คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : CON-C 2 : จัสติน (Justin)
บทที่ 2
ฉันอยากจะก้าวเดินต่อไป ทว่าขาดูจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะถ้าหากสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในไร่คือสัตว์ร้าย ทันทีที่ฉันขยับ มันอาจพุ่งออกมาตะครุบเหยื่ออย่างไม่รีรอ ฉันรู้ตัวว่าตัวเองกำลังหายใจแรงขึ้นทุกนาที บัดนี้เสียงจักจั่นเงียบไปแล้ว เหมือนทุกอย่างกำลังเป็นใจให้กับความหวาดกลัวของฉัน
กรุบ!
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ฉันสะดุ้งพลางหันไปมองยังต้นเสียงที่อยู่ทางซ้ายมือ ทว่าบนถนนยาวเหยียดกลับมีเพียงความว่างเปล่า แต่ฉันก็แน่ใจว่าแหล่งกำเนิดเสียงอยู่ใกล้กว่าที่คิด
และมันออกจากไร่ข้าวโพดมาแล้ว
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าอะไรบางอย่างกำลังก้าวเดิน มันขยับใกล้เข้ามาทุกทีแม้เจ้าของเสียงจะพยายามทำให้เบาแค่ไหนก็ตาม ฉันเริ่มก้าวถอยหลัง พร้อมเตรียมตัวจะวิ่งหนี ทว่าก่อนที่เหตุการณ์ในจินตนาการอันเลวร้ายทุกอย่างจะเกิดขึ้น
แสงไฟสีขาวดวงหนึ่งก็ติดขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมใบหน้าหนึ่งโผล่ขึ้นจากความมืด ตามด้วยเสียงตะโกนว่า “แบร่!”
“กรี๊ด” ฉันกรีดร้อง ก่อนจะเสียการทรงตัวจนล้มลงกับพื้น พร้อมขว้างกระเป๋าเป้ของตัวเองใส่ผู้ไม่ประสงค์ดี
“เฮ้!”
จากนั้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วหันหลังวิ่ง
“เดี๋ยว!” ฉันได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนตามหลังมา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่น่านนักร่างกายของฉันก็ถูกยกขึ้นเหนือพื้น โดยมีมือปริศนารวบตัวฉันเอาไว้จากด้านหลัง
ฉันกรีดร้องพลางเตะขาไปในอากาศ พร้อมทุบมือของใครคนนั้นสุดแรงเกิด
“ใจเย็นก่อน!”
“ปล่อย!”
“เจหยุด! นี่ฉันเอง!”
ราวกับเป็นคำสั่งประหาร ฉันหยุดดิ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่มือคู่นั้นคลายออกจากเอว ฉันกลับมาตั้งหลักยืนบนพื้นอีกครั้ง ก่อนจะรีบหันไปเผชิญหน้ากับเขา
“บ้าเอ้ย!” ฉันผลักเขาเต็มแรง “นายเกือบทำฉันหัวใจวายตายแล้ว!”
คนตรงหน้าส่องไฟฉายเข้าหน้าฉัน ก่อนจะส่องกลับหาตัวเองอีกครั้ง เผยให้เห็นชายผมสีทองไฮไลท์แดงแสนคุ้นเคย ซึ่งท่าทางเขาตอนนี้ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก เหมือนกับกำลังรู้สึกผิดเต็มประดา
“ฉันนึกว่าส่องแบบนี้แล้วเธอจะจำหน้าของฉันได้ ใครจะรู้ว่าเธอจะวิ่งหนีแบบไม่สนใจอะไรเลย”
“ก็ฉันตกใจ!” เสียงของฉันเริ่มสั่นเครือ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่อีกส่วนเพราะความโกรธเคืองที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง
“โอ๋ๆ เอาเป็นว่าฉันขอโทษแล้วกันนะ” ชายผมทองไฮไลท์แดงเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ก่อนจะสวมกอดฉัน แล้วเอามืออีกข้างลูบหัวเบาๆราวกับฉันเป็นเด็กเจ็ดขวบ
“ไม่ต้องเลยจัสติน! ไปไกลๆ!” ฉันดิ้นขลุกขลัก ทว่าอ้อมกอดกลับยิ่งรัดแน่นขึ้น ก่อนฉันจะรู้สึกถึงคางแหลมๆของเขาวางอยู่บนหน้าผาก
“น้องสาวตกใจพี่ชายก็ต้องปลอบประโลมสิ ไม่ถูกหรอ” เขากระซิบแผ่วเบา
“ฉันไม่เคยนับถือนายเป็นพี่ โดยเฉพาะตอนนี้”
“ถึงเธอจะไม่นับถือ แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีความจริงไปได้หรอกน่า เราอยู่บ้านเดียวกันมาสิบสามปี แล้วก็จะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน”
“คอยดูเถอะ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ไกลๆจากนาย!”
