คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CON-C 1 : สิ่งที่อยู่ในความมืด (Sound of what is hidden)
บทที่ 1
คำถามเดียวที่ฉันต้องการถามมนุษย์ทุกคนก็คือ เกณฑ์อะไรกันที่ใช้ตัดสินคนว่าใครเป็นคนดีหรือใครเป็นคนเลว หากเพียงเพราะว่าเขาเป็นเพียงบุคคลที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นคนเลวหรือไม่ หรือเป็นคนที่ถูกคนในสังคมตีตัวออกห่าง
แน่นอนว่ามนุษย์มีนิสัยแตกต่างกัน แล้วเหตุใดถึงได้หวังให้ทุกคนมีความคิดไปในแง่เดียวกัน มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยจริงมั้ย
โลกยังมีบางอย่างที่ผิดพลาด ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง การกระทำและความคิดของมนุษย์ส่วนใหญ่ต่างหากที่ยังผิดพลาด ทว่าฉันเพียงแค่ยังหาจุดที่ผิดพลาดไม่เจอเท่านั้น แน่นอนฉันไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีเลย และคนใกล้เคียงก็คงคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากปัจจุบันนี้การทำดีแล้วไม่ได้ดี ถ้าอย่างงั้นจะทำดีไปเพื่ออะไร
“คุณเจเจ โจนส์ เข้ามาสิ”
หลังเคาะประตูสองสามครั้ง คนคุ้นเคยที่กำลังนั่งทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ด้านในก็เอ่ยปาก ฉันเปิดประตูเข้าไปด้านใน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หนังสีดำนุ่มๆอย่างที่ทำเป็นประจำ สายตาจับจ้องไปยังครูใหญ่ตรงหน้า ที่กำลังเอามือท้าวโต๊ะอ่านแฟ้มอะไรบางอย่าง
เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับห้องปกครองรึเปล่า ที่ว่าทันทีที่เข้าไปจะสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกของบรรยากาศที่น่าหวาดเสียว แต่เชื่อเถอะว่าหากลองได้เข้าห้องนี้บ่อยพอๆกับการเข้าห้องน้ำแล้วล่ะก็ เรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ
ก็อย่างที่บอกไป ฉันไม่ใช่คนดี
“วันนี้มีอะไรหรอ” ฉันเอาขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง เอนหลังพิงพนักเพื่อความสบายตัว “ ฉันยังไม่ทันได้ทำร้ายใครเลยนะ เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง”
คนตรงหน้าใช้หางตามองมายังฉัน เขาเป็นครูใหญ่หัวล้าน อยู่ในชุดสูทที่ทำจากผ้าเกรดดี ในมือมีปากการาคาแพงสีทองที่เงินเดือนระดับเขาไม่น่าจะมีปัญญาซื้อของทั้งหมดที่กล่าวมาได้
“รักษามารยาทหน่อยคุณโจนส์ วันนี้เราจะใช้เวลาคุยกันไม่นาน” พลันนั้นเขาก็โยนแฟ้มสีน้ำเงินที่อ่านเมื่อครู่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้ฉันเปิดมัน
“มันคืออะไร”
“เปิดดูสิ คำตอบจะปรากฏเอง”
ทันทีที่ฉันเปิดออก ก็เห็นรูปถ่ายของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีสภาพราวกับผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาหมาดๆ หล่อนมีใบหน้าฟกช้ำและรอยเลือดตรงมุมปาก ฉันเปิดดูหน้าถัดไปก่อนจะพบว่าเป็นรูปของผู้หญิงมากมายที่มีสภาพไม่แตกต่างกัน
