ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #25 : จะรักจนกว่าเธอจะรับ .. จะรักจนกว่าเธอนั้นจะยอม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.68K
      14
      16 ธ.ค. 54


     

    “ตี๊ด ตี๋ดีดิ๊ด ตี๊ดตี๋ดีดิ๊ด” เสียงโทรศัพท์ดังข้างหูผมตั้งแต่เช้า ก่อนเวลานาฬิกาปลุกผมอีก ผมเอื้อมมือไปกดรับสายเบอร์คนที่โทรเข้าบ่อยที่สุดในช่วงนี้ แล้วนำมาแนบหู

    “อัลโหล มึงตื่นยัง” เสียงปลายสายทักผมมา

    “ยัง มีไร กี่โมงแล้ว” ผมทั้งตอบทั้งถามไปพร้อมเสียงงัวเงีย

    “จะหกโมงเช้าแล้ว ตื่นอาบน้ำนะ เดี๋ยวกูไปรับที่บ้าน รอกูอยู่ที่บ้านละ” นายปีโป้บอกผมก่อนจะตัดสายไป ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วหลับตาอีกครั้ง

     

     

     

    “หืออ จะมารับเหรอ” ผมสะดุ้งตื่นเมื่อสมองประมวลผลคำพูดของนายปีโป้เสร็จ

    “จะมารับทำไมละเนี่ย” ผมแอบบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยกมือถือขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะปิดนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ อีกไม่กี่นาทีมันก็คงได้ทำงานของมัน พร้อมกับลุกขึ้นจากที่นอน หยิบผ้าขนหนู ตรงไปเข้าห้องน้ำ

     

     

    ตั้งแต่กลับมาจากบ้านนายปีโป้ สมองผมก็คิดเรื่องโน่นนั่นนี่เต็มไปหมด เมื่อคืนก็กว่าจะได้นอน  นาฬิกาก็เดินเข้าวันใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว

    การอยู่กับตัวเองทำให้ผมได้ตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาชีวิตผมได้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างบอกไม่ถูก เพียงผู้ชายคนที่ชื่อปีโป้เดินเข้ามาในชีวิต อะไรหลายๆอย่างก็เข้ามาเช่นกัน ความรู้สึกหลายๆอย่างเข้ามาตามลำดับเวลา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกตกใจปนงุนงงในวันแรกเจอ ความรู้สึกไม่ประทับใจในครั้งต่อมา ความรู้สึกสงสารในวันที่ล้มรถ ความรู้สึกว่าเค้าก็มีดี ตลอดจนความรู้สึกตอนนี้ .. ที่ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง

     

    เพียงแค่รู้สึกว่าไม่ได้เบื่อหน้าโหดๆที่มีหนวดมีเครา เก็กๆหยิ่งๆทำเท่นั้นๆอีกแล้ว  แต่ถ้าถามว่าอยากเจอทุกวันไหม

     

     

     

     

     

    ก็คงใช่ ..

     

     

     

     

     

     

    ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาจากบ้านก็เห็นเด็กช่างที่เกาะติดชีวิตผมนั่งรออยู่บนมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเค้า มองดูหน้าตาเหมือนคนอดหลับอดนอน ผมคิดว่าคงไม่ได้นอนนั่นแหละ ถึงได้ตื่นเช้าซิ่งมอเตอร์ไซค์มารับผมได้

     

    “แต่งตัวนานจังวะ” เสียงคนบนรถทักผมมา

    “ก็ปกติของเรา” ผมตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหา

    “งืดดดดดดด  ตัวหอมจังวะ” นายปีโป้พูด พร้อมกับเอาจมูกมาสูดดมที่ตัวผม พร้อมกับเอามือมาโอบเอวผมไว้

    “ทำไรอ่ะ เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่นะ” ผมพูดพร้อมกับเดินถอยหลังมา ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าตัวเองยังยิ้มๆอยู่

    “โห นิดหน่อยก็ไม่ได้ ให้กูชื่นใจบ้างเหอะ” คนพูดทำท่าทางหงุดหงิด ก่อนจะยกมือขึ้นมาเพื่อจะขอโอบเอวผม

    “พอเลยๆ ไปกันได้แล้ว” ผมพูดเปลี่ยนประเด็น ทำให้อีกคนหน้าหงอย รีบสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ให้ผมซ้อน แล้วออกจากบ้านไป

     

     

     

    “นึกยังไงมารับเนี่ย” ผมถามขณะกำลังนั่งรถไป นายปีโป้ขับช้าๆ เนื่องจากอากาศน่าจะหนาว และก็คงไม่รีบอะไรมาก เพราะนี่ก็เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้า

