คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : After Midnight : 1
“ครับแม่...ถึงแล้วครับ กำลังเดินทางไปบ้านโฮสต์ครับ...ครับผม แม่ก็ดูแลตัวเองเหมือนกันนะครับ ครับ ผมรักแม่น้า~ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มร่างโปร่งยิ้มให้โทรศัพท์หลังจากกดวางสายก่อนจะเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงเมื่อเห็นว่ามีคนชูกระดาษที่มีชื่อของเขาอยู่หน้าเกททางออก
“สวัสดีครับ ผมชานยอลเจ้าของชื่อบนกระดาษนี่ครับ” ร่างโปร่งบอกคนที่มารอรับเขาเป็นภาษาญี่ปุ่น ภาษาของประเทศที่เขาได้เดินทางมา
“โอ๊ะ! นายนี่เอง แต่พูดเกาหลีเถอะ เพราะฉันก็เป็นคนเกาหลีเหมือนกัน เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกับนายนั่นแหละ” เด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันบอกเป็นภาษาบ้านเกิดของทั้งคู่ก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“อ่อ งั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ค่อยคล่องภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ ฮ่าๆๆ” ชานยอลบอกพร้อมกับหัวเราะออกมา
“โอเคๆ ว่าแต่นายชื่อชานยอลใช่ไหม? ฉันชื่อจงอิน แต่เรียกไคก็ได้นะ แล้วก็ไม่ต้องใช้ศัพท์เป็นทางการกับฉันหรอก คนกันเอง” คนผิวเข้มกว่าบอกพร้อมกับยิ้มให้ร่างโปร่งอีกครั้ง
“อื้มไค ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ชานยอลบอกพร้อมกับยืนมือออกมาจับมือของอีกคนเพื่อเป็นการยืนยันการทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ
ทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางออกจากท่าอากาศยานคันไซ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงโอซาก้าเป็นที่เรียบร้อยและที่นี่คือที่ที่ชานยอลจะต้องมาพักในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนและต้องอยู่ที่โอซาก้าเป็นเวลา 10 เดือนโดยมีไคเป็นรูมเมทและมีคนในตระกูลนากามูระรับหน้าที่เป็นโฮสต์แฟมิลี่ของเด็กหนุ่มทั้งคู่
เมื่อไคขับรถมาถึงที่พักก็ทำให้ชานยอลถึงกับตาโตเมื่อเห็นอาณาเขตของบ้านที่เขาจะต้องมาอยู่ถึง 10 เดือน เพราะมันดูกว้างและถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หรือจะเรียกว่าป่าก็ไม่ผิด เพราะในบริเวณของบ้านถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่มากมายจนแสงแดดจ้าแทบจะไม่สามารถส่องลงมาถึงพื้นดินได้
ภายในเขตรั้วก็มีบ้านอยู่หลายหลัง แต่ละหลังก็ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสไตล์ญี่ปุ่นโบราณและหากมองดูบรรยากาศโดยรอบให้ดีๆแล้วเรียกได้ว่ายุคเอโดะดีๆนี่เอง
“นี่...เจ้าของบ้านเขาเป็นมาเฟียหรือไง?” เมื่อชานยอลมองไปรอบๆบริเวณบ้านก็อดที่จะถามคนที่อยู่มาก่อนเสียมิได้
“บ้านนากามูระน่ะไม่ใช่ แต่บ้านใหญ่อะ...ใช่!”
“บ้านใหญ่?” ร่างโปร่งมีอาการงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนใหม่
“อยู่ไปเดี๋ยวก็รู้เอง”
“เฮ้ยเอาจริง? เป็นจริงๆหรอ?” ชานยอลถามอีกคนเพื่อความแน่ใจ
“ดูบ้านเขาสิ ในบริเวณรั่วนี่บ้านเขาทั้งนั้นแหละ รวมถึงบ้านของนากามูระด้วย” ไคบอกพร้อมกับพาร่างโปร่งเดินไปยังบ้านพัก
“อ้าว แล้วทำไมนากามูระถึงไม่เป็นล่ะ?”
