คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : After Midnight : 4
หลังจากที่บ้านของตระกูลอู๋ถูกบุคคลจำนวนหนึ่งบุกเข้ามายามวิกาล อีกสองสามวันต่อมาชานยอลและไคก็ถูกผู้ที่อาวุโสที่สุดของบ้านเรียกเข้าไปพบอีกครั้ง เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งอยู่เบื้องหน้าของผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างสงบเสงี่ยม
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วสินะ ที่เธอทั้งสองคนต้องมารับรู้เหตุการณ์ที่ไม่ดีอย่างนี้ในบ้านของฉัน...” ชายวัยใกล้ชราพูดด้วยท่าทีสุขุมเช่นเคย
“ฉันคิดว่า..ที่นี่คงไม่ปลอดภัยสำหรับเธอสองคนอีกต่อไป”
ชานยอลและไคมองหน้ากันเหมือนเป็นการถามอีกฝ่ายว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป หากเขาตัดสินใจอยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไป ไม่มีอะไรมารับประกันเขาทั้งสองคนได้เลยว่าสิบเดือนที่เขาต้องอยู่ที่นี่จะเป็นอย่างไร แต่อีกใจก็นึกสนุกอยากอยู่ต่อ แม้ว่าเหตุการณ์มันจะรุนแรงถึงกับมีเรื่องคอขาดบาดตาย แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้รู้สึกกลัวมันมากมายสักเท่าไหร่
“เอ่อ ผมพอจะเข้าใจว่าคุณอู๋ต้องการจะพูดอะไร แต่ถ้าผมบอกว่า ผมอยากอยู่ที่นี่ต่อไปล่ะครับ?” ไคตัดสินใจบอกในสิ่งที่เขาคิดออกไป
“เธอไม่กลัวหรอ?”
“ตอนแรกก็กลัวอยู่หรอกครับ แต่ผมมาคิดดูแล้วว่าถ้าผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ท่ามกลางเหตุการณ์แบบนี้ได้ภายในสิบเดือนแล้วสามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยผมคงรู้สึกดีไม่น้อย ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสร่วมสู้ไปกับตระกูลของผู้มีพระคุณ” ครั้งนี้ชานยอลเป็นคนพูดและพูดออกมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยมั่นใจ
“เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะ แต่มันหมายถึงชีวิตของพวกเธอ”
“ผมทราบครับ ถึงแม้ผมจะดูเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ในสายตาของคุณอู๋ แต่ผมเชื่อว่าผมต้องสามารถผ่านมันไปได้แน่ๆ”
สายตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและความแข็งแกร่งจ้องมองไปยังชายผู้เป็นเจ้าของบ้านอย่างไม่ยอมแพ้และมันก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ ชายวัยใกล้ชรามองเห็นถึงความตั้งใจของเด็กหนุ่มทั้งสองคน ยิ่งกับชานยอลเขายิ่งมองเห็นมัน เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ภายในสายตาคู่นั้นกลับมีความแข็งแกร่งและความดื้อรั้นซ่อนอยู่ มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องยอมแพ้และยอมให้ชานยอลและไคอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป
----------------------------------------------------------------------------
เช้าวันหยุดของชานยอลและไคในวันนี้มันจะเป็นวันหยุดที่น่าตื่นเต้นสำหรับเขาทั้งสองคน เมื่อคนที่มีอำนาจสูงสุดของบ้านสั่งให้คนเด็กหนุ่มทั้งสองฝึกวิชาป้องกันตัวในแบบฉบับซามูไร นั่นก็คือวิชา ‘ฟันดาบ’ ซึ่งมันเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่จะทำให้เขาทั้งสองคนอยู่ที่บ้านหลังนี้กันต่อไป
