ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Love & Lost] ให้รักก็ได้ .. ให้ร้ายก็เริ่ด

    ลำดับตอนที่ #4 : กัดกัน .. ให้รัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 75
      0
      9 เม.ย. 55

    ตอนที่ 4

     

    นี่มันคงเป็นการแสดงที่โคตรจะไม่เนียนเลยสินะครับ เป็นแฟนกันมาเป็นปี แค่เบอร์โทรศัพท์ยังไม่มีกันเลย แล้วจะติดต่อกันอย่างไรละเนี่ย คิดได้ผมก็เป็นห่วงไอ้ตัวเล็กไม่รู้ป่านนี้จะนอนไหน นี่ก็ดึกโขเข้าแล้ว ผมรีบออกมาจากร้านเหล้าทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองกับเด็กน้อยต้นกล้าไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน และที่แกว่านั้น คือมันไม่มีกุญแจเข้าห้อง คงได้นอนรอหน้าห้องแน่ๆ

     

    ผมขับมาถึงคอนโด เอารถเข้าที่จอดอย่างว่องไว แล้วรีบเดินเข้ามาที่ล็อบบี้คอนโด มองหาไปที่โซฟา เผื่อจะมาแอบงีบ แอบหลับอยู่แถวนี้ แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า ผมเลยเดินเข้าไปถามรปภ.ที่ยืนอยู่แถวนั้นว่าเห็นต้นกล้าบ้างไหม โดยผมบอกรูปพรรณ สัณฐานไป รปภ.บอกว่าเหมือนจะเห็นว่าขึ้นไปข้างบนนานแล้ว ผมได้บินแบบนั้น จึงรีบตรงดิ่งไปที่ลิฟต์  เมื่อลิฟต์เปิดออกตรงชั้นที่ผมกด ผมก็เดินออกตรงมาที่ห้องตัวเองทันที

     

     

     

    ว่างเปล่า .. หน้าห้องว่างเปล่าไม่มีใคร ผมรีบไขกุญแจคอนโดเข้าไปในห้องหวังว่ามันคงจะหาวิธีเข้าห้องมาได้แล้ว แต่ในห้องก็กลับมืด ไม่มีใครสักคน ผมเดินไปเปิดไฟและเดินหา ก็ไม่พบแม้แต่เงาของต้นกล้า

    “ยังไม่กลับมาเหรอวะ ดึกป่านนี้แล้วเนี่ยนะ” ผมพูดออกมาคนเดียว ทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อย บวกกับเพลียด้วยฤทธิ์เหล้า

    “หรือจะกลับไปนอนหอตัวเองแล้ววะ ไอ้เด็กบ้านี่ ทำอะไรไม่เคยจะบอกจะกล่าว” ผมพูดพร้อมกับเอามือถือ และกระเป๋าตังค์จากระเป๋ากางเกงมาวางไว้บนโต๊ะ มองมือถือแล้วเจ็บใจ ทำไมเรื่องง่ายๆพื้นฐานแค่นี้เราไม่จัดการตั้งแต่แรกนะ เล่นอะไรเป็นเด็กกันไปได้ พอเรื่องที่ควรจริงจังกลับลืมไป

    “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงประตูดังขึ้นทีหน้าห้องผม ทำให้เราลุกขึ้นจากโซฟาเดินตรงไปเปิดอีกครั้ง

    “กลับมาแล้วเหรอ ไปไหนมาอ่ะ” ทันทีที่ผมเปิดประตูห้อง น้ำเสียงงัวเงียถามมาแบบไม่พอใจ สีหน้ายิ่งไปกันใหญ่

    “ไปกินเหล้ากับไอ้สนิทมา แล้วนี่ไปอยู่ไหนมา ชั้นมาทำไมไม่เจอ” ผมถามทันทีอย่างสงสัย

    “ไปอยู่ห้องนั้นมา ขอเข้าไปนอนก่อนนะ ง่วงมาก” มันพูดพร้อมกับชี้มือไปที่ห้องที่ผมเคยเจอมันเข้าไปในวันแรก ก่อนที่มันจะแทรกตัวผมเดินเข้าห้องนอนมันไป

