแล้ว
     

                “แย่แล้ว คุณเลือดออก” ผักตบไม่รอช้าพยุงองค์ชายมาประทับนั่ง สีพระพักตร์เผือดซีดกว่าเดิม
    เหงื่อผุดซึมทั่ววงพักตร์ อาการหายพระทัยหนักหน่วงจนรับรู้ได้


     

                “ไม่เป็นไร..เราทนไหว” พระองค์ยังพยายามทำให้เขาสบายใจ
     

                “ไม่ไหวหรอก คุณกำลังแย่” หนุ่มยุคไฮเทคตัดบทคนดื้อเสียเอง ตอนนี้ฝูงผึ้งเล็ดลอดเข้ามาได้แล้ว
    ทหารโดนทำร้ายแตกฮือไม่เป็นขบวน พากันปัดป้องชุลมุน สร้างความอลหม่านไปหมด
    แม้แต่บนกำแพงวังก็เริ่มอยู่นิ่งไม่ไหว แปลกที่ผึ้งเหล่านั้นเข้าใกล้ผักตบไม่ได้ ทั้งที่รอบข้างกำลังปัดไล่วุ่นวายไปหมด

     

                “ไม่ต้องแปลกใจ แหวนมรกตที่เจ้าสวมช่วยป้องกันไว้”
    องค์ชายเป็นผู้ไขข้อข้องใจให้ ไม่รอช้าเขารีบยิงปืนให้สัญญาณพลธนูในทันที

     

                “เปรี้ยง!..เปรี้ยง!...ยิงธนู” พร้อมตะโกนสั่ง พลธนูที่แตกแถวพอได้ยินยอมฝืนสังขารง้างคันศร
    ยิงธนูไฟจุดชนวนระเบิด จุดพร้อมกันสิบลูก เสียงดังสนั่น แรงระเบิดส่งผลให้เขม่าควันคละคลุ้ง
    เปลวไฟลุกไหม้ไปทั่ว ฝุ่นทรายปลิวว่อน ม้าศึกแตกตื่นยกกีบเท้าสลัดทหารบนหลังร่วงตกระนาว

    ฝูงผึ้งก็เป็นด้วย พวกมันคงตกใจหรือหูแตกก็ไม่อาจรู้ ร่วงกราวลงพื้นกลายเป็นผึ้งปีกหัก
    นอนตายระเนระนาดดำพรืดไปหมด เป็นอันว่าระเบิดของผักตบหยุดฝูงผึ้งไว้ได้ แถมส่งผลให้ม้าศึกศัตรู
    ที่ดันไม่มีอุปกรณ์ปิดหูเหมือนทางฝั่งไตรคาน พลอยตกใจพยศกันเป็นว่าเล่น

     

                “อาวุธระเบิดของเจ้าได้ผลยิ่ง” องค์ชายชมด้วยสภาพหมดแรง
     

                “งานหนักพอสมควร” ผักตบยอมรับ นี่ขนาดยังไม่ได้ปะทะ ข้าศึกยังร้ายกาจได้ขนาดนี้
     

                “พระปิตุลา..เสียงระเบิดกัมปนาททำขวัญเหล่าทหารสูญเสียนัก ม้าศึกล้วนตกใจกันใหญ่
    ข้าเห็นควรจัดการขั้นเด็ดขาด” องค์หญิงชลธารตรัสขึ้น พระพักตร์พริ้มเพรางดงามเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ
    พระองค์ทรงใช้พระกำลังไปไม่น้อย ในการรับมือองค์ชายวายุภักษ์ หาใช่สบายวรองค์แต่อย่างใด องค์ชายธรณิณก็เช่นเดียวกัน

     

                “เราทำลายเกราะมหาธาตุ ยกทัพบุกตะลุย อย่าได้ยืดเยื้ออันใด ระเบิดพวกนั้น
    ข้ากับหญิงธารพอจะกำบัง นำพาทหารบุกถึงกำแพงวังได้” องค์ชายธรณิณรับสั่งขึ้นบ้าง

     

                “เช่นนั้นอย่ารอช้า นำทัพบุกประชิด” สิ้นพระบัญชา เสียงกลองรบดังลั่นทั่วบริเวณ
    พร้อมขบวนม้าศึกกองทัพทหารที่เริ่มควบคุมการพยศของพวกมันได้แล้ว
    ควบตะบึงโดยมีสองผู้ถือครองเทพมหาธาตุห้อนำขบวน  พวกเขาได้ใช้พลังสร้างเกราะมหาธาตุ กำบังกองทัพทะยานบุกเข้ามา

