คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : After Midnight : 9
หลังจากวันที่เกิดเหตุการณ์บุกบ้านของตระกูลอู๋เพื่อลอบทำร้ายคริส ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์คริสก็ยังคงต้องอยู่ในห้องไอซียู เพราะอาการเลือดเป็นพิษ อาการของเขาเป็นตายเท่ากัน สภาพร่างกายแทบจะดูไม่ได้เพราะผิวหนังทั้งร่างกายได้แตกช้ำไปหมดทั้งตัว
ร่างสูงโปร่งของชานยอลยืนเกาะประตูห้องไอซียูด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาแทบจะเรียนไม่รู้เรื่องเลยเสียด้วยซ้ำเพราะมัวแต่เป็นห่วงคนที่นอนอยู่ในห้องนั้น ทุกวันหลังเลิกเรียนเขาจะรีบตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลเพียงเพราะหวังว่าจะได้รับข่าวดีว่าคริสฟื้นแล้ว แต่จนวันนี้ข่าวดีนั้นก็ยังไม่มาซะที
“ชานยอล..”
“อ่าว เซฮุน มาเยี่ยมพี่สึนะหรอ?” ชานยอลหันไปพูดกับคนที่เพิ่งเข้ามาทักทาย
“อือ ปล่อยไว้กับพี่ซางะไม่รู้ตอนนี้จะฆ่ากันตายหรือยัง” เด็กหนุ่มบอกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“เอ๊า! ทำไมเป็นงั้นอะ” ชานยอลถามอย่างไม่รู้
“เขาไม่ถูกกันอะดิ โอย พูดแล้วเซ็ง ไปก่อนนะไว้เจอกัน” เซฮุนบอกก่อนจะเดินไปยังห้องพักผู้ป่วยปล่อยให้ชานยอลยืนงงอยู่เพียงลำพัง
เซฮุนเดินไปตามทางเดินด้วยอารมณ์เรื่อยเปื่อย และเมื่อมาถึงห้องที่ต้องการเขาก็ส่งมือไปจับลูกประตูหมายจะเขาไปหาคนที่อยู่ในห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากข้างใน
“ผมบอกว่าผมไม่ได้ทำ!”
“ถ้าคุณไม่ได้ทำแล้วใครมันจะทำ?”
“ผมจะไปรู้หรอ แต่ที่รู้ๆคือผมไม่ได้ทำแน่นอน!”เสียงชายหนุ่มต้องคงเถียงอีกคนอย่างหนักแน่น
“ฉันจะเชื่อคุณได้ไหม? คุณมีอะไรให้ฉันเชื่อได้บ้าง?คุณจะทำแบบนี้อีกนานแค่ไหน ต้องรอให้ฉันตายก่อนไหม?”
“ผมจะบอกคุณยังไงดี ผมไม่ได้ทำ! ผมต้องอธิบายยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าผมไม่ได้ทำ!” น้ำเสียงของซางะเริ่มเพิ่มระดับความดังขึ้นเรื่อยๆ
“คุณกลับไปเถอะ ฉันไม่อยากฟังคุณพูดแล้ว” สึนะบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างไม่สนใจ
“ก็เป็นอย่างนี้ซะทุกที!” ซางะว่าก่อนจะออกไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง ทำให้มาเจอเข้ากับเซฮุนที่ยืนฟังทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ที่หน้าประตู
“เซฮุน...” ซางะผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องชายตัวเอง
“กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมอยู่เอง” เซฮุนบอกก่อนซางะจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกไป
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องที่สึนะกำลังนอนอยู่ เธอดูอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว
“หน้าบูดอีกแล้วนะ” เซฮุนทักผู้เป็นพี่สะใภ้
“ก็พี่ชายเธอนั่นแหละ” หญิงสาวว่าก่อนจะค่อยพยุงตัวเองเพื่อลุกขึ้นนั่ง
“เชื่อเขาบ้างเถอะ บางทีอาจจะไม่ได้เป็นเขาก็ได้ พี่ลองคิดดูดิ พี่ซางะจะทำแบบนั้นทำไมทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่าพี่อยู่ที่บ้านพี่คริส”
คำพูดของเซฮุนทำให้สึนะเริ่มคิด แต่อคติที่เธอมีต่อซางะทำให้หญิงสาวยังคงปักใจเชื่อความคิดของตัวเองว่าซางะเป็นคนสั่งให้ลูกน้องของตัวเองไปลอบทำร้ายคริส