     

     

    นี่หมายความว่า มันเข้าไปนอนในห้องของผู้ชายคนนั้นอีกแล้วเหรอ

    “เดี่ยวต้นกล้า มาคุยกันก่อน” ผมเดินไปจับมือไว้ เพื่อมาเคลียร์ข้อตกลงเรื่องนี้เข้าใจกัน

    “มีอะไรอีก ผมง่วง” อีกคนงัวเงียถามกลับมา

    “นายเข้าไปอยู่ในห้องคนนั้นทำไม ถ้าใครมาเห็นเข้า เค้าจะคิดยังไง ความแตกขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” ผมถามไปเสียงดัง

    “นี่อะไรของนายอีก ก็นายกลับมาดึก เราไม่มีกุญแจห้อง เบอร์นายเราก็ไม่มี จะให้เราไปอยู่ไหน ให้เรากลับไปนอนหอเรา นายก็ต้องโกรธเราอีก เราแค่ไปขอนั่งเล่นในห้องรอนายแค่นี้ ทำไมต้องคิดอะไรมากมาย” อีกคนเหมือนจะหายง่วง เลยซัดกลับมาเหมือนกัน

    “ไม่คิดได้ไง ชั้นลงทุนไปกับนายนะ ชั้นก็ต้องการให้ทุกอย่างออกมาให้ดี ไม่งั้นชั้นไม่เปลืองตัวขนาดนี้หรอก” ผมบอกไปเสียงดุ

    “คำว่าลงทุน สองคำก็ลูกจ้าง นายคิดว่าการที่เรามานั่งคอยนายหน้าห้อง หรือหน้าล็อบบี้ มันทำให้คนอื่นเขาไม่คิดหรือไง ว่าทำไมเราไม่มีกุญแจเข้าห้อง มัวแต่คิดแต่ตัวเองแบบนี้สิ ถึงต้องมาจ้างเราเป็นแฟนแก้ปัญหา ถึงเราจะเห็นแก่เงิน แต่ก็ช่วยเห็นแก่ความเป็นมนุษย์เราด้วย เจ้านายเฮงซวย !!!   ปัง !!!!!!!!!!!!!!!

     

     

     

     

    สร่างเลยครับ หายเมาเลยผม โดยลูกจ้างจัดหนักเข้าให้ เล่นเอาเหล้าแพงๆที่ดื่มมาเมื่อตอนค่ำ สร่างเป็นปลิดทิ้ง นี่มันกล้าดีมากเลยนะครับที่ด่าเจ้านายมันเป็นวรรคเป็นเวรแบบนี้ แถมด่าเสร็จยังปิดประตูห้องใส่หน้าผมเสียงดังสนั่นอีก

     

     

    “ไอ้เด็กแสบบบบบบบ  ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องนะเว๊ยยยยยยยยยยยยยย”

     

     

     

     

     

     

     

    เช้านี้ผมตื่นมาด้วยอาการเพลียๆ ก็จะไม่ให้เพลียได้ไงละครับ เมื่อคืนทั้งดื่ม ทั้งเหนื่อย แล้วยังต้องมาทะเลาะกับสมาชิกห้องคนใหม่ และวันนี้มันก็ส่งเสียงดังแต่เช้าปลุกผมอีก

     

    “ทำอะไรของนายแต่เช้า หนวกหู ชั้นจะนอน” ผมเปิดประตูไปถาม เห็นไอ้ตัวดีกำลังวุ่นอยู่ในเคาท์เตอร์ครัวของห้องผมอย่างอลหม่าน

    “ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวกัน ทำใกล้เสร็จแล้ว” เด็กต้นกล้าหันหลังมาพูดกับผมเสียงใส นี่มันไม่รู้ตัวหรือไง ว่ามันกำลังสร้างความวุ่นวายให้กับผมเนี่ย

     

     

