ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #34 : เรื่องราว , ความจริง , ความหลัง .. คาคั่งให้สืบหา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.5K
      9
      16 ธ.ค. 54

     

    ไม่รู้ว่าทุกอย่างกำลังเริ่มต้น หรือหลายอย่างกำลังเปลี่ยนไปกันแน่ .. ผมชักให้คำตอบกับตัวเองไม่ถูก

     

     

    ในวันนี้วันที่ผมมีน้ำมนต์คนที่ผมรู้สึกว่าผมรักอยู่ข้างๆ แต่เหมือนผมต้องห่างคนที่เคยอยู่ข้างๆผมตลอดเวลาไปเช่นกัน .. ใช่แล้วครับ ไอ้โอ๊ตนั่นเอง , ตั้งแต่วันนั้นมา ผมกับมันก็ไม่ได้เจอะเจอหน้ากันอีกเลย มันพยายามหลบผมตลอดเวลา ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงสอบ ผมก็ยิ่งไม่ได้พบได้เจอมัน  มันจะเข้ามาสอบสายนิดหน่อย แล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นอย่างนั้นทุกวิชา จนมาถึงวันนี้

     

    แต่ถ้าถามว่าผมทำข้อสอบได้ไหม ก็ต้องบอกว่าไอ้โอ๊ตมันยังดีที่คิดถึงพวกผม มันจะทำสรุปมาให้แล้วให้ไอ้บ่าวถ่ายเอกสารมาให้ผมอ่าน ซึ่งก็ทำให้ผมเข้าใจง่ายขึ้น

     

    มาถึงวันนี้ เป็นการสอบวิชาสุดท้าย ผมเลือกที่จะทำข้อสอบอย่างไว เพราะคิดว่ายังไงซะวันนี้ผมต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง ผมหนีเรื่องนี้มานานแล้ว และตอนนี้มันก็กลายเป็นคนหนีซะเอง ต่างคนต่างหนี ก็ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

     

     

    เมื่อไอ้โอ๊ตทำข้อสอบเสร็จและลุกขึ้นไปส่งกระดาษคำตอบ ผมก็รีบลุกขึ้นไปส่งตามๆมันไป และเดินออกนอกห้องตามมันมา

     

    “รีบไปไหนนักหนาของมึงวะ”  ผมถามขึ้นจากด้านหลัง มันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหยุดเดิน

    “โป้ .. มึงมีไร” มันถามมาทั้งที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา

    “ใจคอจะไม่คุยกับกูแล้วเหรอวะ” ผมถามไปเสียงอ่อน มันคงตกใจที่ผมมาทักมัน

    “กู .. กูไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับมึงนี่” มันตอบมาตะกุกตะกักเหมือนเดิม

    “แต่กูมี” ผมบอกมันไป มันค่อยๆหันหน้ากลับมามองผม

    “มึงมีไร  รีบพูด กูจะไปเก็บของกลับบ้าน”

    “รีบกลับจังเลยนะ ไม่ไปกินเลี้ยงกันก่อนละ สอบเสร็จทั้งที” ผมบอก

    “เอ่อ ..”

    “คืนนี้สองทุ่มเจอกันร้านเดิมนะ ต้องไปให้ได้ละ กูอยากคุยกับมึง” ผมบอกมัน

    “อือ กูขอไปคิดดูก่อน ถ้าไปคงเจอกัน” มันตอบก่อนหันหลังกลับ

    “ยังไงกูก็อยากให้มึงไป” ผมบอกมันอีกครั้ง ก่อนที่มันจะเดินจากไป

     

     

    สำหรับผมตอนนี้ลืมไปแล้วครับ ว่าใครผิดใครถูกในเรื่องนี้ ถ้ามัวแต่มองว่ามันผิด ผมถูก มันต้องมาขอโทษผม ผมว่าผมคงเสียเพื่อนอย่างมันไปแน่ มันไม่ใช่ว่าจะไม่สำนึกนะครับ แต่มันยังไม่กล้าพอ มันคงคิดว่าตัวเองผิดมหันต์ แต่สำหรับเพื่อนอย่างมันแล้ว ผมพร้อมจะให้โอกาสมันแก้ตัวอีกสักครั้ง ..

