คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Part 10
Part 10...ความลับแตก
เป็นค่ำคืนที่ผักตบปิดตาหลับลงใกล้รุ่ง เขาไม่กล้าขยับร่างกายด้วยซ้ำ ทั้งที่ระยะห่างคนสองคนใช่จะคับแคบ
ถึงแม้คนที่นอนด้วยตัวใหญ่ไม่น้อยทีเดียว แต่ที่ว่างบนเตียงยังมีพอให้คนรูปร่างขนาดพวกเขานอนได้อีกถึงสองคน
โดยไม่ต้องเบียดเสียดแต่อย่างใด
แต่ผักตบกลับรู้สึกไม่เหลือที่ว่างนั่นเลย กระทั่งเสียงหัวใจยังได้ยินชัดเมื่อหูแนบกับหมอน
ลมหายใจสม่ำเสมอของอีกคนเป็นผลให้เขานอนตัวเกร็งอยู่จวนค่อนรุ่ง กระทั่งร่างกายทนไม่ไหวผล็อยหลับลงไปเอง
หากผักตบคิดว่าตัวเองประหม่าเกร็ง ในการนอนร่วมกับองค์ชายวายุภักษ์เพียงฝ่ายเดียวถือว่าคิดผิดถนัด
ยุพราชหนุ่มใช่จักสามารถข่มดวงเนตรบรรทมลงได้เช่นกัน
กลิ่นกายหอมซ่านไม่คุ้นนาสิกทรงรับรู้ผ่านลมหายพระทัย อาจไม่หอมละมุนดุจกลิ่นกายอิสตรี
แต่ก็ไม่ฝืดเฝื่อนดุจกลิ่นของบุรุษ ยากจะหาความหอมใดมาเปรียบให้ใกล้เคียง กระนั้นกลับรบกวนยุพราชหนุ่มอยู่ค่อนราตรี
กว่าจะเข้าสู่ภวังค์นิทรารมณ์ ยุติอาการครุ่นคิดก็ทรงนอนทอดเนตรฝ่าความมืดของรัตติกาล
แอบมองแผ่นหลังกว้างของผู้ที่นอนอีกฝากฝั่งเตียงบรรทม ยาวนานนับหลายเพลาทีเดียว..
เป็นอันว่าทั้งคู่ต่างตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน พลอยให้ตื่นสายอย่างที่ไม่เคยกระทำ
โดยเฉพาะองค์ชายวายุภักษ์ซึ่งมหาดเล็กผู้ถวายงานรับใช้ส่วนพระองค์ ถึงกับแกร่วอยู่หน้าประตู
มิกล้ารบกวนเมื่อไม่เห็นวี่แววอันใด ว่าองค์ยุพราชหนุ่มทรงตื่นบรรทม ให้เขาสามารถถวายงานดังเช่นทุกวัน...
“เหตุใดพระองค์ทรงตื่นบรรทมผิดเพลาเช่นนี้” มหาดเล็กผู้รับใช้ใกล้ชิดถึงกับมุ่นคิ้วเปรยขึ้นเพียงลำพัง
หลังเขานำอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดพระพักตร์ตลอดจนพระวรกาย พร้อมเครื่องฉลองพระองค์มายืนรออยู่นาน
กลับไม่มีสัญญาณใดๆ ให้รู้ว่านายเหนือหัวตื่นจากบรรทมให้เขาเข้าไปถวายงานรับใช้ ดังที่เคยทำอยู่เป็นประจำ
“เจ้ายังมิได้เข้าไปถวายรับใช้องค์ชายอีกหรือ..สุรทัศ” เสียงหวานเอ่ยทักด้านหลัง
ทำให้มหาดเล็กที่กำลังตั้งคำถามร้อยแปดหันกลับไปมอง
“บุปผา..ราตรี” พลางขานชื่อนางกำนัลทั้งสอง ต่างคุ้นเคยกันดี
“พวกเราเอง เห็นเจ้ายืนหน้าห้องบรรทมตั้งแต่ดวงอาทิตย์มิพ้นขอบฟ้า กระทั่งเคลื่อนคล้อยจวนได้เพลาเสวย
มีอันใดหรือเจ้าถึงได้ยืนถือภาชนะ..อีกทั้งฉลองพระองค์มิทำการอื่นใด”
“ข้าแปลกใจไม่ต่างพวกเจ้าดอก เช้านี้องค์ชายกลับมิตื่นบรรทมช่างผิดวิสัยของพระองค์นัก”
คำตอบมหาดเล็กผู้รับใช้องค์ชายวายุภักษ์ ทำให้นางกำนัลทั้งสอง มองหน้ากันด้วยท่าทางรู้สึกแปลกใจเช่นกัน
“พวกข้าเพิ่งออกจากห้องมารดานายท่านผักตบ อยู่ปรนนิบัตินางเพิ่งเสร็จสิ้น ตั้งใจตรงมายังห้องบรรทมองค์ชาย
ทรงมีรับสั่งให้รับใช้นายท่านผักตบด้วย เพิ่งรู้องค์ชายยังมิทรงตื่นบรรทม เช่นนี้เราจักทำเช่นไรเล่า
หรือต้องยืนรอพร้อมกับเจ้าด้วย”
“ข้าเองก็จนปัญญาหาคำตอบให้พวกเจ้า คงต้องกระทำเช่นนั้น” ทั้งสามพากันถอนหายใจอย่างจนหนทาง
จะมีผู้ใดใจกล้าเคาะประตูเรียกพระองค์พร้อมอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติให้ตื่นบรรทม
ย่อมไม่มีใครอาจหาญกลายเป็นพากันยืนสุมหัว รอหน้าห้องด้วยคำถามที่ต่างไม่ได้รับคำตอบ
ผ่านไปเพลาแล้วเพลาเล่า ล่วงเลยเวลาพระกระยาหารเช้าไปแล้ว
ทั้งสามกลับไร้ซึ่งวี่แววบุคคลสำคัญภายในห้องแต่อย่างใด สองนางกำนัลปลีกตัวไปนำอาหารเช้ามาให้แม่เล็กไปแล้วรอบ
ซ้ำยังต้องตอบคำถามคนเป็นแม่ซึ่งถามถึงลูกชายสุดที่รัก ตั้งแต่เช้าเธอยังไม่เห็นหน้าผักตบ
กลับไม่ได้รับคำตอบจากสองนางกำนัล นอกจากหุบปากเงียบเพราะพวกนางก็ไม่กล้าอ้าปากพูด ในสิ่งที่ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง..
