ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรัก .. เปื้อนสี ( Yaoi )

    ลำดับตอนที่ #14 : แล้วมันเริ่มยังไง .. ตกลงฉันก็ไม่เข้าใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.05K
      19
      16 ธ.ค. 54

    “น้ำมนต์ ทางนี้” เสียงเรียกผมจากหญิง ดังมาตั้งแต่ไกล มาทางร้านป้าตามสั่ง มองเข้าไปก็เห็นหญิง ช้างน้อย และแขกประจำกลุ่มผมไปแล้ว .. นายปีโป้

    “วันนี้ทำไมมาช้า” นายปีโป้ถามผม

    “เวลาปกติของเรานี่” ผมบอก

    “สายไปห้านาที” นายปีโป้เถียง

    “รอรถนาน”

    “ทีหลังให้กูไปรับ”

    “ ..” ผมไม่อยากเถียงแล้วครับ

     

    “ช้างน้อยทำงานถึงไหนแล้ว” เลยเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับช้างน้อยแทน

    “เนียนเสมอนะยะ”

    “อะไรนะ”

    “อ๋อ เปล่า ใกล้เสร็จละ แกอ่ะ”

    “ยังไม่ถึงไหนเลย คิดอะไรไม่ค่อยออกช่วงนี้”

    “มัวแต่คิดอะไรอยู่ละ” นายปีโป้แทรกเข้ามาอีกแล้ว

    “นั่นดิ คิดมากเรื่องอะไรหรือเปล่าน้ำมนต์” หญิงก็ถามมาด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่สมองมันตื้อๆอ่ะ  เลยคิดคอนเซปต์ไม่ค่อยออก” ผมบอกทุกคนไป

    “คิดถึงกูอยู่อ่ะดิ” นายปีโป้พูดออกมาอย่างมั่นใจ

    “สำคัญตัวเอง” ผมบอกไป

    “หยุดๆ ทั้งสองคน ทะเลาะกันตั้งแต่น้ำมนต์หย่อนก้นลงเก้าอี้ ตอนนี้ยังไม่เลิกอีก พี่ปีโป้มีไรคะ มารอเพื่อนหนูแต่เช้าเชียว”  ช้างน้อยห้ามพวกเรา และหันไปถามแขกที่ไม่ค่อยได้รับเชิญนัก

    “ค่ำนี้ไปกินน้ำชากันนะ พี่เลี้ยง” นักเลงใจโตบอกทุกคน

    “เย้ ดีจัง ไม่ได้ไปกินนานมากๆแล้ว” ช้างน้อยดีใจออกหน้าออกตา

    “ดีใจที่ได้ไปกินน้ำชา หรือว่าจะได้เจอใครกันแน่จ๊ะ” หญิงแอบเหน็บช้างน้อย

    “พูดอะไรของเธอย่ะหญิง ชั้นอยากไปกินน้ำชากับพี่ปีโป้เค้าเฉยๆ” ช้างน้อยตอบมาหน้าแดง

    “ไม่ไปอ่ะ เราอยากกลับไปทำงาน” ผมพูดออกมา ทำเอาทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว

    “ไม่ได้ ไปคืนเดียวเอง ฉลองกูเอาเฝือกออก” นายปีโป้หันมาบอกผมหน้าตาเครียด

    “ไปเถอะนะน้ำมนต์ นะนะ ชั้นอยากไปอ่ะ ถ้าแกไม่ไป พวกเราก็อดไปนะ” ช้างน้อยอ้อนผม

    “ใช่น้ำมนต์ ไปเถอะนะ ไปพักผ่อน สมองจะได้ปลอดโปล่ง จะได้คิดอะไรได้เยอะขึ้นไง” หญิงก็บอกมาอีกคน

    “ไม่รู้แหละ มึงต้องไป เดี๋ยวเลิกเรียนกูมารับ พี่ไปก่อนนะน้องๆ” ตัวเผด็จการพูดเสร็จก็ลุกหนีไป

     

     

    “เข้าไปเรียนกันเถอะ” เสียงหญิงบอกผมกับช้างน้อย พร้อมกับการลุกขึ้นเข้าวิทยาลัยของเรา