ดาบคาตานะถูกส่งให้กับชานยอลและไค ดาบซามูไรที่มีความแข็งแรงและคมมาก รูปทรงของมันมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของดาบญี่ปุ่นและคนที่มารับหน้าที่เป็นครูสอนดาบให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองคนในวันนี้ก็คือลู่หานผู้ที่ชำนาญการในเรื่องศิลปะการต่อสู้โดยการใช้ดาบอันดับต้นๆของตระกูล
“ทำไมเราถึงเลือกใช้ดาบล่ะครับ ใช้ปืนยิ่งซะเดียวไม่เร็วกว่าหรอ?” ไคถามขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมตัวฝึกใช้ดาบจากลู่หาน
“ปืนมันเสียงดัง ดาบนี่แหละ ตายเงียบดี” คนหน้าหวานบอกพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าอีกฝั่งใช้ปืนกูคงตายก่อนแน่ๆ” หนุ่มผิวเข้มพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ชานยอลกลับได้ยินประโยคนั้นด้วย
“เอาน่า เขาให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่งั้นต้องไปอยู่ที่อื่นนะเฮ๊ย” ชานยอลบอกด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่เขาและไคก่อนจะกลับไปสนใจดาบที่อยู่ในมือตัวเอง
ชานยอลและไคเรียนรู้การใช้ดาบในขั้นพื้นฐานไปอย่างง่ายดายเนื่องจากทั้งสองเป็นคนหัวไวพอสมควร ลู่หานจึงเพิ่มระดับในการสอนให้ยากมากขึ้น แต่การสอนก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีใครบางคนเข้ามาชมบรรยากาศการสอนฟันดาบของลู่หาน
“มาทำไม!” ลู่หานพูดกับคนที่เพิ่งมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ก็ไม่มีใครบอกหนิว่าห้ามมา” หนุ่มร่างสูงโปร่งบอกด้วยท่าทางยียวน
“ไม่มีใครห้าม? เออ! งั้นต่อไปนี้ไม่ต้องมา” คนร่างบางบอกก่อนจะเลิกสนใจหนุ่มร่างโปร่งคนนั้น
“ก็ได๊~ แต่พี่ต้องชนะผมนะ”
“ชนะอะไร?” ลู่หานหันกลับไปถามอีกคน
“ก็ฟันดาบนี่ไง ถ้าพี่ชนะผมสัญญาว่าจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก แต่ถ้าผมชนะ..พี่เตรียมเห็นหน้าผมไปตลอดชีวิตได้เลย”
คำพูดและท่าทางที่กวนประสาทนั่นทำให้คนอารมณ์ร้อนอย่างลู่หานแทบจะหยิบดาบแล้วพุ่งเข้าใส่ซะเดี๋ยวนั้นและยิ่งเห็นว่าลู่หานเดือดมากเท่าไหร่ หนุ่มร่างโปร่งก็รู้สึกชนะคนหน้าหวานมากเท่านั้น
ดาบคาตานะอยู่ในมือของทั้งสองคนเป็นที่เรียบร้อย ลู่หานดูจริงจังกับคำท้าในครั้งนี้ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเห็นมันเป็นแค่เรื่องสนุกในชีวิตประจำวันเท่านั้น ลานกว้างที่แสนสงบหลังบ้าน ถูกเปลี่ยนเป็นสนามรบสำหรับคนสองคนไปในทันที ซึ่งชานยอลและไคได้แต่ยืนมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจว่าสองคนนี้โกรธเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติไหน
ลู่หานยกปลายดาบไปทางคู่ต่อสู้และพยายามกรอกคำว่าชัยชนะใส่หัวตัวเองซ้ำๆ จนสติเริ่มหายไป เหลือไว้เพียงความโกรธแค้นส่วนตัว แต่คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่ส่งรอยยิ้มกวนๆให้กับลู่หานและไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับคมดาบจากลู่หานแต่อย่างใด
ร่างบางพุ่งตัวเข้าไปหาคนตัวสูงกว่าด้วยความเร็ว ดาบคมฟันฉับลงบนต้นไผ่เพราะหนุ่มร่างโปร่งหลบคมดาบนั้นได้ทันท้วงทีราวกับอ่านเกมของอีกคนได้เป็นอย่างดี
“กาก” ร่างโปร่งบอกพร้อมกับส่งสายตายั่วโมโหให้กับลู่หาน
“ฉันควรตัดปากนายก่อนเป็นอันดับแรกสินะ”