     

                “พวกเขายกพลบุกแล้วพะยะค่ะ” กลกะลาถวายรายงาน เมื่อธงศึกปลิวไสวบ่งบอกการเริ่มต้นของสงครามที่แท้จริง
     

                “ถ้างั้นชิมระเบิดกันหน่อยพวก” ผักตบพูด ก่อนยิงปืนให้สัญญาณพลธนูจุดชนวนระเบิดที่เหลือ
    ระเบิดสิบกว่าลูกจุดไล่เลี่ยกันฝุ่นทรายฟุ้งตลบอบอวลแทบไม่เห็นอะไร น่าแปลกเสียงกีบเท้าม้ายังไม่ยอมหยุด

     

    พอเขม่าควันจางลง ก็เห็นกองทัพข้าศึกดาหน้าเรียงเข้ามาอย่างหนาแน่น
    แนวกระโจมพลเรือนถูกกีบเท้าม้าเหยียบย่ำจนไม่เหลือซาก

     

                “ระเบิดหยุดพวกเขาไม่ได้..จุดที่เหลือให้หมด” สิ้นคำสั่งพลธนูจุดชนวนระเบิดใกล้กำแพงวัง
    แต่แรงระเบิดไม่ส่งผลกองทัพฝ่ายไตรคาน เกิดระเบิดต่อเนื่องยี่สิบกว่าลูก คราวนี้ส่งผลให้กองกำลังข้าศึกล้มตายแล้ว
    เพราะเกราะมหาธาตุที่ใช้พลังคุ้มครองเริ่มอ่อนแรงลง เมื่อต้านรับระเบิดกว่ายี่สิบลูกต่อเนื่อง
    ย่อมหนักหนาเหมือนรับมือองค์ชายวายุภักษ์ ที่ยังมีพลังสดใหม่อยู่เลยก็ว่าได้

    สองผู้ถือครองมหาธาตุพลันชะงักหยุดทัพประจันหน้า ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร
    ด้วยพระอาการหายพระทัยหอบหนักกันทีเดียว

    สองฝ่ายผู้ถือครองเทพมหาธาตุต่างบอบช้ำ แม้องค์ชายวายุภักษ์จะสาหัสกว่ามาก
    แต่องค์หญิงธารกับองค์ชายธรก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าไหร่

     

    “เกราะมหาธาตุของเจ้าถูกเราทำลายแล้ว..วายุภักษ์” ดำรัสขององค์หญิงธารตะโกนข่มขู่
    ผักตบที่ไม่เหลือแผนอะไร ใช้ไปจนหมดแม้แต่แผนสำรอง กำลังระดมสมองอย่างหนัก นึกถึงประวัติศาสตร์ที่เคยเรียน
    เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทย ทรงใช้ปฏิภาณไหวพริบในการรบชนะพม่า เช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช..

     

    “เจ้าใช่จักดีกว่าข้าชลธาร ทหารเจ้าล้มตายไม่น้อย กองทัพข้ายังมิมีผู้ใดสูญเสีย”
    องค์ชายวายุภักษ์ฝืนพระวรกายยืนอย่างสง่า ทั้งที่แทบทรงกายไม่ไหว แต่ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูล่วงรู้

     

    “กระนั้นหรือ แม้นข้ากับหญิงธารหมดพลังมากโข เหลือกองกำลังทหารเพียงครึ่ง
    คาดว่ายังสามารถเอาชนะกองทัพเจ้าได้” องค์ชายธรณิณรับสั่งด้วยพระสุรเสียงมั่นพระทัยยิ่ง

     

    “โอรสข้ากล่าวไม่ผิดหรอกวายุภักษ์ เจ้ายังหนุ่มนักใยต้องมาตายเสียก่อนวัยอันควร มิห่วงบิดา มารดา
    รวมถึงเชื้อพระวงศ์พระญาติเจ้าหรือ ยอมแพ้เสียแต่โดยดี ข้ารับปากมิปลิดชีพผู้ใด เพียงเจ้ารับเงื่อนไขสองข้อ”
    พระปิตุลาควบม้าตามมาสมทบ พร้อมองครักษ์ติดตามกว่ายี่สิบนาย ตรัสแทรกขึ้นมาทันที

     

    “ลองบอกมาฟังดู” องค์ชายวายุภักษ์ทรงถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด หลังแอบส่งสัญญาณให้กลกะลา
    เตรียมสู้ศึกร่วมกับแม่ทัพนายกอง ที่ตั้งท่าพร้อมรบเต็มที่ ไม่มีใครแสดงท่าทีขลาดกลัวแม้แต่น้อย