“นี่พี่ไม่เชื่อผม?” เซฮุนถามเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่เชื่อกับคำพูดของเขา
“มีหลักฐานหรอ?” สึนะถามกลับไป
“เฮ้อ~ งั้นก็แล้วแต่พี่เถอะ ผมไม่พูดแล้ว”เด็กหนุ่มว่าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียงอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วนี่คริสฟื้นหรือยัง?” สึนะถามถึงรุ่นน้องอีกคนด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“หึ ยังเลย ยังอยู่ในห้องไอซียูอยู่เลยเห็นหมอบอกว่าอาการยังห้าสิบห้าสิบ เพราะเลือดเป็นพิษสภาพนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นี่แค่ได้ยินนะยังรู้สึกกลัวเลย เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยเห็นพี่คริสอาการหนักขนาดนี้”
“อือ ขนาดพี่รักษาคริสมาตั้งนานยังไม่เคยเจอเคสหนักขนาดนี้เลย”สึนะว่าด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“แต่คงไม่เป็นไรหรอก กำลังใจเขาดีมีคนมาเฝ้าหน้าของไอซียูทุกวันเลย” เซฮุนบอกขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาปอกผลไม้ที่ซื้อมาฝากหญิงสาว
“ชานยอลสินะ” สึนะพูดชื่ออกมาชนิดที่แทบไม่ต้องเดา
“อือ เมื่อกี้ตอนที่เดินเข้ามาก็เห็นอยู่หน้าห้องนั่นแหละ”
“ก็ดี ของให้แรงใจนั้นช่วยให้คริสหายเร็วๆก็แล้วกัน”หญิงสาวว่าก่อนจะเอื้อมมือหยิบผลไม้ในจานไปกิน
“แต่ที่สำคัญคือ ตอนนี้น้องชายอีกคนของพี่อะโกรธพี่ซางะพาลมาจนถึงผมอะ เขาคิดเหมือนพี่เป๊ะ! ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าผมไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตรงไหน ทั้งๆที่วันนั้นผมก็อยู่สู้กับพวกนั้นด้วยซ้ำ” เซฮุนว่าด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ
“ต้นเหตุมันอยู่ที่พี่ชายแกทั้งนั้น ถ้าพี่แกไม่ทำอะไรแบบนี้ตั้งแต่แรก ป่านนี้แกกับลู่หานยังรักกันหวานชื่น”สึนะบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อๆเมื่อพูดถึงผู้เป็นสามี
“อีกนานแค่ไหนที่ผมต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเรื่องนี้ผมและพี่ซางะไม่ได้มีส่วนรู้เห็น”
“อีกนานโขเลยแหละ”
หญิงสาวว่าพร้อมกับหยิบผลไม้ขึ้นมากินอย่างหน้าตาเฉย เซฮุนได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เหตุการณ์ลอบทำร้ายคริสครั้งนี้เขาไม่รู้มาก่อนเลยจริงๆ หากเป็นแผนของซางะอย่างเช่นทุกครั้งอย่างน้อยเขาจะรู้วันและเวลาและที่ซางะเคยทำไป ก็ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตใคร แต่ทำไปแค่ขู่เท่านั้น แต่พักหลังๆมานี้มันรุนแรงขึ้นจนเซฮุนอดคิดไม่ได้ว่าจะเป็นฝีมือของคนอื่น
-----------------------------------------------------------------------
หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลชานยอลก็ได้แต่นั่งคิดถึงเรื่องเหตุการณ์ลอบทำร้ายคริสในครั้งนี้ เพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับคนที่ลากคริสออกมาจากห้อง แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร
“พี่คริสเป็นไงบ้าง?” ไคที่เพิ่งเข้ามาในห้องถามขึ้น
