ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the rain of destiny ตำนานรัตติกาลสีเลือด

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49


    ในอดีตเหล่าแม่มดพ่อมดที่ต้องการบรรลุวิชาสูงสุดของศาสตร์แห่งความตาย ได้รวมตัวกันสร้างสร้อยคอเส้นหนึ่งขึ้นมา โดยใช้วัตถุคือ สตรีพรหมจรรย์ 13คน แมวดำ 13ตัว กะโหลกคนตาย 13 หัว หงส์ 13 ตัว และอย่างสุดท้ายคืออัญมณีต้องสาปแบล็คโฮป เพื่อใช้ในการสร้างสร้อยคอที่มีพลังควบคุมการคืนชีพและการดับสูญของทุกสิ่ง หลังจากที่ทุกสิ่งถูกหลอมรวมกัน ท้องฟ้าที่ส่องสว่างก็พลันมืดมิดลง กลุ่มพ่อมดและแม่มดที่ร่วมกันสร้างมันก็หายสาบสูญไป คงเหลือแต่สร้อยสีขาวตัดด้วยลายดำเส้นหนึ่งมีอัญมณีสีแดงส่องสว่างอยู่ตรงกลาง สร้อยเส้นนี้ตกไปอยู่ในมือของผู้คนมากมายหลายรุ่นคนแล้วคนเล่า ...

    ณ พระราชวังของกษัตริย์แห่งเอกะนคร องค์หญิงมาโฮเนียกำลังเรียนวิชาเวทย์กับพระบิดาของเธออยู่ในห้องฝึกใต้ดินของวัง

    “ ท่านพ่อค่ะ คือหนูไม่อยากจะฝึกวิชาเวทย์นะค่ะ หนูอยากจะออกไปเล่นกับพวกเพื่อนในวัยเดียวกันนี่ค่ะ เพราะวิชาเวทย์ไม่รู้ว่าฝึกไปแล้วจะได้ใช้มันหรือเปล่านี่ ดังนั้น หนูคิดว่ามันเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ ขอพ่อกรุณาเข้าใจด้วยนะค่ะ ”

    พอพูดจบเธอก็ร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ พระราชาทรงยืนนิ่งเงียบไป และแล้วสายตาของเธอก็เหลือบมามองพร้อมกับแอบยิ้มที่มุมปาก
    องค์หญิงมาโฮเนียแกล้งฟอร์มบีบน้ำตาและทำทีเป็นร้องไห้ เพื่อที่จะหลอกบิดาของตนให้ได้ และเมื่อเห็นบิดาของตัวเองยืนนิ่งเงียบก็นึกว่าเข้าทีตนแล้ววันนี้คงอู้ได้แน่ๆ

    “ คือ ....................................................................... ”

    พระราชาพูดออกมาเบาๆ เมื่อองค์หญิงเห็นเช่นนั้นก็ดีใจแล้วเข้าไปจับที่ข้อมือของพระราชาทันที

    “ พ่อจะบอกว่า อนุญาติให้หนูไปได้ใช่มั้ยค่ะ เย้หนูรักพ่อที่สุดเลย ”

    องค์หญิงมาโอเนียกระโดดดีใจพร้อมกับเตรียมจะวิ่งออกประตูไป แต่แล้วเสียงตะโกนดังก้องของพระราชาก็ได้ลอดผ่านหูของเธอเข้ามา

    “ ไม่ได้ !! ลองออกไปดูสิ เจ้าโดนทำโทษอดกินอาหารเย็นแน่ แถมพ่อยังจะให้เจ้า จากที่เป็นองค์หญิงจะลดตำแหน่งให้เจ้าไปเป็นคนขัดห้องน้ำวังด้วย ถ้ากล้าเจ้าก็ลองออกไปซิ ”

    พอสิ้นเสียงนั้น องค์หญิงจอมแก่นถึงกับเดินหน้าจ๋อยลงมา แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ลูกไม้ของหล่อนใช้ไม่สำเร็จอีกตามเคย ... ขณะเดียวกันกับที่องค์หณิงคนกลางพยายามจะหลบหนีการฝึก แต่องค์ชายเล็กคนน้องกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวิชาเวทย์สายควบคุมอย่างสุดความสามารถ กับครูฝึกที่มิใช่ใครอื่น นั้นก็คือ องค์ชายฟาร์เรล พี่ชายคนโตของเขานั้นเอง

    “ เป็นอะไรไปละ หรือว่าเจ้ามีความสามารถแค่นี้เองรึ จงจำไว้สิว่าสายเลือดของราชวงค์เรานั้นมันเป็นสายเลือดที่ได้รับการสืบทอดพลังเวทย์ต่อมาจากบรรพบรุษ เจ้าต้องดึงพลังของมันออกมาได้มากกว่านี้แน่นอน ลองทำให้พี่ดูหน่อยสิ เชื่อในตัวเองสิ ”