“พวกเจ้ายืนทำอะไร” เสียงทุ้มห้าว พร้อมกับร่างสูงใหญ่ในชุดดำรัดกุมร้องทักไม่ดังนัก
กลับทำให้สองสตรีกับอีกหนึ่งบุรุษถึงกับสะดุ้งเพราะต่างยืนใจลอยขาแข็งกันมาค่อนเช้า
“ท่านองครักษ์ พวกข้าน้อยรอรับใช้องค์ชายกับนายท่านผักตบอยู่เจ้าค่ะ”
คำตอบที่ได้ฟัง..ยังความแปลกใจให้บุรุษหน้านิ่ง ซึ่งหาได้ขี้เหร่แต่อย่างใด ผู้ที่พวกเขาต่างให้ความเคารพยำเกรงอยู่หลายส่วน
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าไม่เข้าไปถวายงาน มายืนจับกลุ่มกันอยู่ใย” คำถามตามติด
“พวกข้าน้อยมิกล้า เช้านี้องค์ชายยังมิทรงตื่นบรรทม อีกทั้งนายท่านผักตบก็ไม่มีวี่แววเช่นเดียวกัน
พวกเราจึงได้ยืนรออยู่หน้าห้องบรรทม” มหาดเล็กสุรทัศชิงตอบเสียเอง ยังผลให้คิ้วเข้มองครักษ์หนุ่มเลิกสูงหลังรับฟังคำตอบ
จากผู้ถวายงานรับใช้ส่วนพระองค์
“เอาเถอะ..” พูดจบก้าวยาวมายืนที่หน้าประตู ทั้งสามต่างปลีกตัวหลบด้วยรู้สึกโล่งใจที่มีผู้ออกหน้าให้
องครักษ์หนุ่มค่อยยกมือเคาะพร้อมส่งเสียงเรียกพอให้ได้ยินไม่ดังเท่าไหร่นัก
“ก๊อกๆๆ..องค์ชายพะยะค่ะ ข้าพระองค์กลกะลาขอบังอาจรบกวนการบรรทมพะยะค่ะ”
ส่งผลให้ผู้ที่หลับใหลอยู่ในนิทราแสนสุข เมื่อมีร่างหอมกรุ่นก่ายเกยพระวรกายแนบชิด ด้วยอาการหลับลึกหายใจสม่ำเสมอ
เรียกได้ว่าหลับสนิทกันทั้งคู่ แต่อีกฝ่ายดันเคลื่อนตัวเข้ามาพาดแขนขาก่ายกอดร่างใหญ่โต
สิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงฝันเขานั้น ได้ไขว่คว้าหาหมอนข้างจนเจอก็รวบกอดอย่างเคยตัว
“อืม..เจ้าเข้ามา” องค์ยุพราชปรือตาสติยังไม่คืนสมบูรณ์เท่าใดนัก ทรงรับสั่งตามความเคยชิน
กลกะลาเป็นบุคคลเพียงผู้เดียวที่กล้าปลุกพระองค์ให้ตื่นบรรทม โดยเฉพาะยามพำนักอยู่หน้าด่าน
“แอ๊ดดด!!..” เสียงบานประตูเปิดเบาๆ สายตาสี่คู่ต่างเบิกกว้าง สองนางกำนัลหนึ่งมหาดเล็ก
ตาโตเป็นไข่ห่านกับภาพพระอิริยาบถบนเตียงบรรทม ส่วนองครักษ์หนุ่มผู้เป็นพระสหาย
แม้นตะลึงกลับคุมสติไม่ให้แตกตื่นเหมือนสามคนหลัง ที่ก้าวตามเขาเข้ามาภายในห้องบรรทม
“พวกเจ้ามีเรื่องอันใด” พระองค์กลับยังไม่รับรู้ต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้น มิทรงอึดอัดพระวรกาย
ที่มีสิ่งแปลกปลอมขนาดไม่เล็กก่ายเกยอยู่ กลับเข้าพระทัยว่าพระองค์ทรงห่มผ้า พลอยอบอุ่นพาให้รู้สึกดีด้วย
“ขอพระราชทานอภัย ข้าพระองค์เห็นจวนได้เพลาเสวย มิเห็นวี่แววพระองค์จักทรงตื่นบรรทม
จึงได้บังอาจปลุกพะยะค่ะ” กลกะลาถวายชี้แจงเกือบเป็นกระซิบ เขาเห็นอาคันตุกะคนสำคัญยังคงหลับ
สีหน้าดูมีความสุข แต่ไม่ลืมส่งสายตาให้สัญญาณองค์ชายรับรู้ความผิดปกติขณะนี้ พระองค์รับรู้กิริยาของข้ารับใช้
ที่ยืนซ้อนด้านหลังองครักษ์คู่พระทัย
ต่างก้มหน้ามีอาการหูแดงหน้าแดงเป็นแถว จึงทรงทอดพระเนตรสำรวจวรองค์เอง
ก่อนจักย่นพระโขนงเข้มด้วยอาการงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ หลังเห็นวัตถุขนาดไม่เล็กก่ายเกยอยู่บนพระวรกาย
หลับสนิทหายใจสม่ำเสมอ
“พวกเจ้าวางของเอาไว้ แล้วออกไปก่อนเถอะ” รับสั่งโดยมิได้ขยับพระวรกายด้วยเกรงปลุกอีกฝ่ายตื่น
ข้ารับใช้ใกล้ชิดต่างรีบงุดวางอุปกรณ์ภาชนะในมือไว้ที่โต๊ะตามพระบัญชา ค่อยค้อมศีรษะยอบกายถวายความเคารพ
แล้วพากันเร้นหายออกจากประตู กลกะลาค่อยตามออกไปทีหลัง กลับทิ้งวาจาให้นายเหนือหัวประโยคสั้นๆ
“พระองค์ทรงมีพระราชกิจสำคัญรออยู่พะยะค่ะ” ค่อยค้อมศีรษะถวายเคารพ
ฝีเท้าเงียบกริบไร้ซุ่มเสียงออกจากห้องบรรทม โดยไม่ลืมปิดประตูไว้ให้เรียบร้อย
“เจ้าเห็นเราเป็นอันใดไปแล้ว ใยปีนป่ายร่างกายของเราเช่นนี้เล่า” คล้อยหลังบรรดาข้ารับใช้
พระองค์ทรงรำพึงเบาๆ เผลอแย้มโอษฐ์สรวลทอดพระเนตรด้วยความเอ็นดู กับใบหน้าขาวใสหล่อเหลาที่ซบพระอุระ
กระทั่งสัมผัสลมหายใจอุ่น ปนกลิ่นหอมประหลาดที่พระองค์ก็ไม่รู้เป็นกลิ่นอะไร
แม้นมีพระราชกิจบ้านเมืองสำคัญรอให้พระองค์สะสาง
แต่อีกพระทัยกลับไม่กล้ารบกวนการนอน ของบุคคลที่อาจหาญก่ายกอดพระวรกายอยู่
กลายเป็นทรงนอนนิ่งทอดเนตรคมสำรวจหน้าตาคนที่ดำดิ่งในภวังค์ลึก ท่องอยู่ในนิทราไปเสียเช่นนั้น..