     

     

    เหมือนกับที่น้ำมนต์เคยให้โอกาสผม ..

     

     

     

     

     

    ค่ำคืนนั้นผมและผองเพื่อน รวมทั้งน้ำมนต์ ช้างน้อย และหญิงก็ไปร่วมดื่มฉลองกันที่ร้านเดิม เพราะพวกผมเพิ่งสอบเสร็จ และพวกน้ำมนต์ก็เพิ่งเสร็จโปรเจคปลายปี ถือเป็นการปลดปล่อยไปในตัว

    “วันนี้กินน้อยๆนะ” ผมบอกคนที่นั่งข้างผม โดยมีมือผมโอบเอวไว้หลวมๆ เพื่อไม่ให้อีกคนอึดอัดเกินไป

    “รู้แล้วหน่า” น้ำมนต์ตอบมาก่อนจะยกแก้วตรงหน้าจิบเหล้าในแก้วเล็กน้อย นี่ขนาดปากบอกว่ารู้แล้วนะ แต่ก็ยังยกกิน แต่ก็นะ เมาแล้วน่ารัก ก็อยากให้เมาทุกวัน

     

     

    ผมมองบรรยากาศโดยรอบ เพื่อมองหาว่าไอ้โอ๊ตจะมาตอนไหน ใจหวังว่ามันต้องมา เพราะไอ้บ่าวบอกว่า มันยังไม่กลับบ้าน แต่มันจะมาตอนไหน ไม่มีใครรู้ได้

    “มึงทะเลาะอะไรกับไอ้โอ๊ตวะโป้ เห็นไม่คุยกันเลย ไอ้นั่นก็เอาแต่หลบหน้า” พี่เอกถามผมขึ้นกลางวง เรียกความสนใจจากทุกคนที่นั่งรายล้อมอยู่

    “ไม่มีอะไรมากหรอก” ผมตอบไปยิ้มๆ เพื่อไม่อยากให้ใครกังวลอะไร น้ำมนต์มองหน้าผมอย่างกับต้องการพูดอะไรกับผม ก่อนที่หันกลับไปคุยกับช้างน้อยต่อ เหมือนไม่สนใจอะไรที่ผมพูดไป

     

     

    สักพักไอ้โอ๊ตก็เดินเข้ามาในร้านครับ มันมาจริงๆด้วย ผมรีบวางแก้วเหล้าในมือมองมันที่เดินเข้ามา มันไม่ได้มาคนเดียวครับ มันมากับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมและน้ำมนต์คงคุ้นเคยเป็นอย่างดี

     

    “แพร” เสียงของน้ำมนต์พูดถึงผู้หญิงคนนั้น เมื่อหันไปมองในทิศทางเดียวกับผม

    “มาด้วยกันได้ยังไงนะ” ผมถามขึ้นเบาๆ

    “เอ๊ย มาแล้วเว๊ย” เสียงไอ้บ่าวบอกเพื่อนๆในวง

    “อ่าวเอ๊ย มานั่งนี้มา แหม พาสาวมาด้วย เด็ดไม่เบาเพื่อนกู หายไปนาน กลับมาก็โอเพนนิ่งเชียว” เสียงพี่เอกแซวมัน พร้อมกับกวักมือให้ไปนั่งโต๊ะข้างๆแก ซึ่งก็คือฝั่งตรงกันข้ามกับผม

     

    “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว” ผมพูดกับมันพร้อมกับยิ้มๆให้

    “ไม่มาได้ไง เพื่อน  ... ชวนทั้งที” มันพูดกับผมโดยเว้นช่องว่างหลังคำว่าเพื่อนเยอะพอสมควร จนเหมือนตั้งใจ

