คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CON-C 3 : ชายตาสองสี (Man in the Dark)
“จัสติน พอเถอะ” ฉันผละตัวเองออกจากเขาได้ในที่สุด แม้มันจะค่อนข้างยากลำบากที่จะทำแบบนั้น ก่อนจะพยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้นด้วยการต่อยไหล่เขาเบาๆ “หน้านายมีแต่น้ำยาล้างจานแหน่ะ”
จัสตินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ทำไมเธอชอบทำแบบนี้อยู่เรื่อย”
“ทำอะไร”
“ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยยังไงล่ะ ทั้งๆที่เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอรู้สึก” เมื่อฉันอ้าปากจะคัดค้าน จัสตินจึงรีบแทรกพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไปนอนเถอะ ฉันจะไม่คาดคั้นอะไรจากเธอแล้ว”
“จัสติน คือฉัน...” ฉันส่ายหน้าเบาๆ “ฉันไม่...”
“ฉันจะล้างจานแล้ว” จัสตินไม่สนใจคำพูดของฉันอีกต่อไป เขาเพียงแค่เดินกลับไปที่ซิ้งค์เงียบๆ ฉันได้ยินเสียงน้ำไหลกับเสียงกระทบกันของจาน
สงสัยคราวนี้เขาคงจะโกรธจริงๆแล้ว
ฉันเดินกลับขึ้นมาบนห้องของตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ มันช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าของฉันได้มากพอสมควร ฉันปล่อยร่างกายทุกส่วนให้นอนแผ่ สายตาเหม่อมองไปบนเพดานห้องสีครีม ซึ่งภายใต้ความมืดมิด ณ เวลานี้มันคล้ายจะออกสีเทาอ่อนๆ
ฉันไม่สามารถสลัดภาพของจัสตินออกจากหัวได้เลย ราวกับภาพของเขาฉายอยู่บนเพดานห้อง แววตาเป็นประกายคู่นั้นทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขก็จริง ทว่ามันยังไม่ใช่ แม้ว่าเขาพยายามทำสิ่งต่างๆมากมายแค่ไหน แต่คนที่มันไม่ใช่ ต่อให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร
ก็ไม่มีวันใช่
ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในจิตใจของฉันมันเป็นเพียงภาพลวง จัสตินเป็นเด็กเรียนเก่ง เล่นฟุตบอลและเป็นประธานนักเรียน เขามีทุกอย่างที่ฉันไม่มีวันมี และในอนาคตเขาคงได้ทุนด้านไหนซักด้านเพื่อไปต่อจนจบปริญญาเอก ซึ่งฉันไม่มีวันทำได้ เขาจะได้อยู่ในสังคมที่ดีกว่ารัฐเท็กซัส ได้เจอผู้หญิงฉลาด รอยยิ้มอ่อนหวานและฐานะดี ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่เขาคู่ควรที่จะได้รับ
ไม่ใช่ต้องมาจมปลักอยู่กับเด็กมีปัญหา
นาฬิกาหัวเตียงบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า ฉันดันตัวเองลุกขึ้นจากเตียง จัดการอาบน้ำแล้วกลับมานอนให้เข้าที่ ไม่นานนักเปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้งและกลืนกินความเป็นจริงทุกอย่างไป
กรุบ!
ฉันสะดุ้ง เปลือกตาเปิดขึ้นอย่างไม่รีรอ ทว่าฉันไม่สามารถแยกได้ว่าเสียงที่ฉันได้ยินเป็นความจริง หรือเพียงแค่ฝันไป ฉันขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อปรับระยะการมองเห็น พลางมองไปยังนาฬิกาหัวเตียง
“ตีสองครึ่งเองหรอ ให้ตายสิ”
ฉันเอื้อมมือไปเพื่อที่จะเปิดโคมไฟ ทว่าหลังจากกดปุ่มแล้วก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ฉันพยายามกดเปิดปิดอีกหลายครั้งแต่ผลก็ยังออกมาดังเดิม คือไฟไม่ติด
“เยี่ยม” ฉันถอนหายใจ “ไฟดับอีกแล้ว”
กรุบ!