    “ไม่ได้นึกอะไร แค่อยากเห็นหน้า” มันหันมาตอบนิดนึงก่อนจะหันหน้าตรงไปต่อ

    “อยากเห็นหน้าก็รอที่วิทยาลัยก็ได้” ผมสวนไป

    “อยากเห็นหน้าคนแรก” นายปีโป้หันมาตอบเหมือนเดิม ก่อนจะเร่งเครื่องให้เร็วขึ้น ผมจึงเลือกจะจบบทสนทนาระหว่างเราสองคน

     

     

     

     

     

    ไม่นานนักก็มาถึงหน้าวิทยาลัยของผม ซึ่งก็ยังเป็นเวลาเช้ามากๆอยู่ดีที่จะมีนักเรียนนักศึกษามาเรียนกัน  นายปีโป้จอดรถไว้ก่อนจะเดินเข้าร้านป้าตามสั่งไป โดยมีผมเดินตาม

    “ป้าเอาโจ๊กหมูสอง โอวัลตินหนึ่ง กาแฟหนึ่ง” นายปีโป้สั่งอาหารและเครื่องดื่มให้ผมเสร็จสรรพ ก่อนเดินเข้าไปที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน

    “รู้ได้ไงว่าเราอยากกินโจ๊ก” ผมถาม

    “ก็กูอยากกิน”

    “เราเลยต้องกินด้วยว่างั้น”

    “กินๆไปเถอะมึงอ่ะ อย่าเรื่องมากได้มั๊ย อย่าชวนกูทะเลาะด้วย กูง่วง”

    “แล้วทำไม่รู้จักหลับจักนอน”

    “มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย” นายปีโป้พูดพร้อมกับหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่เปิดอ่านหน้ากีฬา

    “เรื่องอะไรเหรอ บอกเราได้ป่ะ” ผมพูดพร้อมกับเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามมัน

    “เรื่องของมึงนั่นแหละ” นายปีโป้พูดผ่านหนังสือพิมพ์มา ผมจึงไม่เห็นหน้าตาว่าจริงจังหรือว่าแหย่เล่น

    “คิดอะไรนักหนา เรามีอะไรให้นายต้องคิดมาก” ผมบอกไปลอยๆ ไม่อยากให้ใครมาคิดมากเรื่องของตัวเอง

    “คิดว่ามึงจะชอบกู เหมือนที่กูชอบมึงบ้างมั๊ย” นายปีโป้พูดพร้อมกับวางหนังสือพิมพ์ลง สายตาทั้งคู่จ้องมาที่ผม แววตาและสีหน้าที่ดูจริงจัง ขอบตาที่คล้ำจากการขาดการพักผ่อน ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก

    “อึ้งเลยดิ มึงน่าจะชินได้แล้วนะ กูบอกชอบมึงไม่รู้กี่ครั้งแล้ว” นายปีโป้พูดอีกครั้ง ก่อนจะพิงหลังไปบนพนัก เอามือขึ้นเซ็ทผมที่ฟูๆของเขานิดหน่อย เหมือนกับคำพูดที่พูดออกมา เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เลิกจริงจังไปเสียแล้ว

     

    “คนที่มีรักมากแบบนาย มันก็คงมองเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องง่ายๆไปหมดสินะ” ผมย้อนถามไป

    “แล้วคนที่ไม่เคยมีความรักแบบนาย ทำไมต้องสร้างกำแพงไว้ซะแน่นหนาด้วยละ” แล้วนายปีโป้ก็ย้อนผมกลับมา ด้วยท่านั่งที่จริงจังอีกครั้ง

     

     

    ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบคำถามนั้น  พร้อมกับที่โจ๊กและโอวัลตินมาวางอยู่ตรงหน้าผม นายปีโป้รับกาแฟมาคนๆ ก่อนจะซดเข้าปาก และตักโจ๊กกินอย่างลืมไปว่าตัวเองได้พูดอะไรออกมา จนทำให้อาหารมื้อเช้าของผมกร่อยลงไปในทันตา

     

     

    กำแพง นะเหรอ .. คงถูกของนายปีโป้ ผมมันคนที่สร้างกำแพงล้อมรอบตัวเองไว้สูงและแข็งแรงมาก เพราะอย่างนี้มั้ง ผมจึงไม่มีความรักกับเขาสักที เพราะไม่มีใครที่ทำลายกำแพงและก็ไม่มีใครเคยปีนข้ามมาได้ เพราะว่าผมกลัวอะไรหลายต่อหลายอย่างถ้าให้ใครเข้ามาในหัวใจของผม  การเจ็บจากความรัก ทรมารกว่าการเจ็บแบบมีบาดแผลหลายร้อยล้านพันเท่า

     

    ผมไม่ต้องการแบบนั้น ..