    “แพรมาได้ยังไง” น้ำมนต์เอ่ยถามเพื่อนของเขาขึ้นบ้าง

    “ก็พี่โอ๊ตชวนมา แพรก็เลยมาอ่ะ” เธอตอบสั้นๆ เข้าใจง่าย

    “ไงไอ้โอ๊ต ไม่แนะนำให้เพื่อนๆรู้จักหน่อยเหรอ เด็กใหม่มึงอ่ะ”  ไอ้บ่าวตะโกนถาม

    “อ่อ ทุกคนนี้แพร ส่วนนี่เพื่อนๆโอ๊ต ปีโป้ บ่าว พี่เอก เอ็ม ส่วนคนอื่นๆ แพรน่าจะรู้จักนะ” มันพูดพร้อมกับแนะนำรายคน

    “สวัสดีคะทุกคน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ผู้หญิงที่เพิ่งเป็นที่รู้จักแก่กลุ่มอย่างแจ่มชัด พูดขึ้น

     

    “เด็กใหม่มึงน่ารักนะเว๊ย “ ไอ้บ่าวแซว

    “เด็กบ้า เด็กบอไรมึง เพื่อนกัน” ถึงแม้คำว่าเพื่อนกันจะขาดห้วนไปบ้าง แต่ผมก็รับรู้ได้ว่ามันต้องมีอะไรพิเศษจากการเขินอายของมัน ผมยิ้มกับมันเล็กน้อย แต่เมื่อมันมองมาสบตาผม รอยยิ้มของมันก็หายไปทันที เหลืองเพียงแค่ใบหน้าที่เฉยชาเหมือนเดิม

     

     

    เวลาของค่ำคืนนี้ดำเนินไปอย่างช้าๆ เหล้าโซดาน้ำแข็งถูกยกจัดยกมาอย่างต่อเนื่องไม่ให้ขาดสาย บรรดาเพื่อนผู้ชายของผมเมื่อเกิดอาการมึนเมา ปากก็พร่ำพูดเรื่องราวต่างๆนานา เรื่องจริงบ้าง เรื่องเล่นบ้าง เพื่อสร้างสีสันให้ครื้นเครง ส่วนคนที่นั่งข้างผม ก็กินเบาๆตามที่ผมขอ มันเลยได้แต่นั่งยิ้มและชวนคนอื่นคุยไปตามประสา

     

    ผมว่าตั้งแต่วันที่ไอ้บ่าวไปส่งน้องจอยกับช้างน้อย วันนี้สองคนนั้นดูสนิทกันผิดหูผิดตา แต่ก็คงไม่น่าแปลก เพราะไอ้บ่าวมันเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่าย มันเป็นมิตรกับทุกคนอยู่แล้ว ยิ่งช้างน้อยไม่ต้องพูดถึง ใครอยู่ด้วยก็ยิ้มแย้มได้ทั้งนั้น จะว่าไปน้ำมนต์ก็เคยบอกผม ว่าช้างน้อยมันแอบปลื้มไอ้บ่าวอยู่ แต่ผมก็ไม่กล้าเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้เขาหรอก เพราะไอ้บ่าวมันไม่ได้มีรสนิยมเหมือนกับผม แต่มันก็ไม่ได้ถือตัวรังเกียจหรือต่อต้านอะไร เพราะช้างน้อยก็ออกจะน่ารักสมชื่อขนาดนั้น ผิวขาวหน้าตี๋ (หรือหน้าหมวยดี) ที่ได้มาจากทางพ่อและแม่ ตัวเล็กๆ กำลังน่ารัก ผมทรงเกาหลีลากปะบ่า การแต่งตัวดูจะผิดหูผิดตาจากเด็กศิลป์ แต่ก็มีเสน่ห์และน่าหลงใหล ไม่แพ้คนอื่นๆในกลุ่มเค้าเลย

    ถ้าไอ้บ่าวมันจะชอบช้างน้อยสักนิด .. ผมว่าคู่นี้ก็น่าลุ้นดี

     