ร่างบางว่าก่อนยกดาบขึ้นจนสุดแขนแล้วฟาดคมดาบลงไปกระทบกันดาบที่อีกคนยกมันขึ้นมาตั้งรับดาบของลู่หาน
“นี่เขาแค่สู้กันเล่นๆ หรือว่าโกรธกันจริงๆวะ?” ไคถามคนข้างๆ ที่ยืนเป็นผู้ชมร่วมกันกันเขา
“เหมือนแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน” ชานยอลบอกและกระพริบตาถี่ๆเมื่อดาบของลู่หานกับหนุ่มร่างสูงกระทบกันอย่างรุนแรง
สายตาของความโกรธแค้นและผิดหวังยังคงจ้องมองไปที่สายตาที่ไม่เคยรู้สึกผิดอย่างไม่ลดละ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมลู่หานถึงได้โกรธและโมโหคนๆนั้นได้มากมายถึงเพียงนี้ แต่เขาสองคนรู้ดี เขารู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนพังลงเป็นเพราะอะไร...
“ไปซะเซฮุน นายรีบไปซะก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวแล้วเผลอฆ่านายจริงๆ” ลู่หานบอกเสียงเบาในขณะที่อีกคนกำลังต้านแรงดาบจากเขา
“ผมจำเป็นต้องทำตามที่พี่บอกป่ะ?” ร่างโปร่งบอกพร้อมกับเลิกคิ้วถามราวกับตั้งใจจะทำให้อีกคนโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
“หึ..ปากดีอย่างนี้ ขอสักทีเถอะ!”
ลู่หานรวบรวมแรงทั้งหมดผลักคนตัวสูงให้เซไปอีกทางด้วยดาบ แขนเล็กของคนร่างบางแต่มากไปด้วยพละกำลังง้างขึ้นจนสุดมือ แต่ยังไม่ทันที่คมดาบจะได้เคลื่อนตัวออกไปข้อมือของลู่หานก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยฝีมือของใครอีกคน
“นายนี่..เป็นครูที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
“โฮ๊ะๆ! นางฟ้ามาช่วยชีวิตผมแล้ว” เซฮุนหันไปยิ้มกวนๆให้กับผู้มาใหม่
“พี่สึนะ! มาห้ามผมทำไม!!” ลู่หานบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเมื่อถูกอีกคนขัดจังหวะ
“แหมะ ถึงฉันไม่ห้ามฉันก็รู้ว่านายไม่กล้าทำอะไรมันหรอก”
เหตุการณ์ของคนสามคนในลานกว้างนั่นเกิดขึ้นท่ามกลางความงุนงงของชานยอลและไค ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหนุ่มร่างสูงที่ชื่อเซฮุนและครูจำเป็นอย่างลู่หาน ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อสึนะเป็นใครมาจากไหน แต่รู้เพียงว่าพวกเขาเคยเจอตอนที่เธออกมาจากบ้านของคริสและเป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่ชานยอลเจอในคืนที่เกิดเหตุการณ์บุกบ้านครั้งล่าสุด
“จะรบกันต่อไหม? ถ้าจะต่อเชิญทางโน้น เพราะเดี๋ยวฉันจะเป็นคนสอนเจ้าสองคนนี้เอง” หญิงสาวบอกและหันไปมองชานยอลด้วยสายตาที่แอบแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวนะๆ พี่จะสอนดาบ?.....ทะเลาะกับสามีมาอีกแล้วหรอครับ? ฮ่าๆๆๆ” เซฮุนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูด
“ทำไมต้องทะเลาะ ในเมื่อปกติฉันไม่ค่อยจะญาติดีกับเขาอยู่แล้ว”
สีหน้าที่ขุ่นเคืองนั่นทำให้ชานยอลเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ คำว่าสามีที่ออกมาจากปากเซฮุนอาจจะเป็นเครื่องหมายบอกว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะแต่งงานแล้ว และถึงแม้หน้าตาเธอจะดูอ่อนเยาว์ แต่ลักษณะการวางตัวของเธอดูมีอายุมากกว่าสองคนนั้นซึ่งชานยอลเดาไปว่าเธออาจจะเป็นภรรยาของคริสก็ได้เพราะมิเช่นนั้นเธอจะเข้าไปหาคริสในเวลารุ่งสางแบบนั้นได้อย่างไร
“เอาล่ะครูของเธอไม่สนใจเธอแล้ว เดี๋ยวฉันจะสอนเธอเอง...”