“ไม่เอาน่า” เขายอมผละออกจากฉันในที่สุด “เรากลับบ้านกันเถอะ ป่านนี้แม่รอกินอาหารเย็นนานแล้ว”
ฉันผลักเขาอีกสองสามทีขณะเราเดินกลับไปยังจุดเดิมเพื่อหยิบกระเป๋าเป้ของฉันที่ตกอยู่บนพื้น จัสตินเดินเลยไปอีกประมาณสิบก้าวเพื่อลากจักรยานสีแดงเก่าๆของตนมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน
“ขึ้นมาสิ” เขาปีนขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ ก่อนจะกดกระดิ่งเป็นการเรียก “เดี๋ยวพี่ชายจะพาไปแว๊น” แล้วเขาก็ติดไฟฉายเข้ากับจักรยานเพื่อให้แสงไฟสว่างมากขึ้น
ฉันส่ายหน้า “นายมันติงต๊องเป็นบ้าเลย ตั้งแต่ยอมลงทุนไปแอบในไร่เพื่อแกล้งฉันแบบเมื่อกี้”
เขาเบิ่งตาเล็กน้อย “เปล่าซักหน่อย ใครจะบ้าเข้าไปในไร่ตอนกลางคืน เดี๋ยวก็โดนงูกัดตาย”
“นายไม่ได้เข้าไปหรอ...”
“ใช่ ตอนฉันมาก็เห็นเธอยืนด้อมๆมองๆอะไรอยู่คนเดียวกลางถนน เสาไฟฟ้าก็ดับ เลยอยากเข้ามาแกล้งน่ะ”
“ถ้างั้น...” ฉันเอียงคอมองเข้าในไร่ที่มืดมิดอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง“ในนั้นมันคืออะไร...”
สายลมโกรกพัดส่งเสียงวาบหวิว ฉันรู้สึกขนลุกซู่อย่างไม่มีสาเหตุ จึงตัดสินใจเดินไปขึ้นจักรยานของจัสตินเพื่อออกไปจากที่นี่ พวกเราเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ก่อนจะไปเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ฉันกอดเอวของเขาพอเป็นพิธีกันตัวเองตก ก่อนจะรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ เกือบทุกโรงเรียนในระแวกนี้ที่ฉันเคยเข้าไปสร้างวีรกรรมอันเลวร้ายทิ้งไว้ จนสุดท้ายจึงจำเป็นต้องมาเรียนที่เดียวกับจัสติน ซึ่งข้อตกลงเดียวของเราก็คือ
ไม่บอกใครว่าเราเป็นพี่น้องกัน
ส่วนเหตุผลที่แท้จริง ที่ฉันไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ ก็เพราะขี้เกียจต้องมานั่งอธิบายอะไรให้มันยืดยาว และอีกอย่าง ฉันเกลียดขี้หน้ากวนประสาทของจัสตินจริงๆ ฉะนั้น เวลาอยู่ที่โรงเรียนก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องรู้จักกันเลยน่าจะดีกว่า