และเมื่อเปิดจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย ฉันจึงสามารถสรุปได้ในทันทีว่า นี่คือแฟ้มสะสมความเลวของฉันนั่นเอง
“ โอเค” ฉันโยนมันกลับลงโต๊ะ “จะไล่ฉันออกสินะ แต่คุณคงลืมไป ว่าคุณตกลงกับแม่ฉันแล้วว่าจะให้ฉันเรียนจนจบเทอม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
เขากระแอม พร้อมหลบตาลง “นั่นมันก็ใช่ แต่ตอนนี้ข้อตกลงเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่เธอทำมันหนักหนาเกินกว่าจะให้อภัย”
“เหอะ ทำไม ฉันไปฆ่าใครตายรึไงถึงเรียกว่าหนักหนาเกินให้อภัย”
“เปล่า แต่เพราะนิสัยของเธอมันเกินเยียวยา คนแบบเธอสมควรไปอยู่โรงเรียนดัดสันดารมากกว่า”
“โอ้ย เจ็บจึกเลยนะนั่น แบบนี้เพื่อนๆของฉันก็เสียใจแย่สิที่ฉันจากไป” ฉันยิ้มอ่อน “คุณจะไม่คิดถึงฉันแย่หรอ ไม่มีใครเข้าห้องปกครองมานั่งฟังคุณบ่นทุกวันอีกแล้ว “
“จะไม่มีใครอาลัยอาวรณ์ในการจากไปของเธอหรอก เพราะเธอไม่มีอะไรเลยในโรงเรียนนี้ นอกจากศัตรูและวีรกรรมอันเลวร้ายที่เธอทำกับศัตรูของเธอ”
ฉันเผยมือทั้งสองข้างออก “ได้! ในเมื่อคุณจะผิดข้อตกลง ฉันก็ไม่ว่า เอาใบลาออกมาสิ ฉันจะได้เซ็นๆซะ”
“ดี! เรื่องจะได้จบๆไปซักที!” แล้วเขาก็ก้มลงหาอะไรบางอย่างใต้โต๊ะ
ฉันเกลียดอีตาครูคนนี้ ฉันคิด สายตาพลางเหลือบมองไปยังแจกันลายหินอ่อนสวยสะดุดตา ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของคนตรงหน้า ซึ่งฉันสามารถบอกได้ทันทีเลยว่า มันพึ่งมาอยู่ในนี้ได้ไม่นานอย่างแน่นอน ไม่รอช้า ฉันคว้ามันมาอยู่ในอ้อมอก
“ว้าว แจกันใบนี้สวยดีนะ เมื่อวานยังไม่เห็นมันวางอยู่เลย”
ครูใหญ่เงยหน้ากลับขึ้นมาจากใต้โต๊ะ ก่อนจะเบิ่งตาโต “วางมันลงเดี๋ยวนี้นะเจเจ โจนส์!”
“ชู่ววว” ฉันทำมือตามปาก ก่อนจะเหล่ตามองซ้ายมองขวา แล้วเขยิบเข้าไปกระซิบกับเจ้าของแจกัน “อย่าขึ้นเสียงสิ เดี๋ยวฉันก็ตกใจจนเผลอทำมันร่วงหรอก ถ้ามันกระแทกพื้นคงจบไม่สวยนะ”
“ให้ตายสิ! เธอมันดีแต่สร้างปัญหา วางมันลงซะ!”
ฉันพยักหน้าเชื่องช้า “ก็ถูกนะที่ฉันมีแต่สร้างปัญหา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะโง่!”
“เธอจะพูดอะไรกันแน่”
“ก็มันออกจะแปลกๆนะว่ามั้ย แจกันใบนี้มา ประจวบเหมาะกับตอนที่คุณบอกว่าจะไล่ฉันออก โดยที่ผิดสัญญาที่ให้เอาไว้กับแม่ของฉันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แถมเมื่อกี้คุณยังพูดว่า...เอ้ะ ว่าอะไรนะ... เรื่องจะได้จบๆซักที ใช่รึเปล่า”
เขาเริ่มทำท่าทีกระอักกระอ่วน “ฉัน...ฉันไม่รู้...ว่าเธอพูดเรื่องอะไร”
“ใครเป็นเจ้าของแจกันใบนี้ล่ะ! เขาติดสินบนเพื่อให้คุณไล่ฉันออกใช่มั้ย! ใคร! มันเป็นใคร!”
“พอที!” ครูใหญ่ทุบมือทั้งสองข้างลงกับโต๊ะ “ถ้าเธอยังไม่ยอมคืนแจกันให้ฉัน ฉันจะแจ้งตำรวจ ข้อหาทำลายทรัพย์สินส่วนบุคคล!”
ฉันหัวเราะ “ยังไม่ได้ทำลายหรอกนะ แต่คงจะอีกไม่กี่นาทีนี้แหล่ะ!”
“เจเจ โจนส์! ฉันเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนนี้ และขอไล่เธอออก!” เขาชี้หน้าฉัน “เชื่อเถอะว่าคนอย่างเธอไม่มีทางมีอนาคตแน่นอน!”
ฉันลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ “คุณไม่ต้องไล่ฉันออกหรอก เพราะฉันลาออกเอง!”
“ดี!” ทันใดนั้นเขาก็ก้มลงไปหยิบกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งขึ้นมาบนโต๊ะ ในนั้นเขียนข้อความเอาไว้จนเต็มหน้ากระดาษ ไม่ต้องอ่านก็รู้ว่ามันคือเอกสารสำหรับยื่นใบลาออก “เซ็นซะ!”
“ได้!” ฉันโยนแจกันกลับคืนให้เขา ก่อนจะกระชากปากการาคาแพงออกมาจากกระเป๋าเสื้อเขา แล้ววาดอะไรบางอย่างลงบนกระดาษอย่างบรรจง แน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็นลายเซ็นของฉัน
แต่มันคือ รูปการ์ตูนล้อเลียนหัวล้านๆที่กำลังลุกเป็นไฟ
พร้อมคำด่าประมาณสองสามคำที่ฉันพึ่งนึกออกสดๆร้อนๆ ทันทีที่ปลายปากกาตวัดจนสุด ฉันก็คว้ากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาจากโต๊ะ ก่อนจะจัดการเอามันไปแปะเอาไว้บนหัวล้านๆของเขาทันที
“นี่ใบลาออกของฉัน อีตาครูใหญ่งี่เง่าเอ้ย!”
“เธอ! เธอ!” ฉันหันหลัง ไม่สนใจเสียงแห่งความโมโหของเขาอีก
และทันทีที่ฉันปิดประตูห้องลง อะไรบางอย่างก็กระแทกประตูตามมา มันส่งเสียงดังแพร้ง ฉันจินตนาการภาพเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนคว้างของในมือตามฉันมาอย่างเหลืออด และเดาว่าสิ่งของที่ส่งเสียงแบบนั้นคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก
“แจกันฉัน ไม่นะ!” ซึ่งเสียงร้องโอดโอยที่ดังออกมานั้น ก็เป็นสิ่งตอกย้ำสมมติฐานของฉันได้อย่างดี
โอเค ความจริงก็คือชีวิตของฉันมันเฮงซวย พอๆกับนิสัยเฮงซวยของฉันนั่นแหล่ะ อย่างไรก็ตามความเฮงซวยพวกนั้นคงไม่สร้างปัญหาอะไรให้ฉันได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ชีวิตของฉันก็เต็มไปด้วยปัญหามากมายจนเพิ่มเติมไม่ได้อีก
ฉันเดินกลับมายังห้องเรียน มันเป็นโรงเรียนเก่าๆของรัฐบ้านนอกอย่างรัฐเท็กซัส อากาศที่นี่ร้อนจนทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่อยากใส่เสื้อผ้ามาเรียนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะวิชาพละที่ทำให้รู้สึกเหมือนวินาทีนั้นโลกกำลังจะแตก แสงสีส้มของพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างของทางเดิน บ่งบอกถึงเวลากลับบ้านของบรรดานักเรียน ทว่าเพื่อนในห้องของฉันกลับยังนั่งคุยกันเสียงดังอย่างกับอยู่ในซูปเปอร์มาร์เก็ต
แต่ทันทีที่ฉันก้าวเข้าไป เสียงเหล่านั้นก็พากันเงียบอย่างพร้อมเพรียงราวกับอาจารย์คณิตศาสตร์เดินเข้ามา ฉันตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องภายในสามวินาที ก่อนทุกคนจะส่งสายตาเหยียดหยามมาให้แล้วกลับไปคุยกันดังเดิมเหมือนฉันเป็นแค่อากาศธาตุ
ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว
ฉันตรงไปยังโต๊ะของตัวเองที่ตั้งอยู่หลังสุดของห้อง มันอยู่ใกล้ไม้กวาดและถังขยะ แต่ฉันก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะฉันรู้ดีว่าคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน และท้ายที่สุดมันก็เป็นจริง ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ยังอารมณ์เสีย พลางหยิบของยัดกลับเข้ากระเป๋าเป้เก่าๆอย่างลวกๆ
ทว่าอะไรบางอย่างก็ถูกปามากระทบโดนหัว ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพบว่ามันคือเศษกระดาษที่ถูกขยำ ซึ่งคงเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากนายผมสีทองไฮไลท์แดงที่นั่งอยู่ไม่ไกล และเขากำลังโบกไม้โบกมือมาให้ฉัน
ไม่รอช้า ฉันคว้างมันกลับไป และกระดาษแผ่นนั้นก็เข้าเป้าเต็มๆซะด้วย
“ร้ายกาจ!” เขาลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ พร้อมยกนิ้วโป้งให้ฉัน แล้วก็หัวเราะ....
