คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : After Midnight : 2
‘โรคโพรพีเรียหรือเป็นที่รู้จักกันในนามของโรคแวมไพร์’
ผู้ป่วยโรคนี้จะเกิดอาการที่แพ้แสงแดด กระหายอยู่ตลอดเวลา
ผิวหนังของผู้ป่วยโรคนี้จะทำปฏิกิริยากับรังสีอัลตราไวโอเลตในแดด และเปลี่ยนส่วนประกอบของเลือดที่เลี้ยงสมองให้กลายเป็นพิษ
บางรายถึงขั้นโคม่า ผิวหนังก็จะคล้ำลงและปริแตกเมื่อโดนแสง ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมพวกเขาทั้งหลายถึงออกมาในเวลาหลังเที่ยงคืนแล้วปกปิดร่างกายด้วยผ้าคลุมสีดำน่าลึกลับ บางคนที่เคยเห็นหน้ากันแต่แล้วจู่ๆก็หายไปก็กล่าวหากันว่าพวกเขาตายไป หรือไม่ก็หายสาบสูญไปแล้วหรือบางทีอาจมีคนกล่าวหาว่ากลายเป็นแวมไพร์ไปโดยสิ้นเชิง
บางคนกลายเป็นบ้า มีอาการประสาทหลอนเจ็บปวดทรมาน ผู้ป่วยจึงหาวิธีการบรรเทาเลือดโดยการดื่มเลือดสัตว์ (ดีไม่ดีบางคืนไม่มีสัตว์ให้ดื่มเลือดพวกเขาอาจหันมาดื่มเลือดจากมนุษย์ด้วยกันเองก็ได้?)
โรคนี้จะได้รับสิทธิพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ การที่สายตามองเห็นได้ในความมืด ผิดกับแสงสว่างที่จะทำให้พวกเขากลายเป็นคนตาบอดหรือแค่สายตาสั้นไปเท่านั้น
“โพรพีเรียงั้นหรอ?” ชานยอลพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะละสายตาจากจอโทรศัพท์ของตัวเอง
“เฮ้ยทำไรอะ? แล้วนี่กินข้าวเที่ยงยังเนี้ย” ไคที่เพิ่งเดินเข้ามาหาถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขายังไม่มีจานข้าววางอยู่ด้วยอย่างที่ควรเป็น
“ยัง กะว่าจะกลับไปกินที่บ้าน ได้ข่าวว่าป้าชิโอริจะทำมื้อใหญ่ให้กินเว้ย~”
“อ้าว! ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลยวะ? ดีนะที่ยังไม่กินข้าว เดี๋ยวเหอะๆ เดี๋ยววันนี้จะกินล้างแค้นเลยคอยดู!”
แม้ทั้งสองคนจะเรียนอยู่คนละห้องกัน แต่เขาก็มาเจอกันในเวลาว่างตอนพักกลางวันอยู่เสมอ ชานยอลและไคสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม เขาสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่มีเรื่องเดียวที่ชานยอลลืมบอกไคไป นั่นก็คือเรื่องลูกชายเจ้าของบ้านที่เขาได้มีโอกาสไปเจอมาด้วยความบังเอิญ
-------------------------------------------------------------------------------------
เวลาล่วงเลยไปจนถึงเย็น ทั้งชานยอลและไคก็เดินทางกลับบ้านมาพร้อมกัน แต่วันนี้มันแปลกไปเมื่อทั้งสองกลับมาเห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งมาที่บ้านของเขาและทุกคนก็แต่งกายด้วยชุดสูทสีดำ เด็กหนุ่มทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบใครได้ จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนั้นเดินเข้าไปหาชานยอลและไค
“ชานยอลซังและไคซังใช่ไหมครับ?” ชายคนนั้นโค้งให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองก่อนจะถามขึ้นมาเพื่อความแน่ใจ
“ชะ..ใช่ครับ” ทั้งสองโค้งตอบและเป็นชานยอลที่ตอบคำถามของชายคนนั้น
“อ่า..เรามีเรื่องจะแจ้งให้คุณทั้งสองทราบน่ะครับ คือตอนนี้ผมคิดว่าที่นี่คงไม่ปลอดภัยสำหรับคุณสองคนอีกต่อไป”
“หือ?” ไคส่งทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินคำว่าไม่ปลอดภัย
“อ่อ เดี๋ยวนะครับ ว่าแต่ตอนนี้คุณลุงกับคุณป้าอยู่ที่ไหนครับ?” ชานยอลถามตัดหน้าขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มดูไม่น่าไว้ใจ
“เอ่อ ขอประทานโทษที่ผมไม่ได้บอกเรื่องของนากามูระให้คุณทั้งสองทราบเสียก่อน แต่คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าตระกูลอู๋เป็นใคร”
“ทราบครับ” ไคตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ครับ อย่างที่คุณทั้งสองได้ทราบในเบื้องต้น ตระกูลอู๋เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับต้นๆในญี่ปุ่นและแน่นอนว่าต้องมีศัตรู และเหยื่อของศัตรูในครั้งนี้ก็คือนายโช นากามูระผู้ที่ได้รับหน้าที่เป็นโฮสต์ของคุณทั้งสอง” ชายคนนั้นบอกด้วยท่าทีสุขุมไร้ความตื่นตัวราวกับว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเขารู้สึกเฉยๆกับมันเสียแล้ว