แต่ก็มีบางครั้ง อย่างวันนี้ ที่เขาจะคอยกวนประสาทฉันเวลาอยู่ที่โรงเรียน นึกแล้วมันน่าโมโหจริงๆ
จัสตินหยุดรถเมื่อเข้ามาจอดที่สนามหญ้าหน้าบ้านเรียบร้อย ขนาดของสนามไม่กว้างนัก เพียงพอแก่การจอดรถยนต์หนึ่งคันเท่านั้น ซึ่งน่าภาคภูมิใจเสียจริงที่ครอบครัวของเราใช้มันไว้จอดจักรยานคันเก่าแก่ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาตั้งแต่จัสตินหัดขี่จักรยานครั้งแรก
ฉันพาดขาลงจากจักรยานอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ใกล้เขานานนัก พร้อมรีบวิ่งตรงไปทางประตูทันทีที่เห็นว่าจัสตินก็กำลังวิ่งตามหลังมาติดๆ ฉันรีบครอบครองลูกบิด ก่อนจะหมุนเปิดแล้วปิดประตูก่อนที่จัสตินจะเข้ามาได้
ความจริงคือฉันกำลังเอาคืน
“เจ! เปิดประตูนะ!” เขาเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง ข้างนอกฟ้ามืดสนิทและอากาศหนาว บรรยากาศชั่งเหมาะกับการเอาคืนของฉันจริงๆ ฉันใช้มือดึงลูกบิดเอาไว้เพื่อไม่ให้เขาเปิดประตูได้ แต่มันก็ยังมีแง้มออกบ้างนิดหน่อยเวลาที่จัสตินออกแรงดึงเต็มที่
สะใจเป็นบ้าเลย
“ทำอะไรน่ะเจ...” เสียง อ่อนหวานของผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหันไปและพบหญิงสาวหน้าตาคมเข้ม ผมสีดำสลวยของเธอถูกแหน็บไว้ข้างหู ในมือถือชามสลัดที่ฉันรู้ว่าต้องเป็นของฉันแน่นอน
“เปล่านิแม่” ฉันโกหก พลางส่ายหัวเหมือนให้แม่อย่ามายุ่งจะดีกว่า
“แม่! เจแกล้งผมอ่ะแม่!” แต่เหมือนผู้เคราะห์ร้ายจะได้ยิน จึงรีบตะโกนร้องหาพรรคพวก “แม่ ช่วยด้วย”
แม่อมยิ้มเล็กน้อยพลางคิ้วขมวดใส่ฉันอย่างไม่จริงจังนัก ฉันจึงส่งยิ้มกลับไปเพื่อกลบเกลื่อนความผิด “จัสตินแกล้งหนูก่อนนะแม่”
แต่แล้วผู้เคราะห์ร้ายก็อาศัยโอกาสที่ฉันกำลังประจบแม่อยู่ ดึงประตูออกด้วยแรงมหาศาล ทำให้ตัวฉันเซไปข้างหน้าเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็รับเอาไว้ได้ทันท้วงที
“เธออยากแกล้งฉันเองนะ”
หะ
หลังจบประโยคที่ฉันไม่เข้าใจเขาก็ปล่อยมือซึ่งเป็นตัวช่วยเดียวของฉันออก ทำให้ฉันล้มลงไปประทับจูบแรกให้กับพื้นหน้าบ้านทันที
ให้ตายเถอะ ฉันเกลียดนายจัสติน!