     

    ถึงแม้ไม่เคยรับรู้ถึงการมีคนรัก แต่ความรักมันก็รายล้อมผมไม่เคยห่าง ผมแค่รับรู้ว่ามันคือความรัก แต่ก็ไม่เคยจะสัมผัสจริงจังเสียที ไม่รู้ว่ารสชาติของการมีความรักไปพร้อมกับมีคนรักมันเป็นอย่างไร ผมต้องรอคอยคนที่ปีนกำแพงขึ้นมา หรือว่าพังกำแพงนั้นต่อไปอย่างนั้นหรือ

     

     

    หรือผมจะเลือกสร้างประตู .. เพื่อเปิดรับเขาดี

     

     

     

     

    “น้ำมนต์ ..” เสียงเรียกใสๆ ดังมาข้างๆหูผม ก่อนที่ผมจะหันไปดูหญิงสาวที่กำลังยิ้มสวยให้ผม พร้อมกับทรงผมฟูๆของเธอ

    “แพร” ผมเรียกชื่อนั้น พร้อมกับยิ้มแบบแห้งๆให้เธอไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมต้องฝืนใจยิ้ม หันไปมองอีกคนที่กินโจ๊กอยู่ก็วางช้อน และยกหนังสือพิมพ์ฉบับเดิมมาอ่านอีกครั้ง

    “ทำไมมาเช้าจังเลย แพรขอนั่งด้วยคนนะ” เธอพูดพร้อมกับลากเก้าอี้หัวโต๊ะนั่งลง พร้อมกับยิ้มมาให้ผม

    “พอดีเพื่อนไปรับมาหน่ะ” ผมพูดพร้อมกับส่งสายตาไปหาคนที่ลดระดับหนังสือพิมพ์มาสังเกตการณ์สนทนาระหว่างผมกับเธอ

    “อ๋อเหรอ วันนี้น้ำมนต์ว่างมั๊ย แพรอยากชวนน้ำมนต์ไปดูนิทรรศการ ที่หอศิลป์เค้าจัดนิทรรศการชุดใหม่ ศิลปินคนนี้เก่งมากเลยนะ ถ้าไปดูรับรองว่าต้องได้แรงบัลดาลใจมาทำโปรเจคแน่ๆเลย” เธอพูดมาเสียงใส ก่อนจะค้นกระเป๋าของเธอ แล้วส่งแผ่นพับโฆษณานิทรรศการมาให้ผม

    “เอ๊ยย ศิลปินคนนี้นี่ น้ำมนต์ก็ชอบเค้า เค้ามาจัดนิทรรศการที่หอศิลป์เหรอ” ผมตื่นเต้นที่เห็นแผ่นพับนั้น เพราะเป็นศิลปินที่ผมติดตาม คนที่อ่านหนังสือพิมพ์แอบชะเง้อมองแผ่นพับใบนั้น แต่ก็ยังเงียบสังเกตการณ์เหมือนเดิม

    “ใช่แล้ว ไปกันมั๊ยเย็นนี้” แพรถามผมอีกครั้ง

    “เอ่อ ..” ผมยังอ้ำอึ้ง สายตาของคนที่อ่านหนังสือพิมพ์จ้องมาแบบไม่พอใจ

    “ดูอะไรกันยะ ท่าทางจะสนุกกันใหญ่” เสียงของช้างน้อยดังมาพร้อมกับดึงแผ่นพับจากมือผมไป

    “มาไวจังเลยน้ำมนต์” หญิงทักผมมา พร้อมกับนั่งลงในเก้าอี้ตัวถัดไปจากผม

    “อ้าว พี่ปีโป้ มาเช้าจังเลยนะคะ” ก่อนที่หญิงจะหันไปทักนายปีโป้ ที่เอาหนังสือพิมพ์ลงแล้ว

    “อุ๊ย นิทรรศการศิลปะ น่าสนจังเลยอ่ะ พี่ปีโป้ดูสิ” ช้างน้อยพูดพร้อมกับเดินไปนั่งข้างๆนายปีโป้ แล้วยื่นแผ่นพับให้นายปีโป้ดู  นายปีดป้เหลือบตามองเล็กน้อย