นานพอสมควรทีเดียวที่ผักตบขยับกายปรือตาตื่น จนปรับสภาพเริ่มรับรู้สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
จ้องสบดวงเนตรคมที่เหลือบมองต่ำไม่วางตาเหมือนรอดูอาการเขาอยู่เช่นกัน ทำเอาฝ่ายถูกจ้องกะพริบตาปริบๆ
ด้วยความงุนงง ทำไมถึงเห็นหน้าเจ้าชายใกล้ขนาดนี้ ก่อนจะเบือนสำรวจจนรับรู้ชัดเจนในเวลาต่อมา
“เฮ้ย!..” วลีเดียวที่ผักตบอุทาน พร้อมอาการเด้งตัวถอยห่างไปอยู่อีกฝากเตียงในชั่วพริบตา
ยังผลให้โอษฐ์ได้รูปแย้มสรวลด้วยความขบขันโดยไม่มีพระสุรเสียงเอื้อนเอ่ยอันใด
“ขะ..ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” หลังคุมสติได้ เริ่มรู้ตัวว่าเสียมารยาทที่ไปก่ายกอดเจ้าของเตียง
จึงรีบขอโทษอีกฝ่าย แอบก่นด่าตัวเองภายในใจ ‘ไม่น่าเลย โทษฐานไม่เคยนอนร่วมกับใคร ทำขายหน้าเข้าจนได้’
องค์ชายวายุภักษ์เห็นสีหน้าลำบากใจของผักตบ ทรงสะกดกลั้นอารมณ์ขันไว้อย่างสุดกำลัง
ค่อยเปล่งพระสุรเสียงออกมาได้
“เราหาถือโทษเจ้าไม่ จัดการภารกิจส่วนตัวเสีย จักได้รับประทานอาหารเช้า ควรเป็นอาหารเที่ยงจึงสมควรถูก”
ดำรัสขององค์ยุพราชรูปงาม พานให้ผักตบรู้สึกไม่กล้าสู้พระพักตร์ คืนแรกก็ตื่นสายโด่งน่าอับอายที่สุด
จนคำพูดโต้ตอบ เลี่ยงผุดลุกจากเตียงมายังอุปกรณ์ซึ่งคุ้นเคยวางอยู่ที่โต๊ะ เขารู้อันไหนใช้ทำอะไร
ถือโอกาสอาศัยสิ่งเหล่านี้ช่วยลดอาการเขินสุดขั้วที่เป็นอยู่ ทุกการกระทำตกอยู่ภายใต้สายพระเนตร ที่ทรงมองตามเขาเงียบๆ
แม้จะรับรู้ว่ามีสายพระเนตรมองมา ผักตบก็เนียนทำเป็นไม่สนใจ
ล้างหน้าบ้วนปากแปรงฟันจากอุปกรณ์ที่ติดกระเป๋ามาอย่างชิวๆ แต่สร้างความสนใจให้องค์ชายยิ่งนัก
พระองค์ทอดเนตรมองด้วยความสนพระทัยทั้งแปรงสีฟัน ยาสีฟันและวิธีใช้
ผักตบทำความสะอาดด้วยความเพลิดเพลิน แม้การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดร่างกายก็ไม่ระวัง
ถอดเสื้อยืดเผยร่างกายส่วนบนขาวเนียนผุดผ่องเกินผิวบุรุษในแผ่นดิน เช็ดถูทุกซอกมุม
ยังดีที่ช่วงล่างไม่อุตริถอดกางเกงบอลออก ทำเพียงเช็ดตามน่องหน้าขาเสร็จก็หยิบเอาชุดสีขาวสะอาด
เป็นกางเกงเข้าชุดกับเสื้อคลุม พร้อมสายรัดมาใส่เสียเรียบร้อย
“เจ้าดูเข้ากับชุดที่สวมใส่นัก” ทรงตรัสทำลายความเงียบ
“คุณพูดมาแบบนั้นก็คงแบบนั้น ผมเห็นเนื้อผ้าใส่สบาย” ผักตบบอกตามที่รู้สึก
ยอมรับเนื้อผ้าละเอียดไม่ดูดซับความร้อน ระบายอากาศได้ดีทำให้ใส่ตอนกลางวันในแผ่นดินทะเลทราย
ไม่ทำให้ร้อนมากเท่ากับสวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดคงชุ่มเหงื่อแน่ มั่นใจคิดไม่ผิดและก็จริงอย่างที่คิด
ใส่แล้วเย็นสบายเหมือนสวมชุดติดแอร์ซะงั้น
“เป็นไหมที่ถักทอจากการเพาะเลี้ยงบนหินหยก ทำให้รู้สึกเย็นสบายช่วยให้ร่างกายทนความร้อนในเพลากลางวัน”
คำตอบที่ได้ผักตบนึกลำดับภาพตามไปด้วย
“หินหยกคืออะไร” อดถามเพราะทนสงสัยไม่ไหว
“หินที่ให้ความเย็น” เขาเออออพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ ทั้งที่นึกภาพไม่ออกว่ามันมีหน้าตายังไงเสียด้วยซ้ำ
“เราขอเพลาทำภารกิจสักครู่ เจ้าจิบชารอไปก่อน” รับสั่งเสร็จทรงลุกลงจากเตียง ดำเนินมายังโต๊ะที่วางอุปกรณ์
ผักตบสังเกตพอจะรู้อันไหนเป็นของตน อันไหนเป็นของเจ้าชาย จึงเลือกใช้ได้ไม่ผิด
คราวนี้เป็นผักตบบ้างที่มีเวลาละเลียดจิบชา พร้อมกับแอบสำรวจร่างกายองค์ชายวายุภักษ์คืนบ้าง
ซึ่งพระองค์หาได้แสดงทีท่าเขินอายต่อสายตาของสหายร่วมห้องแต่อย่างใด ยังทรงปฏิบัติภารกิจส่วนพระองค์
ได้ตามปกติด้วยพระพักตร์วางนิ่ง ไม่ทอดเนตรมองผักตบ ปล่อยอีกคนนั่งจ้องพระองค์ไม่วางตา
อดทึ่งในความหนั่นแน่นสวยงามของมัดกล้าม ผักตบยังอิจฉา เป็นร่างกายบุรุษซึ่งงดงามไร้ที่ติ
ดูแข็งแกร่งดุจหินผาไม่เยอะมากมายอย่างพวกเพาะกาย ไม่เป็นมัดกล้ามน่าเกลียดดุจก้ามปู
โดยรวมพอดิบพอดีไม่มีไขมันส่วนเกิน มีแต่กล้ามเนื้อโดยเฉพาะเนินพระอุระซึ่งยกลูกนูนขึ้นให้เห็น
รวมถึงแนวระนาดเรียงเป็นแถว 8 ลูกบริเวณหน้าท้อง ผิวกายคมขำไม่ดำไม่ขาว
ออกสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดสมเป็นผิวของชนชั้นขัติยะราชนิกูล
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” ดำรัสชวนหลังสวมฉลองพระองค์ในชุดสีเขียวเข้ม
ดูกระชับกล้ามเนื้อพระวรกายให้สง่างามน่าเกรงขาม
“ครับ” ผักตบละสายตา พร้อมรับคำค่อยลุกยืนก้าวเท้าตามผู้นำ ซึ่งดำเนินออกจากห้องบรรทมในทันทีที่ผักตบขานรับ
>
>
“ประชากรอพยพจะมาถึงอีกกี่วัน” ผักตบถามองค์ชาย ยุพราชหนุ่มทรงประทับหลังม้าสีดำสนิท
ผักตบเพิ่งรู้มันมีชื่อว่า ‘ไต้ฝุ่น’ เขาเคยนั่งหลังมันตอนเข้าวังหลวงวันแรก เวลานั้นเป็นกลางคืนจึงไม่มีโอกาสสำรวจ
พอเห็นตอนนี้ยอมรับเป็นม้าที่งดงามทรงพลัง ขนดำทั้งตัวไม่มีสีอื่นแซม สำคัญตัวใหญ่มากใหญ่พอกับอูฐด้วยซ้ำ
เด่นสุดมันมีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเขารู้มาว่าเป็นสุดยอดอาชา ในแผ่นดินของนครไตรคานก็ว่าได้
ส่วนผักตบอยู่บนหลังอูฐ โดยมีนายทหารคนหนึ่งคอยจูงเชือกให้ พร้อมคณะติดตามบ้างเดินเท้าบ้างอยู่บนหลังม้า
รวมถึงกลกะลาองครักษ์คู่กายองค์ชายก็มาด้วย พวกเขากำลังสำรวจพื้นที่ใช้ทำกระโจม
พร้อมกับวางแนวป้องกันนอกกำแพงวังหลวง ให้ประชาชนพลเมืองที่อพยพได้พำนัก
“จากนี้อีกสองทิวา กองทัพจักนำพวกเขามาถึง” ทรงดำรัสตอบ
“ถ้าอย่างนั้นฝ่ายโยธามีเวลาสองวันรวมวันนี้ ต้องรีบทำกระโจมให้แล้วเสร็จ ส่วนฝ่ายสรรพวุธ
ให้แม่ทัพกับทีมงานวางแผนกับผม ขอคนที่มีความชำนาญพื้นที่และผู้ที่รอบรู้ธรณีมาคน”
ผักตบเตรียมการเพื่อรับมือกับศึกใหญ่ครั้งนี้
“เรากำชับเสนากะลาโหมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าสามารถประชุมวางแผนได้ทันที” พระองค์ทรงดำรัสบอก
“จากตรงนี้กินพื้นที่ถึงเนินทรายตรงนู้น ให้เป็นแนวป้องกันข้าศึก คุณจะวางค่ายกลขอให้อยู่เนินทรายที่ผมกำหนด”
องค์ชายพยักพระพักตร์ ขณะนี้พระองค์ไว้ใจให้ผักตบเป็นผู้วางเขตพิชัยยุทธ
หลังร่วมเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้น ก็นำผักตบเข้าร่วมประชุมวางแผนพร้อมเสนาอำมาตย์
โดยมีพระราชโองการให้ส่งพิราบสื่อสารแจ้งแม่ทัพที่หน้าด่าน จัดการอพยพพลเมืองเดินทัพกลับสู่นครหลวง
ผักตบพอมีเวลาพูดคุยกับแม่เล็กก่อนหน้าเล็กน้อย ได้ให้รายละเอียดคร่าวๆ
ตอนนี้แม่ของเขาอยู่กับพระมเหสี รู้สึกฝ่ายหลังชมชอบแม่เขามากทีเดียว
ส่วนองค์ชายยังมีพระราชโองการแต่งตั้ง ให้เขาเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์
มีสิทธิอำนาจในการวางแผนตัดสินใจวางกลยุทธ์ครั้งนี้ บรรดาขุนนางอำมาตย์ไม่มีใครคัดค้าน
ด้วยต่างรับรู้ในความสามารถพิเศษของบุรุษแปลกถิ่นว่า เป็นผู้ถือครองเทพมหาธาตุอัคคี
และยังมีเวทย์มนต์ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันปากต่อปาก สร้างความกริ่งเกรงในตัวผักตบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เลยไร้ปัญหาคัดค้านกับตำแหน่งใหม่ไปโดยปริยาย
“ถ้างั้นให้ผู้มีหน้าที่ลงมือทำงานกันเลย” ผักตบสั่งการ หลังเขาได้สำรวจทำเลที่ตั้งเสร็จเรียบร้อย
“ขอรับ” กลกะลาขานรับ ชักม้าไปสั่งการตามคำสั่งของผักตบที่เขาเองยังต้องรับฟังคำสั่งด้วย
“เรากลับเข้าไปวางแผนกันเถอะ..เจ้าชาย” ผักตบหันกลับมาชวนยุพราชหนุ่ม ที่ทอดเนตรมองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“กลับเข้าวัง” พระองค์รับสั่งด้วยสุรเสียงทุ้มกังวานให้ได้ยินกันทั่ว คณะผู้ติดตามพากันชักม้ายกขบวนกลับเข้าวัง
ในขณะฝ่ายทหารช่างก็ทยอยขนอุปกรณ์ตั้งกระโจมออกมาก่อสร้าง ในอาณาบริเวณที่ผักตบเป็นคนกำหนดแนวไว้ให้ทั้งหมด
>
>
“ระเบิดที่เจ้าชี้แจง จักประดิษฐ์แล้วเสร็จทันเพลาหรือ” เหนือหัวองค์อนิละทรงรับสั่งถามผักตบ
หลังฟังคำชี้แจงจากเขาเรื่องทำระเบิดฝังลงเนินทรายนอกแนวเขต เพื่อวางกำดักทำลายกองกำลังข้าศึก
“ถ้ารายงานฝ่ายธรณียืนยันมีดินปะสิว รูปร่างลักษณะตามที่ผมบอกไม่ผิดพลาดล่ะก็
น่าจะแล้วเสร็จไม่เกินนี้ครับ” ผักตบยืนยันคำพูด