“เหมือนเดิม ไม่มีอะไรคืบหน้า” ชานยอลตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“อะไรกันวะเนี้ย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน นี่เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามาเรียนหรือมารบกันแน่”ไคว่าอย่างอารมณ์เสีย
“นายจะกลับหรอ?” ชานยอลเงยหน้าขึ้นไปถามรูมเมทของตัวเอง
“ถ้าไป มันจะดูเหมือนฉันทิ้งคนที่บ้านนี้ป่าววะ พูดถึงเขาก็มีบุญคุณกับเราอยู่นะ” ไคบอกอย่างคิดหนัก
“ฉันไม่อยากไปไหน อยากอยู่ไปจนครบกำหนด ไม่ก็อยู่จนกว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น”ชานยอลว่าก่อนจะก้มห้นาลงอย่างเดิม
“นาย...รักเขาเข้าแล้วล่ะสิ” หนุ่มผิวเข้มพูดขึ้นทำให้ร่างโปร่งถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว
“อะไรของนาย!” ชานยอลแกล้งทำเป็นไม่รู้ความหมายของประโยคนั้น
“โธ่~ เขารู้กันหมดแล้วครับคุณ เป็นห่วงกันซะขนาดนั้น” ไคว่าก่อนจะส่งสายตาล้อเลียนเพื่อนตัวเอง
“เซ้นส์ดีกันจริงๆเลย!” ชานยอลว่าก่อนจะลุกไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
“เอาน่า เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใครหรอก” คนผิวเข้มว่าพร้อมกับกระตักคิ้วใส่ชานยอล
“เอาเวลาของนายไปอ่านหนังสือสอบเถอะ!!” ชานยอลว่าก่อนจะโยนหนังสือให้กับไค
“เขินนนนแซวนิดแซวหน่อยมีเขิน ขอให้อานุภาพแห่งรักส่งผลให้สอบได้ที่หนึ่งนะคร้าบ~” ไคบอกก่อนจะรีบวิ่งไปยังเตียงของตัวเองเพราะชานยอลหันมาส่งสายตาพิฆาตใส่เขา
ห้องของเด็กหนุ่มทั้งสองเงียบไปอีกครั้ง ชานยอลก้มหน้าก้มตามองหนังสือ แต่สิ่งที่ผ่านตาไปนั้นไม่ได้เข้าไปถึงสมองเลยแม้แต่น้อย ร่างโปร่งมัวแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เข้าต้องการที่จะนึกให้ออกว่าคนที่เขาเห็นเมื่อวันนั้นเป็นใคร...
ผ่านไปอีกครึ่งสัปดาห์ข่าวดีก็คืออาการของคริสดีขึ้น แต่ข่าวร้ายก็คือยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะฟื้นขึ้นมา สึนะสามารถออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักต่อที่บ้านได้ ตอนนี้จึงทำแค่เพียงติดตามดูอาการของคริสต่อไป
เมื่อหัวหน้าใหญ่ของตระกูลไม่สามารถดูแลงานได้ ภาระอันยิ่งใหญ่จึงตกมาอยู่ที่ลู่หาน ซึ่งวันนี้มีประชุมผู้ถือหุ้นส่วนทั้งหมดลู่หานจึงไปเข้าร่วมประชุมในฐานะตัวแทนของคริส ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ครั้งแรก ที่เขาต้องเป็นตัวแทนประธานกรรมการในการประชุม
“ตอนนี้ทุกท่านคงทราบแล้วว่าอากิระป่วยหนัก ผมคาชิยะในฐานะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของอากิระและหลานของอดีตประธานกรรมการจะขอเข้ามารับตำแหน่งแทนอากิระชั่วคราวฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ลู่หานบอกก่อนจะโค้งตัวให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นที่นั่งประจำที่อยู่เบื้องหน้า
“เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาผมขอเปิดประเด็นก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมโอกาวะ เรียว อยากเรียนให้คุณคาชิยะทราบว่าตั้งแต่ท่านประธานอู๋เสียชีวิตไปหุ้นของทุกบริษัทในเครือเราก็ตกลงอย่างไม่น่าเชื่อ อยากทราบว่าทางท่านประธานคนใหม่ได้คิดแผ่นการจัดการกับปัญหาพวกนี้ไว้บ้างหรือยังครับ?”