อีตานั่นคงบ้าไปแล้วจริงๆ ฉันส่ายหน้า ดันตัวเองลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน เนื่องจากรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะมีเรื่องกับใครในวันนี้ แต่ทันทีที่ฉันเดินผ่านหน้าประตูห้อง เสียงซุบซิบนินทาของกลุ่มพวกผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาพอๆกับแป้งพิซซ่าก็ดังขึ้น พวกหล่อนกำลังยืนพิงโต๊ะกันอยู่หน้าห้อง สีหน้าสดใสราวกับกำลังอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์
สาบานได้ว่าฉันพึ่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของยัยผู้หญิงผมแดง หล่อนกำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับเพื่อนก่อนจะเหลือบมองฉันเป็นระยะ
“หาเรื่องเองนะยัยพวกบ้า” ฉันพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปเผชิญหน้า “มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
หล่อนถอยหลังจากโต๊ะเล็กน้อย “เอ่อ...ไม่มีอะไรซักหน่อย”
“แน่ใจหรอ แต่เมื่อกี้เธอเหมือนจะมีนิ”
“เฮ้! หลีกไปเลย” ผู้หญิงผมซอยอีกคนเดินเข้ามาผลักไหล่ฉัน “โดนไล่ออกแล้วก็ไปให้พ้นๆหน้าพวกเราซักที!”
“อ้อ” ฉันแสยะยิ้ม “รู้ด้วยหรอว่าฉันโดนไล่ออกแล้ว ไม่รู้ว่าข่าวมันไปไวติดจรวด หรือเพราะคนแถวนี้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านกันแน่!”
“เหอะ!” ยัยผมซอยเดินเข้ามาประชันหน้า ทว่ายัยผู้หญิงผมแดงคนแรกกลับจับแขนเพื่อนตัวเองเอาไว้เหมือนพยายามจะห้ามศึก
“พอเถอะเอลล่า อย่ามีเรื่องเลย” ผู้ห้ามทำเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะเหลือบไปมองยังหนุ่มผมทองไฮไลท์แดงที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สงสัยอยากทำตัวเป็นนางเอกต่อหน้าผู้ชายสินะ
“ไหนๆ ฉันก็จะไปแล้ว จะละเว้นเธอเอาไว้แล้วกัน” ฉันเริ่มขี้เกียจต่อปากต่อคำกับพวกสร้างภาพ เพราะรู้ว่าต่อให้ใครจะเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก สุดท้ายคนประเภทนี้ก็จะทำให้เรากลายเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี
“เกิดปอดแหกขึ้นมาหรอเจเจ โจนส์! เห็นทุกทีตบไม่ยั้งนิ!” ยัยผมซอยยังไม่ยอมสงบศึก ซึ่งนั่นทำให้ฉันไม่มีทางเลือก
“พูดแบบนี้อยากลองซักทีสองทีมั้ยละ”
“เธอมันก็ดีแต่ใช้กำลังนั่นแหล่ะ!”
“เหอะ วิธีจัดการกับศัตรูมันก็มีแค่สองวิธี หนึ่งคือใช้กำลังส่วนสองคือใช้ปาก ฉันแค่ใช้วิธีแรก ส่วนเธอใช้วิธีที่สอง แล้วมันผิดตรงไหนกัน!” ฉันเดินเข้าไปใกล้หล่อนมากขึ้น “ใครกันแน่ที่ปอดแหก”
“พวกเธอหยุดเถอะนะ”ผู้หญิงผมแดงดันเราทั้งคู่ออกจากกัน ก่อนหล่อนจะเข้ามาขวางระหว่างพวกเราเอาไว้ แล้วทำสีหน้าสลดแลดูเศร้าใจสุดขีด “ถือว่าฉันขอ...”