“ก็สองลุงป้านากามูระเป็นแค่คนดูแลบ้าน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเจ้าของบ้านเลย”
“อ้าว! แล้วทำไมถึงมาเป็นโฮสต์เราได้ล่ะเนี้ย” ร่างโปร่งยังคงงงกับความสัมพันธ์ของเจ้าของบ้านที่เขาจะมาอยู่ด้วย
“ก็โรงเรียนที่เราจะไปเรียนน่ะเจ้าของโรงเรียนก็คือเจ้าของบ้านเรานี่แหละ ทางผู้ใหญ่ของบ้านเห็นว่าคุณลุงคุณป้าแกไม่มีลูก เขาคงกลัวแกจะเหงาก็เลยให้นักเรียนแลกเปลี่ยนมาอาศัยอยู่ด้วย”
ไคเดินไปด้วยเล่าไปด้วย ซึ่งชานยอลก็ฟังสิ่งที่อีกคนเล่าอย่างตั้งใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าเรื่องราวภายในรั่วบ้านหลังนี้ดูแปลกๆ จริงๆมันแปลกตั้งแต่บรรยากาศรอบบ้านแล้ว เพราะทุกอย่างมันดูมืดเกินกว่าที่จะเรียกว่าร่มรื่น อากาศที่ร้อนอบอ้าวเพราะอยู่ในช่วงฤดูร้อนแทบจะหาไม่ได้จากอาณาเขตบ้านหลังนี้
แต่ชานยอลต้องพับความสงสัยนั่นเก็บเอาไว้เมื่อเขาเห็นตัวบ้านที่เขาจะได้มาร่วมอาศัย บ้านหลังเล็กๆ ขนาดพออบอุ่นและยังคงความเป็นญี่ปุ่นเอาไว้ มันคงเป็นพื้นที่เดียวที่แสงสว่างสามารถสาดส่องลงมาได้อย่างเต็มที่ ความสวยงามของมันทำให้ชานยอลรู้สึกตื่นเต้น บรรยากาศที่ร่มรื่นและสงบไร้เสียงรถรามารบกวนคงจะทำให้ชีวิต 10 เดือนต่อจากนี้ผ่านไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน
“ชานคุง?”
เสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งฉุดให้สติของชานยอลหลุดออกมาจากโลกของความคิด ร่างโปร่งหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบว่ามีหญิงวัยกลางยืนยิ้มให้กับเขาอยู่หน้าประตูบ้าน
“อ่อชานยอล นี่คุณป้าชิโอริคนที่เราต้องอยู่ด้วย” หนุ่มผิวเข้มบอกร่างโปร่งก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปหาหญิงวัยกลาง
“เอ่อ คอนนิจิวะ วาตาชิวะชานยอลเดส” ร่างโปร่งบอกเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมกับยิ้มให้หญิงวัยกลางอย่างร่าเริง
“สวัสดีจ้ะ น่ารักจริงๆเลยเด็กคนนี้ เอาของเข้าไปเก็บในบ้านก่อนเถอะลูก” เธอบอกก่อนจะเข้าไปช่วยรับของบางส่วนจากชานยอล
“แล้วลุงโชไปไหนอะป้า?” ไคถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าชิโอริอยู่บ้านเพียงลำพัง
“ลุงเขาเข้าไปที่บ้านหลังใหญ่น่ะจ้ะ เห็นว่ามีเรื่องต้องเหนื่อยกันอีกแล้ว” หญิงวัยกลางบอกก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอ่อ ขออนุญาตถามได้ไหมครับ? คือ...มันเกิดอะไรขึ้นหรอครับ?”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แค่มีเรื่องวุ่นๆนิดหน่อย ชานคุงไม่ต้องไปคิดมากหรอกลูกเดินทางมาเหนื่อยๆป้าว่าเราไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะนี่ก็ใกล้จะมืดแล้ว เดี๋ยวจะได้มาก่อนข้าวกันแล้วเราจะได้มีเวลาพักผ่อนด้วย ไคคุงพาเพื่อนไปที่ห้องสิลูก” ชิโอริบอกก่อนจะมอบหน้าที่ให้ไค