    แต่พอผมเดินมาดูที่โต๊ะอาหาร ก็ต้องทำให้ผมเปลี่ยนความคิดครับ

    “เดี่ยวชั้นไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ รอชั้นแป๊บนึง” แค่เพียงได้เข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นแล้วความหอม แถมหน้าตาอาหารที่ไอ้เด็กน้อยนั่นทำ ก็ช่างยั่วน้ำลายน่ากิน จนผมต้องรีบเข้าห้องมาล้างหน้าแปรงฟัน ออกไปรับประทานอาหารเช้า อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

     

    “นายหายโกรธชั้นแล้วเหรอ” ผมถามไปด้วยสีหน้ากึ่งรับกึ่งสู้ เพราะเมื่อคืนมันยังปิดประตูใส่หน้าผมอยู่เลย พอเช้ากลับเป็นคนละคน ทำอาหารให้ผมกินด้วย

    “เราจะมีสิทธิ์ไปโกรธอะไรนาย สัญญาข้อแรก นายทำอะไรก็ถูกเสมอนี่ ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไปมากกว่าต่อปากต่อคำเมื่อคืนไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเก็บมาคิดทำไม” มันอธิบายมาพร้อมกับมือที่เทน้ำใส่แก้วให้ผม

    “ดีมาก เป็นลูกจ้างที่น่ารักมาก แล้วเมื่อวานไปไหนมา” ผมชมมันก่อนถามต่อ

    “ไปหาเพื่อนมา” มันตอบมา

    “ภานุเหรอ ?”

    “ไม่ใช่อ่ะ นายไม่รู้จักหรอก”

    “ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร คงไม่ใช่แฟนนายหรอกนะ อย่ามาทำให้แผนชั้นเสียก็แล้วกัน” ผมพูดดักไว้ก่อนจะตักกับข้าวในจานกินต่อ

    “เราไม่ทำให้แผนนายเสียหรอก ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” อีกคนพูดพร้อมยิ้มมา ถึงแม้จะเป็นยิ้มไม่เต็มปากมาก แต่ก็คิดว่าผมคงไม่ได้พูดอะไรทำร้ายน้ำใจไปนะ

    “วันนี้จะเข้าไปในม.หรือเปล่า เดี่ยวเข้าไปด้วยกันเลย ชั้นมีเรียนตอนบ่าย” ผมบอกไป เมื่อนึกได้ว่าตัวเองมีเรียน และนึกได้ว่าต้องควงไปเปิดตัวสักหน่อย

    “มันคือประโยคคำถามหรือประโยคคำสั่งละนั่น ถึงแม้เราไม่มีเรียน ยังไงก็ต้องไปกับนายอยู่ดี ไม่ใช่เหรอ”

    “เก่งขึ้นแล้วนี่ ไม่ต้องให้สอนอะไรมากมาย ชั้นไปอาบน้ำก่อนละ เก็บโต๊ะล้างจานด้วยนะ ไอ้เด็กน้อย” ผมพูดจบก็ลุกจากโต๊ะพุ่งเข้าห้องตัวเอง ได้ยินเสียงไอ้ต้นกล้าบ่นพึมพำเล็กน้อยตามหลังมา แต่ผมก็หาได้หันหลังกลับไปสนใจอะไรไม่

     

     

     

    วันนี้ผมพาต้นกล้ามามหาลัยพร้อมกับผมเป็นวันแรกพร้อมกับรถเปิดประทุนคันหรูของผม เมื่อมาถึงหน้ามหาลัยผมเลยจัดการเอาหลังคารถออก เพื่อให้เห็นกันถ้วนหน้าว่าผมมากับต้นกล้า และเหมือนกับต้นกล้าจะรู้สัญญาณดี มันหันมาแสดงละครยิ้มเล็กยิ้มน้อยกับผมทันที ทั้งๆที่ตลอดทางก็นั่งเงียบทำขรึมมาตลอด