“เธอขอแล้วฉันจำเป็นต้องให้หรอ!” ฉันตวาดหล่อน เนื่องจากความอดทนอันน้อยนิดจางหายไป “แล้วใครตายหะ! ถึงต้องทำหน้าแบบนั้น! เลิกมารยาเหอะ รำคาญ!”
“มันจะมากไปแล้วนะ!” ผู้ถูกบดบังพยายามจะเอื้อมมือมากระชากคอเสื้อฉัน แต่คนที่ถูกฉันด่าก็ยังคงพยายามรักษาท่าทางนางงามจักรวาลเอาไว้อย่างที่สุด
“ตาสว่างเถอะยัยบ้า!” ฉันสบตายัยผมซอย ก่อนจะละสายตามามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า “ยัยนี้มันพวกผลไม้สีแดงชัดๆ!”
ฉันละคำด่าสุดท้ายไว้ในฐานที่เข้าใจ...
สตรอเบอรรี่
ฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ทั้งหมดไว้ แล้วหันหลังเดินจากไปก่อนที่เหตุการณ์จะจบด้วยการนองเลือด ทันทีที่ก้าวพ้นประตูห้อง เสียงตวาดของคนภายในยังคงตามมาหลอกหลอน
“ทุกคนที่นี่เกลียดเธอ รู้ตัวไว้ด้วยนะ เจเจ โจนส์! เธอไม่มีวันมีเพื่อน ไม่มีวัน!”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ที่ฉันนั่งอยู่บนดินใกล้รางรถไฟ มองดูผู้คนมากมายนั่งรถไฟผ่านไปด้วยหลากอารมณ์ บางคนต้องการมาที่นี่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทว่าบางคนมาที่นี่เพื่อทบทวนความทรงจำ รัฐเท็กซัสเต็มไปด้วยไร่นาและดินโล่งๆ แต่ในความไม่มีอะไรเหล่านั้น มันกลับแทนความหมายได้มากมายเหลือคณานับ
ฉันเคยคิดอยากนั่งรถไฟไปจนสุดสถานี แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าขาจะอ่อนแรงจนล้มลงกับพื้น จากนั้นก็นอนค้างที่นั่น แต่ความจริงก็คือมันเป็นได้แค่เพียงความฝัน โลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าที่ฉันจะสามารถเดินไปทุกที่ๆต้องการได้โดยไม่ถูกปล้นหรือทำร้าย และที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือคนรอบข้างจะไม่สนใจว่าใครจะเป็นหรือตาย
สองสิ่งที่พวกเขาจะทำคือ มองดู และเดินผ่านไป
ฉันดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ไฟถนนติดขึ้น บ่งบอกว่าพระจันทร์เริ่มขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระอาทิตย์แล้ว บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวทำให้ทุกอย่างดูไม่น่ากลัวนัก ฉันเดินออกห่างรางรถไฟ ไปตามทางดินที่อยู่ติดไร่ข้าวโพดสูงเหนือหัว ฉันได้ยินเสียงจักจั่นกำลังขับร้องส่งเสียงก้องกังวาลไปทั่วบริเวณ จนทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าแหล่งกำเนิดเสียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่
บ้านของฉันอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง เหตุผลเดียวที่ฉันไม่อยากกลับตอนที่ยังมีแสงอาทิตย์สาดส่อง เพราะฉันคงกลายเป็นเนื้อย่างไปเสียก่อนจะกลับถึงบ้าน ฉันดึงเป้เข้าชิดแนบร่างกายมากขึ้น บ้านเรือนหลายหลังเริ่มห่างไกลออกไปทุกย่างก้าว ไฟถนนหลายต้นที่อยู่ข้างกายส่วนใหญ่จะเสียหรือไม่ก็ติดๆดับๆ ซึ่งทำให้ถนนเบื้องหน้ามืดมิด