หุ้นส่วนคนแรกลุกขึ้นแจ้งปัญหาให้ลู่หานรู้ก่อนจะนั่งลงเช่นเดิม ลู่หานพยักหน้ารับ แต่ในใจนี่เริ่มเป็นกังวลเพราะไม่คิดว่าจะเจอคำถามยากขนาดนี้ ลู่หานและคริสไม่เคยคุยกันเรื่องกิจการของตระกูล เพราะลู่หานไม่ค่อยอยากจะเอาตัวเองมาพัวพันกับเรื่องของธุรกิจ แม้เขาจะพอรู้เรื่องการบริหารงานอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ลู่หารถนัดสักเท่าไหร่
“เรื่องนี้...เรายังไม่ทันที่จะได้คุยกันเพราะอย่างที่รู้ๆกันคืออากิระ...ป่วย”ประโยคสุดท้ายลู่หานเหลือบสายตาไปมองซางะที่นั่งอยู่เกือบจะหลังสุด และชายหนุ่มเองก็มองลู่หานด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
“ผมว่าให้หุ้นส่วนที่มีประสบการณ์ท่านอื่นมาดูแลแทนคุณอากิระก่อนดีกว่าไหมครับ?” ชายวัยกลางคนหนึ่งพูดขึ้นทำให้ลู่หานหันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณชื่ออะไร?” คนหน้าหวานถามชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ผมฮายาชิ เคนและถือหุ้นส่วนถึง 15%”ชายคนดังกล่าวแนะนำตัวพร้อมยิ้มให้ลู่หานอย่างเย่อหยิ่ง
“อืม..โอเคครับคุณเคนก็จริงอยู่ที่ผมไม่มีประสบการณ์ แต่ตอนที่ตระกูลอู๋เริ่มก่อตั้งกิจการ ตอนนั้นผมทราบมาว่าไม่มีใครเคยมีประสบการณ์มาก่อนนะ แต่เขาเลือกที่จะสั่งสมสิ่งที่คุณเรียกว่าประสบการณ์จนมันกลายเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ แล้ว...ถ้าผมไม่เริ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเมื่อไหร่ผมจะมีประสบการณ์?”
ลู่หานพูดอย่างไม่ไว้หน้าจนอีกฝ่ายเผลอแสดงความโกรธเคืองออกมาเล็กน้อย แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติในภายหลังก่อนที่หุ้นส่วนคนอื่นๆจะสังเกตเห็น ทางด้านซางะเองก็ได้แต่กระตุกยิ้มออกมาเมื่อเห็นลู่หานกำลังแสดงฤทธิ์ทั้งที่เพิ่งเข้าร่วมประชุมใหญ่เพียงครั้งแรก
“ถ้าไม่ไหวก็ขายหุ้นให้กับผมก่อนก็ได้นะครับ คุณอากิระพร้อมที่จะบริหารมันเมื่อไหร่ก็ค่อยมาซื้อคืน”เสียงชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นและเมื่อลู่หานหันไปมองตามเสียงนั้นก็พบว่าเป็นหุ้นส่วนจากตระกูลหวางนั่นเอง
“ไม่ต้องรอให้อากิระฟื้นหรอก เพราะผมเองก็บริหารได้ ถึงผมจะไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายแต่ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้อะไรเลยขอประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน” ลู่หานพูดอย่างสุภาพแต่ประโยคมันดูเหมือนคนหน้าหวานกำลังเหน็บแนมคนที่ไม่เห็นด้วยกับการที่เขาเข้ามาบริหารงาน
“เชิญคุณคาชิยะกล่าวเกี่ยวกับแผนงานได้เลยครับ” ซางะบอกกับลู่หานโดยไม่สนใจประเด็นการคัดค้านของคนอื่นๆ
“ขอบคุณ” ลู่หานพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่สายตากลับมองซางะอย่างไม่ไว้วางใจ
การประชุมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้หุ้นส่วนบางคนจะยังรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการที่ลู่หานจะเข้ามาเป็นผู้บริหารงานถึงแม้มันจะเป็นการชั่วคราว แต่ยังมีอีกหลายคนที่พยายามจะเสนอตัวเองเข้าไปบริหารแทน แต่ลู่หานจำเป็นต้องหนักแน่นกับคำปฏิเสธที่จะต้องบอกกับคนเหล่านั้นและเขาก็ทำมันได้ดี...