“ห๊ะ!! แล้วตอนนี้คุณลุงกับคุณป้าอยู่ที่ไหน!? แล้วเขาเป็นอะไร ตอนนี้ปลอดภัยดีใช่ไหม??!!” ชานยอลถามอย่างร้อนรนเมื่อรู้ว่าผู้ปกครองของเขาได้รับอันตราย
“ตอนนี้นายโชปลอดภัยแล้ว แต่ก็ยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสักพักและแน่นอนว่าชิโอริต้องไปดูแลสามีของเธอ ดังนั้นท่านอู๋จึงมีคำสั่งอนุญาตให้คุณสองคนย้ายไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนดังกล่าวได้บอกไป ชานยอลและไคก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วทำตาปริบๆเมื่อได้ยินว่าต้องไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ บ้านที่ดูลึกลับและน่าค้นหา บ้านที่เต็มไปด้วยคำเลื่องลือ ตอนนี้เขาทั้งสองคนได้รับโอกาสเข้าไปค้นหาความจริงโดยไม่ต้องร้องหาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่บ้านหลังเล็กๆที่แสนอบอุ่นไม่ได้เป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนอย่างชานยอลและไคอีกต่อไป ทั้งคู่จึงต้องทำการขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของตัวเองไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ตามที่เจ้าของบ้านได้สั่งการมาและแน่นอนว่าทั้งสองคนแทบจะไม่ต้องเหนื่อยออกแรงในเรื่องการขนย้ายสัมภาระพวกนั้น เพราะทั้งหมดเป็นหน้าที่ลูกน้องของคุณเจ้าของบ้าน
ทันทีที่ทั้งสองคนได้เข้ามาในอาณาเขตบ้านหลังใหญ่ ไคถึงกับอ้าปากค้างเพราะตกตะลึงกับความใหญ่โตและสวยงามของบ้านหลังใหม่ของพวกเขาและแม้ว่าชานยอลจะเคยเห็นมันมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศภายในก็อดที่จะตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้เช่นกัน
บ้านหลังใหญ่ที่ถูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลังรอบตัวบ้านมีต้นไม้จำพวกไม้ประดับถูกวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทั้งสองคนเดินตามระเบียงกว้างไปเรื่อยๆ ทุกจุดรอบบริเวณบ้านมีคนคอยยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ซึ่งดูแล้วได้อารมณ์บ้านของมาเฟียเป็นอย่างดี
“เฮ๊ยแนวว่ะ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้โอกาสมาบ้านผู้มีอิทธิพลอย่างคุณอู๋” ไคบอกเพื่อนตัวเองด้วยความตื่นเต้น
“เออ แต่กลัวนะเนี้ย กลัวทำผิดอะไรสักอย่างแล้วเกิดเขาไม่พอใจชักปืนขึ้นมายิ่งนี่แย่เลยนะ” ร่างโปร่งบอกพร้อมกับพยายามกลั้นเสียหัวเราะเอาไว้
ทั้งคู่ถูกนำมายังห้องห้องหนึ่ง มันเป็นห้องโล่งกว้างที่กั้นผนังด้วยไม้ที่ถูกต่อเป็นตารางแล้วถูกปิดทับด้วยกระดาษสีขาว ทำให้แสงที่ส่องเข้ามาภายในตัวห้องเป็นแสงที่อ่อนโยนกว่านอกตัวบ้าน ภายในห้องไม่ได้มีอะไรประดับไว้เลยนอกจากต้นบอนไซที่ถูกจัดวางไว้ที่มุมห้อง กลางห้องมีโต๊ะไม้แบบญี่ปุ่นวางอยู่และที่ตรงนั้นก็มีใครบางคนนั้นอยู่ก่อนแล้ว
“เชิญครับ”
ชายที่นำชานยอลและไคมาผายมือให้คนทั้งสองเขาไปหาคนที่กำลังใช้พู่กันจิ้มลงไปในถาดหมึกสีดำก่อนจะยกมันขึ้นมาเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษที่ได้เตรียมเอาไว้
“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มทั้งสองกล่าวพร้อมกับโค้งให้กับคนตรงหน้า
ชายที่เลยวัยกลางคนไปแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงคำทักทายของเด็กหนุ่มทั้งสองและแม้ว่าเส้นผมของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวแทบจะทั้งหมดแล้ว แต่เขาก็ยังดูดี สุขุม มีภูมิฐานยิ่งสวมชุดยูกาตะด้วยแล้วยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
“ชานยอลกับไคใช่ไหม?”