เสียงนั่น... ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ฉันรับรู้ได้ในทันทีว่ามันคือเสียงเดียวกันกับที่ได้ยินในไร่ข้าวโพดเมื่อหัวค่ำ และมันดังมาจากนอกหน้าตาทางฝั่งหัวเตียงของฉันเอง ด้านนอกคือบรรยากาศของไร่ในยามค่ำคืน ชั่งดูเงียบงันและเปล่าเปลี่ยว
ฉันยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง พร้อมค่อยๆคลานเข้าหาหน้าต่างด้วยจิตใจกระสับกระส่าย ทว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัวเพียงอย่างเดียว มันปะปนไปด้วยความใคร่สงสัยและอยากรู้
เปิดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ฉันคิด ก่อนจะเอื้อมมือไปข้างหน้า คว้าขอบหน้าต่างทั้งสองบานเอาไว้ แล้วเริ่มดันมันออกไปด้านนอก ลมหายใจของฉันถี่ขึ้นทุกวินาที ภาวนาขออย่าให้มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างสัตว์ร้ายเลย ขอให้มันเป็นเพียงลูกแมวที่อยากให้ฉันรับเลี้ยงจึงตามกลับบ้านด้วย
ฉันเปิดหน้าต่างจนสุด สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วค่อยๆชะเง้อคอออกไปมองสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง แวบแรกฉันเห็นเพียงทุ่งหญ้าและถนนดิน มันไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ตรงนั้น
ทว่าฉันคิดผิด
กรุบ!
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ความสงสัยใคร่รู้ของฉันหนีหาย สติของฉันแตกกระเจิดกระเจิง ฉันหลบออกจากหน้าต่าง ก่อนจะวิ่งตรงไปยังประตูห้องแล้วเปิดออกไปสู่ทางเดินชั้นสอง
ทั้งบ้านมืดและนั่นยิ่งทำให้ฉันสติแตก
ฉันวิ่งตรงไปยังห้องของแม่ซึ่งอยู่ใกล้กว่าเป็นห้องแรก ก่อนจะเคาะประตูอย่างบ้าคลั่ง
“แม่!” ทว่ากลับไร้เสียงตอบรับใดๆทั้งสิ้น เมื่อความอดทนหมดลงและความกลัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งความคิด ฉันตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ
ก่อนจะพบว่าภายในห้องว่างเปล่า
ไม่มีผู้หญิงท่าทางใจดีนั่งอยู่หน้ากองเอกสารเท่าภูเขาอย่างที่ฉันคาดเอาไว้ ข้างในไม่มีแม่ เตียงราบเรียบราวกับยังไม่มีใครจับจอง ฉันเอามือขึ้นมาขยี้ผมด้วยความเครียด พร้อมถอยหลังแล้วตรงไปหาห้องของจัสติน
“จัสตินเปิดที!” เมื่อยังไม่มีเสียงตอบรับ ฉันจึงพยายามหมุนลูกบิดประตูห้องหวังจะเปิดเข้าไป ทว่ามันล็อคไว้ “จัสติน!” เสียงเรียกเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกรีดร้อง
พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน!
ฉันมองกลับเข้าไปในห้องของตัวเองอีกครั้ง ประตูที่แง้มเปิดอยู่ทำให้เห็นว่าภายในห้องฉันยังคงมืดมิด มีเพียงหน้าต่างบานหัวเตียงโบกพัดไปมาตามกระแสลมยามวิกาล แสงสะท้อนสีขาววิบวับเกิดขึ้นตลอดเวลาที่กระจกขยับ เสียงหวีดหวิวเมื่อกิ่งไม้เสียดสีกันดังราวกับแมวที่กำลังร้องโหยหวน ก่อนจะเงียบลงและดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นแบบนั้นอยู่หลายนาทีจนกระทั่งสายลมที่พัดผ่านไปไม่ได้กลับมาอีก
ฉันทำได้เพียงทิ้งตัวลงบนพื้น เอาหัวพิงประตูห้องของจัสตินเอาไว้อย่างวิงวอน จากที่หายใจรัวด้วยความหวาดกลัว ลมหายใจเริ่มกลับมาระดับปกติอีกครั้ง ฉันข่มตาลงพยายามไม่ให้ตัวเองรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่คิดไปเอง