ทั้งที่ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มยืนอยู่ตั้งสองคน แต่หญิงสาวเลือกที่จะสนใจชานยอลเพียงคนเดียว ตาคมตามสไตล์สาวญี่ปุ่นมองร่างโปร่งอย่างไม่ละสายตามือเล็กรับดาบจากเซฮุนมาถือเอาไว้ ลักษณะการจับดาบของเธอทำให้รู้ได้ว่าหญิงสาวมีความสามารถในการใช้ดาบยาวนั่นอย่างแน่นอน
ชานยอลก้าวออกไปหาผู้ท่าด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยมั่นใจเพราะไม่รู้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่ เขาไม่สามารถเดาอะไรจากผู้หญิงคนนี้ได้เลย จึงทำได้แค่เพียงยอมประลองฝีมือกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ไปทั้งๆที่ร่างโปร่งไม่ค่อยอยากจะทำมันสักเท่าไหร่
หญิงสาวตวัดปลายดาบยาวโดยที่ชานยอลยังไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างโปร่งรีบถอยหลังกรูดทันที ความคมของดาบไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับเขาเลย แต่คู่ต่อสู้ของเขาทำราวกับว่ามันเป็นแค่ดาบไม้เท่านั้น
หญิงสาวกระตุกยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังกลัวคมดาบของเธอและยิ่งชานยอลดูกลัวมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งบุกมากเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็มีสติในการตอบโต้อยู่พอสมควร ร่างโปร่งคอยระมัดระวังคมดาบของคู่ต่อสู้ แม้ว่าตัวเขาเองจะยังถือดาบได้ไม่ถนัดมือ แต่เขาก็กลับทำมันได้ดีกว่าที่คาด
แม้ว่าร่างของชานยอลจะสูงใหญ่ว่าหญิงสาวคู่ต่อสู้ แต่คนร่างสุงโปร่งนั้นก็จำเป็นต้องยอมแพ้ฝีมือของคนตัวเล็กกว่า ปลายดาบแหลมหยุดอยู่ตรงหน้าชานยอลเพียงคืบ หากหญิงสาวร่างเล็กใจร้ายกว่านี้และปล่อยให้ปลายดาบนั้นพุ่งเข้ามาหาตัวชานยอลอีกสักนิดรับรองได้เลยว่าใบหน้าเนียนของร่างโปร่งต้องมีแผลประทับอยู่เป็นแน่
“เกือบจะดี แต่ยังขาดสมาธิ ฉันแนะนำให้ลองฝึกเล่นๆตอนเที่ยงคืนนะ มันอาจจะทำให้เธอมีสมาธิมากกว่านี้” หญิงสาวกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลดดาบลง
“พี่ๆ พอแล้วๆ เด็กมันกลัวหมดแล้ว” ลู่หานบอกก่อนจะเดินเข้าไปแย่งดาบจากมือเรียวของหญิงสาว
“แบบนี้แหละ จะได้เก่งเร็วๆ เอาดาบคืนมา ชานยอลเธอไปพักได้ แล้วก็เธอ...ชื่ออะไรนะ ไคใช่ไหม? มาลองฝึกกับฉันมา” สาวร่างเล็กแย่งดาบจากมือของลู่หานคืนไปก่อนจะกวักมือเรียกไคให้เข้าไปหา
“เอ่อ...พี่ลู่หานครับคือ...ผู้หญิงคนนั้นคือใครหรอครับ?” ชานยอลเข้าไปถามลู่หานด้วยน้ำเสียงเบา
“อ๋อ โทษทีที่ลืมแนะนำ นั่นพี่สึนะ ผู้หญิงที่เก่งที่สุดของเรา พี่เขาเป็นหมอด้วย แต่ทำใจนะ เพราะเธอเป็นหมอที่แปลกกว่าหมอทั่วไปหน่อยนึง”
“หมอหรอ...”
