คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CON-C 4 : เกาะงูคลั่ง แห่งบราซิล (Queimada Grande)
บทที่ 4
จัสตินกำลังยืนหันหลัง เขาดูมุ่งมั่นกับการล้างจานเหมือนมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ทว่าความจริงก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้าฉัน หรือบางทีอาจกำลังน้อยใจถึงสิ่งที่ฉันไม่สามารถให้คำตอบแก่เขาได้ ฉันยืนอยู่ที่เดิม มองดูเขาท่ามกลางความเงียบงัน ฉันยืนห่างจากเขาแค่เพียงสิบก้าว แต่ทุกอย่างดูแสนห่างไกลราวกับสิบไมล์
ฉันอยากเดินไปสวมกอดเขาจากด้านหลัง แล้วบอกว่าซักวันทุกอย่างจะดีกว่านี้ ฉันอยากมีสิทธิ์คว้าแขนเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินหนีไป ฉันอยาก... ฉันอยาก...
ฉันเอื้อมมือไปข้างหน้า ด้วยระยะห่างระหว่างเราทำให้ฉันไม่สามารถสัมผัสตัวเขาได้ ทำได้เพียงสัมผัสกับอากาศขณะมองดูเขา ราวกับว่าฉันได้ทำแบบนั้นจริงๆ แม้ในความเป็นจริงมันเป็นได้เพียงแค่ความคิด
“ขอโทษนะจัสติน” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบจะเป็นเพียงความเงียบ ก่อนจะลดมือลงแนบข้างกาย แล้วเดินออกจากห้องครัวมา ปล่อยให้พี่ชายที่แสนดียังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีตลอดไป
ภาพทุกอย่างเริ่มรางเลือนและหมุนเคว้ง ฉันค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น สิ่งแรกที่พบคือความมืด พลันนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดบริเวณศีรษะ ฉันอยากเอามือขึ้นมากุมขมับไว้ ทว่ามือกลับกระแทกกับอะไรบางอย่างแข็งๆที่อยู่เหนือตัวฉันขึ้นไป ด้วยความตกใจ ฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นพยายามดันทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
จึงพบว่าตัวเองเหมือนกำลังนอนอยู่ในกล่องอะไรซักอย่าง ล้อมรอบด้านในด้วยผ้าสีขาวทั่วตัว
โอเค ฉันกำลังอยู่ในถุงผ้าสีออกขาวๆ กลิ่นเหม็นสาบ และถูกเก็บอยู่ในกล่องอีกที ฉันหายใจรัวขึ้นทันทีที่คิดได้เช่นนั้น ก่อนจะเริ่มออกแรงทุบทุกอย่างรอบตัว
“เฮ้! ใครก็ได้เอาฉันออกไปจากที่นี่ที!” ฉันร้องตะโกนไปทุบตีไป ด้วยความแคบของกล่องทำให้ฉันไม่สามารถขยับไปไหนได้มากนัก
ตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่างข้างใต้ ราวกับกล่องกำลังเคลื่อนที่
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย” ฉันตีผนังกล่องอย่างสุดแรงเกิด มันเป็นแบบนั้นอยู่เนิ่นนานจนเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดสูญเปล่าไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จนกระทั่งแรงสั่นสะเทือนข้างใต้หายไป ตัวฉันไถลไปด้านซ้ายเล็กน้อยจนกระแทกผนัง ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นฝากล่องก็ถูกเปิดออก ฉันมองผ่านผ้าสีขาวไปเห็นเพียงแสงสว่างจ้าส่องทะลุลงมา
“ถ้าเธอคิดหนีหรือร้องตะโกน ฉันจะจัดการเธอซะ เข้าใจมั้ย” ใครบางคนกำลังก้มมองลงมา เห็นเป็นเงาๆดำๆย้อนแสงอยู่ เขาจัดการทำอะไรซักอย่างกับถุงผ้า ในที่สุดผ้าก็แหวกออกทั้งสองข้าง ฉันยกมือขึ้นมาบังแสงที่แยงเข้าตา ก่อนจะพยายามปรับสายตาให้มองเห็น
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ฉันจึงสามารถมองเห็นคนตรงหน้าได้ชัดเจน เขาเป็นคนผิวสีแทน จมูกและกรามเด่นชัด อายุใกล้เคียงกับฉัน พร้อมดวงตาสองสีคู่นั้นที่กำลังมองลงมา
“นายจับฉันมาทำไม นายเป็นใคร ต้องการอะไร!”