    “เอ๊ยมึง เดี๋ยวไอ้เดชมาด้วยนะเว๊ย” ไอ้บ่าว เพื่อนคนเดียวในกลุ่มที่รู้สึกว่าจะคุยกับไอ้เดชมากสุด พูดขึ้นหลังจากวางสาย

    “อืมๆ” ผมได้แต่ขานรับในลำคอ เพราะยังไงซะ ไอ้เดชมันก็คือเพื่อน .. คือแก้วใบหนึ่งที่ผมเคยรักและหวงแหน

    “เดี๋ยวมานะ อย่าดื่มเยอะละ” ผมบอกน้ำมนต์ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ออกมาสูบบุหรี่ ปกติผมไม่ได้เป็นคนติดบุหรี่มากมายอะไร แต่จะสูบเฉพาะเวลาเครียด และก็เวลาดื่มเท่านั้น ไม่ได้ติดถึงขั้นขาดไม่ได้ แต่ก็เลิกไม่ได้สักที ไม่รู้เป็นอะไร

     

     

    ผมเดินมาที่สูบบุหรี่หน้าห้องน้ำ เป็นลานกว้างๆ จัดไว้สำหรับคนจะมาสูบบุหรี่โดยเฉพาะ ก้นบุหรี่ของลูกค้าคนอื่นยังมีไฟสีแดงๆที่จานรองก้นบุหรี่ แสดงให้เห็นว่าคนก่อนหน้าที่มาสูบ เพิ่งออกไปไม่นาน  ผมล้วงบุหรี่ออกจากกระเป๋า ก่อนจะหยิบไฟแช็คขึ้นมา ประกายไฟช่วยให้ปลายบุหรี่มีสีแดง ควันเล็กน้อยออกมาจากปลายนั้น

     

     

    “ขอกูตัวดิ” เพื่อนที่ผมเชิญมาวันนี้ เดินเข้ามาพูดขึ้น ผมส่งซองบุหรี่ให้มัน ก่อนจะเอาบุหรี่ของตัวเองที่จุดเสร็จแล้ว สูบลมเข้าปาก และพ่นออกมา เพื่อต้องการซึมซับกลิ่น ไม่อยากให้มันตกลงไปทำร้ายปอดตัวเอง

    “ขอต่อไฟหน่อย” ไอ้โอ๊ตพูดพร้อมกับเอาบุหรี่ของตัวเองเข้าปาก แล้วยื่นหน้าของมันมาต่อกับบุหรี่ที่ผมคาบอยู่ ภาพตอนนี้คือหน้าของเราสองคนห่างกันแค่บุหรี่ต่อสองตัว ผมจ้องมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ แต่มันกลับจ้องมองหน้าผมอย่างกับต้องการจะบอกอะไร

     

    เมื่อไฟติดที่ปลายบุหรี่ของมันแล้ว ไอ้โอ๊ตจึงถอดหน้าออกไป สูบบุหรี่เข้าปอด และปล่อยควันออกมาทางจมูก

     

    “ทำข้อสอบได้มั๊ย” ไอ้โอ๊ตใช้มือคีบบุหรี่ออกจากปาก ก่อนจะถามผม สายตามองไปข้างหน้า

    “เรื่อยๆ ตามประสากูนั่นแหละ” ผมตอบไป ในท่าทางไม่ต่างจากมันนัก

    “โทษทีที่ไม่ได้ไปติวให้” มันบอก

    “อืม ไม่เป็นไร กูเข้าใจ”

    “เข้าใจว่าไง” มันหันหน้ามาถามผม

    “เข้าใจว่ามึงไม่สะดวกไง” ผมบอกมันไป ตามความคิดของตัวเอง

    “อือ  ขอโทษวะ” มันพูดก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองอะไรของมันเหมือนเดิม

    “เรื่องไรวะ” ผมถามมัน

    “ทุกเรื่อง” มันพูดออกไป สายตาก็ยังจดจ่ออยู่ที่เดิม

     

     

     

     

    “รวมทั้งเรื่องน้องเดียวด้วยมั๊ย ?” เสียงปริศนาดังเข้ามาทางพุ่มไม้ ก่อนจะโผล่หน้าเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