     

    “ข้อแรก..มอบมุกราตรีดำที่เจ้าครอบครองเป็นของกำนัล ข้อสอง..มอบบุรุษหนุ่มผู้ที่ยืนข้างกายเจ้าแก่ข้า
    หากเจ้ารับเงื่อนไข ข้าจักนำกองทัพกลับเวฬุวรรณ ไม่ทำลายบ้านเมืองของเจ้า ตกลงหรือไม่”
    องค์ชายธรณิณและองค์หญิงชลธาร หลังฟังข้อเสนอพระปิตุลาถึงกับหันมองพระองค์อึ้ง
      แต่ไม่ได้เอ่ยถามอันใด ทรงเก็บงำความสงสัยไว้ในพระทัย

     

    “มุกราตรีดำเป็นสมบัติคู่บ้านคู่เมืองไตรคาน มอบแก่ท่านใยมิใช่ยกไตรคานให้เล่า
    ส่วนบุรุษที่ท่านกล่าวถึงคือสหายรักข้า ผู้ทรยศหักหลังสหายใยกล้ายืนหยัดอีกต่อไป”
    พระองค์ทรงดำรัสด้วยพระพักตร์แน่วแน่ ไม่มีวูบไหวในสายพระเนตรให้เห็น

    คำตอบที่เปล่งจากพระโอษฐ์ กลับกระแทกหัวใจผักตบไปเต็มๆ พระสุรเสียงทุ้มสะท้อนก้องในหัวเขา
    กับประโยคไม่ทรยศหักหลังสหายรัก เขากลายเป็นคนสำคัญของคนผู้นี้ไปแล้ว
    ถึงกล้าเสี่ยงแลกกับบ้านเมืองที่ตกอยู่ในภาวะเป็นรองเห็นๆ ด้วยพื้นเพนิสัยผักตบไม่ใช่คนยอมคน
    สำคัญเขาไม่ชอบถูกรังแกเป็นทุนอยู่แล้ว

     

    “เช่นนั้นเจ้าคงเตรียมใจรับการหลั่งโลหิต นองแผ่นดินไตรคาน”
    พระปิตุลากล่าวปิดท้ายด้วยสุรเสียงกร้าวติดโมโหไม่น้อย ทรงไม่คิดว่าบุรุษรุ่นลูกจะโอหังถึงเพียงนี้
    ความตายรออยู่เบื้องหน้ายังไม่ยอมอ่อน ถึงจะนึกชมในความกล้าหาญ
    แต่กลับสมเพชในความโง่ที่เสียสละไม่เกิดประโยชน์  พานนึกหมิ่นในพระทัยไปพร้อมกัน

     

    “เดี๋ยวก่อน!” อยู่ๆ ผักตบก็ตะโกนเสียงดัง ไม่ขออนุญาตใคร
     

    “เจ้ามีอันใดจักกล่าว” พระปิตุลารับสั่งถามด้วยน้ำเสียงข่มในที
     

    “มีคำพูดที่ผมเคยได้ยิน ผู้นำระดับกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ คุณยึดถือมากแค่ไหนครับ”
    ผักตบเอ่ยถามอีกฝ่าย ท่าทางอมยิ้มมุมปากอย่างหยามนิดๆ แม้พระปิตุลาจะทรงทอดเนตรเห็น
    รวมถึงองค์หญิงองค์ชายทั้งสองก็ด้วย ต่างฉายพระเนตรไม่พอใจในกิริยาของผักตบอย่างเปิดเผย

    แต่ไม่มีใครขัดการเสวนาระหว่างผู้อาวุโสกับบุรุษคราวลูกอย่างใด ยังรอชมเหมือนกับเหล่าทหารสองฝ่าย
     

    “เราย่อมรักษาสัจจะ เจ้ามีอันใดต่อรอง” พระปิตุลาพระทัยเย็นรับสั่งถามอย่างผู้มีน้ำพระทัยกว้าง
    ให้โอกาสศัตรูที่กำลังจนตรอก

     

    “โอ้! เป็นพระมหากรุณายิ่ง ถ้างั้นผมมีข้อเสนอ เรามาพนันกันดีกว่าไหม ลองดูสักสามข้อ
    ถ้าหากคุณชนะผมยอมไปกับคุณ ถ้าคุณแพ้ต้องยอมถอยทัพ จากนี้
    1 ปี ห้ามกลับมารุกรานก่อสงครามอีก
    ยกเว้นพ้นหนึ่งปีไปแล้วค่อยว่ากัน..ทำได้หรือเปล่า” ผักตบตั้งเงื่อนไขขึ้นแทน