เขาถอนหายใจ “เดี๋ยวเธอก็รู้เอง” หลังเอ่ยเสร็จเขาก็เอื้อมมือลงมาช้อนตัวฉันขึ้น ฉันจึงได้รู้ว่าเมื่อครู่ตัวเองไม่ได้ถูกขังในกล่อง แต่เป็นท้ายรถ
“ปล่อยนะ!” ฉันดิ้นขลุกขลัก เตะขาขึ้นลงเพื่อให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าเดิม “บอกให้ปล่อย!”
“เอางั้นก็ได้” แล้วเขาก็ปล่อย
ตัวฉันร่วงลงไปกระแทกพื้นทราย ก่อนจะได้ยินเสียงคลื่นซัดกระทบฝั่ง กลิ่นไอของน้ำทะเลและเสียงนกร้องกับสายลมพัดอ่อนๆ รอยกายของฉันตอนนี้เต็มไปด้วยพุ่มไม้สูงใหญ่ ทำให้ฉันไม่เห็นอย่างอื่นด้านนอกพุ่มไม้ได้เลย
ฉันยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น พร้อมหันไปเผชิญหน้ากับชายตาสองสีที่กำลังยืนกอดอก
“ที่นี่ที่ไหน!”
“ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล”
“อะไรนะ!” ฉันเบิ่งตาโตพร้อมก้าวถอยหลังเล็กน้อยด้วยความงุนงง ฉันหมุนตัวไปรอบๆเพื่อด้วยความไม่เชื่อสายตาว่าตัวเองจะมาโผล่ในบราซิลเพียงชั่วข้ามคืน ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่ทางแหวกของต้นไม้ใบหญ้าไปสู่ทะเล ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนผิวคล้ำในชุดบิกินี่
ฉันเหล่มองไปทางชายตาสองสีเล็กน้อย เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับการจัดการเอากิ่งไม้ที่หักมาบังรถเก๋งสีดำ ฉันหันไปมองยังทางออกอีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มก้าวเดิน โดยย่องออกห่างจากชายตาสองสีที่กำลังหันหลังให้ทีละก้าวอย่างเงียบเชียบ และเมื่อได้จังหวะ ฉันก็เตรียมออกวิ่ง
“เป็นฉันจะไม่ทำแบบนั้นนะเจเจ โจนส์”
ฉันไม่สนใจเสียงของชายตาสองสีอีก เพียงแค่วิ่งไปข้างหน้าสุดแรงเกิด ทว่าก่อนที่ฉันจะทันได้ออกไปหาผู้คนพลุกพล่าน อยู่ดีๆกิ่งไม้อันใหญ่ก็ตกลงมาขวางทางไว้
“บ้าจริง!” ฉันชะงักฝีเท้าอย่างเร็วจนตัวเองไถลไปกับพื้น หยุดอยู่ห่างจากกิ่งไม้ไม่กี่เซนติเมตร ฉันหายใจถี่ยิบด้วยความตกใจปนตะลึงงัน กิ่งไม้ตรงหน้ามีไฟลุกโชนอยู่บริเวณที่มีรอยหัก
ชายตาสองสีเดินมาดึงคอเสื้อฉันเอาไว้ ก่อนจะทำให้ฉันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“บอกแล้วว่าอย่าหนี” จากนั้นเขาก็สัมผัสมือซ้ายลงกิ่งไม้ พลันนั้นไฟจึงดับลง แทนที่ด้วยไอเย็นจากน้ำแข็ง
“นายทำแบบนั้นได้ยังไงกัน”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงแค่ดันฉันให้ออกเดินไปข้างหน้า จากนั้นมือของเขาก็เลื่อนลงมาสัมผัสก้นฉันอย่างไร้มารยาท
“อย่ามาจับก้นฉันนะ!”