“เอาของนายไปเก็บกันเถอะ”
หนุ่มผิวเข้มบอกก่อนจะเดินนำไปยังห้องนอนที่ชานยอลจะต้องพักและมันก็คือห้องเดียวกันกับไคนั่นเอง
หลังจากทานข้าวมื้อเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อยทั้งชานยอลและไคก็กลับเข้ามาภายในห้องนอนเพื่อช่วยกันจัดของของชานยอล ทั้งสองดูสนิทกันอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นเพราะทั้งคู่มาจากเกาหลีเหมือนกันมันจึงทำให้เขาทั้งสองคนคุยกันได้ง่ายมากขึ้น
“ไคนายเคยเข้าไปที่บ้านหลังใหญ่ป๊ะ?” ชานยอลถามรูมเมทของตัวเองในขณะที่กำลังเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้
“เข้าไปไม่ได้หรอก โดนป้ากับลุงเขาห้ามเอาไว้”
“อ้าว! ทำไมต้องห้าม?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินเด็กในโรงเรียนมันคุยกันว่าลูกชายเจ้าของบ้านเป็นแวมไพร์”
“เฮ๊ยเดี๋ยว!? แวมไพร์? จะบ้าหรอมันมีที่ไหน นี่มันศตวรรษที่เท่าไหร่เข้าไปแล้ว ฮ่าๆๆ” ชานยอลหัวเราะออกเมื่อได้ยินสิ่งที่ไคบอก
“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะ แต่เท่าที่สังเกตดู มันก็แปลกจริงๆแหละ ฉันไม่เคยเห็นลูกชายเจ้าของบ้านออกไปไหนในตอนกลางวันเลย แต่เขากลับออกไปคุยงานที่ตระกูลเขาทำอยู่ในเวลากลางคืน แต่บางคนก็บอกว่าเขาเป็นโรค โรคอะไรสักอย่างอะฉันจำชื่อมันไม่ได้” ไคบอกพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะคิดไม่ออกเสียที
“เอาเถอะๆ ช่างเขาเถอะ เขาจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขา เรามาคุยเรื่องเรียนกันดีกว่า”
ชานยอลปัดความสนใจในเรื่องของลูกเจ้าของบ้านทิ้งไปก่อนที่ทั้งคู่จะเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่จะต้องทำต่อจากนี้แทนและไม่นานทั้งคู่ก็เข้านอนกันไป แม้ว่าจะยังไม่ถึงเที่ยงคืนแต่เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้ชานยอลหลับได้สนิทโดยไม่ต้องกลัวความรู้สึกแปลกที่แปลกทาง
และนั่นก็ทำให้ชานยอลพลาดสิ่งที่เขาและไคได้พูดถึงเมื่อตอนหัวค่ำ เพราะเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงรถขับเคลื่อนผ่านบ้านที่ชานยอลได้มาอาศัยไปและคนที่อยู่บนรถคันนั้นก็คือคนเดียวกับที่ไคได้เล่าให้ชานยอลฟังนั่นเอง...