และเมื่อเวลาผ่านไปประมาณห้า หรือสิบนาที ฉันตัดสินใจลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วพบว่าทุกอย่างรอบตัวยังคงปกติดี
“สงสัยฉันคงบ้าไปแล้วจริง” ฉันหัวเราะเยาะตัวเองอยู่ซักพัก กับการกลัวเสียงไร้สาระจนเกินเหตุ
หนึ่งนาทีต่อมาฉันตัดสินใจลุกขึ้นจากพื้น แล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่างเพื่อตามหาแม่กับจัสติน จินตนาการภาพทั้งคู่กำลังนั่งคุยเรื่องไร้สาระกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ทว่ามันคงไม่ใช่บรรยากาศที่ดีเท่าไหร่นักในเมื่อตอนนี้ทั้งบ้านตกอยู่ในสภาพไร้แสงไฟ
“แม่คะ จัสติน อยู่ไหนกัน” ฉันตะโกนเรียก แต่เสียงที่ตอบกลับมาคือเสียงแห่งความเงียบ ไม่มีใครอยู่ในห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องกินข้าว ทุกที่ว่างเปล่า
“หรือพวกเขาจะออกไปข้างนอกกัน” ฉันมองผ่านหน้าต่างออกไป ทว่าจักรยานสีแดงของจัสตินยังคงจอดอยู่บนสนามหญ้าดังเดิม ฉันคิ้วขมวดพลางเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย บ้านที่อยู่ข้างๆไฟยังคงติดดี แม้แต่ไฟถนนต้นที่ตั้งอยู่หน้าบ้านของฉันก็ยังติดดีเหมือนกัน
“แปลกแฮะ”
ฉันหันกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อหาไฟฉาย และตอนนั้นเองที่เงาของบางสิ่งบางอย่างพาดผ่านบนพื้น หายเข้าไปบริเวณทางเดินซึ่งถูกบดบังด้วยกำแพงกั้นระหว่างห้อง
“ใครน่ะ จัสตินหรอ” ฉันตะโกน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หาไฟฉายเจอพอดิบพอดี ฉันจัดการเปิดมัน ก่อนจะเดินไปยังบริเวณที่เงาปริศนานั้นหายไป ทว่าตรงทางเดินว่างเปล่า หน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่สุดทางยังคงปิดสนิทดี
ทันใดนั้นหางตาของฉันก็เหลือบไปเห็นเงานั่นอีกครั้ง มันอยู่ในห้องกินข้าวทางซ้ายมือ
“โอเคจัสติน ไม่ตลกเลยนะ” ฉันส่องไฟฉายเข้าไปภายใน เริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก จึงคว้าร่มจากตะกร้าขึ้นมาหนึ่งคัน หลังสำรวจห้องกินข้าวแล้วไม่พบใคร ฉันจึงเดินต่อไปยังห้องครัว ก่อนจะพบสิ่งผิดปกติ
หน้าต่างบานใหญ่หลังบ้านเปิดอยู่
ซึ่งนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย
“บ้าชิบ” ฉันสบถ รับรู้ในทันทีว่ากำลังอยู่ร่วมกับผู้ไม่ประสงค์ดีปริศนาภายในตัวบ้าน ฉันจำได้ว่าแม่มีเก็บปืนสั้นไว้ในลิ้นชักข้างบน จึงรีบออกจากห้องครัวในทันที ฉันวิ่งอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลับมาโผล่ในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
ทว่าสายเกินไป
ใครคนหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่กลางห้อง เขาใส่เสื้อฮูดและกางเกงสีดำ ข้างกายมีผ้าสีขาวลักษณะคล้ายถุงใบใหญ่กองอยู่ ฉันชะงักฝีเท้าก่อนจะถอยหลังรัวจนกระทั่งชิดกำแพง พร้อมตัดสินใจเลิกส่องไฟฉายใส่คนตรงหน้าแล้วขว้างมันใส่เขาแทน
แต่เขาก็ปัดมันกระเด็นไป
ฉันคว้าทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวขว้างใส่เขาอย่างไม่รอช้า แจกัน กรอบรูป หรือแม้แต่โคมไฟกระทบพื้นแตกกระจัดกระจาย แต่ชายปริศนากลับยังปกติดี ฉันหันไปรอบกายเพื่อหาสิ่งของ ทว่าไม่เหลืออะไรให้ฉันหยิบอีกต่อไป