    “ไปดูด้วยกันมั๊ยช้างน้อย” แพรถามขึ้นมา

    “ไปป่ะ หญิง” ช้างน้อยพูดพร้อมกับส่งแผ่นพับให้หญิง โดยไม่ได้หันมาสนใจอะไรแพรเลย

    “แล้วแต่สิ น้ำมนต์ว่าไง” หญิงอ่านรายละเอียดเล็กน้อยก่อนถามผม

    “ไปเถอะนะน้ำมนต์ แพรอยากไปเดินดูกับน้ำมนต์ น้ำมนต์ต้องแนะนำแพรได้ดีแน่ๆ”

    “วิทยากรเค้าก็มียะ” ช้างน้อยเหน็บเบาๆ แต่ก็ได้ยินกันถ้วนหน้า

    “ไปเนอะน้ำมนต์ บ่ายนี้ก็ว่างด้วย” แพรยังคอยถามผม

    “ไปก็ไปครับ ไปกันหมดนี่เลย” ผมพูดบอกแพรไป

    “หมดนี่ พี่ปีโป้ด้วยเรอะ” หญิงถามขึ้นมา พร้อมกับอมยิ้มมาหาผม

    “แล้วแต่เขาสิ” ผมตอบไปลอยๆ

    “ไปไหมคะ พี่ปีโป้ ไปดูนิทรรศการกัน” ช้างน้อยถามนายปีโป้ ที่นั่งเงียบมานานมากๆ นายปีโป้หันมามองหน้าผมอย่างต้องการคำตอบจากใบหน้าผม แต่ผมก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไป จนนายปีโป้ทำหน้าบึ้งๆ และตอบมาว่า

     

    “ไม่ไปอ่ะ  พี่ไม่ชอบ”

     

     

     

     

     

     

     

    “พี่ปีโป้ ทางนี้” เสียงช้างน้อยกวักมือเรียกนายปีโป้ คนที่บอกว่าจะไม่มา แต่ก็โผล่มาจนได้

    “ไหนบอกว่าไม่อยากมา” ผมถามทันทีที่เห็นหน้านายปีโป้

    “ก็อยากมาแล้ว จะทำไม” กวนตั้งแต่เจอหน้าเลยสินะ

     

    “ไปกันเถอะน้ำมนต์” ผมไม่อยากสนใจนายปีโป้เท่าไหร่ ประจวบกับที่แพรเรียกผมพอดี ผมเลยปลีกตัวไปเดินกับเธอ ทิ้งให้นายปีโป้อยู่กับช้างน้อยและหญิงไป

     

    ผมกับแพรเดินดูนิทรรศการกันเพลินเลยครับ ศิลปินคนนี้ยังไม่ค่อยดังมากในวงกว้างครับ แต่ผลงานของเค้าก็เป็นที่น่าสนใจเลย การตวัดปลายสีของพู่กันเค้ามีเรื่องราวเล่าได้มากมายเลยครับ แต่ส่วนมากเค้าจะเน้นเรื่องราวเกี่ยวกับท้องฟ้า เพราะว่าศิลปินคนนี้มีความทรงจำเกี่ยวกับท้องฟ้าในวัยเด็กของเค้า

     

    “ภาพนี่สวยจัง” ผมพูดออกมาขณะยืนดูภาพๆหนึ่งที่มีสีตวัดไปมา อย่างวกวน สีต่างๆขัดกันอยู่ในตัว แต่เมื่อมารวมกันมันผสมผสานกันอย่างลงตัวเช่นกัน ศิลปินใช้สีอ่อนเป็นพื้นหลัง และใช้สีเข้มๆตวัดไปมาอย่างไม่มีที่มาและที่ไป

    “เหมือนกูกับมึงเลยเนอะ” จู๋ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้านหลังผม พอหันไปดูก็เป็นนายปีโป้ เดินตามมาทันผมตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วเนี่ย แล้วแพรละ

    “มึงเป็นเหมือนพื้นหลังอ่อนๆของภาพนี้ ที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย กูเป็นเหมือนเส้นสีที่ตวัดไปมา ภาพนี้สวยเพราะมีสองส่วน” นายปีโป้พูดความคิดของตัวเองออกมา ทำเอาผมแปลกใจในคำพูดของเขามาก นี่เขามองศิลปะออกด้วยเหรอ

    “ชีวิตมึงจะไม่จืดชืด ถ้ามีชีวิตกูเข้าไปอยู่ด้วย เหมือนกับภาพนี้ไง” มันด่วนสรุปให้ผมฟัง

     

    “ดูเป็นด้วยเรอะ” ผมหันหน้าไปถาม

    “ไม่เป็นหรอก แค่อยากเอามาโยงให้เข้ากับกูและมึงเฉยๆ” นายปีโป้พูดพร้อมกับยิ้มๆให้ผม