ชานยอลทวนคำพูดของลู่หานก่อนจะมองไปที่หญิงสาวร่างเล็กที่กำลังใช้ดาบไล่ต้อนเด็กหนุ่มผิวเข้ม ร่างโปร่งแทบจะไม่เชื่อคำพูดของลู่หานเลยหากมองภาพลักษณ์ภายนอกของสึนะ เพราะเธอดูแปลกเกินกว่าคนที่จะเป็นหมอได้ แปลกตั้งแต่การแต่งตัวไปจนถึงการพูดจาและที่แปลกที่สุดก็คือสายตาที่เธอใช้มองชานยอล...
-------------------------------------------------------------
หลายวันผ่านไป เรื่องราวของสึนะยังคงอยู่ในหัวชานยอลตลอดเวลา สายตาที่เธอมองชานยอลราวกับกำลังหึงใครสักคน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ชานยอลไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาดึกและเงียบมาก แต่สิ่งที่ดังอยู่ในความคิดของร่างโปร่งนั้นก็ทำให้จิตใจของเขาไม่สามารถสงบได้เสียที
เมื่อไม่มีสมาธิที่จะอ่านหนังสือต่อไปได้แล้ว ชานยอลจึงออกจากห้องไปหาที่ที่จะทำให้จิตใจสงบได้กว่านี้ อากาศที่กำลังเย็นสบายอาจจะช่วยให้เขาหยุดคิดบางเรื่องไปได้บ้าง...
ร่างโปร่งเดินออกมายังลานซ้อมดาบหลังบ้านที่ตอนนี้มีเพียงความเงียบสงบ ชานยอลหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลืมตาและยกดาบที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาตั้งฉากอยู่ตรงหน้า แม้ไม่รู้ว่าวิธีการถือดาบมันจะถูกต้องหรือไม่ แต่เขาพยายามรวบรวมสมาธิและนึกถึงสิ่งที่ลู่หานเคยสอนไว้
ความเงียบสงบในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนทำให้เสียงคมดาบที่ฟาดฟันผ่านอากาศดังชัดเจน แต่ชานยอลก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีดาบอีกเล่มมาขว้างเอาไว้
“คริส...”
“ฟันมั่วซั่วแบบนั้นถ้าลู่หานเห็นคุณโดนดุแน่ๆ” คริสบอกพร้อมส่งรอยยิ้มบางทรงเสน่ห์ให้กับร่างโปร่ง
“ก็..ผมไม่รู้วิธีใช้เจ้าดาบนี่นี่นา อย่างมากก็แค่เคยเอาไม้บรรทัดมาฟันเล่นแทนดาบ” ชานยอลตอบอีกคนกลับไปด้วยความรู้สึกอายที่ตัวเองเผลอปล่อยไก่ให้คนตัวสูงเห็น
“งั้นผมสอนให้เอาไหม?”