    “ไอ้เดช / ไอ้เดช” เสียงของผมกับไอ้โอ๊ตดังขึ้น เมื่อหันไปเจอหน้าคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

     

    “เออ กูเอง ตกใจหน้าซีดเชียวนะไอ้โอ๊ต” ไอ้เดชหันไปคุยกับไอ้โอ๊ต

    “ตกใจเชี่ยไรมึง ก็มึงเข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ใครบ้างจะไม่ตกใจ” ไอ้โอ๊ตพูดบอก

    “แล้วเมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ เรื่องน้องเดียว ทำไม?” ผมสงสัยเลยถามมัน

    “มึงก็ลองถามเพื่อนรักมึงดูสิ กูมันก็แค่เพื่อนที่มึงเคยสนิทด้วยก็แค่นั้น” ไอ้เดชยังไม่หยุดเล่นลิ้น

    “มึงอย่าไปสนใจอะไรมันเลยไอ้โป้ ไอ้เดชมันคงเมาแล้ว คงอยากขอโทษมึงเรื่องไอ้น้องเดียว” ไอ้โอ๊ตพูดบอกผม

    “เมาเชี่ยไร กูยังไม่ดื่มสักหยด” ไอ้เดชเริ่มโวยวาย

    “งั้นไป ไปดื่มกัน นานๆทีได้เจอหน้า” ไอ้โอ๊ตรีบทิ้งบุหรี่ในมือ ก่อนจะเดินเข้าไปโอบคอไอ้เดช แล้วเดินหันหลังให้ผมไป

     

     

     

     

    “เดี๋ยวก่อนพวกมึง ..” เสียงของผมทำเอาพวกมันสองคนหยุดชะงัก

    “มี .. อะไรวะ” ไอ้โอ๊ตหันมาถามผม พร้อมกับยิ้มแบบฝืนๆ

     

     

     

     

     

    “รอกูด้วย กูก็จะไปเหมือนกัน” ผมพูดพร้อมกับทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น ก่อนจะใช้เท้าขยี้ให้ไฟมอดอีกที พร้อมกับเดินตามพวกมันไป

     

     

     

    พร้อมกับความค้างใจที่เพิ่มขึ้นมากมาย .. แต่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้

     

     

     

    สำหรับผมในตอนนี้ คงเหมือนคนที่อยากจะตักน้ำใส่ตุ่ม แต่เจอแต่น้ำที่ขุ่นมัว แต่ก็ต้องฝืนตักเข้าไป น้ำที่ขุ่นมัวที่มาใหม่ ปนเปเข้าเป็นเนื้อเดียวกบน้ำที่ใสเมื่อก่อน ยิ่งน้ำขุ่นมากขึ้นเท่าไหร่ สีของน้ำในตุ่มของผมก็เริ่มขุ่นมากขึ้นเท่านั้น ..

     

     

    เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับไอ้โอ๊ต ถึงแม้ว่าผมพยายามลืมเรื่องต่างๆ และให้โอกาสมันกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีของผมใหม่ แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่มันได้ทำพลาดไปแต่อย่างใด คำขอโทษที่พูดออกมา ไม่รู้ว่ามีอะไรเคลือบแคลงใจอยู่อีกไหม มันทำให้ผมรู้สึกคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ ..

    เรื่องไอ้เดช ที่เขามาพูดประโยคชวนโลกหมุน ให้หัวผมหมุนรอบเร็วกว่าเดิมเป็นสามเท่านั้นอีก ไม่ว่าจะแก้วอันตราย และอะไรเกี่ยวกับน้องเดียวนั่นอีก มันเป็นอะไรของมัน ทำไมชอบทำให้ทุกเรื่องมีปริศนา แล้วทำไมไม่พูดตรงๆออกมา

    ตกลงผมควรจะเชื่อใจใครดี , ไอ้โอ๊ต , ไอ้เดช .. หรือตัวผมเอง

     

     