“ครับผม” ทั้งสองคนตอบไปด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะเขารู้กันอยู่แล้วว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
“ขอโทษที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ฉันคิดว่ามันคงจะปลอดภัยกว่าบ้านของนากามูระ”
“ครับ ขอบพระคุณที่เมตตาพวกเรา ผมสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับคุณอู๋อย่างแน่นอน” ไคบอกก่อนจะโค้งตัวลงพร้อมกันกับชานยอล
“อืม..มีคนพาพวกเธอไปดูที่พักแล้วใช่ไหม อยู่ได้หรือเปล่า?”
“อ้อ ครับถ้าจะอยู่ไม่ได้ก็คงเป็นเพราะว่ามันสวยเกินไปแน่ๆ ห้องก็สวยบรรยากาศนอกห้องก็ดีเล่นซะผมไม่อยากออกจากห้องเลย ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มผิวเข้มบอกก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ดีแล้วที่เธอชอบ อ้อ! ถ้าเกิดได้ยินเสียงอะไรแปลกๆจากบ้านหลังโน้น ไม่ต้องตกใจนะ พอดีลูกชายฉันเขาไม่ค่อยสบาย”
ผู้เป็นเจ้าของบ้านบอกก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย แต่ทางด้านชานยอลและไคนั้นกลับหันไปมองหน้ากัน เพราะรู้เรื่องราวของลูกชายเจ้าของบ้านมาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะใช่คนเดียวกันกับที่เขาทั้งสองคิดหรือเปล่า..
หลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกับคุณอู๋ผู้เป็นเจ้าของบ้านเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายกันไปจัดของที่เพิ่งย้ายมาและเมื่อทำภารกิจของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยชานยอลจึงถือโอกาสออกไปสำรวจรอบๆบ้านหลังใหญ่หลังนี้อีกครั้ง
ร่างโปร่งเดินมองไปรอบๆบ้านจนกระทั้งมาหยุดอยู่ที่สวนกลางบ้าน สวนเล็กๆที่ถูกล้อมไว้ด้วยระเบียงทางเดินมันถูกกั้นเอาไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยม ภายในส่วนเล็กๆเรียกได้ว่าเป็นการย่อป่าขนาดใหญ่เอาไว้ในนั้น น้ำตกจำลองที่มีเหล่าปลาคาร์ฟแหวกว่ายไปมาทำให้ชานยอลรู้สึกเพลิดเพลินเมื่อได้มองมันและเมื่อร่างโปร่งเดินออกไปนอกตัวบ้านก็เจอเข้ากับสวนเซ็น สวนหินของญี่ปุ่น แม้สวนประกอบของสวนนี้จะเป็นหินเสียส่วนใหญ่ แต่มันก็ยังดูสวยงามอยู่ดี
ในระหว่างที่ชานยอลกำลังชื่นชมความงดงามแบบเรียบง่ายของสวนเซ็นอยู่นั้น พลันสายตาของเขาก็ไปเห็นบ้านหลังหนึ่งเข้า มันอยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ที่เขาอยู่ไม่มาก ซึ่งบรรยากาศดูมืดครึ้มไร้ที่โล่งแจ้งอย่างหลังที่เขาได้มาพัก ร่างโปร่งพยายามชะเง้อมองไปยังบ้านที่ดูเงียบสงบหลังนั้นและก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย
เวลาในตอนกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาเย็นพอสมควร แสงสว่างที่เคยมีก็จางหายไปพร้อมกับดวงตะวันที่ลับขอบฟ้า แต่ทั้งชานยอลและไคกลับไม่มีใครได้เจอลูกชายเจ้าของบ้านเลย แม้ว่าชานยอลเคยมีโอกาสเจอเขามาแล้ว แต่หากครั้งนี้ได้มีโอกาสเจออีกสักครั้งเขาอาจจะรู้อะไรเกี่ยวคนๆมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้