คำถามของคริสทำให้ชานยอลนึกย้อนไปถึงคำแนะนำของสึนะ ‘ซ้อมดาบหลังเที่ยงคืนอาจจะทำให้มีสมาธิมากขึ้น’ คำแนะนำนี้ทำให้ชานยอลชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าจะทำให้เขามีสมาธิจริงหรือเปล่า
คริสค่อยอธิบายวิธีการใช้ดาบให้ชานยอลฟังอย่างใจเย็นต่างจากลู่หานที่สอนทุกคอร์สอย่างฮาร์ดคอร์ ชานยอลพยายามฟังครูคนใหม่สอนอย่างตั้งใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างที่ทำให้เขาเสียสมาธิอยู่ดี นั่นคือคือเสียงหัวใจของเขานั่นเอง...
“ผมว่าผมอธิบายไปเยอะแล้ว เราลองภาคปฏิบัติกันหน่อยไหม?”
“ไม่ดีมั้ง เกิดผมพลาดทำคุณเจ็บขึ้นมามันจะแย่เอานะ” ร่างโปร่งบอกด้วยน้ำเสียงกังวล
“ถ้ามัวแต่กลัว เมื่อไหร่จะเป็น?” คริสเลิกคิ้วถามสั้นๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ร่างโปร่งมองคริสอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นการตกลงและไม่ช้าก็มีเสียงดาบกระทับกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ตั้งสติให้ดีๆ อย่าละสายตาจากฝ่ายตรงข้ามและทุกครั้งที่จับดาบและตัดสินใจจะสู้กับใครสักคนให้ตัดความสงสารทิ้งไปซะ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะย้อนกลับมาทำลายสมาธิคุณ” ในขณะที่ทั้งคู่กำลังฝึกซ้อมดาบกันจริงๆ คริสก็อธิบายให้อีกคนฟังไปด้วย
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนทั้งสองจะหยุดการซ้อมดาบกันเลย ทางด้านชานยอลถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหนแต่ก็ยังพยายามจะเอาชนะคริสให้ได้และเมื่อคมดาบที่ถูกบังคับโดยชานยอลพุ่งไปในทิศทางที่เขาจะสามารถเอาชนะคริสได้ร่างโปร่งกระตุกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหยุดคมดาบนั้นอย่างกระทันหัน
“เก่งมาก แต่หากวันหนึ่งคุณต้องสู้กับศัตรู ให้คุณรีบฆ่าเขาทันทีโดยไม่ต้องลังเล เหมือนที่ผม....รักคุณทันทีตั้งแต่แรกเจอ...” คำพูดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มร่างสูงแทบจะทำให้ดาบหลุดออกจากมือของชานยอลในทันที
‘รักอย่างนั้นหรอ?’
ชานยอลได้แต่ถามตัวเองในใจแล้วแอบยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วยกปลายดาบขึ้นจ่อที่ตำแหน่งหัวใจของร่างโปร่งก่อนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ
“แล้วมีใครบอกหรือเปล่าว่าอย่าไว้ใจศัตรู มัวแต่มาบอกรักตอนสู้กันแบบนี้มันเสี่ยงตายมากเลยรู้ไหม” ชานยอลบอกก่อนจะรีบเดินออกมาจากลานซ้อมดาบอย่างรวดเร็วเพราะความเขินอาย
ร่างโปร่งกลับมาถึงห้องของตัวเองอย่างรวดเร็วและสิ่งที่เขาต้องทำเป็นอับแรกก็ให้ตัวเองเลิกยิ้มเสียที เพราะตั้งแต่เดินกลับมาจากลานซ้อมดาบหลังบ้านเขาก็ยิ้มมาอย่างนี้ตลอดทาง
“ไหนบอกว่าซ้อมดาบหลังเที่ยงคืนแล้วจะมีสมาธินะ รู้สึกว่าสติแตกมากกว่าเดิมอีก!” ร่างโปร่งว่าก่อนจะซุกหน้าลงบนกองหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ
ในขณะที่ชานยอลกำลังทะเลาะอยู่กับหัวใจของตัวเอง ทางด้านคริสก็ไม่แพ้กันเลย ร่างสูงได้แต่นั่งยิ้มอย่างเหม่อลอยราวกับกำลังมองดูหัวใจของตัวเองที่กำลังล่องลอยไปหาใครอีกคน จนคนที่อยู่ด้วยกันต้องทักขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรเนี้ย เห็นยิ้มคนเดียวมาตั้งนานแล้ว รีบนอนเถอะจะเช้าแล้ว”
“แหมมม ทำไมวันนี้คนสวยดุจังเลย” คริสพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“คนสวย!! บ้า!! นายบ้าไปแล้วหรอเฮ๊ย! นี่ฉันเอาเลือดใครมาให้นายเนี้ยรับเลือดมากไปจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ” สึนะว่าอย่างไม่เชื่อหูของตัวเองพลางแกล้งเช็ดถุงเลือดที่ใช้เปลี่ยนถ่ายให้กับคริส
“ฮ่าๆๆ ผมไม่ได้บ้า แค่อารมณ์ดี”
“อารมณ์ดี? เพราะ?” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม
“เอาน่า เอาเป็นว่าคืนนี้ผมมีความสุขมากก็แล้วกัน สึนะจังไปพักผ่อนเถอะจะเช้าอยู่แล้ว” ร่างสูงบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้กับหญิงสาว
“คริส..ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของนายมานานมากแล้วรู้ไหม” สึนะบอกด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หลังจากนี้สึนะจังคงจะได้กลับมาเห็นมันบ่อยแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ” ร่างสูงบอกพร้อมหัวเราะร่าออกมา
“ย่ะ! เห็นนายมีความสุขฉันก็โอเค แต่!! อย่าดื้อให้มากนักล่ะ ถ้ารู้ว่าแอบไปตากแดดอีกละก็นะ!! แม่จะใช้เอาเข็มฉีดยามาแทงให้ตายเลยคอยดู!!” สึนะบอกพร้อมกับหยิบเข็มฉีดยาที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาขู่อีกคน
“ครับๆ ผมจะพยายามโอเคไหม?”
“เออ!”
“ตีสี่ละ สึนะจังกลับไปพักผ่อนเถอะ ผมเริ่มง่วงแล้ว” คริสหันไปมองนาฬิกาก่อนจะพูดขึ้นกับสึนะ
“ไม่ต้องมาไล่ฉัน นี่ง่วงจนเลิกง่วงแล้ว เดี๋ยวกลับไปก็อาบน้ำเข้าโรงบาลต่อได้เลยนะเนี้ย” ร่างเล็กเก็บอุปกรณ์การแพทย์ของตัวเองพลางบ่นไปด้วย
“ก็ผมบอกแล้วว่าเวลาที่เหนื่อยก็ให้หาคนอื่นมาทำแทน ให้สอนลู่หานเอาไว้ก็ไม่ยอมสอน”
“ฉันไม่ไว้ใจมัน! คนอะไรแรงเยอะชะมัด ไม่รู้ว่าแรงคนหรือแรงควาย ให้มาช่วยใส่เข็มเปลี่ยนถ่ายเลือดให้นายมีหวังมันจิ้มทะลุแขนนายแน่ๆ!” หญิงสาวทำหน้าขยาดทันทีเมื่อคริสเอ่ยถึงลู่หาน
“โถ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง ฮ่าๆๆๆ”
“ความจริงก็อยากหาคนมาช่วยนะ จะให้เซฮุนมาช่วยก็ได้อยู่ แต่มันยังเรียนอยู่ให้มาตอนตีสามตีสี่อย่างนี้ก็ไม่ไหวเพราะบ้านเราก็ไม่ได้ใกล้กันเลย หรือให้....นักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นดี”
“หือ!” ร่างสูงหันควับทันทีที่สึนะพูดคำว่านักเรียนแลกเปลี่ยน
“อะไร? สนใจหรอ?”