แต่ฉันก็ยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะภาพหนทางทุกอย่างถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำ ฉันเดินแตะฝุ่นไปเรื่อยเปื่อย พลางคิดเรื่องของคนที่ติดสินบนครูใหญ่เพื่อไล่ฉันออก แน่นอนว่ามันน่ากลัวเพราะเขาคงเป็นคนมีทรัพย์สินไม่ใช่น้อยถึงมีเงินซื้อแจกันแพงๆแบบนั้น และนั่นคือสิ่งที่ฉันไม่มีไปสู้ นอกจากปากและกำลัง ซึ่งมันคงไม่สามารถช่วยเหลือฉันได้ตลอดไป
เสียงกระหึ่มจากเครื่องยนต์ของรถกระบะทำฉันหลุดจากภวังค์ เพลงแร็พส่งเสียงดังสนั่น พร้อมด้วยบรรดากลุ่มวัยรุ่นจากที่โรงเรียนนั่งอยู่บนกระบะด้านหลัง ทันทีที่รถขับเลยผ่านไปได้ไม่ไกลพวกเขาก็เริ่มร้องโหยหวนใส่ฉัน
“ไงแม่สาวผมดำ! เดินคนเดียวไม่เหงาหรอจ้ะ! วู้วววว” ผู้ชายหนึ่งในนั้นทำเสียงหยาดเยิ้ม ก่อนมันจะจบลงด้วยการที่เขาถูกเพื่อนตบหัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงกำลังเมาอะไรกันซักอย่าง บางทีอาจเป็นแค่เบียร์หรือไม่ก็อาจเป็นยาบ้า
ซึ่งฉันไม่สนใจมันเท่าไหร่นัก
สิ่งเดียวที่ฉันทำคือการโบกมือกลับคืนให้พวกเขา ก่อนนิ้วทั้งสี่ของฉันจะรวบลงมาจนเหลือเพียงแค่นิ้วกลาง จากนั้นจึงเริ่มอวยพร “ไปสู่สุขติเร็วๆนะทุกคน!”
กลุ่มวัยรุ่นจึงโบกมือคืนแล้วตะโกนกลับมา “ขอบคุณนะคนสวย!”
ฉันกลอกตาด้วยความเอือมระอา ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่รู้ว่าตัวเองหยุดเดินอยู่ข้างๆเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งที่กำลังติดๆดับๆ ฉันถอนหายใจ รู้ว่าอีกยาวไกลกว่าจะได้กลับไปนอนกลิ้งอยู่บนเตียง แต่ก็พยายามเรียกพลังที่มีออกมาให้หมด
ทว่าในขณะที่ฉันตัดสินใจจะเดินต่อ เสียงอะไรบางอย่างก็ดังออกมาทุ่งข้าวโพดทางขวามือ
กรุบ!
ฉันชะงักฝีเท้า รู้สึกขนลุกวาบเล็กน้อย ยิ่งเมื่อเจ้าของเสียงไม่ได้เผยตัวออกจากความมืด มันยิ่งทำให้ฉันกังวล ฉันเพ่งสายตามองเข้าไปในไร่ แต่ก็เห็นเพียงเงาตะคุ่มโยกไปมาตามแรงลมของปลายต้น เสียงเสียดสีกันของใบไม้ทำให้ฉันเริ่มใจคอไม่ดียิ่งขึ้น ฉันก้าวถอยหลังออกมายืนกลางถนน ก่อนจะมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวง
ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับจ้องอย่างไม่ต้องสงสัย อะไรบางอย่างซ่อนตัวอยู่ในนั้น และมันคงไม่ได้ประสงค์ดีอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยทุกอย่างก็ไม่ได้ย่ำแย่ไปเสียหมด ในเมื่อยังมีแสงไฟดวงเล็กจากเสาไฟต้นนี้อยู่ใกล้ๆ ความสว่างช่วยทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย ภาวนาว่ามันจะอยู่กับฉันต่อไป
และแล้วพลันนั้นเองเงาตะคุ่มของอะไรบางอย่างก็ขยับไปมาจากในไร่ มันเคลื่อนไหวตัวอยู่ไม่ไกล แม้เสียงกรุบกรับจะดังขึ้นแผ่วเบา แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ฉันสะดุ้ง
ทว่าในท้ายที่สุด ความอุ่นใจเล็กน้อยของฉันก็จางหายไปพร้อมแสงไฟดวงสุดท้าย เมื่อเสาไฟติบๆดับๆต้นนั้นสามารถเลือกทางเดินที่แน่นอนได้ และน่าเศร้าใจยิ่งนักเมื่อทางที่มันเลือกไม่ใช่ทางที่ดีเอาเสียเลย
เพราะมันดับลง
ทิ้งฉันเอาไว้กับเสียงแปลกประหลาด และอะไรบางอย่างในความมืด
ความคิดเห็น