    มันทำท่าเอามือมาปัดแก้มผม มีหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เตรียมไว้มาเช็ดหน้าผากที่เหงื่อออกให้ผมด้วย ระดับออสการ์จริงๆเลยไอ้ต้นกล้าเนี่ย และเมื่อมาถึงลานจอดรถ ก็ลับสายตาคนมากขึ้น ผมเลยเอาหลังคารถเปิดประทุนขึ้นปกคลุมอีกครั้ง

    “ไงละ คนมองกันพรึบเลย คราวนี้ดังสมใจแล้วไง” ไอ้ต้นกล้าพูดออกมาทันทีครับ

    “แล้วไง นายอายเหรอที่ต้องเป็นแฟนคนหล่อ รวยแบบชั้น” ผมถามไปเพราะไม่เข้าใจในประโยคที่มันพูดออกมาว่าต้องการจะนำเสนออะไรแน่

    “ไอ้อายมันไม่อายหรอก แต่ไม่ชอบเป็นขี้ปากชาวบ้านใคร ไม่ชอบให้ใครมองแล้วก็พูดลับหลัง ดูเราสาธารณะเกินไป” มันอธิบายมา

    “อ้อเหรอ แบบนั้นอีก ปกตินายก็บุคคลสาธารณะอยู่แล้วนี่ไม่ใช่เหรอ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มมุมปากนิดๆ มันมองหน้าผมมาอย่างไม่สบอารมณ์ ผมคงพูดแทงใจดำไปสินะ

    “เราไปคณะเราละ” มันพูดพร้อมกับทำท่าเปิดประตู

    “เดี๋ยวก่อน” ผมพูดพร้อมกับดึงมือไว้

    “อะไรอีก”

    “เดี่ยวชั้นเดินไปส่ง” ผมพูดพร้อมกับเปิดประตูด้านตัวเองออก ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกทาง

    “ลงมาสิ” ผมเปิดประตูพร้อมกับบอกอีกคนให้ลงมา

    “และก็ยิ้มได้แล้ว ทำหน้าบึ้งอะไรนักหนา น่ารักตายละ”

    “เออ รู้แล้วหน่า” ต้นกล้าตะเบ้งเสียงออกมา ก่อนจะยิ้มอย่างกับกดปุ่มสวิตซ์

     

     

    ผมเดินตามมันมาที่คณะของมัน ต้นกล้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ครับ คณะของมันก็มีคนน่ารักเยอะแยะนะครับ ผมยังเคยกิ๊กกับดาวคณะนี้เหมือนกัน เลยเดินมาคณะนี้บ่อย

    “พี่วายุส่งต้นกล้าแค่นี้ก็ได้ครับ เดี่ยวต้นกล้าเดินเข้าไปเอง” ต้นกล้าทำเสียงใสพูดมาหาผม พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูจะประดิดประดอย

    “เดี่ยวตอนเย็นพี่มารับนะครับ ยังไงน้องต้นกล้าเรียนเสร็จก็โทรหาพี่ก็ได้นะครับ” ผมก็ไม่ต่างอะไรจากต้นกล้านักหรอกครับนาทีนี้ งัดกันมาโชว์สุดพลัง ดีนะครับ ที่เราแลกเบอร์กันตั้งแต่ออกจากห้องแล้ว

    “พี่วายุตั้งใจเรียนนะครับ ต้นกล้าไปละ” ผมละอยากหลุดขำกับประโยคของมัน  แล้วไอ้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีก มันเหมือนเด็กน้อยบอกลาพี่ชายที่มาส่งไปโรงเรียนยังไงยังงั้น

    ต้นกล้าเดินแยกจากผมตรงลานของคณะ เห็นเดินไปไกลๆนั่งโต๊ะที่ภานุกำลังนั่งรออยู่ ก่อนจะมีผู้ชายอีกคนรูปร่างสูงโปร่ง มองไกลๆดูดีมีภูมิฐานเดินเข้าไปนั่งด้วย สายตาเหมือนหันมาทางผม และกำลังคุยอะไรกับต้นกล้า