    องค์ชายฟาร์เรลผู้พี่ พูดให้กำลังใจน้องชายของตัวเอง ให้มีจิตใจที่มุ่งมั้นมากกว่านี้อีก เพราะการใช้เวทย์สายควบคุมนั้นต้องมีพลังใจที่แกร่งกล้า จึงจะสามารถควบคุมพลังได้อยาสงสมบรูณ์แบบ เมื่อพูดจบแล้ว องค์ชายฟาร์เรลเดินตรงเข้าไปหาทหารหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมาคอยเป็นองค์รักษ์ให้ แล้วก็บอกกับเขาเบาๆว่า

    “ ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า ช่วยเข้าไปดูองค์หญิงมาโฮเนียน้องของเราทีว่าเธอแอบอู้อีกหรือเปล่า ถ้าอู้จงรีบมาบอก เราจะลงโทษนางเอง ฝากด้วยนะบริช ”

    “ รับทราบครับ หากได้ความอันใดกระหม่อมจะรีบมาทูลพระองค์โดยไวขอทรงอย่ากังวลพระทัย ”

    นายทหารหนุ่มวัย 20 ปีน้อมรับคำสั่ง เขาเดินกลับเข้าประตูของวังหายลับไป องค์ชายฟาร์เรลจึงเริ่มการฝึกให้น้องของตนต่อ บริชทหารราชองค์รักษ์เมื่อเดินเข้ามาภายในตัววัง เขารู้สึกผิดสังเกต เพราะปกติทหารจะไม่มารวมพลกันมากมายขนาดนี้ สายตาของเขามองไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งแววตาของหมอนั้นดูเย็นชา รูปร่างสูงพอๆกับเขา ใส่ชุดเสื้อคลุมสีแดงมีลวดลายเป็นรูปปีกนกอยู่ข้างหลังของเสื้อตัวนั้น

    “ ชายคนนั้นเป็นใครกันนะ เรารู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้ามาก่อนเลย แต่ทำไมเราจำไม่ได้ละ แล้วเหตุใดคนภายนอกถึงมาอยู่ภายในบริเวณต้องห้ามนี้ได้ แล้วยังกองทหารหลายสิบนายนั้นอีก แต่ช่างเถอะหน้าที่ของเราคือไปสังเกตการณ์องค์หญิงตามที่องค์ชายฟาร์เรลสั่งนี้หน่า จะมามั่วโอ้เอ๋ไม่ได้ ”

    บริชรู้ตัวว่าตนมีหน้าที่อะไร จึงได้เลิกมองแล้วตรงลงไปยังห้องฝึกชั้นใต้ดินของวัง องค์หญิงมาโฮเนียตอนนี้กำลังถูกบิดาบังคับให้ฝึกอย่างหนัก ทหารหนุ่มแอบดูอยู่ห่างๆเขายิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ แต่แล้วชายคนหนึ่งก็เอามือมาแตะที่ไหล่ของเขา

    “ ไง ท่านบริช ทำไมถึงมายืนด้อมๆมองๆอะไรแถวนี้อยู่ละ หรือว่า... ”

    “ คือเราได้รับคำสั่งจากองค์ชายให้มาคอยสังเกตุการณ์มิให้องค์หญิงกลางแอบหลบหนีการฝึกนะ แล้วท่านละท่านดิสเซอร์เลอร์ ท่านมาทำการอันใดในที่แบบนี้ ”

    บริชถามคืน ดิสเซอร์เลอร์หลับตาลง ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดว่า
    “ ทางเราได้รับแจ้งมาว่า จะเกิดการกบฏขึ้นภายในค่ำคืนนี้ จึงได้นำความมากราบทูลท่านพระราชา แล้วรอรับคำสั่งว่าท่านจะให้เตรียมการอันใดรับมือ ”

    “ กบฏอย่างนั้นหรือ หรือว่า................. ก่อนที่จะลงมายังที่นี้ เราได้เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีแดง มีตราสัญลักษณ์ปีกนกอยู่ข้างหลัง อาจจะเป็นคนกลุ่มนั้นก็เป็นได้ ”

    เมื่อดิสเซอร์เลอร์ได้ฟังในสิ่งที่บริชบอก ท่าทางตรึงเครียดของเขาปรากฏออกมาให้เห็นเด่นชัด

    “ ปีกนกสีขาว หรือว่า เจ้าหมอนั้น อัศวินผู้ทรยศแห่งอิคาลิอุส เฟลม แดรแกรเกอร์ ลาอองเซล ”
    “ เฟลม แดรแกรเกอร์ ลาอองเซล เราจักทำการออกตามหามันเอง ท่านอยู่ที่นี้คุ้มครองพระราชาและองค์หญิงด้วยนะ ท่านดิสเซอร์เลอร์ ”