“อยากจับตายแหล่ะ เดินไปเรื่อยๆ ถ้าเธอคิดหนีอีกรอบ หรือคิดร้องให้คนช่วย หรือแม้แต่ส่งสัญญาณอะไรล่ะก็ ฉันจะเผาก้นเธอซะ”
เขาพาฉันเดินอ้อมไปออกอีกฝั่งหนึ่ง โดยพาดผ่านพุ่มไม้ขนาดเล็ก ออกไปสู่ชายฝั่งทะเลที่เต็มไปด้วยบรรดานักท่องเที่ยวและคนบราซิลกำลังเล่นดนตรีกันอย่างสนุกสนาน บ้างกำลังเล่นกีฬาบางอย่างกันริมทะเล เราเดินผ่านพวกเขาไปจนกระทั่งอยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้คน ชายตาสองสีพาฉันไปตรงท่าเรือที่ทำจากไม้เป็นทางยาว
เรือยนต์หลายลำจอดสนิท เขาลากฉันเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดตรงหน้าเรือสีขาวตัดแดงลำหนึ่ง
“ลงไป”
ฉันส่งค้อนให้เขาสองสามที แต่ก็ยอมลงไปนั่งในเรือแต่โดยดี ชายตาสองสีกระโดดตามลงมา ก่อนจะเอาเชือกสีน้ำตาลที่กองอยู่บนพื้นมามัดมือฉันเอาไว้กับโครงเหล็กด้านข้างตัวเรือ
“นายจะพาฉันไปที่ไหนกันแน่” ฉันถามขณะเขาผูกเชือกรอบข้อมือของฉัน
“เกาะงูคลั่ง” เขายักคิ้ว “เกาะที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเหยียบเข้าไป”
“แล้วเราจะไปทำไมกัน! นายจะฆ่าฉันอย่างงั้นหรอ หรือต้องการเรียกค่าไถ่”
“ไม่ทั้งสองอย่าง” เขาหันไปสตาร์ทเรือ
“ถ้างั้นนายจับตัวฉันมาทำไม”
“เพื่อการแลกเปลี่ยน”
เรือถูกแล่นออกห่างจากชายฝั่ง ฉันพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาเนื่องจากความหวาดกลัว ลมแรงปลิวมาปะทะจนผมสีดำสนิทของฉันปลิวไปด้านหลัง ฉันยังคงอยู่ในชุดนอน และไม่มีรองเท้าใส่ เศษทรายติดเต็มเสื้อยืดและฝ่าเท้า
ชั่งเป็นสภาพที่น่าสมเพชสิ้นดี
คำพูดสุดท้ายของชายที่กำลังขับเรือทำให้ฉันรับรู้ได้ว่าเขาไม่ได้ทำงานนี้คนเดียว อาจมีใครบางคนกำลังรอรับฉันอยู่บนเกาะงูคลั่งอะไรนั่น ทว่ามันก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก ตราบใดที่ฉันยังไม่รู้ว่าเขาจับตัวฉันมาเพื่ออะไร ในเมื่อครอบครัวฉันไม่มีทั้งทรัพย์สินหรือความสำคัญต่ออเมริกา ถ้าหากพวกเขาเป็นคนที่เคยผิดใจในคดีความของแม่ มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีในสิ่งที่เขาทำได้
เพราะมันไม่เหมือนมนุษย์
พระเจ้า แค่นี้ชีวิตของฉันยังเฮงซวยไม่พออีกหรือไง
ฉันคิดถึงแม่กับจัสติน ไม่รู้ป่านนี้พวกเขาจะรู้รึยังว่าฉันหายตัวไป พวกเขาจะเป็นห่วงขนาดไหน ฉันแค่อยากกลับบ้าน
“เราถึงแล้ว” ชายตาสองสีเอ่ยขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่เกาะๆหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาหลังม่านหมอก เกือบทั้งเกาะมีสีเขียวชอุ่มดูอุดมสมบูรณ์ นกหลายตัวบินวนไปมาเหนือยอดเขาสูงสุด แถบนี้ไม่มีเรือแล่นผ่าน เขาลดความเร็วเรือลงเมื่อเราเข้าใกล้ชายฝั่ง ก่อนจะจอดเทียบข้างโขดหินที่สูงพอๆกับหน้าอกของฉัน
คนตรงหน้าผละออกจากที่บังคับเรือ แล้วเดินตรงเข้ามาหาฉันพร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่งในมือ ก่อนจะนั่งยองๆลงกับพื้น
“นายจะทำอะไร”
เขาสวมรองเท้าผ้าใบคู่นั้นให้กับฉัน “เธอคงไม่อยากลุยเข้าป่าด้วยเท้าเปล่าหรอกนะ”
“มันจะมีอะไรแย่กว่าการต้องอยู่กับนายอีกล่ะ”
ชายตาสองสีแกะเชือกที่ผูกติดกับเหล็กของเรือออก ทว่ายังคงมัดมือของฉันเอาไว้ดังเดิม เขาทำให้เชือกกลายเป็นสายจูงแล้วลากให้ฉันออกเดิน
“เฮ้! ฉันไม่ใช่หมาของนายนะ เดินเองได้ไม่ต้องมาดึง!”