     

    “หึหึ! เจ้าคิดว่าจักชนะ ต่อให้เจ้าถือครองเทพมหาธาตุ แต่ข้ากลับล่วงรู้ความลับ เจ้ามิอาจเรียกใช้มหาธาตุในกาย
    เรื่องนี้ย่อมเป็นความจริง มิเช่นนั้นป่านนี้เจ้าคงช่วยวายุภักษ์รับมือชลธารกับธรณิณ ไม่ปล่อยคนของพวกเจ้าบาดเจ็บดอก”
    ผักตบนิ่วหน้าหลังได้ยินคำว่าบาดเจ็บ เขาแอบลอบชำเลืองคนข้างกายที่ยังคงยืนนิ่ง
    อีกฝ่ายส่ายพักตร์ปฏิเสธเพื่อไม่ให้ผักตบกังวลใจ แม้วาจาพระปิตุลาเป็นความจริง
    พระองค์กำลังฝืนสังขารหยัดยืนพระวรกาย ไม่ยอมล้มลงอย่างใช้ความอดทนสุดๆ

    ผักตบเห็นแบบนั้นก็หันมาประจันหน้าพระปิตุลา ซึ่งประทับบนหลังม้า เงยพักตร์ตอบโต้อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
    โดยทำตามความตั้งใจเดิมที่วางแผนในหัว มีความมั่นใจว่าเขาทำได้ แม้จะห่วงเจ้าชายก็เถอะ

     

    “การพนันแบ่งเป็น 3 ข้อ ฝ่ายใดชนะ 2 ก่อนถือว่าชนะตกลงไหมท่านปิ..ตุ๊ด..ลา”
    ผักตบเน้นทีละคำ แต่พวกที่ได้ยินคงไม่รู้ความหมาย กลับเข้าใจว่าผักตบพูดสำเนียงเพี้ยน เพราะเป็นคนต่างดินแดน

     

    “ย่อมได้ เจ้าบอกวิธีเดิมพันเถิด จักทำเยี่ยงไร” พระองค์เองก็มั่นพระทัยไม่ว่าจะด้วยเล่ห์กล
    มนต์คาถาหรือกองทัพ ด้านเพลงอาวุธ ย่อมเอาชนะได้แน่ มีหรือจะพ่ายแพ้แก่ทารกหนุ่มรุ่นลูก

     

    “ถ้างั้นมาพนันกัน ข้อแรกให้คุณทายปริศนา ถ้าทายถูกคุณชนะ แต่ถ้าผิดคุณแพ้
    ใช้สักขีพยานคือเหล่าทหารทั้งกองทัพ ย่อมไม่มีใครตุกติกต่อการเดิมพันครั้งนี้ได้” พระปิตุลาแอบเยาะเย้ยในพระทัย
    หลังฟังเงื่อนไขข้อแรกของผักตบ ทั่วทั้งแผ่นดินมีอันใดที่พระองค์ไม่ล่วงรู้
    ต่อให้ปริศนายากแค่ไหนพระองค์ย่อมไขความลับแตก หรือถ้าผักตบจะยกปริศนาจากดินแดนที่จากมา
    ก็ทรงคัดค้านได้เพราะมิมีส่วนเกี่ยวข้องยังดินแดนนี้ จึงได้รับปากแทบไม่เสียเวลาคิด

     

    “เชิญเจ้าทายปริศนามาเถิด” พระองค์รับสั่ง นัยน์ตาเหยี่ยวจ้องเขม็งผักตบเห็นแล้วไม่ชอบเอาดื้อๆ
    แต่ก็ไม่แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดยังไง กลับหันไปสั่งกลกะลาแทน

     

    “คุณสามารถเจาะรูเก้าอี้ 5 รูได้ไหม” ชี้ที่เก้าอี้ประทับขององค์ชายหน้าตาเฉย
    กลกะลามึนไปครู่ พอองค์ชายพยักพระพักตร์ก็จำต้องรับคำ

     

    “ขอรับ” ค้อมศีรษะน้อมรับไปด้วย
     

    “เช่นนั้นเจาะเดี๋ยวนี้ ขอด่วนนะ” ทันทีที่พูดจบ เก้าอี้ก็กลายเป็นเบาะกลวงโบ๋
    ด้วยมีรูกว้างขนาดฝาน้ำอัดลมประดับอยู่
    5 รูเรียงเป็นแถวสวยงาม ด้วยฝีมือทหารช่างที่ใช้ปลายหอกแทงในชั่วพริบตาเดียว