“เช่นนั้นเราฝากความหวังไว้กับเจ้าด้วย” องค์เหนือหัวทรงตรัส
“กระนั้นเขตอาคม ยังต้องอาศัยพลังจากมหาธาตุวายุพร้อมด้วยอำนาจของมุกราตรีดำเราไม่ควรประมาท
เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ววายุภักษ์” พระองค์หันไปรับสั่งกับพระโอรส
“พะยะค่ะเสด็จพ่อ ข้าจักคุมการรบอยู่บนกำแพงเมือง พร้อมกับใช้ค่ายกลพายุดำทะเลทรายในด่านแรก
หากข้าศึกทำลายฝ่าด่านเข้ามาได้ เรายังมีระเบิดของผักตบเป็นด่านสอง ด่านสามคือเกราะอาคม
ที่ข้าจักรวมพลังมหาธาตุและยืมพลังของมุกราตรี รักษาครอบคลุมพื้นที่วังหลวงอีกชั้น
ส่วนสุดท้ายคือกองทัพทั้งหมดหากต้านไม่อยู่ คงต้องยอมพลีชีพกันแล้ว”ทั้งหมดคือแผนรับมือที่วางไว้ถึงสี่ขั้น
ทำถึงขนาดนี้ข้าศึกยังบุกเข้ามาได้ มีหนทางเดียวคงต้องสู้จนตัวตาย เพราะไม่เหลือหนทางเลือกอีกแล้ว
“ข้าจักไม่ปล่อยเจ้าสู้ลำพัง” มหาโหราผู้เฒ่าเอ่ยวาจากับองค์ชายผู้เป็นศิษย์รัก พระองค์สบตาพระอาจารย์
“ขอบคุณมากท่านอาจารย์ กระนั้นข้ายังยืนกรานให้ท่านอารักขาเสด็จพ่อ เสด็จแม่ พระปิตุลา
น้องหญิงศศิธร มารดาของผักตบภายในเขตพระราชฐาน หากเกิดเหตุการณ์มิชอบมาพากลเห็นท่าไม่ดี
ฝากท่านนำพวกเขาทั้งหมด หลบหนีไปซุกซ่อนยังหุบเขาที่พำนักท่านด้วยเถิด”
“รอให้ถึงเพลานั้น ข้าจักนำพวกเขาไปซ่อนตัว” แผนการทั้งหมดถูกกำหนดก่อนเลิกองค์ประชุม
โดยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแยกย้ายไปทำงานในหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมาย
ผักตบต้องไปคุมการประดิษฐ์อาวุธระเบิด เมื่อรู้ว่ามีวัตถุดิบตามที่ต้องการ
ถือว่าไม่เสียเที่ยวเมื่อสามารถทำระเบิดขึ้นได้ ผู้คนยุคสมัยนี้ไม่มีใครรอบรู้เกี่ยวกับการสร้างระเบิดมาก่อน
“ผักตบ..เจ้าได้รับบาดเจ็บ อย่าเพิ่งทำการใดให้ข้าตรวจบาดแผลของเจ้าเสียก่อนเถิด”
องค์ชายทักท้วงทันที หลังทรงเสด็จตามผักตบเพื่อดำเนินไปยังห้องเตรียมการผลิตระเบิด
“บาดเจ็บ..ไม่นี่ผมสบายดี” ผักตบหยุดเดินหันเผชิญหน้าคนถามด้วยท่าทีงงงันเล็กน้อย จู่ๆ มาบอกว่าเขาบาดเจ็บ
“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ แล้วใยถึงมีโลหิตเปื้อนชุดที่เจ้าสวมใส่เล่า” พระองค์ยืนกราน
พร้อมกับชี้ดัชนีไปยังบริเวณก้นของผักตบเป็นการแสดงหลักฐานในพระดำรัสให้รับรู้ด้วย
ฝ่ายถูกทัก รีบรั้งเสื้อคลุมที่สวมมาดู ก่อนจะหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นวงเลือดเปื้อนเป็นดวงใหญ่
แน่นอนเขารู้ว่าเลือดนี้มาจากที่ไหน
“มะ..ไม่มีอะไร คงนั่งทับอะไรมา” รีบแก้ตัวทันที แต่คงไม่เนียนสำหรับยุพราชหนุ่ม
ที่มีสายพระเนตรแหลมคมทรงเห็นพิรุธในคำตอบ ซึ่งเจ้าตัวกำลังกลบเกลื่อนปิดบังบางอย่างเอาไว้
“เจ้ากำลังปิดบังสิ่งใด” พระองค์รับสั่งถาม โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้มีเวลาแก้ตัว
“ปิดบังอะไร..ไม่มีหรอกน่า” ผักตบรีบปฏิเสธ
“เจ้ากล่าววาจาเท็จ สีหน้าเจ้าบ่งบอกเราเช่นนั้น” พระองค์ไล่บี้ต่อ
“จะอะไรกับผมอีกครับ..เจ้าชาย แค่ชุดเปื้อนเลือดผมบอกไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไรสิครับ
ขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บ คุณไปก่อนเลยเดี๋ยวผมตามไป ตกลงตามนี้นะ” พูดจบไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม
หันหลังเดินลิ่วตรงดิ่งกลับยังตำหนักวาโยทิพย์สบถอยู่คนเดียว ‘เพี้ยนอะไรดันมาวันนี้ ปกติต้องอีก 5 วัน
ผิดที่ผิดเวลาหน่อย..ดันมาก่อนกำหนดด้วยเหรอเนี่ย’
ส่วนยุพราชหนุ่มหาได้ทำตามที่ผักตบบอกไม่ เนื่องจากทรงเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ดวงเนตรพระองค์ไม่ฝาดแน่ ที่เห็นโลหิตแผ่กระจายเป็นวงกว้างจากบั้นท้ายของผักตบ
ย่อมมีบาดแผลที่เจ้าตัวพยายามปกปิดไม่ต้องการให้พระองค์วิตกกังวลพระทัย ยิ่งทำให้ไม่สามารถวางเฉยดูดาย
แม้นรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีไม่ต้องการให้ทรงเป็นห่วงก็เถอะ