ทว่านอกจากการเหล่ตามามองแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรฉันอีก เพียงแค่ดันตัวฉันขึ้นไปบนโขดหิน จากนั้นเขาก็หยิบท่อนไม้ขนาดพอดีมือขึ้นมาท่อนหนึ่ง จุ่มมันลงอะไรซักอย่างเหนียวๆคล้ายยางหรือไม่ก็น้ำผึ้ง แล้วก็ใช้มือขวาจุดไฟ เมื่อมันกลายเป็นคบไฟเรียบร้อย เขาจึงเริ่มลากฉันให้เดินเข้าสู่รัศมีป่า
ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นซ่อนกันจนแทบไม่เหลือทางให้เดิน ดินเฉอะแฉะดูดรองเท้าของฉันมากพอสมควรทำให้เดินได้ยากขึ้น ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ป่าก็เริ่มทึบ ฉันรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่า เสียงแห่งธรรมชาติทำให้บรรยากาศในนี้ดูไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไหร่นัก
บนต้นไม้เต็มไปด้วยงูหลายตัวเลื้อยพันรอบกิ่ง และงูเหล่านั้นมองลงมาราวกับว่ามันกำลังคอยสังเกตการณ์ ฉันเร่งฝีเท้าเดินเข้าใกล้ชายตาสีสองมากขึ้น พลางหันไปมองข้างหลังเป็นระยะว่างูพวกนั้นไม่ได้ตามมาทำร้าย
“เดินไปนิ่งๆ ถ้าเราไม่ยุ่งกับมัน มันจะไม่ทำร้ายเรา” เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ ก่อนจะชะงักฝีเท้ากะทันหัน ฉันชะเง้อคอมองดูก่อนจะพบว่าตรงหน้าเป็นแม่น้ำขนาดกลางที่กำลังไหลเอื่อยๆ ชายตาสองสีเด็ดใบไม้ใบใหญ่ข้างกายมาพับเป็นรูปกรวย จากนั้นก็ตักน้ำขึ้นมา แล้วยื่นให้ฉัน “กินซะ”
“แกะเชือกให้ก่อนสิ ไม่งั้นฉันจะกินได้ยังไง”
“ไม่ต้องแกะก็กินได้ อย่ามาลูกเล่นหน่อยเลย”
“ฉันเปล่านะ แต่ฉันกินไม่ถนัด!”
“งั้นก็ไม่ต้องกิน!” เขาชักมือกลับไป ก่อนจะจัดการดื่มน้ำจนเกลี้ยง
“นายมันเลว” ฉันพึมพำ แต่ก็จงใจทำเสียงดังมากพอให้เขาได้ยิน “ตกลงนายเป็นอะไรกันแน่ เป็นเอเลี่ยนหรอ”
เขาส่ายหน้า “ฉันเป็นมนุษย์”
“ไม่มีทาง มนุษย์ปกติเค้าทำแบบนายไม่ได้หรอกนะ!”
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าฉันเป็นมนุษย์ปกตินิ” หลังจบประโยคนั้น เขาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ฉันเงียบ
“อะไร”
“เงียบก่อน” แทบจะเป็นเสียงกระซิบ เขาทิ้งน้ำลงพื้น ก่อนจะจ้องมองเข้าไปหลังเถาวัลย์ที่โปรยลงมาคล้ายม่าน ทางฝั่งขวามือ ชายตาสองสีก้าวเดินอย่างเชื่องช้าราวกับแมวป่า ในทีแรกฉันยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำ จนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง คล้ายเสียงกิ่งไม้หัก
“นั่นอะไร” ฉันเริ่มกระวนกระวาย ยิ่งเมื่อเขาไม่ยอมตอบ
“นั่นอะไร!”