หลังจากที่คริสถูกลอบทำร้าย คนในบ้านก็ตกอยู่ในสภาวะที่จะต้องดูแลตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ชานยอลและไค ตอนนี้เขาต้องช่วยคนในบ้านดูแลแทบทุกอย่างจนกลายเป็นลูกหลานของคนในบ้านไปแล้ว
“อ๋อๆ...ครับป้า....โอเคเดี๋ยวผมเข้าไปดูให้ครับ” ไคพูดกับคนในสายสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป
“ป้าชิโอริหรอ?” ชานยอลที่กำลังช่วยคนอื่นๆในบ้านยกของอยู่ถามขึ้น
“อือ ป้าเขาบอกให้ฉันเข้าไปเอาของที่บ้านพี่คริสน่ะ” ไคบอกพร้อมกับเก็บโทรศัพท์เครื่องหรูของตัวเองไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างเดิม
“อ่อๆไปดิ มีอะไรให้ช่วยก็โทรเข้ามาก็แล้วกัน”
“โอเคงั้นฉันไปก่อนนะ” คนผิวเข้มบอกก่อนจะเดินแยกตัวออกไป
ร่างสูงโปร่งของไคเดินดุ่มๆไปบ้านอีกหลังอย่างรวดเร็ว เขาเดินอ้อมไปทางหลังบ้านเพื่อไปหยิบของที่ต้องการ เขาใช้เวลาหาของชิ้นนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบออกมาเมื่อเจอของที่ตัวเองต้องการ แต่เมื่อเดินกลับออกมาจนถึงหน้าบ้านก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเจอคนคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากบ้านของคริสและคนนั้นก็ดูตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้เจอกับไค
“นายมาทำอะไรที่นี่...”เซฮุนถามออกไป
“แล้วนายล่ะ มาทำอะไร?” คนผิวเข้มถามย้อนกลับไป
“ฉัน....ฉันก็มาทำธุระของฉันน่ะสิ แล้วนายล่ะมาทำอะไรแถวนี้”เซฮุนตอบด้วยน้ำเสียงมีพิรุธก่อนจะถามอีกคนกลับไป
“ฉันก็มีธุระของฉันเหมือนกัน ว่าแต่นายเหอะทำไมต้องทำตัวลับๆล่อๆด้วย?” ไคถามอย่างพยายามจับผิด
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ฉันเข้าออกบ้านหลังนี้มากี่ปีไม่เคยเห็นมีใครจะมาสงสัยอะไรอย่างนายเลยนะ” เซฮุนบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“แต่ฉันสงสัย” ไคบอกด้วยท่าทีกวนๆ ทำให้เซฮุนยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากกว่าเดิม
“ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว เสียดายเวลา!” เซฮุนว่าก่อนจะเดินชนไหล่คนผิวเข้มไปโดยไม่สนใจ
“เอ๊า! ไอ้คนนี้หนิ!” ไคสบถกับตัวเองเบาๆ
หนุ่มผิวเข้มยังไม่ละสายตาจากคนที่เพิ่งเดินชนเขาไป ท่าทีที่เซฮุนตกใจเมื่อตอนที่เจอกัน มันยิ่งทำให้ไครู้สึกได้ว่าเซฮุนกำลังมีบางอย่างปิดบังทุกคนอยู่ แต่เขายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร....