ยุพราชหนุ่มครุ่นคิดเช่นนั้น ก็สะกดรอยตามผักตบกลับยังตำหนักวาโยทิพย์
แทนที่จะไปห้องเตรียมผลิตระเบิดอย่างที่ควรจะเป็น
ผักตบรีบรื้อค้นกระเป๋ายกใหญ่ จนเจอสิ่งที่ต้องการ ‘ผ้าอนามัย’
ค่อยถอดชุดที่ใส่ออกเปลือยตัวล่อนจ้อน โดยไม่รู้มีใครอีกคนลอบมองผ่านช่องประตูที่ปิดเอาไว้
จากนั้นภารกิจเช็ดเลือดที่ไหลออกจากตูดก็เริ่มขึ้น เช็ดจนหมดค่อยใส่ผ้าอนามัยติดกางเกงชั้นใน
สวมกางเกงซาฟารีเสื้อยืดคอกลมแทนชุดที่ใส่มา คงไม่ต้องบอกว่าเปื้อนเลือดเป็นด่างดวง ไม่สามารถทำอะไรได้
นอกจากพับเก็บรอไปซักเพียงวิธีเดียว
กระดาษทิชชู่ที่ใช้เช็ดเลือด จัดการเก็บทิ้งลงถังขับถ่ายปิดฝาตามเรียบร้อยเพื่อเป็นการทำลายหลักฐาน
ถอนหายใจโล่งเมื่อทุกอย่างลงตัวแก้ไขปัญหาเรียบร้อย ถึงกับสะดุ้งเมื่อประตูห้องเปิดออกพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่
ของคนที่ไม่อยากเจอก้าวเข้ามา ปิดประตูเสร็จพระสุรเสียงทุ้มกังวานทรงรับสั่งขึ้น
“เจ้าย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส เราเห็นหมดแล้ว เจ้าบอบช้ำภายในสาหัสเช่นนี้ จักเก็บงำปกปิดไปใย
เห็นแก่เรายอมให้ตรวจรักษาเจ้าเสียเถิด เช่นนั้นเราคงรู้สึกผิดนัก ที่ยอมให้เจ้าช่วยเหลือบ้านเมืองของเราโดยไม่นึกถึงตัวเอง
ใยมิใช่เราเห็นแก่ตัวไปเสียแล้ว หากไม่รู้ย่อมไม่ผิด แต่นี่เรารู้แล้วเจ้ามิอาจบังคับให้เราเพิกเฉยได้”
พระดำรัสพรั่งพรูเป็นพรวน ผักตบอึ้งค้างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสะกดรอยตามเขามา ยังดีที่เข้าใจไปคนละเรื่อง
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ คุณก็เห็นแล้วนี่ผมสบายดี คุณกำลังเข้าใจผิด จะให้บอกยังไงดี เอาเป็นว่าผมไม่ได้บาดเจ็บภายใน
สิ่งที่คุณเห็นเป็นเรื่องปกติในร่างกายผม จะเรียกว่าโรคประจำตัวก็ไม่ผิด แต่เชื่อเถอะมันไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก ผมชินแล้ว”
เขารีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง พร้อมกับยืดอกแสดงความมั่นใจ..ว่าเขารู้สึกสบายมาก ไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน
“เรามิเคยได้ยินได้ฟังมีโรคประหลาดเช่นนี้ ใยมีโลหิตไหลออกจากทวารของเจ้าเล่า”
“แค่กๆ..คะ..คือประหลาดมันก็น่าประหลาดอยู่หรอก แต่คุณอย่าสนใจเลย เอาเป็นว่าผมสบายดี พอใจไหม”
ผักตบถึงกับสำลักน้ำลาย เมื่อเจ้าชายผู้ดื้อรั้นบอกมาแบบนั้น เฉตัดบทเสียดื้อๆ
“เจ้ากำลังพยายามมิให้เรากังวล แต่เราจักทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อเจ้าให้เราตรวจร่างกายจนแน่ใจเสียก่อน”
พระองค์ยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมถอยเช่นกัน ภายในพระทัยมิอาจให้บุรุษตรงหน้าเป็นอะไรลงไป
มิเช่นนั้นความหวังที่มีคงพังทลายไม่เป็นชิ้นดี
“เฮ้ย! จะมาขอดูก้นชาวบ้านไม่ได้นะคุณ” ผักตบแกล้งโวยวายกลบเกลื่อน
ต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกอับอาย จะได้เลิกวุ่นวายกับเขาเสียที
“เจ้าละอายที่จะให้เราตรวจก้นเจ้า” ทรงรับสั่งถามตรงๆ
“ไม่อายก็บ้าแล้ว มีคนสติดีที่ไหนมาให้คนอื่นดูก้นกันบ้างล่ะ”
“เราไม่เถียงวาจาเจ้าดอก ย่อมยกเว้นกรณีคนผู้นั้นบาดเจ็บตรงส่วนนั้น ใยมิยอมให้หมอทำการตรวจรักษาด้วยเล่า”
“คุณเป็นหมอหรือไง ถึงได้ทู่ซี้จะตรวจก้นผมให้ได้” ย้อนให้ได้อาย
“แม้นเราไม่ใช่หมอหลวง แต่มีความรู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่ด้อยกว่าผู้ใด
พระบิดาของเราได้รับพิษร้ายกาจยิ่ง เราคือผู้ทำการรักษาให้พระองค์ เพียงบาดแผลบอบช้ำตกเลือดภายใน
มิเกินความสามารถของเราแต่อย่างใด คงมีแต่เจ้าที่ดื้อรั้นเกี่ยงงอนเช่นนี้” พระองค์กลับกล่าวโทษเป็นความผิดของผักตบ
“อ้าว! อะไรกันคุณ กล่าวหาผมเสียงั้น เป็นคุณกล้าแก้ผ้าให้ผมดูหรือเปล่าล่ะ” ผักตบย้อนถามทันควัน
“นั่นย่อมได้ เพียงแต่เจ้าเอ่ยวาจาใดแล้ว ประสงค์จักดูร่างกายของเราเสียเล่า”
เจอท้าทายแบบนี้ เล่นเอาคนถามไม่ทันคิด..ยืนอึ้งแดกเป็นที่เรียบร้อย