คนตรงหน้ายังย่องเบาต่อไป เขาตั้งท่าเตรียมรอรับสิ่งที่กำลังจะโผล่ออกมาจากม่านเถาวัลย์
“บางทีอาจเป็นงูอนาคอนดายักษ์”
“อะไรนะ! เอาล่ะ พอที ตัดเชือกให้ฉันเดี๋ยวนี้!” ฉันยื่นมาไปให้เขา อย่างน้อยถ้าจะตายฉันก็อยากมีทางสู้ก่อน ทว่าชายตาสองสีกลับไม่สนใจสิ่งใดนอกจากเสียงลึกลับตรงหน้า และมันกำลังใกล้เข้ามาทุกที
“ตัดเชือกให้ฉันสิ!”
ฉันได้ยินเสียงคล้ายกับเสียงกรีดร้อง บางทีอาจเป็นการเสียดสีกันของเกล็ดงูกับใบไม้เวลามันเลื้อยคลาน
“ตัดสิ!” เสียงของฉันกลายเป็นเสียงกรีดร้อง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ม่านเถาวัลย์ถูกแหวกออก ฉันรีบก้าวถอยหลังทันทีที่มีบางอย่างโผล่พ้นออกมา ก่อนจะหลบข้างหลังชายตาสองสีที่ตอนนี้เขามีแต่ไฟและน้ำแข็งอยู่ในมือ
พระเจ้าช่วยลูกด้วย
ทว่าก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น อยู่ดีๆฉันก็ไม่รับรู้ถึงความร้อนและความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวคนตรงหน้าอีก และสาบานได้ว่าเขากำลังหัวเราะ
นี่มันบ้าอะไรกัน
ฉันตัดสินใจก้าวออกจากหลังของเขาเพื่อดูสถานการณ์ จึงค้นพบความจริงว่าตรงหน้าไม่ใช่งูอนาคอนด้ายักษ์อย่างที่เขากล่าวแต่อย่างใด แต่มันคือผู้ชายสองคน พวกเขานั่งอยู่บนยานพาหนะอะไรซักอย่าง ที่มีรูปร่างคล้ายมอเตอร์ไซต์ ทว่ามันไม่มีล้อ และกำลังลอยเหนือพื้น ซึ่งฉันหมายความแบบนั้นจริงๆ
“ไงแอสทาทีน” หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น “ไม่คิดเลยนะ ว่าจะได้เจอนายอีก”
ชายตาสองสียักไหล่ “แอสทาทีนซะอย่าง คนมันดวงดี”
“ใช่สิ ใครมันจะไปดวงซวยเหมือนพอลล่ะ โดนกิ่งไม้ฟาดจนตกแบล็คคาร์” ชายคนเดิมเอามือไปต่อยไหล่คนข้างๆ ซึ่งผู้ถูกกระทำกำลังส่งค้อนให้ทุกคน และส่งท้ายด้วยการแยกเขี้ยวคมๆ ซึ่งฉันหมายถึงเขี้ยวคมๆของจริง
“เหอะ ตลกมากเลยเจอร์ อยากโดนกัดซักหน่อยมั้ย”
“โว้ว ใจเย็นเพื่อน เก็บเขี้ยวของนายไว้ก่อน” บัดนั้นเขี้ยวจึงหดกลับ แล้วกลายเป็นฟันธรรมดาเช่นเดิม “รีบไปกันเถอะ ไลโอเนลกำลังรออยู่”
ชายที่มีเขี้ยวกระโดดลงจากรถ ที่น่าจะชื่อว่า แบล็คคาร์ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปซ้อนท้ายเพื่อนของเขา แอสทาทีนลากฉันให้เดินไปข้างหน้า เข้าหารถที่ว่างเปล่า
“ขึ้นไป” เขาสั่ง ทว่าฉันขัดขืน
“ไม่! ฉันไม่ขึ้นไอ้รถประหลาดนี่หรอกนะ!”
ทันใดนั้นเอง ชายสองคนเดิมก็หัวเราะออกมาโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับกำลังล้อเลียน
“พวกมนุษย์นี่ชอบกลัวในสิ่งที่ไม่รู้เสมอสินะ แทนที่จะอยากลองดู ตลกเป็นบ้า”
“นั่นสิ นี่มันเป็นรถที่ใช้ระบบต้านแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศและสิ่งแวดล้อม อ้อ แต่อย่างว่า พวกมนุษย์ธรรมดาเก่งแต่เรื่องทำลายโลก คงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก จริงมั้ย เจเจ โจนส์”
“ถุ้ย!” ฉันถมน้ำลายใส่คนพวกนั้น โดยไม่สนใจว่าจะโดนเขี้ยวข่มขู่หรือไม่ “ฉันไม่รู้ว่าพวกนายรู้ชื่อฉันได้ยังไง หรือพวกนายเป็นอะไรกันแน่ แต่ถ้ามือของฉันเป็นอิสระเมื่อไหร่ จะจัดการไม่ยั้งเลยคอยดู!”