    “น้ำมนต์”  เสียงผู้หญิงเสียงใสเรียกผมมาจากด้านหลัง

    “อ้าว แพร ทำไมวันนี้เพิ่งมาละ” ผมหันไปถามหญิงสาวที่มาด้วยท่ากระเซอะกระเซิง

    “พอดีเราตื่นสายอ่ะ นี่กำลังเข้าไปเรียนใช่ป่ะ ไปด้วยคนดิ” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น พร้อมกับเอามือสาวผมให้เป็นระเบียบ จากการฟูของการนั่งวินมอไซค์มาหน้าวิทยาลัย

    “ไปดิ” ผมตอบสั้นๆ พร้อมกับยิ้มเชื่อเชิญ หันไปมองช้างน้อยที่หน้าไม่บอกบุญนัก ก่อนจะเชิดใส่ผมแล้วเดินนำไปกับหญิง

     

     

     

    แล้วเย็นนั้นก็มาถึง เป็นเย็นที่ผมไม่อยากจะให้ถึงเวลาเลิกเรียนเร็วนัก  ผมรู้สึกว่ายิ่งตัวเองยิ่งพยายามหนีจากคนที่ชื่อปีโป้ แต่ผมก็เหมือนกับต้องพบต้องเจอ สิ่งที่รายรอบตัวเค้า เหมือนเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ผมต้องพบเจอไม่เว้นวัน ไม่เว้นแต่เพื่อนของผมตอนนี้ก็คงกลายเป็นพวกของนายปีโป้ไปหมดแล้ว

     

    “ขึ้นมาดิ” เสียงของคนที่ชวนผมไปกินน้ำชา พูดจาด้วยน้ำเสียงเชื้อเชิญ

    “นี่จะไปกินน้ำชาเลยใช่ป่ะ” ผมถาม ทั้งที่ยังยืนคุยอยู่ ส่วนรถคันอื่นๆก็ทยอยไปกันหมดแล้ว แม้กระทั่งหญิงกับช้างน้อย ที่คงจะแว๊นตามเพื่อนๆของนายปีโป้ไป

    “ทำไม อยากไปไหนก่อนเหรอ”

    “แค่ถามดู เพราะนี่ก็เพิ่งเย็น เค้าขายแล้วเหรอ”

    “ขายแล้ว แต่ยังไม่ไปกิน”

    “หมายความว่าไง”

    “หมายความว่ารีบขึ้นมา”

    “แล้วจะไปไหน”

    “ขึ้นมาเถอะ กูไม่พาไปขายหรอก” 

     

     

     

     

    และก็เป็นอย่างที่นายปีโป้ว่าครับ มันไมได้พาผมมาขาย แต่เรากำลังจะดูหนังกัน

    “แล้วคนอืนๆละ” ผมถาม

    “เข้าไปแล้วมั้ง ก็มึงอ่ะชักช้า” ผิดที่ผมอีกแล้ว

    “แล้วนึกไงจะดูหนัง”

    “กูอยากดู”

    “แล้วไม่ถามคนอื่นบ้างเหรอ”

    “กูบอกว่ากูเลี้ยง มันก็เลยตกลงดูกันหมด”

    “แล้วไม่ถามเราเหรอ”

    “ไม่จำเป็นนี่”  นายปีโป้พูดกวนตีนก่อนจะดึงมือผมเข้าไปในโรง ที่ในขณะนี้โรงมืดไปหมดแล้ว  แต่หนังยังไม่เริ่ม ยังอยู่ในช่วงตัวอย่างหนัง

    “นั่งนี้เลยเหรอ” ผมถาม เมื่อนายปีโป้พามาที่นั่งบนสุดของโรง และไม่มีคนอื่นๆนั่งเลย เนื่องจากเป็นที่นั่งวีไอพี

    “อืม ใช่”

    “แล้วคนอื่นละ”

    “นั่งล่างๆ”

    “แล้วทำไมไม่นั่งกับเพื่อน”

    “มึงอย่าเรื่องมากได้มั๊ย  นั่งลง” นายปีโป้พูดพร้อมกับดึงผมลงนั่ง ด้วยความที่เป็นเบาะนั่งวีไอพีสำหรับสองคน ผมกับนายปีโป้จึงไม่มีพนักกั้นระหว่างเราสองคน ผมจึงเขยิบไปนั่งติดมุมทางพนักอีกข้างหนึ่ง