    ผมเลิกสนใจต้นกล้า หันหลังเดินตรงไปคณะตัวเอง ถึงจะสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ก็ไม่อยากจะวุ่นวายอะไรกับไอ้ต้นกล้ามันมาก อย่างที่มันบอก มันอยากได้เงิน มันก็ต้องไม่ทำแผนแตก

     

     

     

    “ดังใหญ่แล้วเว๊ยเพื่อนกู” ไม่ต้องทายครับว่าใคร ที่ทักผมมาแบบนี้

    “ไม่แซวกูสักคนไม่ได้เหรอวะ ไอ้สนิท” ผมพูดหน้าตายใส่มัน

    “ไม่ได้ เดี่ยวกูตกเทรนด์ มึงดูดิ กูเดินไปไหนก็ได้ยินแต่คนพูดน้องต้นกล้า พี่วายุอย่างนั้น อย่างนี้ รักกันปากจะจูบโชว์” ดูมันครับ บรรยายซะเห็นภาพเลย

    “เออ พอแล้วมึง ว่าแต่กระแสยังไงบ้างวะ” ผมถามมัน

    “ก็ดีนะ คนเค้าก็เชื่อว่าพวกมึงเป็นแฟนกันจริง แต่กูยังแอบเห็นพวกไอ้สมยศ และกลุ่มน้องมะนาวนี่แทบจะหมายหัวน้องต้นกล้าเลยละ” ไอ้สนิทบอกผม

    “ไอ้สมยศนี่มันจะอะไรกันนักกันหนากับกูวะ” ผมบ่นออกมา

    “ก็มึงเคยไปทำมันเจ็บแสบมาก่อน ไม่มีทางที่มันจะยอมมึงง่ายๆหรอก” ไอ้สนิทซ้ำเติมความหลังครั้งก่อน

    “แต่มันนานมาแล้วนะเว๊ย กูก็ขอโทษและก็ไถ่โทษมันไปหลายครั้งแล้ว แต่แม่ง ยังตามราวีไม่เลิก กูละหนื่อยกับมันจริงๆ” ผมพูดแล้วเครียด เรื่องในอดีตครั้งนั้นมันคงฝังลึกให้ไอ้สมยศตามราวีผมไม่เลิก

    “เออหน่า อย่าเอามาคิดให้มาก อีกไม่กี่เดือนก็จบๆกันแล้ว ยังมีเวลาอีกสามเดือน ที่มึงจะจัดการเรื่องพวกนี้ให้ลงตัว ด้วยตัวมึงเอง” ไอ้สนิทพูดพร้อมกับเอามือมาตบที่บ่าผมเบาๆ

    “ ไปเรียนกันไอ้หล่อ ทำหน้าเครียดเดี่ยวแก่ก่อนเมียนะมึง เมียแม่งโคตรเด็ก” และมันก็กอดคอผมเดินเข้าห้องเรียน

    ไอ้สนิทนี่เก่งครับ จิตวิทยาสูงมาก มันสามารถพูดให้ผมเครียดในนาทีที่หนึ่ง และสามารถทำให้ผมยิ้มได้ในนาทีที่สอง และมันก็รองรับผมได้ทุกอารมณ์

     

     

     

    “ฮัลโหล เราเลิกเรียนแล้ว” เสียงของต้นกล้าดังมาทางโทรศัพท์ น้ำเสียงที่ดูหยิ่งๆ งอนๆของมัน เล่นเอาผมไม่รู้อารมณ์ของมันตอนนี้เลย

    “อยู่ตรงไหนเหรอ” ผมถาม

    “รออยู่หน้าคณะนาย” มันตอบมา

    “อืม เดี่ยวชั้นออกไป” ผมตอบ พร้อมกับวางสาย พอดีกับหมดคาบเรียน

    “ต้นกล้ามารอข้างนอกละ ออกไปกัน” ผมหันไปบอกไอ้สนิท มันยิ้มให้ก่อนเดินตามผมมา

     

     