“หมดแล้วสินะ” ชายผู้นั้นกล่าวขณะเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาฉัน
“ไปให้พ้นนะ!” ฉันกรีดร้อง พลางง้างร่มในมือขึ้นกางอากาศแล้วฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขาทันทีที่มาประชิดตัว ผู้ถูกกระทำใบหน้าหันขวับไปด้านข้าง ฮูดที่คลุมหัวอยู่หล่นลง เผยให้เห็นใบหน้าอันรางเลือนที่กำลังหลับตาสนิท
เขาค่อยๆหันใบหน้ากลับมาอีกครั้ง ฉันได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบทันทีที่เขาเอียงคอไปมา
“รู้มั้ยว่ามันเจ็บ” เขาเอ่ยเสียงต่ำ ขณะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่นั้นจ้องมองฉันด้วยความหมายที่ยากจะตีความ ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันสนใจ เพราะสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเข่าอ่อนยวบขึ้นมากะทันหัน คือสีตาของเขา ที่ข้างซ้ายเป็นสีฟ้า ส่วนข้างขวา
เป็นสีแดง
“นายเป็นใครกันแน่” เสียงของฉันสั่นเครือ “นาย..นายต้องการอะไร”
เขาแสยะยิ้ม “ต้องการตัวเธอ”
“ฝันไปเถอะ” ฉันอาศัยจังหวะช่วงวินาทีหนึ่งฟาดร่มเข้าไปที่ขาของเขาทั้งสองข้าง ส่งผลให้เขาล้มลงคุกเข่ากับพื้น แล้วรีบวิ่งตรงไปยังบันไดในทันที
“เธอคิดจริงๆหรอว่าจะหนีพ้น!” เขาคำรามกู่ก้อง ชายตาสองสีผู้นั้นวิ่งตามฉันขึ้นมายังชั้นสอง ฉันเปิดประตูเข้าไปในห้องแม่ ก่อนจะพยายามหากระบอกปืนในลิ้นชัก เมื่อเห็นเขาโผล่มายืนที่ประตู ฉันจึงขว้างร่มในมือใส่เขาเพื่อยื้อเวลา
“เลิกขว้างนู้นนี่ใส่ฉันซักทีได้มั้ย!” เขาตวาดขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ฉันหาสิ่งที่ต้องการเจอ
“งั้นเอานี่ไปกินแทนแล้วกัน!” ฉันเลื่อนท้ายกระบอกปืน ก่อนจะใช้มือขวาจับปืนเตรียมลั่นไก จ่อปลายกระบอกปืนเล็งไปที่ชายตาสองสี
“เธอไม่ยิงแน่” เขาหัวเราะในลำคอ
“โอ้ นายไม่รู้จักฉันเลยซักนิดเดียว!” ฉันกดลั่นไกอย่างไม่ลังเล แรงอัดทำให้แขนของฉันขยับขึ้น ราวกับทุกอย่างกลายเป็นภาพช้า ลูกกระสุนพุ่งตรงเข้าหาชายตาสองสี ทว่าตอนนั้นเองที่ความน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น
ก่อนที่กระสุนจะปะทะเข้ากับร่างกายเขา ชายผู้นั้นยกมือซ้ายขึ้นมาบัง เศษเสี้ยววินาทีต่อมาอะไรบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นบนมือของเขา มันหมุนวนเป็นแผ่นวงกลมราวกับโล่กำบัง ลูกกระสุนกระแทกเข้ากับมัน ก่อนจะสะท้อนกลับไปโดนโคมไฟที่ตั้งอยู่เยื้องไปทางซ้าย
โล่นั้นคือแผ่นน้ำแข็ง และฉันหมายความแบบนั้นจริงๆ
“พระเจ้า นายเป็นตัวอะไรกันแน่” ราวกับพูดกับตัวเอง
ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดเดินตรงไปด้านหน้า แล้วยิงใส่เขาอีกหลายนัดแต่แผ่นน้ำแข็งนั้นก็ช่วยปกป้อง จนกระทั่งไม่เหลือกระสุนในกระบอกปืนอีกต่อไป
“หมดตัวช่วยแล้วสินะ” เขาสะบัดมือซ้ายหนึ่งครั้ง แผ่นน้ำแข็งจงหล่นร่วงลงพื้นแล้วแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย “คราวนี้ถึงตาฉันบ้าง”
เขาปราดเข้ามาแย่งกระบอกปืนไปจากมือฉัน โดยการใช้มือข้างหนึ่งกระแทกมือของฉัน ส่วนอีกข้างดึงปืนไป ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที จากนั้นเขาก็ง้างกระบอกปืนขึ้นในอากาศ แล้วฟาดเข้าที่ขมับของฉันทันที
“หลับฝันดีนะ เจเจ โจนส์”
ความคิดเห็น