    “หึหึ” เสียงของมันเหมือนจะขำผม

    “กลัวกูเรอะ” มันถาม

    “เปล่า อึดอัด” ผมบอกไป

    “เหรอ กูคงเชื่อ” มันพูดแค่นั้น แล้วตัวมันก็พิงไปอีกทางนึงเช่นกัน

     

    หนังที่ดูวันนี้ตอนแรกผมนึกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์ทุ่มทุนสร้าง  ซึ่งคงเหมาะกับบุคลิกของนายปีโป้ แต่เปล่าเลย ผมกลับได้มาดูหนังอาร์ต ซึ่งไม่บ่อยนักที่หนังพวกนี้จะได้ฉายในโรงทั่วประเทศ เป็นหนังสร้างแรงบัลดาลใจให้กับคนที่มีความฝัน  ถึงแม้เนื้อหาจะเดินไปแบบเรื่อยๆ แต่ก็มีการวางพล็อตเรื่องไว้อย่างสมบูรณ์ จนผมเผลอรักหนังเรื่องนี้

     

    “นาย นาย” ผมปลุกคนที่พาผมมาดูหนังเรื่องนี้ แต่ก็ดันหลับตั้งแต่กลางเรื่อง

    “อือ จบแล้วเหรอ” นายปีโป้ถามมาอย่างงัวเงีย

    “เปล่า” ผมบอก

    “แล้วปลุกกูทำไม”  นายปีโป้พูดมาอย่างหงุดหงิด

    “เข้ามาหลับ แล้วจะเข้ามาดำไม” ผมถาม

    “ก็อยากให้มึงดูไง เผื่อมึงจะคิดงานของมึงได้”  จะว่าตกใจกับคำตอบนั้น ก็คงบอกว่านิดหน่อย แต่ก็คงไม่เยอะมาก เพราะผมก็คิดอยู่ว่ามันก็คงไม่ชอบหนังแบบนี้นัก

    “งั้นก็นั่งเป็นเพื่อนเราหน่อย” ยังไงถ้ามีใครดูเป็นเพื่อนผม ผมก็คงได้ปรึกษาเนื้อหาของหนังบ้าง นี่ถ้านั่งกับหญิงกับช้างน้อย คงได้ซักไซร้กันสนุก

    “อือ” นายปีโป้พูดพร้อมกับเอาหัวมาพิงที่บ่าผม

    “ทำไรอ่ะ”

    “ขอพิงหน่อย มันง่วง”

    “เดี๋ยวก็หลับอีก”

    “ไม่หลับหรอก” คงเชื่อละครับ

     

    ก่อนที่ผมจะดูหนังทีเหลือไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยเลิกเถียงกับนายปีโป้  นายปีโป้คงดูกับผมได้นิดหน่อย ก่อนจะหลับไปต่อ  จะว่าไปถ้ามาดูตอนนี้ก็ปะติดปะต่อเนื้อหายากแล้วเหมือนกัน

     

     

    “เอ๊ย น้ำมนต์ ชอบป่ะ เราว่าหนังเรื่องนี้โอเคมากเลยนะ” หญิงถามผมเมื่อเราออกมานอกโรงแล้ว

    “ชอบๆ หนังดีเนอะ” ผมบอกเธอ

    “ชั้นว่าถ้าเปลี่ยนตอนจบนิดนึง จะเฟอร์เฟ็คมาเลย” ช้างน้อยแอบวิจารณ์

    “แต่เราว่าตอนจบแบบนี้แหละดีแล้ว ให้คนไปคิดต่อยอดเอา” ผมบอกช้างน้อย

    “เราว่าไปกันเถอะ พวกพี่ปีโป้รอใหญ่แล้ว” หญิงพูดขึ้น ผมเกือบลืมไปเลยว่ามากับพวกนั้น นึกว่ามาดูกันสามคน

     

     

     

    “คุยกันสนุกเชียวนะ” นายปีโป้เหน็บผม

    “ก็หนังมันสนุก”