    เมื่อผมออกมาก็เจอต้นกล้านั่งรออยู่ที่โต๊ะประจำของผม โดยมีภานุเพื่อนของต้นกล้า และผู้ชายอีกคน ผมคุ้นๆว่าเป็นคนเดียวกับที่เห็นเมื่อตอนเที่ยงที่คณะของต้นกล้า เมื่อได้มองหน้าชัดๆ ผมเลยคุ้นหน้ามากขึ้น ผู้ชายคนนี้เป็นเดือนคณะวิทยาศาสตร์ปีเดียวกับไอ้ต้นกล้า มันเคยมาทำกิจกรรมร่วมกับคณะผม

    “สวัสดีครับพี่วายุ พี่สนิท” ภานุยกมือไหว้ทักทายพวกผม พร้อมกับผู้ชายคนนั้น  ผมรับไหว้ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆไอ้ต้นกล้า ต้นกล้าขยับตัวห่างจากผมเล็กน้อย จนผมต้องซัดสายตามอง

    “พี่วายุ นี่โชกุน เพื่อนต้นกล้า  โชกุนนี่พี่วายุแฟนต้นกล้า และนั่นพี่สนิทเพื่อนของพี่วายุ” ต้นกล้าแนะนำผมกับเด็กโชกุนนั่น

    “สวัสดีครับ” เด็กนั่นยิ้มตอบรับมา

    “ขนกันมาเต็มคณะพี่เลยนะน้องต้นกล้า ไม่กล้าเดินมาคณะพี่คนเดียวหรือไงกัน” ไอ้สนิทถามขึ้นอย่างขำๆ

    “อ๋อ เปล่าครับ พอดีโชกุนเค้ามีเรื่องจะมาคุยกับพี่วายุ  โชกุนเลยขอติดมาที่คณะด้วย” ต้นกล้าเล่าที่มาที่ไป ผมหันไปมองหน้าโชกุนที่เหมือนมีอะไรจุพูดกับผม

    “ที่จริงมันก็ไม่ใช่ธุระของผมคนเดียวหรอกครับ มันก็เกี่ยวกับต้นกล้านั่นแหละ” โชกุนพูดขึ้นมา

    “อืม มีอะไรก็พูดมา พี่หิวแล้ว จะพาต้นกล้าไปหาอะไรกิน” ผมพูดพร้อมกับหันไปมองหน้าไอ้เด็กต้นกล้า ที่ทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์ผมอยู่

    “พอดีว่าคณะผมจะมีค่ายอาสาอาทิตย์หน้าอ่ะครับ แล้วต้นกล้ามันอยากจะไปด้วย มันเลยมาให้ผมมาขออนุญาตพี่ให้ครับ” โชกุนพูดมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจัง ผมว่ามันนั่นแหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีอยากให้ต้นกล้าไปด้วย

    “แล้วทำไมต้นกล้าไม่บอกพี่เองละครับ” ผมหันไปถามกับต้นกล้าดีๆ

    “ต้นกล้ามันกลัวพี่วายุไม่อนุญาตมั้งครับ เลยพาผมประธานชมรมอาสามาขออนุญาตให้” ไอ้โชกุนนี่ไม่ธรรมดาจริงๆครับ ผมเคยได้ยินชื่อมันมา เค้าบอกว่ามันทั้งหล่อ ทั้งเรียนดี กิจกรรมเด่น เฟอร์เฟ็คแมนไปละ

    “พี่วายุให้ต้นกล้าไปนะครับ ภานุก็ไปด้วยเหมือนกัน อาทิตย์เดียวเอง” ภานุพูดเว้าวอนขึ้นบ้าง

    “อยากไปเหรอครับ” ผมหันไปพูดกับต้นกล้า พร้อมกับเอามือไปลูบแก้มเบาๆ แอบสังเกตหน้าของไอ้โชกุนที่เปลี่ยนสีเล็กน้อยที่ผมแอบแสดงความเป็นเจ้าของกับต้นกล้า แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันคิดอะไรกับต้นกล้า

    “แล้วจะให้ไปหรือเปล่าละ ถ้าพี่วายุให้ไปก็จะไป แต่ถ้าไม่ให้ไปก็ไม่เป็นไร” แหม ทำหน้าละห้อยเลยนะมึง รู้หรอกว่าอยากไป ทำพูดเข้า