“เฮ้ย! นี่ไม่อายเลยเหรอ ผมไม่หน้าด้านนะ..เจ้าชาย” แต่ก็หัวไวแถเอาตัวรอดเร็วปรื๋อ
“ใยเจ้ากล่าวหาเราแทน มิใช่เจ้าดอกที่ท้าทายเรา ขืนยังถกเถียงกันไม่มีข้อยุติ จักเสียเพลาทำการอื่นเป็นแน่
เช่นนั้นเราคงต้องล่วงเกินแล้ว ขออภัยด้วย” พูดจบยกพระหัตถ์ผายวาดท่วงท่าสง่างาม พร้อมพระดำรัสทุ้มกังวานฟังนุ่มหู
“สายลมจงฟังเรา ตรึงร่างกายบุรุษผู้นี้ในบัดดล” สิ้นพระสุรเสียง ผักตบก็รับรู้ถึงสายลมวนรอบร่าง
พร้อมกับตัวแข็งทื่อกระดิกอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิ้วมือก็ด้วย
“อือๆๆ” ได้แต่ส่งเสียงอยู่ในคอไม่สามารถเปิดปากพูด ส่งสายตาจ้องพระพักตร์หล่อเหลาอย่างดุดัน
แต่องค์ยุพราชหนุ่มหาได้สนพระทัยไม่ กับตรงเข้าช้อนอุ้มท่าเจ้าสาวอย่างอ่อนโยน
ก้าวฉับๆ พาวางนอนบนเตียงอย่างนุ่มนวล จากนั้นไม่เสียเวลาพลิกร่างผักตบคว่ำ
ก่อนขมวดพระโขนงผูกโบกลับมาพลิกนอนหงาย ปลดตะขอรูดซิปกางเกงอย่างถือวิสาสะ
จับถอดออกหมดทั้งชั้นนอกชั้นใน สีพระพักตร์ดูตกพระทัยที่เห็นลิ่มเลือดติดอยู่กับผ้าอนามัยที่ถอดออกมา
รีบพลิกร่างกายผักตบนอนคว่ำ ไม่สนสายตาอีกฝ่ายที่วาวดุอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อคนทำ
ดันจับเขาพลิกไปพลิกมาอย่างกับตุ๊กตา ถอดกางเกงโดยไม่สนเขาจะอายเลยสักนิด
“นี่หรือที่เจ้าบอกว่าเล็กน้อย โลหิตไหลหมดตัวใยมิใช่เรื่องใหญ่” พระองค์ดำรัสเปรยให้ได้ยิน
ผักตบได้แต่ตอบอู้อี้ในคอเพราะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ อีกฝ่ายหาได้สนพระทัย
กลับทาบพระหัตถ์ลงบนก้อนเนื้อกลมแน่นหยุ่นมือ แล้วกำหนดจิตเดินพลังมหาธาตุวายุเพื่อทำการรักษาให้
ตามที่ทรงเข้าพระทัยว่ามีอาการบาดเจ็บบอบช้ำภายในร่างกาย
พระนาสิกผุดเม็ดเหงื่อ เมื่อทรงรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างภายในร่างกายผักตบ
พระโขนงเข้มขมวดมุ่นพันกันยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่ กระทั่งถอนพระหัตถ์ออกจากก้อนเนื้อกลมแน่นหยุ่นมือ
แล้วผายพระหัตถ์ถอนวายุธาตุที่สะกดร่างผักตบเอาไว้ออก
“สายลมเอ๋ย..จงปลดปล่อยเขาเถิด” สิ้นพระสุรเสียง ผักตบถึงค่อยขยับตัวได้อีกครั้ง
“เจ้ามีลมปราณอิสตรี โลหิตก่อเกิดออกจากทวารดุจเดียวอิสตรีพึงมี เจ้าเป็นบุรุษที่มีธาตุของอิสตรี
ซึ่งสามารถให้กำเนิดทารกด้วยหรือนี่” ผักตบอึ้งตาเหลือกเป็นที่เรียบร้อย เมื่ออีกฝ่ายสรุปเสร็จสรรพ
กว่าจะตั้งสติคว้ากางเกงมาสวมอย่างลืมอาย เพราะอารามตกใจกับสิ่งที่ถูกค้นพบ
“เจ้ามีสิ่งใดจักบอกกล่าวเราหรือไม่” พระองค์พระพักตร์แดงฉานปานร่ำสุรารสเลิศ
ผักตบเห็นอาการเข้านึกโมโหกึ่งหมั่นไส้อย่างไม่มีเหตุผล
“เพี้ยนอะไรมาหน้าแดงเอาตอนนี้ ก่อนหน้าจับผมถอดกางเกงจับก้นโดยไม่ขออนุญาต..ไม่ยักอาย”
กลายเป็นชวนทะเลาะพาลใส่เสียดื้อๆ
“นั่นเราหาได้คิดอันใดเพราะเจ้าเป็นบุรุษ หลังรู้ว่าเจ้ามีความเป็นอิสตรี
เราพานรู้สึกผิดที่ล่วงละเมิดกระทำกิริยาไม่เหมาะสมต่อเจ้า เช่นนี้ใยมิอาจไม่รับผิดชอบได้
เฮ้อ! คงเป็นชะตาฟ้าลิขิตมิอาจฝืนอันใดเสียแล้ว” ทิ้งท้ายด้วยการถอนพระทัยหนัก ค่อยดำรัสเหมือนยอมรับชะตากรรม
“พูดอะไรของคุณ” ผักตบไม่เข้าใจ
“เราจักรับเจ้าเป็นชายา” สิ้นกระแสรับสั่ง
“เฮ้ย! ไม่เอา..จะรับผมเป็นชายาบ้าบอไปทำไม ผมกับคุณไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” เขารีบปฏิเสธพัลวัน
“เราทำตามประสงค์ของเจ้ามิได้ดอก เราล่วงเกินเจ้าแล้ว ซ้ำยังร่วมห้องผ่านราตรีกันอีก
ทั้งที่เจ้ามีความเป็นอิสตรีภายในกาย ถึงปกปิดมิมีผู้ใดล่วงรู้ กระนั้นเจ้ากับเราต่างรู้แก่ใจ
ยังจำกฎมณเทียรบาลได้หรือไม่ ชายหญิงมิใช่คู่วิวาห์สามีภรรยา มิอาจร่วมห้องผ่านราตรีได้
แม้นมารดาของเจ้าเองยังมิอาจพำนักร่วมกับเจ้า แต่เรากับเจ้าได้ละเมิดกฎนี้ร่วมกัน
ย่อมมิอาจเพิกเฉยไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำ” ดำรัสเปรยอย่างจนหนทาง ทำเอาผักตบอึ้งไปกับความคิดของอีกฝ่าย