    “สนุกอะไร ง่วงชิบหาย”

    “ตาไม่ถึง ไปว่าหนังเค้า”

    “กูพามาดู กูเลี้ยงด้วย ไม่ขอบคุณกูหน่อยเหรอ”

    “ทวงบุญคุณเหรอแค่นี้ เราจ่ายค่าตั๋วคืนก็ได้นะ” ผมพูดพร้อมกับชักกระเป๋าเงินออกมา

    “ไม่ต้อง !!!” นายปีโป้พูดขึ้นเสียงดัง

    “ไม่ขอบคุณก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำแบบนี้ กูไม่ชอบ” นายปีโป้พูดพร้อมกับเดินนำผมไปที่รถ

     

    เป็นอะไรของเค้าอีกละเนี่ย

     

     

     

    แล้วเราก็มาถึงร้านโรตีชื่อดังของเมือง ซึ่งเหมือนกับได้มีการจับจองไวแล้ว พอเรามาถึงก็ได้นั่งโต๊ะใหญ่สุด ที่พอดีกับจำนวนคน ไม่พอดีสิ เหลือว่างอีกสองที่นั่ง ซึ่งผมคิดว่าคงมีคนตามมาทีหลัง

     

    “กินอะไรสั่งเลยนะ กูเลี้ยง”  นายปีโป้บอกทุกคน

    “ใจปล้ำจริงเว๊ย นายหัวกู” พี่บ่าวพูดแซวมา

    “ก็ดูก่อนมากับใคร มากับน้องน้ำมนต์ก็ต้องโชว์พาวกันหน่อยดิวะ” พี่เอกเสริมต่อ

    “พวกมึงจะกินก็เงียบๆกันไป พูดมากกูให้จ่ายเองนะเดี๋ยว”  เสียงของนายปีโป้ที่นั่งอยู่ข้างผมดังขึ้น และแน่นอน ผมก็ไม่ได้เต็มใจนั่งข้างนายปีโป้มากนัก แต่ก็โดนจัดที่นั่งให้เรียบร้อย นั่งใกล้ไม่พอ นายปีโป้ยังเอามือมาพาดไว้ที่พนักพิงหลังของผม ทำให้ผมไม่อยากจะพิงหลังเลย

     

    “แล้วอีกสองคนใครเหรอ” ผมถามขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีคนอื่นมา

    “อ๋อ รุ่นน้องกู กูอยากให้มึงรู้จักพวกมัน” นายปีโป้บอกผม

    “อยากให้รู้จักเรา ทำไมเหรอ”

    “ก็อยากให้รู้จักอ่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เหตุผลของเค้า ฟังดูดีมาก

    “แล้วไหนละ ไม่เห็นจะมา นี่ก็กินกันจนอิ่มหมดแล้วนะ” ผมบอก เมื่อเห็นอาหารตรงหน้าหมดไปอย่างกับทานบุฟเฟ่ต์

    “เออวะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ไอ้โอ๊ตไหนพวกไอ้นัทไอ้เป้วะ” นายปีโป้บอกผมก่อนที่จะตะโกนถามพี่โอ๊ตที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

    “ไม่รู้วะ สงสัยจะเบี้ยวมึงแล้ว”  พี่โอ๊ตตะโกนบอกมา

    “มันแน่มาก !!!” เสียงของนายปีโป้ดูโกรธเคืองมาก

    “มีไรกันวะ” พี่เอกถามขึ้น

    “ไม่มีไรพี่ เด็กเบี้ยวนัดมัน มันเลยโกรธ” พี่โอ๊ตอธิบาย

    “พี่คิดเงินเลย” พี่โอ๊ตเลยสั่งให้พนักงานคิดเงิน จะได้กลับๆกัน

     

     

    “ไม่เห็นต้องโมโหอะไรขนาดนั้นนี่” ผมบอกนายปีโป้ เมื่อเราออกมาจากนอกร้านกันแล้ว

    “ไม่ได้เว๊ย มันหยามกู กูนัดแล้วไม่มา มันเสียชื่อนักเลง”

    “เสียชื่อหรือเสียหน้าที่เค้ากล้าไม่มา”

    “ ..”