“ลูกว่าไงนะ” แม่กระแทกช้อนลงกับชามสลัด หน้าแดงเรื่อขึ้นทันทีอาจเพราะกำลังโมโห แต่ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ “อีกแล้วหรอเจ”
“ค่ะ” ฉันกำลังแสดงละครโดยการเสแสร้งทำหน้าสลดใจ ทั้งๆที่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยซักนิด สิ่งที่ฉันรู้สึกคืออยากจะกระโดดไปกระชากคอเสื้อครูใหญ่มาก่อนจะจับหัวเขา โขกกับโต๊ะ ที่เขาน่าจะซื้อมาด้วยเงินสกปรกให้อาบไปด้วยเลือดและสมองงี่เง่าของเขา
ใช่แล้ว ฉันพึ่งบอกแม่ไปว่าฉันโดนไล่ออก
แต่ฉันว่าฉันคงเลือกเวลาและสถานที่ผิดไปนิด เพราะพวกเราพึ่งทานอาหารเย็นไปได้แค่ไม่กี่คำ แต่หลังจากฉันบอกเรื่องนี้ไป แม่ก็ดูเหมือนจะหมดความอยากอาหารไปทันที รวมถึงจัสตินที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่ใช่เพราะเขาโกรธเหมือนแม่หรอก เพราะเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่อาจเป็นเพราะเขารับรู้ได้ถึงความเหนื่อยของแม่ในการจับฉันยัดเข้า โรงเรียนต่างๆ
“คราวนี้เพราะอะไรอีกล่ะ” แม่หยิบช้อนขึ้นมาใหม่ก่อนจะตักสลัดเข้าปากด้วยสีหน้าเฉยชา ซึ่งมันแปลก เพราะทุกทีแม่ต้องด่าฉันยกใหญ่พร้อมยึดโทรศัพท์มือถือ แต่ครั้งนี้แม่กลับเงียบ ไม่ด่าอะไรซักคำ
ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่กับจัสตินที่ยังไม่รู้รายละเอียดฟัง รวมถึงเรื่องที่มีคนติดสินบนครูใหญ่ให้ไล่ฉันออก
และมันก็น่าแปลกเข้าไปอีก ที่คนที่แปลกใจและโมโหกับเรื่องนี้มีเพียงแค่จัสติน แต่แม่เงียบ ไม่ได้ดูตกใจ หรือพูดอะไร หรือคราวนี้แม่จะโกรธมากจนพูดไม่ออก
“ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะเอาแจกันนั่นปาลงหน้าต่างไปเลย!” จัสตินซึ่งยังคงแสดงทีท่าโกรธไม่เลิกพูดไม่ยอมหยุด ก่อนจะทำไม้ทำมือเป็นเอฟเฟกต์ร่วมด้วย “แต่ เดี๋ยวนะ คราวนี้เธอคงไม่ได้ทำเหมือนครั้งก่อนใช่ไหม ที่เอารองเท้าส้นสูงเจาะรูโต๊ะของผู้อำนวยการน่ะ โรงเรียนนั้นโกรธมากบอกจะแบล็คลิสเราทั้งตระกูลเลยนะ” เขายิ้มแหยๆ
“เปล่า ฉันแค่วาดอะไรให้เขานิดหน่อยเป็นการส่งท้าย” จากนั้นฉันก็หันไปหาแม่ซึ่งยังนั่งกินสลัดเงียบๆ “แม่คะ...ทำไมแม่ไม่พูดอะไรเลย...” เสียงฉันอ่อนลง
แม่ละสายตาจากชาม ตรงหน้า ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ฉัน ซึ่งมันแปลกจนหน้าขนลุก แม่คงไม่ได้จะจับฉันเข้าโรงเรียนดัดสันดารใช่ไหม ประมาณแบบยิ้มส่งท้ายอะไรอย่างนั้น...