“ยัยบ้านี่!” เขี้ยวยืดยาวออกมาอีกครั้ง เขายิงฟันใส่ฉันด้วยสีหน้าแดงฉาน ก่อนจะกระโดดลงจากรถแล้วมายืนประชันหน้า “เหลือแค่หัวไว้ก็พอ เนื้อส่วนอื่นคงฉีกเล่นได้ล่ะมั้ง”
ฉันเบิ่งตาโต ส่งสายตาเชือดเฉือนกลับคืน ทว่าก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น แอสทาทีนกลับกระชากเชือก ส่งผลให้ตัวของฉันเซถอยไปข้างหลัง แทนที่ด้วยร่างกายของเขามายืนประชันหน้าแทน
“พอได้แล้ว เราต้องรีบไปไม่ใช่หรอ” เขากดเสียงต่ำ “เพื่อน”
ชายมีเขี้ยวเหล่มองมายังฉันอีกครั้ง พลางทำจมูกฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยอมกระโดดกลับขึ้นรถแต่โดยดี แอสทาทีนหันกลับมา ก่อนจะโน้มตัวลงหาพื้น พลันนั้นไอเย็นจากน้ำแข็งก็แผ่ลงไป เสริมสร้างตัวเองเป็นรูปบันไดขนาดเล็ก ต่อขึ้นไประหว่างพื้นกับตัวรถ ที่ลอยสูงประมาณสองสามขั้น
“เอาล่ะ ขึ้นไปได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”
ฉันเหยียบบันได้ขึ้นไปนั่งบนรถ ส่วนแอสทาทีนพาดตัวขึ้นมานั่งข้างหน้าประจำที่คนขับ รถขยับขึ้นลงเล็กน้อยราวลูกโป่งยักษ์เวลาถูกคนตีเล่น
“นายจะพาฉันไปไหนกันแน่” ฉันถามทันทีที่รถอีกคันถูกชายสองคนขับผ่านไปซักพัก “แล้วใครคือไลโอเนล”
“ไลโอเนลคือคนที่ต้องการตัวเธอ” หลังจบประโยครถของเราก็เคลื่อนตามไป ฉันแอบใช้มือดึงเสื้อฮูดของเขาเพื่อกันตัวเองตก พลางคอยก้มหลบกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา ฉันไม่ได้ยินอะไรอีกนอกจากเสียงลมมาปะทะใบหน้า แบล็คคาร์เคลื่อนที่เร็วพอสมควร จนทำให้พวกเราต้องโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
ผ่านไปไม่กี่นาที เราก็มาโผล่บริเวณตีนเขาสูง รถแบล็คคาร์ทั้งสองงคันหยุดอยู่ห่างตีนเขาประมาณสองสามเมตร ก่อนชายมีเขี้ยวจะกดปุ่มบางอย่างบนสร้อยคอเหล็กที่เขาสวมอยู่ ตอนนั้นเองราวกับม่านหมอกแหวกว่าย เงาของตีนเขาแปรเปลี่ยนเป็นประตูกลที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลัง คล้ายภาพที่ถูกซ่อนทับ
และเหมือนรู้ว่าฉันสงสัย แอสทาทีนจึงหันกลับมาอธิบาย
“นี่เป็นเหมือนภาพโฮโลแกรม* ที่พวกมนุษย์กำลังพัฒนา แต่เราเหนือกว่า เพราะสามารถครอบคลุมทำให้ที่นี่เหมือนเป็นแค่ภูเขาลูกหนึ่ง แต่เราซ่อนแดนทดลองไว้ข้างในมันอีกที”
“แดนทดลอง อะไรนะ”
การสนทนาจบลงเพียงแค่นั้น เมื่อประตูคอนกรีตขนาดยักษ์ตรงหน้าค่อยๆเลื่อนออกจากกัน เผยให้เห็นช่องทางลึกเข้าไปด้านใน แบล็คคาร์ข้างเคียงนำเข้าไปก่อน จากนั้นแอสทาทีนจึงค่อยขับตามเข้าไป
ด้านในเหมือนอุโมงค์มืดๆ ที่มีเพียงแสงไฟสีขาวดวงน้อยๆติดอยู่ตามกำแพงเป็นทางยาว ฉันได้ยินเสียงประตูด้านหลังปิดตัวลง ส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วอุโมงค์ แอสทาทีนขับแบล็คคาร์เลี้ยวตรงทางแยกอย่างคล่องแคล่ว ราวกับเขารู้จักทางในนี้ดี