-----------------------------------------------------------------------
วันนี้เป็นอีกวันที่ชานยอลต้องมาเรียนตามปกติ เรียนไปแบบเข้าใจบ้างไม่เข้าบ้าง หนังสือเล่มหนาถูกวางกองไว้บนโต๊ะ มันอาจจะดูเหมือนคนร่างโปร่งกำลังตั้งใจเรียน แต่เบื้องหลังกองหนังสือนั้นนิ้วเรียวกำลังจิ้มโทรศัพท์ของตัวเองอย่างล่องลอยแต่อยู่ๆก็มีข้อความจากโปรแกรมแชทเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรู
‘คริสฟื้นแล้ว’
ข้อความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้หัวใจของชานยอลทำงานเร็วมากกว่าปกติ เสียงของอาจารย์ประจำวิชาเริ่มไม่มีความหมายยิ่งกว่าเดิม ร่างโปร่งเริ่มกระสับกระส่ายและมองนาฬิกาบ่อยๆ ตอนนี้ชานยอลรู้สึกได้ว่าเวลามันเดินช้าลงจนเขาอยากจะวิ่งออกไปจากห้องเรียนเสียตั้งแต่ตอนนี้
เมื่อเสียงสัญญาณดังบอกว่าเป็นเวลาเลิกเรียน ชานยอลรีบวิ่งออกจากห้องโดยไม่ทันที่จะได้บอกได้ลาเพื่อนร่วมห้องสักคำ ร่างโปร่งออกจากโรงเรียนแล้วเดินทางมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลทันที ทุกอย่างในตอนนี้ดูช้าและช่างน่าขัดใจไปหมด แม้รถแท็กซี่ที่ดูว่าจะเร็วที่สุดในการเดินทางแต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันช้าอยู่ดี
ทันทีที่รถแท็กซี่จอดเทียบริมฟุตบาทหน้าโรงพยาบาล ชานยอลรีบพุ่งตัวออกมาจากรถแล้วตรงไปยังอาคารผู้ป่วยที่คริสรักษาตัวอยู่ทันทีและเมื่อร่างโปร่งวิ่งมาถึงหน้าห้องไอซียูก็พบว่าคริสได้ถูกนำตัวออกไปยังห้องพักผู้ป่วยแล้ว ชานยอลจึงต้องวิ่งหน้าตั้งไปยังอีกห้องทันที
“ชานยอลๆ!” เสียงของบางคนตะโกนเรียกจนร่างโปร่งหยุดวิ่งแทบไม่ทัน
“พี่สึนะ คริสอยู่ไหนครับ?” ชานยอลถามอย่างเหนื่อยหอบ
“อยู่ทางนี้ ตามพี่มา” หญิงสาวที่ดูยังไม่ค่อยแข็งแรงมากบอกก่อนจะเดินนำร่างโปร่งไป
ชานยอลเดินตามสึนะไปด้วยท่าทีที่ร้อนรน เขาอยากเจอคริสให้เร็วที่สุด ความห่วงใยเริ่มทำให้ชานยอลคิดไปต่างๆนานาว่าคริสจะเป็นอย่างไรและเมื่อมาถึงห้องผู้ป่วยพิเศษสึนะก็ทำการเปิดประตูห้องและใช้สิทธิ์ในการเป็นแพทย์อนุญาตให้ชานยอลเข้าไปในห้องได้
เมื่อชานยอลเข้ามาภายในห้องก็พบว่าในห้องมีเตียงพร้อมคนไข้ที่นอนอยู่ สายระโยงรยางค์ถูกส่งไปยังคนที่กำลังนอนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดหรือสายน้ำเกลือ ความเงียบภายในห้องทำให้เสียงเครื่องวัดชีพจรดังชัดเจน มันยังคงทำงานตามปกตินั่นคือสิ่งที่ทำให้ชานยอลรู้สึกโล่งใจ
สภาพผิวหนังของคนที่นอนหลับตาอยู่ดูดีขึ้นกว่าวันแรกๆ ใบหน้าของคริสเหลือเพียงรอยช้ำเพียงเล็กน้อย แต่ลำตัวของคริสถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มสีขาวสะอาดชานยอลจึงไม่สามรถเห็นได้ว่าผิวที่เคยแตกจนเป็นแผลเหวอะไปทั้งตัวตอนนี้จะเป็นอย่างไร จะเห็นบางก็ตรงช่วงไหล่ที่เป็นรอยห้อเลือดตัดกับผิวขาวซีดของคริส
ชานยอลแทบจะกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่อยู่เมื่อเห็นสภาพโดยรวมของคนที่กำลังหลับอยู่บนเตียง เขาฝืนละสายตาออกมาก่อนจะหาเรื่องคุยกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆแทน
“เขารู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วครับ?”