     

    “ตดได้ไหม” คำถามเจาะจงที่กลกะลาตามเคย เพราะไม่สนิทใจใครเท่าหนุ่มหน้าคมไม่ขี้เหร่ แต่ปากหนักอีกแล้ว
     

    “ตดคืออันใดขอรับ” ใช่มีแต่กลกะลางง ผู้คนทั้งหมดงงไม่ต่างกัน
    ทั้งฝ่ายตนฝ่ายข้าศึก กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าพูดไม่ถูกพวกเขาเลยไม่เข้าใจ

     

    “ผายลม..คุณผายลมได้ไหม” ย้ำถามอีกหน คราวนี้ผู้คนแตกตื่นต่อคำถามของผักตบ แม้แต่พระปิตุลา
    องค์หญิงธาร องค์ชายธรก็ด้วย ในเพลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ผักตบยังมีอารมณ์ขันให้คนผายลมเฉย ไม่พิลึกก็บ้าไปแล้ว

     

    “ท่านประสงค์ให้ข้ากระทำอันใด แน่ใจให้ผายลม” องครักษ์หนุ่มรีบถามย้ำอย่างไม่มั่นใจ
     

    “เข้าใจถูกแล้ว ทำได้หรือเปล่า” พอผักตบยืนยันไม่เปลี่ยนแปลง
    ฝ่ายรับคำสั่งมีหรือกล้าปฏิเสธ ได้แต่ขานรับอย่างช่วยไม่ได้

     

    “ขอรับ ข้าน้อยย่อมกระทำได้” เท่านั้นผักตบก็ยกยิ้ม ตะโกนบอกพระปิตุลาว่า
     

    “เก้าอี้ตัวนี้มีรูอยู่ 5 รู..ผมจะให้องครักษ์ท่านนี้ผายลมโดยนั่งเก้าอี้ ถ้าคุณตอบถูก ว่าเขาผายลมผ่านรูใดคุณชนะ”
    พระปิตุลาแสยะยิ้มชั่วร้าย กับคำท้าทายกระจอกในสายพระเนตร อย่าว่าแต่ผายลมผ่านรูเก้าอี้
    ต่อให้ตอนนี้ให้พระองค์จับว่าทหารในกองพันใครผายลมก็รู้เช่นกัน จึงรับปาก

     

    “เราย่อมรับคำท้าเจ้า เชิญเจ้าเถิด” สิ้นพระดำรัส กลกะลาก็ต้องนั่งเก้าอี้ 
    เตรียมตดด้วยเดิมพันบ้านเมืองความปลอดภัยผู้คน

    แม้จะกระอักกระอ่วนที่องครักษ์เอกอย่างเขา ต้องมาทำขายหน้า
    ใบหน้าเคร่งขรึมจึงซับสีเลือดจนแดงซ่านทั้งหน้าทั้งคอ ยังผลให้บุรุษนั่งหลังม้าจ้องเขานิ่ง
    ดวงเนตรดูพึงพอใจโดยไม่มีใครสังเกต ว่าบัดนี้องครักษ์คู่กายรัชทายาทไตรคาน
    กำลังเป็นที่พึงพระทัยรัชทายาทเวฬุวรรณเข้าแล้ว

     

    “พร้อมแล้วผายลมได้” ผักตบบอกกลกะลา วินาทีที่กลกะลาหย่อนก้นนั่ง
    ได้มีแมลงบินมาเกาะใต้เบาะก่อนแล้ว ย่อมเป็นแมลงคุณไสยที่พระปิตุลาใช้ประโยชน์

     

    “ปู๊ดดด!!” เสียงตดดังขึ้น พร้อมกับหลายคนลืมตัวเอามือปิดจมูกอัตโนมัติ
    ทั้งที่อยู่ไกลกลัวอะไรกับกลิ่นเน่าจะไปถึง แปลกตรงที่ตดกลกะลาหาได้เหม็นอย่างที่คิด กลิ่นมีเพียงเล็กน้อยแต่ยังพอทนได้

     