ไม่นานนักหนทางอันยาวไกลก็สิ้นสุดลงตรงหน้าประตูกระจกแห่งหนึ่ง ชายมีเขี้ยวกับเพื่อนของเขาต่างพาดตัวลงจากแบล็คคาร์ จากนั้นก็เดินเข้าใกล้ประตู แล้วใช้สร้อยเส้นเดิมทาบเข้ากับแผ่นสีขาวบนกระจก พลันนั้นแสงสีเขียวเป็นเส้นยาวก็เกิดขึ้น มันเลื่อนขึ้นเลื่อนลงอยู่แถวตัวสร้อยซักพักคล้ายเครื่องสแกน
และในที่สุดประตูก็เปิดออก
ชายตาสองสีดึงร่างกายฉันให้ลงไปตั้งหลักยืนบนพื้น ก่อนจะหันมาเผชิญหน้า
“คนพวกนี้จะไม่ทำร้ายเธอ ตราบใดที่เธอให้สิ่งที่เขาต้องการได้” เขากล่าวพลางปล่อยน้ำแข็งในมือให้กลายเป็นมีด จากนั้นก็ตัดเชือกให้ฉัน “อย่าแผลงฤทธิ์ให้มากนักล่ะเจเจ โจนส์ พวกเขาไม่ใจดีเหมือนฉันหรอกนะ”
“เหอะ” ฉันกลอกตา ก่อนจะสะบัดข้อมือเล็กน้อย ซึ่งมันเต็มไปด้วยรอยแดงและถลอก “ถ้าฉันรอดไปจากที่นี่ได้ ฉันจะตามหานายต่อให้ต้องไปถึงนรกก็ตาม จำใส่หัวไว้!”
“โอ้โห กลัวสุดๆไปเลย กลัวจนตัวสั่น” เขาประชดภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย “เข้าไปได้แล้ว”
ความจริงก็คือ คนที่กลัวจนตัวสั่นตอนนี้หาใช่แอสทาทีนไม่ แต่มันคือฉันเอง หัวใจของฉันเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันพยายามข่มอาการสั่นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่ และไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพบเจอกับอะไรบ้างทันทีที่ก้าวพ้นประตูบานนี้
สิ่งเดียวที่ฉันต้องการมากที่สุดตอนนี้ คือจัสติน เขารู้เสมอว่าต้องทำยังไง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เราแตกต่างกัน เพราะฉันไม่เคยรู้เลยว่าต้องทำยังไงดี
จัสติน ฉันต้องการนาย
แสงสว่างจ้าสีขาวฉายลงมาหลังจากฉันก้าวเข้ามาด้านใน ที่นี่ลักษณะคล้ายสำนักงานอะไรซักอย่าง ฉันหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อปรับสภาพการมองเห็น ก่อนแสงสีขาวเหล่านั้นจะปรากฏภาพผู้คนนับร้อยในชุดขาวกำลังเดินสวนกันไปมาอยู่ตรงหน้า
ฉันมองเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ สูงขึ้นไปหลายสิบชั้น ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้พูดคุยหรือหยุดทักทาย พวกเขาเพียงแค่เดินผ่านกันไป ผนังรอบๆประกอบไปด้วยประตูหลายสิบบาน และทางแยกลึกเข้าไปอีก แทบทุกจุดจะมีผู้ชายในชุดขาวยืนประจำอยู่
“ตามมาทางนี้” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้า หล่อนมีดวงตาสีเงินและทอง สะท้อนแสงไฟดูเป็นประกาย ทว่าเช่นเดียวกับทุกคนที่นี่ หล่อนมีใบหน้าบึ้งตึงเหลือเกิน
แอสทาทีนดันไหล่ของฉันให้เดินตามหล่อนไป