    คืนนั้นไอ้โอ๊ตดูลุกลี้ลุกลนเป็นพิเศษ ให้ไอ้เดชนั่งกินเหล้าข้างๆ โดยที่เมื่อก่อนพวกมันไม่ได้มีที่ท่าว่าสนิทอะไรกันมากมาย ผมได้แต่ตั้งข้อสงสัย ชวนพวกมันคุยเรื่อยเปื่อย โดยหวังว่าน้ำเมาจะทำให้ความจริงที่อยากรู้ออกมาบ้าง

    “บอกให้คนอื่นดื่มน้อยๆ แต่ตัวเองอ่ะ ชนลูกเดียวเลยนะ” น้ำมนต์สะกิดผม ผมหันไปยิ้มๆ

    “ไม่ต้องมายิ้มเลย เดี๋ยวก็เมาเอาหรอก” โดนดุอีกครับ

    “ไม่เมาหรอกครับ ปีโป้ซะอย่าง ไม่เมาง่ายๆหรอก” ผมตอบไปหน้ายิ้ม

    “ตาเยิ้มขนาดนี้ เรียกว่าไม่เมาได้ไง” น้ำมนต์ยังไม่ยอมยัดเยียดความเมาให้ผม

    “มันก็เยิ้มตลอดแหละ ... เวลาได้มองน้ำมนต์” ผมบอกพร้อมยิ้มอีก เขินๆยังไงก็ไม่รู้

    “ไม่คุยด้วยแล้ว จะดื่มก็ดื่มไปเลย” มันสะบัดหน้าหนี  ผมได้แต่ยิ้มๆ ก่อนที่จะเอามือไปโอบกอดมันให้แน่นขึ้น น้ำมนต์ดิ้นเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้ผมกอดโดยดี

     

     

    “เอ๊ย ไอ้เดช ช่วงนี้ทำอะไรอยู่วะ หายหน้าหายตาไปเลยนะมึง” ไอ้บ่าวตะโกนถามมาจากอีกฟากนึงของโต๊ะ

    “ก็เรื่อยๆ ช่วยงานพ่อ ตามประสากูนั่นแหละ” ไอ้เดชตอบ

    “แล้วเมียมึงละ ไปไหนแล้ว” มันถามต่อ

    “กูเลิกหมดแล้ว”

    “ไมคราวนี้โสดนานจังวะ ไม่รีบหาใหม่มาคลายเหงาหน่อยละ”

    “กูอยากเจอรักจริงๆ เหมือนคนอื่นเขาบ้าง” มันตอบมาพร้อมกับมอหน้ามาทางผม

    “เหมือนกูเหรอ ?” ผมถามขึ้นเสียงสูง เชิงเล่นเชิงจริง มือก็ดึงน้ำมนต์มาชิดตัวมากขึ้น จนอีกคนส่งเสียงอึดอัดเหมือนไม่พอใจ

    “เออ กูอยากมีแฟนน่ารักๆ แบบมึง” มันพูดพร้อมกับมองหน้าไปที่น้ำมนต์ รายนั้นก็ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะหันมาทำตาดุใส่หน้าผม เชิงบอกว่าปล่อยได้แล้ว แต่เรื่องไรผมจะยอมละ

    “พี่เดชคะ ช้างน้อยก็ว่างนะคะ” เสียงช้างน้อยดังขึ้นขัดจังหวะ

    “น้องช้างน้อย พี่ยกให้ไอ้บ่าวมันดีกว่าครับ” ไอ้เดชสวนกลับ

    “เอ๊ย ไหงโยนให้กูซะงั้นหรอก กูไม่ชอบกระเทยเว๊ย” ไอ้บ่าวเริ่มโวยวาย

    “แหม พี่บ่าว ทำไมพูดอย่างงี้ละคะ คืนนี้นเรายัง  ...” ช้างน้อยพูดพร้อมทำท่าเขินอาย ยิ่งทำให้ทุกคนอยากรู้มากขึ้น ว่าคืนนั้นมันเป็นยังไง

    “คืนนั้นทำไมช้างน้อย” พี่เอกเร่งถาม

    “ก็คืนที่ไปสงนังจอยไง พี่บ่าวยัง ..”