    บริชวิ่งออกไปจากมุมมืดของห้องฝึกใต้ดินอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นคือคนที่เคยมีความแค้นกับเขาเมื่อในอดีต และยังเป็นอดีตเพื่อนรักของเขาอีกด้วย

    “ เฟลม เป็นแกเองสินะ เพราะแกคนเดียว ทำให้คราร่าต้องมาจบชีวิตลง วันนี้ละฉันจะเอาเลือดของแกไปเป็นเครื่องเซ่นหลุมศพของนางให้ได้ ”

    อัศวินหนุ่มครุ่นคิดไปในระหว่างที่ออกตามหาตัวของเฟลม เขาออกค้นทั่วปราสาทหลังนี้แล้ว แต่ที่ๆหนึ่งที่เขายังไม่ได้ไปก็คือ... ดาดฟ้าของปราสาท !!
    ทันทีที่นึกออก บริชก็วิ่งขึ้นบันไดไปยังยอดบนของหอคอย ประตูถูกเปิดท่ามกลางสายลมที่พัดรุนแรงนั้น อดีตเพื่อนรักของเขายืนรอเขาอยู่

    “ พวกเราไม่ได้พบกันนานมากแล้วสินะ บริช เดอะ แบล็คดรากอน ”

    “ อย่าเอาฉายาอันทรงเกียรติของฉันมาเรียกแบบสนิทสนมนะ เฟลม เดอะ บูลไลอ้อน ”

    บริชแสดงท่าทีไม่พอใจที่เฟลมเอานามอันทรงเกียรติของเขามาเรียกแบบสนิทสนม รอยยิ้มอันเย็นชาได้ปรากฏออกมาจากใบหน้าของเฟลม คู่แค้นของเขาก่อนที่มันจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง

    “ แกขำอะไร ยังไม่รู้สถานภาพของตัวเองอีกอย่างนั้นหรือยังไง ”

    “ ต้องขำสิ แกมันโง่เองที่มาติดกับของข้า บริช!! ขอเพียงแค่ล่อแกออกมาจากในปราสาทได้ ก็ไม่มีก้างขว้างคอเหล่าทหารที่จะทำการกบฏอีกต่อไป จากนี้ไปก็สู้กันเหมือนเมื่อครั้งสงครามที่อิคาลิอุสดีกว่า สู้กันเหมือนตอนที่แกเสียคราร่าไปยังไงละ !! ”


    ทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนเย้ยหยั่น เฟลมก็ชักดาบแล้วฟันใส่บริชองค์รักษ์หนุ่มอย่างรวดเร็ว เสียงดาบปะทะกันดังกึกก้อง บริชรับดาบของเฟลมได้ เขาใช้มืออีกข้างชกเข้าใส่อดีตเพื่อนรักของเขาอย่างสุดแรง

    แต่ ? เฟลมขยับคอหลบเพียงนิดเดียวก็สามารถหลบหมัดของเขาพ้น บริชเห็นท่าไม่ดีจึงได้กระโดดถอยห่างออกมา เฟลมก็ยังตามเข้าใส่เขาอีกแผ่นเหล็กทั้งสองที่กระทบกันจากการต่อสู้ก่อให้เกิดประกายไฟออกมาอย่างเด็นชัด เพลงดาบหลายต่อหลายกระบวนท่าได้ถูกนำมาใช้ห่ำหั่นกัน ต่างฝ่ายต่างสู้อย่างสุดกำลัง ไม่มีผู้ใดแสดงทีท่าว่าอ่อนข้อให้เลย

    “ เพลงดาบ ตะวันดับปฐพีพินาศ ”

    บริชใช้กระบวนท่าทีเขาได้ร่ำเรียนมาโจมตีเฟลม แต่เฟลมเองก็ได้ร่ำเรียนมาเหมือนกับเขาเช่นกันจึงสามารถที่จะอ่านระยะโจมตีของท่าออก

    “ งี่เง่าน่า แกลืมไปแล้วอย่างนั้นรึไงว่าท่านั้นฉันเองก็ได้ร่ำเรียนมาเหมือนกับแกเช่นกัน ”

    เฟลมกระโดดหลบการโจมตีแล้วเย้ยหยันเขา พร้อมกับใช้กระบวนท่าเดียวกันซัดกลับมา

    “ ชิ เพลงดาบจันทราในคืนเดือนมืด ”

    บริชงัดกระบวนท่าออกกันการโจมตี เฟลมได้อ้อมมาอยู่ข้างหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

    “ หึ สุดท้าย แกก็ยังอ่อนหัดเหมือนเดิมนะบริช ลาก่อน ”

    ดาบได้ถูกฟันเข้าใส่บริชอย่างรวดเร็วโดยทีเขาไม่มีโอกาสที่จะตั้งตัวเลย

    “ ฉึก !! ”

     ตำนานรัตติกาลสีเลือด บทนำ จบ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×