“เปล่า” ร่างสูงรีบหลบตาทันทีที่หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาจับผิด
“เอ๊ะ! เดี๋ยวนะๆ นี่อย่าบอกนะว่า.......”
“อะไร? อย่าบอกอะไร? ไม่มีอะไรสักหน่อย” คริสบอกด้วยท่าทีที่เคอะเขิน จนไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ของตัวเองไปวางไว้ตรงไหนดี
“ตายแล้วตายๆๆๆ มิน่าล่ะแหมมมมม อย่างนี้นี่เองมีพิรุธเพราะมีรักสินะพ่อคุณ” สึนะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ไปๆ กลับไปได้แล้ว ผมง่วงแล้ว จะนอนแล้ว”
“แน่ะๆ เดี๋ยวนี้มีไล่ ก็ด๊ายยย ฉันไปก็ด๊ายยยย” สึนะบอกก่อนจะหยิบกระเป๋าอุปกรณ์ทางการแพทย์ของเธอ ขึ้นไปสะพายไว้บนบ่า
“ขับรถดีๆนะ” ร่างสูงบอกกับคนที่กำลังจะออกจากห้องไป
“อือ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ มีอะไรโทรหาฉันได้ตลอดเวลา ไม่ก็เรียกน้องคนนั้นเอาก็แล้วกัน อ๊ายยยย”
“สึนะจัง!!”
สึนะรีบออกมาจากห้องนอนของคริสพร้อมเสียงหัวเราะ แต่ก็จะออกจากบ้านเธอก็แวะเข้าไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องของคริสสักเท่าไหร่ มือเรียวหยิบกุญแจขึ้นมาไขแม่กุญแจก่อนจะเลื่อนบานประตูแล้วเข้าไปยังห้องนั้น
ขวดแก้วใสๆที่ถูกบรรจุของเหลวสีแดงไว้ภายในวางเรียงรายกันอยู่บนชั้นที่ถูกเตรียมไว้วางขวดพวกนี้โดยเฉพาะและสิ่งที่สึนะเห็นก็คือมีขวดเปล่าวางอยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งมันหมายความว่าของเหลวในขวดนั้นถูกใช้ไปเป็นจำนวนมาก
“โถคริส..”
เลือดจำนวนไม่น้อยที่ถูกเก็บไว้ในห้องนี้ก็เพื่อให้คริสนำมันมาใช้ในยามฉุกเฉิน นั่นก็คือเวลาที่คริสโดยแดดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่จำนวนขวดเปล่าที่สึนะเห็นมันมีมากกว่าที่จะเรียกได้ว่าหยิบใช้ในยามฉุกเฉิน เพราะดูแล้วมันเกิดจากการตั้งใจมากกว่า ซึ่งหญิงสาวรู้ดีว่าคริสพยายามที่จะเอาชนะกับโรคที่เป็นมาโดยตลอด เขาทดลองสัมผัสแดดมาแล้วหลายครั้ง แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จและมันทำให้เขาต้องจำใจดื่มเลือดสดๆพวกนี้เข้าไปในเวลาที่เขาได้สัมผัสแดด
หลายครั้งที่คริสเกิดอาการคลุ้มคลั้งเพราะโรคนี้ สึนะเองก็เริ่มเหนื่อยจากการหาวิธีรักษาโรคประหลาดนี้แล้วเหมือนกัน แต่เธอก็ยังพยายามหาทางรักษาต่อไป เพราะคริสคือคนที่เธอรู้สึกผูกพันมาตั้งแต่เด็ก หากเธอปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปมันอาจจะทำให้เธอเสียใจไปตลอดชีวิตและตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะค้นพบวิธีรักษาคริสในอีกช่องทางหนึ่งและสิ่งนั้นก็คือกำลังใจ กำลังใจที่คริสไม่เคยมี แต่ตอนนี้กำลังใจเหล่านั้นสามารถหาได้ที่ ‘ชานยอล’
ความคิดเห็น