    “บางทีสีอ่อนๆด้านหลัง ก็อยากสวยงามในแบบของมัน โดยไม่ได้ต้องการความวุ่นวายของสีเข้มก็ได้นะ” ผมพูดตอบไปพร้อมกับมองหน้านายปีโป้ รอยยิ้มนั้นค่อยๆลดลง

     

    “น้ำมนต์ทางนี้ ภาพนี้สวยมากเลย” เสียงของแพรเรียกผมพร้อมกับการกวักมือ ผมหันไปมองแพรและเดินไป โดยทิ้งอีกคนให้ยืนมองภาพนั้นอยู่ที่เดิม

     

     

     

     

    เราใช้เวลาตลอดทั้งเย็นที่นั่น  ผมเดินกลับมาทางเดิมก็ต้องแปลกใจกับคนๆนึงที่ยืนอยู่ตรงนั้นที่เดิม นายปีโป้ที่ยืนมองรูปนั้นอย่างพิจารณา จนผมไม่รู้ว่าต้องการมองให้รู้ถึงวิธีการวาดหรือไง

     

     

    “มึง กูรู้แล้ว” อยู่ๆนายปีโป้ก็หันหน้ามา พร้อมพูดเสียงดัง ทำเอาคนที่อยู่ตรงนั้นมองมันเป็นตาเดียว

    “อะไร” ผมถามกลับไปเบาๆ

    “กูรู้แล้วว่าทำไมสีอ่อนๆจึงต้องการสีเข้มๆ” นายปีโป้พูดออกมาด้วยท่าทีดีใจ แพรที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ก็ยืนงงอยู่กับสิ่งที่เห็น

    “เพราะอะไรละ” ผมถามกลับไปเพราะอย่างรู้เหตุผลที่นายปีโป้คิด

    “มึงฟังกูดีๆนะ” มันพูดอย่างเตรียมพร้อม มีการหายใจเข้าออก เพื่อระงับความตื่นเต้น ผู้คนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น ต่างก็รอลุ้นว่าเด็กช่างเสื้อช็อปคนนี้จะสื่อความหมายของรูปอย่างไร

     

     

    นายปีโป้ยิ้มให้กับผู้คนที่กำลังมองมาที่มันอย่างกับตัวเองเป็นดารา ผมหันไปมองคนด้านหลังที่เป็นนักเรียนบ้าง นักศิลปะบ้าง ที่ยืนอยู่ประมาณสองสามคน คงหลวมตัวบ้าไปตามเด็กช่างคนนี้ไปแล้ว

     

     

    “สีอ่อน มันแสดงถึงความอ่อนโยน แต่สดใส น่ารัก แอบหม่นๆบ้าง แต่กูเชื่อว่า เวลามองแล้วจะยิ้มได้ทุกเวลา” นายปีโป้พูดพร้อมกับมองมาที่หน้าผม แววตาของเค้าบ่งบอกว่าสีอ่อนสีนั้น หมายถึงผม

    “แล้วถ้าสีเข้มมันคือความก้าวร้าว มันคือความเข้มแข็ง ความดื้อรั้น แต่มันก็คือความจริงจัง และจริงใจ ถ้าตั้งใจจะทำอะไร มันก็แสดงว่าสิ่งๆนั้นมีความสำคัญจริงๆ” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสีเข้มนั่นหมายถึงตัวเค้า และผมกำลังคิดว่านายปีโป้กำลังนอกประเด็นอย่างเห็นได้ชัด คนอื่นๆเริ่มมาดูมากขึ้น สงสัยจะรำคาญเสียงดังๆของเค้า เห็นช้างน้อยกับหญิงก็ยืนอยู่อีกด้านนึงของห้องนี้

    “คนที่ดี คือคนที่ต้องมีทั้งความอ่อนโยน และความเข้มแข็ง ภาพที่ดีคือภาพที่มีทั้งความอ่อนและความเข้มและต้องลงตัว คู่รักที่ดีก็ต้องมีทั้งคนอ่อนและคนที่แข็ง” นายปีโป้พูดอย่างเร็วๆ สายตามองมาที่หน้าผม ผมว่าผมเข้าใจภาพนั้นไม่ต่างจากที่นายปีโป้รู้หรอก  นายปีโป้นิ่งเงียบไปสักพัก เค้าก้มหน้าสูดลมหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามามองผมอีกครั้ง พร้อมกับประโยคหยุดโลก

     

     

     

     

     

     

    “เป็นแฟนกับกูนะ  .. น้ำมนต์”








    ...........................................................................................................................................................
    ขอกำลังใจเป็นแสดงความคิดเห็น ติชม วิจารณ์ กดโหวตให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    ...........................................................................................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×