    “แล้วเค้าสำคัญมากนักเหรอ ถึงทำให้อารมณ์ขึ้นขนาดนั้น”

    “ไม่”

    “แล้วทำไมต้องหยุดหงิด”

    “เพราะ ..”

    “เพราะ ?”

    “เพราะมันสำคัญสำหรับเรา”  นายปีโป้บอกผมอย่างงงๆ ก่อนที่จะเริ่มสตาร์ทมอเตอร์ไซค์

    “ขึ้นมา” มันบอกผม

    “ไปไหน ?”

    “ขึ้นมาเหอะหน่า ยังไงกูก็ต้องไปส่งมึงที่บ้านอยู่แล้ว” นายปีโป้พูดมาอย่างหงุดหงิด เร่งหใผมรีบซ้อนมัน

     

    “ไปหน้าโรงเรียนมัน” นายปีโป้ตะโกนบอกพี่โอ๊ตที่ขับรถตามหลังมา แล้วรถก็วิ่งไปด้วยความเร็วทั้งที่โรงเรียนจะไปนั้น ไม่ได้อยู่ไกลอะไรเลย

     

    “มาทำไมอ่ะ” ผมถาม

    “มาจัดการพวกไม่รักษาคำพูด”

    “นายจะมาชกต่อยเค้าเหรอ” ผมถามด้วยความเป็นห่วงคู่กรณีมัน

    “ไม่หรอก ไม่ต้องลงมือกพวกมันก็หัวหดแล้ว”

    “ให้มันแน่นะ”

    “เออ มึงห่วงกูเหรอ”

    “เปล่าหรอก เราห่วงเด็กในโรงเรียนนั่นต่างหาก”

    “กูนึกละ มึงเหรอจะมาห่วงอะไรกู รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูออกมา ไปไอ้โอ๊ต”

     

    แล้วนายปีโป้ก็เดินเข้าไปในโรงเรียนกับพี่โอ๊ต ทิ้งให้ผมยืนเฝ้ามอไซค์อยู่  ในเวลานั้นผมก็คิดไปว่า คนที่นายปีโป้มาหานั้นเป็นใครกัน แล้วมีความสำคัญอะไรกับนายปีโป้นะ ไม่สิ นายปีโป้ว่ามีความสำคัญสำหรับเรา .. เรานั่นก็หมายถึงผมกับนายปีโป้

     

    แล้วมันจะมีความสำคัญกับผมได้ไงละ .. เฮ้ออ ยิ่งคิดก็ยิ่งงง

     

    ผมได้ยินเสียงของนายปีโป้ดังมาเป็นระยะ  แต่ก็คงเป็นเสียงของการขู่มากกว่า  เมื่อเห็นว่าเข้าไปนาน ผมเลยเดินเข้าไปดู เชิงเร่งให้รีบๆด้วย

     

    “เอ๊ยไอ้โป้ ไปกันก่อนเถอะ  ไอ้มนต์มันรอใหญ่แล้ว เดี๋ยวมันก็เหวี่ยงใส่มึงอีก” เสียงของพี่โอ๊ตตะโกนบอกนายปีโป้ โดยใช้ชื่อผมอ้าง

    เออๆ  วันนี้กูแค่มาบอกว่าอย่าหนีกูอีก ถ้าไม่อยากมีเรื่อง มึงสองคนได้ช่วยกูแน่ กูไปก่อนละ” และนั่นก็เป็นเสียงของนายปีโป้ นี่ขนาดพูดให้เขาช่วยนะ แต่ก็ยังไปขู่เค้าอีก

     

    ผมมองเห็นกลุ่มเด็กกลุ่มนั้นแบบลางๆ แต่น่าจะเป็นเด็กม.ปลายกัน หน้าตาก็ดูดีกันทุกคน และไม่น่าจะมีเรื่องกับกลุ่มของนายปีโป้ได้ ผมว่านายปีโป้นี่แหละ ที่ตั้งใจจะไปหาเรื่องพวกนั้น ..