“นี่คุณ..ถ้าคุณไม่พูดผมไม่บอกใครจะรู้ สำคัญเราสองคนก็ไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย
คุณไม่ต้องรับผิดชอบผมหรอก อีกอย่างผมแมนพอที่จะไม่เรียกร้องให้คุณมารับผิดชอบ
ถึงเดิมทีไม่เต็มใจพักร่วมห้องคุณก็เถอะ ขอร้องอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายได้ไหม
แค่ข้าศึกจะบุกตีเมืองอีกไม่กี่วันก็ปวดหัวพอแล้ว อย่าเอาเรื่องขี้ปะติ๋วมาเป็นภาระเลยวะครับ..คุณเจ้าชาย”
ผักตบพยายามหว่านล้อม ให้อีกฝ่ายเห็นพ้องไปกับเขาด้วย
“เราเป็นรัชทายาทว่าที่กษัตริย์แห่งไตรคาน ตรัสแล้วมิอาจคืนคำ แม้นเจ้าจักใจกว้าง
ไม่ให้เราแบกรับความผิดครั้งนี้ แต่เรามิอาจย่ำยีเกียรติของเราด้วยน้ำมือเราดอก เรื่องนี้เจ้ามิต้องหว่านล้อมอันใด
ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราจัดการ หลังเสร็จศึกสงครามเราจักนำเจ้าเข้าพิธีอภิเษกทันที
มิให้เป็นที่ครหาของปวงประชาเป็นอันขาด วางใจเราเถิด”
“โธ่โว้ย! บ้าบอไปใหญ่แล้ว เชิญคุณแต่งคนเดียวเถอะ คนเขาไม่แต่งด้วยจะบังคับให้แต่ง
เอาอะไรคิดหืม อีกอย่างผมไม่ต้องการเป็นชายาใคร ผมแมนเต็มร้อย ต้องการเป็นสวามี”
“เราเข้าใจในความอึดอัดของเจ้า แต่เจ้าจักต้องยอมรับความจริง เจ้าสามารถให้กำเนิดทารก
สืบสายเลือดของราชวงศ์ผู้ใดจักให้เจ้าเป็นพระสวามีกันเล่า แม้นใจเจ้าต้องการแต่ก็ต้องยอมรับในความจริงข้อนี้
นอกจากเป็นพระชายาให้เราเท่านั้น ใช่มีแต่เจ้าที่ลำบากใจ เราเองยังต้องมีเรื่องสะสางอยู่อีกมาก
ด้วยเราเองมีคู่หมั้นคือน้องหญิงศศิธรมาก่อนแล้ว จำต้องขอราชทานพระราชโองการจากเสด็จพ่อ
ยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนี้..เมื่อเราต้องอภิเษกกับเจ้าแทนเสียแล้ว”
“ฟังดูช่างเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่ขอรับความหวังดีข้อนี้ คุณแต่งกับองค์หญิงศศิธรคู่หมั้นเถอะ
อย่ามายกเลิกเพราะผมเป็นปัญหา ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ดูคุณออกฉลาดหลักแหลม ไหงกลายเป็นงี่เง่ากับเรื่องบางเรื่อง
จนน่าโมโหขนาดนี้ได้วะครับ..เจ้าชาย” ผักตบอดประชดเข้าจนได้ เขาไม่ได้ต้องการอย่างที่อีกฝ่ายพยายามยัดเยียดให้สักหน่อย
“เอาเถอะ เราสองคนมิอาจพูดคุยกันในเพลานี้ ล้วนทำให้เจ้ากับเราบาดหมางใจกันเปล่าๆ
ไว้เสร็จภารกิจบ้านเมืองเรากับเจ้าคงได้ปรึกษากันอีกครั้ง” นั่นคือการตัดบทสนทนาของพวกเขา
ที่องค์ชายวายุภักษ์เป็นผู้ตัดสินพระทัยให้ยุติ เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะทุ่มเถียงโดยความเห็นสองฝ่ายไม่ตรงกันอีกต่อไป..
“ผมบอกไว้ก่อน ต่อให้ผ่านศึกสงคราม ผมก็ไม่รับปากเป็นชายาคุณเด็ดขาด เรื่องนี้ปิดประเด็นไปเลย
ไม่ต้องพูดถึงเป็นดีที่สุด” ผักตบยังคงยืนกรานหนักแน่น องค์ยุพราชหนุ่มมิได้โต้เถียงเขาอีก
นอกจากเปลี่ยนมาชวนไปทำงานที่คั่งค้างให้เสร็จ
“เสียเพลามาพอสมควรทีเดียว ขืนล่าช้าระเบิดที่เจ้าจักประดิษฐ์เกรงไม่เสร็จทันการ”
พอองค์ชายเตือน ผักตบก็ยอมลดทิฐิ
“งั้นก็รีบไป เดี๋ยวก็เสียบ้านเมืองเพราะมัวแต่จะจับผมแต่งหรอก” อดเหน็บไม่ได้ ก่อนสาวเท้านำออกประตู
โดยองค์ชายทอดเนตรมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย ฉายพระเนตรขบขันปนเอ็นดู นึกงงเช่นกันที่อีกฝ่ายเมินตำแหน่ง
ที่พระองค์เต็มใจยกให้ ทั้งที่กุลธิดาทั่วแผ่นดินต่างต้องการแย่งชิงกันครอบครองนักหนา ผักตบกลับปฏิเสธท่าเดียว
ใยมิทำให้พระองค์ต้องขบคิดถึงความแปลกแยกในข้อนี้
กระนั้นก็ทรงตั้งพระทัยเอาไว้มั่น เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ คงมีหนทางเดียวที่พระองค์จักไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใด
แม้แต่องค์หญิงพระคู่หมั้นก็เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่มีไม่ให้ผิดต่อกฎมณเทียรบาล ย่อมเพียงพอแล้วที่จักยกอ้างในการนี้..
สวรรค์คงหาทางออกให้แก่พระองค์เรียบร้อยแล้ว..
ความคิดเห็น