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขอทานที่เข้ามาอยู่ในห้องปราศจากเชื้อ ทุกอย่างรอบกายขาวโพลน เหนือศีรษะของทุกคนขึ้นไปประมาณยี่สิบชั้น คือใครบางคนที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่บนอากาศ ทว่าไม่นานนักฉันก็คิดได้ว่าเขากำลังเดินอยู่บนแผ่นกระจกบานยักษ์ ที่คงจะเป็นพื้นห้องทำงานของเขา พนันได้เลยว่าเขาคงไม่ใช่คนกลัวความสูง
บางทีอาจถึงขั้นหลงใหล
และสิ่งเดียวที่ฉันได้ยินตอนนี้ คือเสียงรองเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะของผู้คนที่เดินสวนทางกันไปมา พลันนั้นสายตาของฉันก็สังเกตว่าพวกเขาล้วนสวมใส่สร้อยเงินเช่นเดียวกันชายสองคนก่อนหน้า
มันต้องเป็นกุญแจที่ทำให้ฉันออกไปจากที่นี่ได้
“ ความคิดของเธอมันโง่” เสียงเยาะเย้ยของชายตาสองสีดังขึ้นข้างหู “พวกเขาสามารถฆ่าเธอได้โดยที่ไม่รู้สึกผิดเลย ดังนั้นอย่าทำอะไรแผลงๆล่ะ” เขาทำหน้าตานิ่งเฉยอยู่ข้างกายฉัน สายตาจับจ้องไปข้างหน้า
ฉันไม่ได้สนทนาอะไรกับเขาต่อ เพียงแค่เดินตามหญิงสาวตรงหน้าไปอย่างเงียบๆ หลังพวกเราเดินผ่านห้องโถงใหญ่มา หญิงสาวก็นำเราเดินหลบเข้าข้างทาง กระทั่งในที่สุดตรงหน้าของฉันก็ปรากฏจานกลมๆแผ่นหนึ่งวางอยู่บนพื้น มันสีดำสนิท ขนาดกว้างมากพอสมควร หญิงสาวขึ้นไปยืนบนนั้น
“นั่นคือลิฟต์” หลังคลายข้อสงสัยของฉัน เขาก็จัดการทำให้ฉันขึ้นไปยืนบนนั้นได้สำเร็จ
ไม่กี่วินาทีต่อมาแผ่นกลมๆนั้นก็เคลื่อนที่ขึ้นจากพื้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้นเองฉันก็รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน
แผ่นกลมๆหยุดอยู่หน้ากระจกใส่บานหนึ่ง เบื้องหลังกระจกบานนั้นคือห้องทำงานของใครบางคน โต๊ะรูปร่างแปลกประหลาดถูกวางใกล้กับเก้าอี้สามตัว โดยตัวสุดท้ายมีลักษณะคล้ายกับเปลือกไข่
ชายคนหนึ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนั้น จนกระทั่งเหลือบมาเห็นเรา ราวกับทุกอย่างหยุดชะงักลง ชายคนนั้นเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเปลือกไข่ แล้วประตูกระจกก็ถูกเปิดออก
ทว่าคราวนี้หญิงสาวคนเดิมไม่ได้เดินนำเข้าไปอีก มีเพียงแอสทาทีนที่ทำหน้าพยักพเยิดเหมือนให้ฉันเดินเข้าไป และมันคงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก
ถ้าหากพื้นตรงหน้า ไม่ใช่กระจก
ทันทีที่มองมันฉันก็คิดภาพมันแตก ก่อนตัวฉันจะตกฮวบลงไปสู่ความเวิ้งว้าง โดยสิ่งสุดท้ายที่เห็นคือพื้นสีขาวๆเบื้องล่างนั่น
“เข้ามาสิ” เจ้าของห้องทำงานเอ่ยขึ้น และนั่นทำให้ฉันสังเกตว่าเขาคือชายวัยกลางคน
เมื่อไม่มีทางเลือก ฉันจึงค่อยๆก้าวเข้าไปในนั้น ตามหลังมาด้วยชายตาสองสี ในที่สุดประดูกระจกก็ถูกปิดลง และลิฟต์ก็จากไปพร้อมหญิงสาวท่าทางประหลาด สายตาของฉันกลับมาจับจ้องที่ชายตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเขากำลังฉีกยิ้ม
“สวัสดีเจเจ โจนส์ นั่งก่อนสิ เรามีอะไรต้องคุยกันอีกเยอะเลยทีเดียว”
ความคิดเห็น