     

    “ไปกลับกัน” นายปีโป้เดินมาบอกผม

    “นายทำอะไรเด็กพวกนั้นบ้าง”

    “กูต่อยไปคนละหมัด แตะก้านคอมันคนละที กระทืบพวกมันอีกสองสามครั้ง”

    “โหด” ผมพูดพร้อมกับเดินหลีกมัน

    “นี่มึงหาว่ากูเลวขนาดนั้นเลยเหรอ” นายปีโป้พูดพร้อมกับดึงมือผม ทำให้ผมเซไปทางมัน

    “ไม่รู้นายสิ เท่าที่พูดมาคนดีๆเขาทำกันเหรอ”

    “เมื่อไหร่มึงจะเลิกมองกูที่ภายนอกสักที” นายปีโปพูดพร้อมกับสะบัดมือผมออก

    “ก็ ..”

    “ใช่สิ กูมันไม่ดี ทำยังไงมันก็ไม่ดีหรอก “ มันเริ่มจะเป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุมแล้วครับ

    “นาย .. เรา”

    “ไอ้โอ๊ต มึงไปส่งไอ้น้ำมนต์ให้กูหน่อย กูจะไปแดกเหล้า” นายปีโป้พูดพร้อมกับขับรถออกไป ทิ้งไว้แค่ผมที่งงว่ามันเกิดอะไรขึ้น และพี่โอ๊ตที่เหมือนจะรู้ แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไร

     

    “กลับกันเถอะพี่โอ๊ต” ผมบอกพี่โอ๊ต

     

     

    ตลอดทางที่พี่โอ๊ตขับมาส่งผม ผมกำลังคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ก่อนหน้านี้นายปีโป้ไปรู้จักกับเด็กลุ่มนั้นได้อย่างไร และมีความสำคัญอะไรกับ เอ่อ .. กับเราอย่างที่นายปีโป้บอกไว้ และตอนที่เข้าไปคุยคุยอะไรกันเสียงดังโวยวาย แล้วทำไมต้องโกหกผมว่าเกิดการชกต่อย แล้วทำไมพอผมมองเขาไม่ดี ถึงได้โกรธมากมายขนาดนั้น

     

    “ขอบคุณนะพี่โอ๊ต” ผมบอกพี่โอ๊ตเมื่อถึงบ้านของผม

    “ไม่เป็นไรครับ” พี่โอ๊ตยิ้มให้ผมเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะหันหลังกลับเข้าบ้าน

    “น้องน้ำมนต์ครับ” พี่โอ๊ตเรียกผม จนผมต้องเอี้ยวหลังกลับไปมอง

    “ไอ้โป้เป็นคนดีนะครับ มันไม่เคยคิดทำร้ายใครก่อน แล้วเรื่องวันนี้มันหวังดีกับน้องนะครับ” พี่โอ๊ตบอกผม

    “ครับ” ผมไม่มีอะไรจะพูดต่อ เลยได้แต่ครับเบาๆ

    “พี่ก็แค่อยากให้น้องเข้าใจในตัวมันบ้าง ว่าที่มันทำทุกอย่าง มันทำเพื่อน้องนะครับ” พี่โอ๊ตพูดบอกผมมา

    “ครับ น้ำมนต์เข้าบ้านก่อนนะครับ ขับรถดีๆนะครับ”

    “ครับ พี่ไปก่อนนะ”

     

     

    วันนี้คงเป็นอีกวันที่ผมได้คุยกับพี่โอ๊ตนานกว่าวันอื่นๆ พี่โอ๊ตดูเป็นเพื่อนของนายปีโป้ที่ดูจะเป็นห่วง และดูแลนายปีโป้ได้ทุกเรื่อง คำพูด น้ำเสียงและสายตาที่พี่โอ๊ตบอกผมเมื่อกี้ เป็นคำพูดที่ดูห่วงใยเพื่อน  น้ำเสียงที่แสดงความเป็นเพื่อน แต่สายตาที่ช่างขัดกับคำพูด และเหมือนกำลังหลบซ่อนความรู้สึกบางอย่างนั้น .. มันชวนให้ผมรู้สึกเจ็บปวดแทน

     

    จนไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่าที่เห็น ..

     



    ...........................................................................................................................................................

    ขอกำลังใจเป็นแสดงความคิดเห็น ติชม วิจารณ์ กดโหวตให้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
    ...........................................................................................................................................................

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×