“แม่คิดไว้อยู่แล้วแหล่ะ ว่ายังไงก็ต้องเกิดเรื่องแบบนี้”
คำพูดนี้มันเจ็บมาก แม่เหมือนพยายามจะบอกว่า ‘แม่คิดไว้อยู่แล้วแหล่ะ ว่ายังไงลูกก็ยังเป็นคนแบบนี้’ แต่บางทีฉันอาจจะมองโลกแง่ร้ายเกินไป
“เรื่องโรงเรียนเดี๋ยวไว้ค่อยคิดแล้วกันนะ วันนี้แม่ทำคดีใหญ่มา เหนื่อยมากอยากขึ้นไปพักผ่อนแล้ว” แม่ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหอบแฟ้มเอกสารหนาเตอะขึ้นไปบนห้อง
แม่ของฉันเป็นทนายความ
และเป็นทนายความที่เรียบร้อยซะจนฉันไม่คิดว่าแม่จะสู้คดีใครเค้าชนะได้ แต่แม่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฉันคิดผิด เวลาแม่สู้มันน่ากลัวยิ่งกว่าเวลาฉันโกรธอีก แต่ เงินเดือนที่ได้กับน้อยนิด ไม่เพียงพอแม้แต่จะซื้อกระเป๋าเป้ใบใหม่ให้ฉันหรือซื้อจักรยานใหม่ให้จัสตินเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยมันก็มากพอเลี้ยงชีพพวกเราทุกคนต่อไปได้
แม่เป็นคนที่ทุ่มเทเวลาให้กับงานมาก ฉันเลยเข้าใจเหตุผลที่แม่ไม่เคยไปส่งหรือไปรับฉันจากโรงเรียนเลยซักครั้ง
“ฉันมันเป็นลูกเฮงซวย” ฉันกล่าวขณะเก็บจานอาหารเข้ามาวางไว้ในอ่างล้างจาน จัสตินเดินตามเข้ามา ก่อนจะประจำที่แล้วเริ่มล้างทำความสะอาดอย่างทุกวัน
“เธอไม่ได้เฮงซวยซักหน่อย “ เขาค้าน “เธอแค่ยังไม่ได้อยู่ในที่ๆใช่เท่านั้น”
ฉันถอยหายใจพลางเดินไปหยิบเบียร์กระป๋องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ แล้วปีนขึ้นนั่งบนเคาท์เตอร์ของห้องครัวข้างๆจัสติน
“เธอแอบไปซื้อเบียร์มาอีกแล้วหรอ” เขาบ่นพึมพำๆ ขณะเริ่มล้างฟองสบู่ออกจากชามสลัด “ถ้าแม่จับได้รับรองโดนกักบริเวณแน่”
“คงไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงฉันก็เป็นลูกที่น่าผิดหวังของแม่อยู่แล้ว”
พลันนั้นเองจัสตินก็กระแทกจานลงในซิงค์ ก่อนจะจัดการปิดน้ำแล้วหันมาสบตาฉันเต็มที่ เขามีตาสีฟ้ามหาสมุทรปนเทาเข้ม จมูกโด่งเป็นสันอะไรเทือกนั้นคงเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นคนน่าดึงดูด
“เชื่อเถอะว่าแม่ไม่คิดแบบนั้น”
“ไม่จริง” ฉันพึมพำ “วันๆฉันเอาแต่มีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน ใครๆต่างก็คิดแบบนั้น”
เขาถอนหายใจ “ก็บอกแล้วไงว่าให้บอกทุกคนไปเลยว่าเธอเป็นน้องสาวฉัน”
“ไม่เอา ฉันไม่ต้องการให้นายใช้อำนาจประธานนักเรียนมาปกป้องฉันหรอกนะ”
“ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเธอต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาด้วย”
“ใช่สิ! ใช่... นายไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม”
จัสตินเอื้อมมือมาดึงกระป๋องเบียร์ออกจากมือของฉัน “เธอเมาแล้ว ไปนอนเถอะ”
“ไม่ได้เมาซักหน่อย กินไปได้ไม่ถึงครึ่งเลย” ฉันพยายามดึงกระป๋องคืน “เอามาน่า”
“ไม่”
“เอามา!”
และแล้วจังหวะที่ฉันไม่ทันตั้งตัว จัสตินก็คว้าขวดน้ำยาล้างจานขึ้นมาไว้ในครอบครอง ก่อนเขาจะบีบมาใส่เสื้อของฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“นายจะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย” ไม่รอช้า ฉันคว้าอีกขวดขึ้นมาในมือ “นายตายแน่!”