    “เออกลิ่นพอไหว ถือว่าใช้ไม่ผิดคน” ผักตบเปรยเบาๆ กลกะลายังแอบได้ยิน
    เขานึกเคืองคนสั่งให้ทำเรื่องหน้าอายนี้ แต่ไม่ได้แสดงอาการ  ถึงยังไงบุคคลผู้นี้กำลังหาวิธีช่วยบ้านเมืองของเขา
    ให้รอดพ้นวิกฤต แม้จะดูไม่เข้าท่า ซ้ำยังทำให้เขาแทบเอาหน้าแทรกผืนทรายก็เถอะ

    ชายชาตินักรบต้องทนได้ นี่คือสิ่งที่กลกะลาพร่ำบอกกับตัวเอง ก่อนจะหน้าแดงแทบไหม้
    เมื่อเผลอสบเนตรคมขบขันพฤติกรรมของเขา โดยเฉพาะมุมปากบางยักยิ้มจงใจส่งให้เขาโดยเฉพาะ
    บุรุษบนหลังม้าศักดิ์ฐานะเทียบเท่านายเหนือหัว พานอยากใช้ดาบควักลูกนัยน์ตาที่ล้อเลียน ขบขันเขาให้บอดไปทั้งสองข้าง

     

    “คนของเจ้าผายลมออกรูที่ 2 พลิกเก้าอี้จักมีแมลงปีกทองเกาะอยู่
    นั่นคือรูที่คนของเจ้าผายลมผ่าน หึหึ
    !..คิดลองภูมิข้ายังเร็วไปเจ้าหนุ่ม”

    ทุกคนปากอ้าตาค้างกับคำตอบ พร้อมข้อเฉลยที่พระปิตุลาทรงกำชับตามมา
    ผักตบรีบยกเก้าอี้หงายก้นขึ้น ก็เห็นแมลงปีกทองที่ว่าเกาะตรงรูที่สองไม่ผิดไปจากคำพูด

     

    “ข้อแรกเจ้าแพ้ข้าแล้ว” พระปิตุลาสรุป
     

    “ผมชนะต่างหาก” ผักตบกลับสวนทันควัน
     

    “เจ้าคิดจะบิดพลิ้วอันใดหลักฐานเด่นชัด ข้าไม่โง่ให้เจ้าหลอกแน่ จึงส่งแมลงไปเกาะยังรูที่คนของเจ้าผายลมผ่าน
    แมลงปีกทองตัวนี้รับรู้กลิ่นและชมชอบเป็นพิเศษ เช่นนี้เจ้าจักพิสูจน์อีกรอบก็ยังได้
    แต่อย่าบังอาจเล่นลิ้นมิเช่นนั้นจักหาว่าข้าใจร้ายไม่ได้” พระองค์ทรงกริ้วขึ้นมาทันที

     

    “ผมชนะจริงๆ ไม่ได้เล่นลิ้น ผมพนันกับคุณว่า ถ้าตอบถูกคนของผมผายลมออกรูไหน
    คุณตอบผิด..ผมไม่ได้ดูแคลนแมลงสัตว์เลี้ยงของคุณ แต่คำตอบที่ถูกต้องคือ.
    .เขาผายลมออกจากรูทวาร หรือคุณเองไม่ได้ผายลมผ่านรูทวาร กล้าเถียงไหมล่ะ”

    เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารไตรคานดังสนั่นขึ้นทันที หลังฟังเหตุผลที่ผักตบยืนกรานกลายเป็นผู้ชนะในข้อแรก
    ด้วยพระปิตุลาเองเถียงไม่ออก จนมุมกับเรื่องง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าผักตบจะใช้คำตอบที่เป็นความจริงมาเฉลย
    ถือว่าทรงพลาดเอง ถึงกลับกำหมัดแน่น แต่ก็วางพระพักตร์นิ่ง ไม่แสดงพระอารมณ์ให้รู้ว่ากำลังกริ้ว
    ที่ดันเสียรู้ทารกซึ่งปรามาสความสามารถไว้

    องค์ชายวายุภักษ์แม้จะฝืนสังขารอย่างหนัก กระนั้นยังอดแย้มสรวลจนได้หลังฟังคำเฉลยของผักตบ
    ทรงภูมิใจในความฉลาดหลักแหลม ผู้ที่พระองค์หมายมั่นพระทัย..คู่ชีวิตต้องเป็นคนนี้

    ส่วนทางเวฬุวรรณ ต่างนิ่งขึงไปแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นพระปิตุลาผู้ปรีชาสุดในแผ่นดิน
    จนมุมกับบุรุษต่างถิ่น ถือเป็นครั้งแรกที่เห็นพระปิตุลาพลาดท่าเสียทีแบบนี้..

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×