“ตั้งแต่รุ่งเช้าแล้ว แต่ที่พี่ไม่บอกเราก็เพราะกลัวว่าจะเกเรไม่ไปเรียนแล้วรีบแจ้นมาที่โรงพยาบาลแทน” สึนะบอกก่อนจะพาร่างอันบอบบางนั้นไปนั่งพักบนโซฟาที่อยู่ตรงมุมห้อง
“ตอนนี้ถือว่าพ้นขีดอันตรายแล้วใช่ไหมครับ?” ชานยอลยังคงกังวลเกี่ยวกับอาการของคริส
“อื้ม ถ้าไม่มีคนลากเขาออกไปเจอแดดข้างนอกนั้นนะ” สึนะว่าก่อนจะกระตุกยิ้มเล็กน้อย
“แล้วนี่พี่พอจะรู้เบาะแสบ้างหรือเปล่าว่าใครเป็นคนส่งคนไปลอบทำร้ายคริส” ชานยอลถามขึ้นด้วยความข้องใจ
“จริงๆ ในใจพี่มันก็มีอยู่แล้ว เพียงแค่ยังหาหลักฐานมามัดตัวเขายังไม่ได้แค่นั้นเอง” หญิงสาวบอกอย่างเคร่งขรึม
“ตอนที่ผมเข้าไปช่วยคริส ผมเห็นหน้าคนที่ทำนะ ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขามากๆ แต่...ผมจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร” ชานยอลบอกอย่างขัดเคืองใจที่ตัวเองไม่สามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย
“คุ้นหรอ? หมายความว่านายเคยเจอหรือรู้จักคนๆนั้นมาก่อนน่ะหรอ?” หญิงสาวทวนถามด้วยความแปลกใจ
“อาจจะไม่ถึงขั้นรู้จัก แต่ผมว่าผมเคยเห็นเขามาก่อนแน่ๆ”
“โอเคๆ เอาเป็นว่าถ้านึกออกก็ค่อยมาบอกพี่อีกทีก็แล้วกัน อ๊ะ! ลู่หานโทรมาคงจะมาถึงกันแล้ว แป๊ปนึงนะชานยอล” นะบอกก่อนจะกดรับโทรศัพท์ เธอพูดอยู่สองสามประโยคก่อนจะลุกขึ้นไปที่ประตู้ห้องแล้วเปิดมันออกอีกครั้ง
“ตุ้ยปู้ฉี่ ย่างหนี่เติ๋งจิ่วเลอ~ (ขอโทษที่ทำให้รอนาน)”
เสียงของลู่หานดังมาแต่ไกล สายตาของชานยอลที่กำลังจ้องมองคนที่นอนอยู่บนเตียงรีบเปลี่ยนไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง แน่นอนว่าเขาเห็นลู่หาน แต่คนที่เดินตามหลังลู่หานมาทำให้ชานยอลต้องเบิกตากว้าง ภาษาจีนและหนุ่มเชื้อสายจีนที่เขาเห็นทำให้สิ่งที่ชานยอลพยายามตามหากลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง
คนที่ร่างโปร่งเห็นและได้ฝากรอยแผลใหญ่ไว้ในวันที่เขาเข้ามาลอบทำร้ายคริส เขาเคยเจอคนๆนั้นจริงๆ ชานยอลได้มีโอกาสเจอชายคนนั้นในวันที่ ‘หวาง จื่อเทา’ เขาไปเยี่ยมคริสที่บ้านนั่นเอง...
เย้ ไม่มากไม่มาย อย่าลืมสกรีม+คอมเม้นเป็นกำลังให้มีแรงเขียนตอนต่อไปด้วยเด้อออออ #อตมน
ความคิดเห็น