“ฉันว่านะ ลูกคุณอู๋นี่คงเป็นแวมไพร์จริงๆแน่เลยว่ะ นี่เดินเล่นรอบบ้านมาทั้งวันแล้วยังไม่ได้เห็นหน้าเลย” ไคพูดขึ้นทั้งๆที่ยังนอนเอนหลังอยู่บนม้านั่งภายในสวนที่ไม่ห่างจากตัวบ้านนัก
“เขาอาจจะออกไปทำธุระก็ได้มั้ง เออลืมบอก! ฉันเคยเจอเขาครั้งนึงแล้วนะ” ชานยอลบอกเพื่อนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาเจอคริสให้ไคฟัง
“เฮ๊ยจริงดิ!! ยังไงๆ เขาเป็นยังไง” หนุ่มผิวเข้มเด้งตัวขึ้นมาถามด้วยความอยากรู้
“ไม่ได้ยังไง ไม่น่ากลัว แลดูป่วยๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนคนไม่แข็งแรงอะ” ชานยอลเล่าไปตามความจริงที่เขาได้พบเห็นมา
“หรอวะ...แปลก งั้นทำไมคนถึงเล่าเรื่องกันไปอย่างนั้นวะ”
“นั่นสิ...”
ในขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่นั้นข้างบนบ้านก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวกันเล็กน้อย โคมไฟสีส้มอ่อนที่ถูกประดับไว้ทั่วตัวบ้านสามารถทำให้คนทั้งสองมองเห็นการเคลื่อนไหวของคนบนบ้านได้เป็นอย่างดีและบนนั้นก็ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มร่างบางสวมชุดฮากามะสีขาว ร่างนั้นเดินไปตามระเบียงทางเดินอย่างเร่งรีบ เขามุ่งตรงไปยังห้องที่ชานยอลและไคได้เข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของบ้านมาเมื่อตอนกลางวัน
“คุณลุงล่ะ?” หนุ่มร่างบางคนนั้นถามคนที่คอยยืนเฝ้าอารักษาอยู่บริเวณนั้น
“ท่านอู๋อยู่ข้างในแล้วครับคุณคาชิยะ”
“อืม..เอ้อแล้วนี่พวกทาคาชิมาด้วยหรือเปล่า?” หนุ่มร่างบางถามด้วยสีหน้าขึงขัง
“มาครับ แต่ส่งแค่คุณยูกิมาแค่คนเดียว”
“เฮ๊อะ! ส่งไอ้เด็กเวรนี่มาอีกแล้ว! เดี๋ยวฉันจะเข้าไปข้างในแล้ว ถ้าอากิระออกมาบอกเขาว่าฉันรออยู่ข้างใน” ร่างบางบอกก่อนจะเดินเขาไปภายในห้องรับรองนั่นทันที
สองนักเรียนแลกเปลี่ยนมองดูเหตุการณ์ของคนในบ้านอย่างงงๆ ทำไมคนพวกนั้นต้องลุกขึ้นมาแต่งชุดประจำชาติกันตอนมืดค่ำเช่นนี้ แต่ความสงสัยเหล่านั้นก็ถูกพับเก็บเอาไว้ เมื่อบนระเบียงทางเดินนั้นมีชายหนุ่มร่างสูงปรากฏตัวขึ้นและคนๆนั้นก็เป็นคนที่ชานยอลคุ้นหน้าคุ้นตา
ชายหนุ่มในชุดฮากามะสีดำเดินไปตามระเบียงไม้อย่างไม่เร่งรีบ ร่างที่สูงโปร่งทำให้เขาดูสง่าผ่าเผย บุคลิกและท่าทางดูเป็นคนใจเย็นมากพอสมควร ผิวขาวซีดทำให้เขาดูเด่นมากเป็นพิเศษและไม่ว่าเขาจะเดินผ่านใครทุกคนก็ต่างโค้งให้เขาหมดทุกคนและสุดท้ายเขาก็มาหยุดลงตรงที่หนุ่มร่างบางคนก่อนหน้าเคยหยุดคุยกับเหล่าอารักขา
“มากันแล้วหรอ” ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“ครับ ตอนนี้ทุกคนพร้อมประชุมแล้ว รอแค่คุณอากิระพร้อมครับ”
“อืม”
ร่างสูงตอบกลับไปสั้นๆ แต่ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องนั้นเขาก็หันหลังกลับไปมองที่สวนนอกบ้านและแม้ว่ามันจะมืดสำหรับคนอื่นๆ แต่เขาสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
“นี่ๆๆ คนนี้แหละ! คนนี้แหละคริส คนนี้แหละลูกชายของคุณอู๋!” ชานยอลสะกิดเพื่อนของตัวเองด้วยความตื่นเต้น
“เห้ยย!! คนนี้หรอ! โอ้! นี่มันเจ้าพ่อในร่างแวมไพร์เลยนะเนี้ย อย่างเท่อะ!”