    ผมหันมามองหน้าไอ้สนิทที่ยิ้มๆเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ และเช่นกันมันคงคิดไม่ต่างอะไรจากผม มองหน้าภานุที่แอบลุ้นคำตอบจากปากผม คงลุ้นตัวโก่งมากกว่าเจ้าตัวอีก แล้วมองผ่านไอ้เดือนประธานชมรมอาสาคณะมัน ก่อนจะมาสบตากับต้นกล้าทีเหมือนจะรอคำตอบจากผมเหมือนกัน

     

    “ก็ได้ ไปสิ” ผมตอบออกไป

    “เย่เย่เย้ !!! / เยส !!!” เสียงของภานุและโชกุนดังขึ้นหลังผมกล่าวคำอนุญาต ชักจะเกินหน้าเกินตาเจ้าตัวแฮะ

    “แต่ว่า ..” ผมพูดประโยคเงื่อนไขขึ้นมา

    “แต่อะไร” ต้นกล้าหันมาสนใจประโยคเงื่อนไขนั้น

    “พี่กับพี่สนิทขอไปด้วย ใช่มั๊ยไอ้สนิท” ผมบอกทั้งสามคนไป ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้สนิท

    “นั่นไง กูว่าแล้วไมมองหน้ากูแบบนั้น หางานให้กูนี่เอง” ไอ้สนิทบ่นออกมาครับ

    “มึงจะไปกับกูไหม เรียนมาจะจบแล้ว ยังไม่เคยออกค่ายอาสากับเค้าเลย ปีสุดท้ายแล้วหาอะไรทำกันหน่อย อีกอย่างไปกับแฟนตัวเองด้วย น่าจะสนุกไม่เบาเนอะ ต้นกล้าเนอะ” ผมพูดพร้อมกับเอามือไปโอบเอวต้นกล้าไว้ หน้าของไอ้โชกุนถอดสีตั้งแต่รู้ว่าผมจะไป ตอนนี้มีแค่รอยยิ้มฝืนๆอยู่บนใบหน้าของมัน

     

     

     

     

    “นี่นายกำลังจะแกล้งเราใช่มั๊ย” ไอ้เด็กต้นกล้าถามขึ้นทันที เมื่อขึ้นมาบนรถ

    “แกล้งอะไรอีกละครับ น้องต้นกล้า” ผมถามไปยิ้มๆ

    “ก็แกล้งเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหน้าเพื่อนเรา แล้วยังจะตามไปค่ายอาสานั่นอีก” มันถามมาหน้าตาจริงจัง หงุดหงิดกำลังสามจุดสี่แปดเลยครับตอนนี้

    “ก็นายเป็นแฟนชั้น ชั้นจะกอดนิดหยอกหน่อยไม่ได้หรือไง หรือว่ากลัวใครหึง” ผมเหน็บมันไปเล็กๆ

    “ไม่ต้องมาหาเรื่องใหม่ให้เราเพิ่มเลยนะ แค่นี้ก็เยอะแยะแล้ว  แล้วคิดดีแล้วเหรอจะไปค่ายอาสา มันชนบทนะ คุณหนูอย่างนายจะไปอยู่ได้เหรอ”

    “แคร์ที่ไหน ไปเฝ้าปลาย่างของตัวเอง ปล่อยไปหมาไหนคาบไปแดกทำไงละ แผนชั้นแตกยับเยินพอดี” ผมพูดไปอมยิ้มไป

    “ในหัวนี่ไม่เคยคิดอะไรนอกจากกลัวแผนแตกเลยสินะ” มันย้อนมาครับ

    “ใช่ ก็พอๆกับหัวนายไม่เคยคิดอะไรนอกจากเรื่องเงินเหมือนกัน” ผมก็ย้อนมันกลับ

     

     

    “โอ๊ยยยยย  อยากต่อยหน้าคนเว๊ยยยยย”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×