    “หยุดเลยช้างน้อย  ไม่ต้องพูดไรแล้ว พวกมึงอย่าไปเชื่อ กูไม่ได้มีอะไรซะหน่อย” ไอ้บ่าวเริ่มร้อนตัว

    “ม่ายยยยย กระซิกกระซิก พี่บ่าวจะทำแบบนี้กับช้างน้อยไม่ได้นะ” ช้างน้อยเริ่มออกนางเอกเจ้าน้ำตาแล้วครับ มือกรีดกรายดึงทิชชู่ที่วางอยู่กลางโต๊ะ เอาไปแตะๆริมขอบตา ประหนึ่งว่าน้ำตาซึม ท่าทางจริตจะก้าน ทำเอาไอ้บ่าวหัวเสียเลย

    “ช้างน้อยอยาพยายามฆ่าพี่แบบนี้สิ พี่ไปทำอะไรเราตอนไหน เพื่อนมันล้อพี่หมดแล้วนะ” ไอ้บ่าวถึงขั้นเว้าวอนเลยครับ

    “ทำอะไรไว้ ก็รับผิดชอบสิ คนเราอ่ะ เห็นเราเป็นผักเป็นปลาหรือไง  ม่ายย ช้างน้อยแซดดดดดดด” เธอเล่นละครได้เนียนมากครับ เรียกเสียงหัวเราะจากพวกเราได้ทุกคนเลย

    “แหม พี่แค่หอมแก้มเองนะ” ไอ้บ่าวเริ่มหลุดมาแล้วครับ

    “น่านนนนไง  ทุกคนนคะ ช่วยช้างน้อยด้วยนะคะ  ช้างน้อยไม่ยอม ช้างน้อยโดยพี่บ่าวย่ำยี” ตอนนี้เริ่มไม่รู้แล้วครับ ว่าสองคนนี้พูดจริงหรือกะเล่นเอาขำๆกันแน่

    “แต่วันนั้นพี่บ่าวเมานี่ พี่บ่าวไม่ได้ตั้งใจ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ ช้างน้อยนะ” ไอ้บ่าวก็เริ่มตามน้ำแล้วครับ

     

     

    จริงเท็จสลับกันไป มีแค่ช้างน้อยกับไอ้บ่าวเท่านั้นที่รู้ความจริง ระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน การหยอกล้อยังดำเนินไปเรื่อยๆตามทางของมัน พวกเรานั่งขำกับการหยอกล้อกันไปมาระหว่างช้างน้อยกับไอ้บ่าวอยู่พักใหญ่

     

    อยู่ๆไอ้เดชกับไอ้โอ๊ตก็เดินออกจากกลุ่มไปเงียบๆ ผมหันหลังมันนิดหน่อย บรรยากาศในโต๊ะก็ยังคงครึกครื้น  ผมเลยเลือกเดินตามสองคนนั้นไปอย่างเงียบๆ ซึ่งผมคิดว่าพวกมันก็ไปยัดบุหรี่ลงปอดกันตามปกติ ผมเลยอยากยัดลงบ้าง

     

     

    และผมคงได้เข้าไปยัดบุหรี่ลงปอดอย่างตั้งใจ ถ้าไม่เดินมาได้ยินอะไรเข้าเสียก่อน

     

     

    “มึงจะบอกอะไรไอ้โป้”

    “บอกในสิ่งที่มันควรจะรู้”

    “มันไม่ควรจะต้องรู้อะไร”

    “ต้องรู้สิ ต้องรู้อะไรหลายอย่างด้วย”

    “รวมทั้งเรื่องของเราเหรอ ?”

    “ถ้ามึงต้องการ กูก็พร้อม”

    “เชี่ยเดช !!!








    ...........................................................................................................................................................
    ขอกำลังใจเป็นแสดงความคิดเห็น ติชม วิจารณ์ กดโหวตให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    ...........................................................................................................................................................



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×