ไคว่าด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ใครจะนึกว่าประสบการณ์ของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของพวกเขาจะน่าตื่นเต้นได้เพียงนี้ เด็กหนุ่มจากเกาหลีสองคนต้องมาอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกันกับผู้มีอิทธิพลอันดับต้นๆของญี่ปุ่น
“เออเท่ แต่อยู่นี่รู้สึกอันตรายฉิบหาย นี่ไม่รู้ว่าคุณลุงกับคุณป้าจะเป็นยังไงบ้าง” สีหน้าของชานยอลเปลี่ยนไปทันทีเมื่อพูดถึงบุคคลทั้งสอง
“เอาน่า คุณลุงปลอดภัยแล้ว ที่สำคัญเราอยู่นี่คงไม่ต้องกลัวอะไรหรอกมีคนพร้อมคุ้มกันเราตั้งเยอะตั้งแยะ” ไคบอกพร้อมตบบ่าเพื่อนเบาๆ
“ดูพูดเข้า พูดเหมือนเป็นลูกเจ้าของบ้านงั้นแหละ” ร่างโปร่งบอกพร้อมกับทำหน้าเอือมระอาใส่อีกคน
“ก็อยากนะ ว่าแต่บ้านนี้มีลูกสาวหรือเปล่า อยากเป็นลูกเขย ฮ่าๆๆๆ”
“เพ้อว่ะ เข้าบ้านดีกว่า”
ร่างโปร่งว่าก่อนจะเดินหนี ปล่อยให้เพื่อนผิวเข้มนั่งหัวเราะอยู่เพียงลำพัง แต่ไม่นานไคก็เดินตามชานยอลกลับเข้าไปเมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องเตรียมตัวนอน เพราะพรุ่งนี้เช้าทั้งคู่มีเรียนกันตั้งแต่เช้า
ภายในห้องโถงกว้าง มีคนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่ในนั้น ส่วนหนึ่งเป็นคนในครอบครัวตระกูลอู๋และในนั้นก็มีคาชิยะหรือถ้าเรียกชื่อตามคนในครอบครัวก็คือลู่หานลูกพี่ลูกน้องของอากิระหรือคริสลูกชายคนเดียวของตระกูลอู๋ผู้ที่จะมาสืบทอดตระกูลนี้ในลำดับต่อไป
“วันนี้เมื่อตอนกลางวันนายนากามูระ โชถูกลอบทำร้ายภายในบ้าน”
ชายชราเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบแม้จะพูดด้วยระดับเสียงที่ไม่ดังมากแต่ทุกคนก็ได้ยินมันชัดเจนเพราะภายในห้องนี้เงียบสงบไร้เสียงใดเข้ามาขัดจังหวะการประชุมเครียดในวันนี้
“และฉันก็รู้...รู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร..”
ในขณะที่ชายชรากำลังพูดระหว่างนั้นลู่หานก็เหลือบไปมองคนๆนึงด้วยความไม่พอใจ
“ยูกิ...”
เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มบางๆให้ผู้อาวุโสกว่า ในขณะที่คนอื่นเห็นความเป็นมิตรจากรอยยิ้มนั้น แต่สำหรับลู่หานมันดูร้ายกาจมากกว่าจะเป็นมิตร
“ทาคาชิฝากอะไรมาหรือเปล่า”
“อ้อ ซางะซังฝากแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะครับและหากมีเรื่องไหนที่ทางเราพอที่จะช่วยเหลือได้ก็ขอให้แจ้งให้เราทราบ ทางเราพร้อมจะช่วยเหลืออู๋ซามะทุกเมื่อ” เด็กหนุ่มบอกพร้อมกับยิ้มให้ชายชราอีกครั้ง
“เฮ๊อะ! ท่องจำมาดีจริงเชียว” ลู่หานพูดกับตัวเองเบาๆ
“ฝากขอบคุณพี่ชายเธอด้วยนะ”
“ด้วยความยินดีครับ” เด็กร่างสูงบอกก่อนจะเหลือบไปมองลู่หานที่กำลังมองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หลังจากที่ทุกคนในห้องประชุมคุยกันถึงเรื่องความไม่ปลอดภัยของตระกูลเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านช่องของตัวเองหน้าห้องโถงกว้างนั้นจึงเหลือเพียงคริสและลู่หาน
“ทางเราพร้อมช่วยเหลือทุกเมื่อ~ ถุ๊ย!! ช่วยทำลายอะดิธ่อ!! อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือใคร” ลู่หานว่าด้วยอารมณ์โมโห
“เอาน่า ถึงมันจะเป็นฝีมือของคนในตระกูลทาคาชิจริงๆ แต่ฉันเชื่อว่าเซฮุนมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอก” คริสว่าพลางตบบ่าคนตัวเล็กกว่าเบาๆ
“ทำไมต้องเข้าข้างมัน? เป็นพี่มันหรอ?” ร่างบางเลิกคิ้วถามอีกอย่างไม่สบอารมณ์
“เอ๊านายนี่! เมื่อไหร่จะเลิกใช้อารมณ์ซะทีเนี้ย อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต จะผ่านไปกี่สิบปีก็ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆเลย” คริสว่าก่อนจะกอดอกแล้วพิงตัวลงกับเสาไม้
“ก็ฉันไม่ชอบขี้หน้ามัน ตระกูลมันเลวแค่ไหนนายก็รู้”
“ตระกูลมันไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะต้องไม่ดีตามตระกูลมันป่ะ?”
“พอๆ ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เบื่อ! เบื่อคนโลกสวย ขนาดออกมาได้แค่ตอนกลางคืนโลกยังสวยได้ขนาดนี้” ลู่หานว่าก่อนจะเดินดุ่มๆนำหน้าคริสไป
“อ้าว ผิดอีก”
“เออ!! บอกเลยนายอะทำอะไรก็ผิด” ร่างบางพูดพลางก้าวขาเดินไปอย่างรวดเร็ว
“เออเดี๋ยวๆ ถามอะไรหน่อย” คริสรีบพูดขึ้นมาเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
“อะไร?” ร่างบางชะลอฝีเท้าลงพร้อมกับหันไปถามร่างสูง
“บ้านเรามีเด็กแลกเปลี่ยนมาอยู่ด้วยหรอ?”
“อือ เด็กที่อยู่บ้านนากามูระนั่นแหละ คุณลุงเห็นว่ามันไม่ปลอดภัยก็เลยให้ย้ายมาอยู่กับเราก่อน ทำไมอะ?”
“เปล่า ถามดูพอดีฉันเจอพวกเขาก่อนเข้าไปประชุมน่ะ” คริสบอกก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำลู่หานแทน
“อ่อ เออว่าแต่ช่วงนี้อาการเป็นไงบ้าง?” ร่างบางเปลี่ยนประเด็นเป็นเรื่องของคริสทันทีเมื่อเห็นว่าวันนี้คริสออกจากบ้านพักของเขาได้เร็วกว่าทุกวัน
“ก็ดี สงสัยเพราะงดเล่นกับแดดมาหลายวัน”
“เออ หยุดลองซะบ้าง รู้ว่าแย่แล้วยังจะฝืน”
คริสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ร่างสูงได้แต่นิ่งเงียบและเดินตามร่างบางไปเรื่อยๆ ทุกอย่างในชีวิตมันน่าเบื่อสำหรับเขา เพราะในขณะที่ทุกคนกำลังนอน แต่เขากลับตื่น ในขณะที่ทุกคนตื่น เขากลับออกมาเจอบรรยากาศแบบนั้นไม่ได้
ถ้าเป็นเช่นนี้เขาจะมีโอกาสไหม....โอกาสที่จะได้เจอกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนั้นอีกครั้ง...
ซึมซับบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นได้ขนาดไหน หากอยากบ่นเจอกันที่แท็ก #อตมน นะคะ ^^
ความคิดเห็น