จัสตินวิ่งหนีฉันทั่วห้องครัว และฉันก็วิ่งตามไปทั่วห้องครัวเหมือนกัน การแข่งขันครั้งนี้สนับสนุนโดยน้ำยาล้างจานในมือที่พร้อมกลายเป็นกระบอกปืนทุกเมื่อ โต๊ะหินอ่อนที่ตั้งอยู่กลางห้องคล้ายจะเป็นกำแพงกั้นระหว่างเราสองคน
จัสตินอยู่อีกฝั่งส่วนฉันอยู่อีกฝั่ง เราจ้องหน้ากันเตรียมพร้อมจะวิ่งต่อ แต่เมื่อฉันไปทางซ้าย เขาจะเลี้ยวไปทางขวา ทำให้ระยะห่างระหว่างเราไม่น้อยลงเลย
“แน่จริงอย่าวิ่งหนีสิจัสติน”
เขายักไหล่ “แน่จริงก็วิ่งตามให้ทันสิ”
“ได้!” ฉันตัดสินใจปีนขึ้นบนโต๊ะหินอ่อน ก่อนจะพาดผ่านไปกระโดดลงตรงหน้าจัสตินแล้วยิงน้ำยาล้างจานใส่เขาอย่างไม่ปราณี
“โอเค ยอมแล้ว ยอม!” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นแสดงความนอบน้อม เมื่อใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำยาล้างจานสีเหลืองเหนอะๆ
“นายเหมือนมนุษย์น้ำยาล้างจานเลย กลิ่นมะนาวคงติดไปอีกนาน” ฉันหัวเราะด้วยความสะใจจนกระทั่งท้องแข็ง
“หัวเราะไปเหอะ” เขาแสยะยิ้ม “ตราบใดที่ศัตรูยังไม่ตาย ศึกก็ยังไม่จบ”
ทันใดนั้นเอง เขาก็เอามือทั้งสองข้างมาจิ้มที่เอวฉันด้วยความรวดเร็ว ฉันกระโดดขึ้นไปด้วยขณะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งน้ำยาล้างจานที่เลอะเต็มพื้นเริ่มส่งผล เราทั้งคู่ลื่นไปมาบนพื้นส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด จัสตินประคองตัวฉันไว้ตอนที่เราเริ่มเอนไปข้างหลัง
จนในที่สุดหลังของจัสตินก็ไปกระแทกเข้ากับกำแพง ตามไปด้วยตัวของฉันกระแทกเข้ากับซี่โครงของเขาอีกที จัสตินร้องโอดโอยอยู่ประมาณสามวินาทีก็เริ่มหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะกระชับเอวของฉันแน่นขึ้น
พลันนั้นเสียงหัวเราะจึงแปรเปลี่ยนเป็นความเงียบ
พวกเราสบตากันอยู่เนิ่นนานหลายนาที ราวกับว่าความรู้สึกทุกอย่างถูกส่งผ่านแววตาของเขาถ่ายทอดเข้าสู่หัวใจฉัน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ใบหน้าของเราสองคนเริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นจนระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตร ฉันรับรู้ถึงลมหายใจอบอุ่นของเขารดลงริมฝีปาก
ฉันเขย่งตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ปากของเราสองคนพอดีกัน ก่อนจัสตินจะขยับมือขึ้นมาประคองแก้มของฉันเอาไว้ แล้วเริ่มเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก ทว่าวินาทีสุดท้ายก่อนที่รอยจูบจะประทับลง
ฉันเลือกเบือนใบหน้าหนีไปด้านข้าง ทำให้ปากของเขาประทับลงแก้มของฉันแทน
“ฉันคงเมาแล้วจริงๆ” ฉันหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะมองเพดานห้องไปมาเพื่อหลีกหนีจากดวงตาคู่งามของเขา
ทว่าจัสตินกลับใช้มือดันใบหน้าของฉันคืนมาดังเดิม ทำให้สายตาของเราประสานกันอีกครั้ง หัวใจของฉันกำลังกระสับกระส่ายราวกับมันกำลังจะหลุดออกมา
“เธออาจเมา” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แต่ฉันไม่”
ทันทีที่สบตากับเขาฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด สิ่งดีสิ่งเดียวในชีวิตของฉันอาจเป็นการที่ได้มีเขาอยู่ใกล้ๆ แน่นอนว่าเราทั้งคู่โตพอที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรสำหรับพี่น้องและก็ถูกที่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับพี่น้องร่วมสายเลือด
แต่พวกเราต่างรู้ว่าเราไม่ใช่
ความคิดเห็น