-------------------------------------------------------------
ผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ชานยอลก็ถึงกับเพลียกับการใช้ชีวิตในโรงเรียน เพราะเรื่องของภาษาทำให้ชานยอลสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้นได้ลำบาก แต่ก็ยังดีที่เขาพอจะรู้ภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้างเล็กน้อยเขาจึงสามารถฝ่าฟันปัญหานี้มาได้อย่างทุลักทุเล
และวันนี้ก็เป็นวันหยุดของสัปดาห์แรกที่เขาได้เดินทางมาเรียนที่ญี่ปุ่นและมันก็เป็นวันที่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยแม้แต่คนเดียวเพราะไคต้องออกไปทำรายงานกับเพื่อนร่วมชั้นของเขาส่วนนากามูระทั้งสองคนก็ต้องไปทำงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบทำให้ทั้งบ้านเหลือชานยอลเพียงแค่คนเดียว
ด้วยความที่ร่างโปร่งไม่มีอะไรทำเขาจึงออกไปเดินเล่นนอกบ้าน บรรยากาศที่เงียบสงบมันทำให้เขาอยากเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทางมีเสียงจักจั่นส่งเสียงร้องเหมือนในซีรี่ย์ญี่ปุ่นที่เขาเคยดูเป๊ะ และเมื่อยิ่งเดินต่อไปแสงสว่างก็เริ่มถูกต้นไม้บดบังไป ร่างโปร่งสำรวจไปรอบๆพื้นที่พาลให้คิดไปว่าเจ้าของบ้านคงเป็นคนที่รักธรรมชาติเป็นแน่ ถึงได้เลือกทำเลที่ตั้งได้ออกมาห่างจากผู้คนมากมายและสร้างให้มันเป็นป่าที่สวยงามได้ขนาดนี้
ความสวยงามและความร่มรื่นทำให้ชานยอลหลงเพลิดเพลินไปกับมันจนลืมนึกไปว่าตัวเองเดินออกมาไกลเท่าไหร่แล้วและเขาก็มานึกได้อีกทีก็ต่อเมื่อเห็นบ้านญี่ปุ่นโบราณที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เขาอยู่หลายเท่าตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
ชานยอลรู้สึกใจว่าใจของเขากำลังเต้นแรง เพราะมีบางอย่างบอกว่าเขาไม่ควรมาเจอบ้านหลังนี้ ความใหญ่โตและความเก่าแก่ทำให้บ้านหลังนี้ดูน่าเกรงขาม ความเงียบสงบยิ่งทำให้ชานยอลรู้สึกหวั่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าที่บ้านหลังนี้มีอะไร
แต่ความรู้สึกกลัวก็สามารถเอาชนะความอยากรู้ของชานยอลไปได้ ร่างโปร่งรีบเดินออกมาจากบริเวณบ้านหลังนั้นทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าตระกูลนี้เขาทำอาชีพอะไรกัน
“ได้ข่าวว่าเจ้าของบ้านเป็นมาเฟียแหละ ตอนได้ยินครั้งแรกนะบอกเลยว่าอยากหัวเราะให้ฟันร่วงมาก ไม่คิดว่าไอ้มาเฟียญี่ปุ่นนี่มันมีอยู่จริง”
“เฮ๊ยจริงดิ! แต่ดีนะที่เป็นแค่มาเฟีย ถ้าเป็นนินจาด้วยนี่ฮาเลยนะ ฮ่าๆๆๆ”
“บ้าหรอ! ไม่ใช่นารูโตะ ฮ่าๆๆๆ”
หลังจากที่ถอยห่างออกมาจากบ้านใหญ่หลังนั้น ชานยอลก็หลบมานอนคุยโทรศัพท์อยู่กับพี่สาวของตัวเองอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นเมเปิ้ล
“เป็นมาเฟียนี่ยังว่าพอจะเป็นไปได้ แต่เป็นแวมไพร์นี่สิเหลือเชื่อ” ชานยอลยังคงเล่าเรื่องราวที่เขาได้ยินมาให้ผู้เป็นพี่สาวฟัง
“โห้ ไปอยู่โน้นอาทิตย์เดียวได้ยินเรื่องแปลกๆมาเยอะเลย ว่าแต่ใครเป็น?”
“ลูกชายเจ้าของบ้าน แต่รูมเมทผมเขาเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นโรค โรคที่ไม่สามารถใช้ชีวิตตอนกลางวันได้ แล้วมันก็น่าสงสัยจริงๆนะ เพราะบริเวณบ้านนี่อย่างกะป่า ไม่รู้จะรักธรรมชาติไปไหน ปลูกต้นไม้ซะแน่นหนาคงกะว่าจะไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาได้เลยงั้นแหละ”
“เฮ๊ยๆๆ เดี๋ยวนะๆ โดนแดดไม่ได้...แวมไพร์...โรคแวมไพร์...อ๋อๆๆๆ แกๆ พี่นึกแล้ว โรคโพรพีเรียไง! โรคแวมไพร์ แกลองไปหาอ่านดูดิ พี่เคยอ่านเจอ มันน่าสนใจมาก!!” ยูราผู้เป็นพี่สาวรีบบอกผู้เป็นน้องทันทีที่นึกถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้
“โรคโพรพีเรียงั้นหรอ..” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้เป็นพี่สาวพูดขึ้นมา
“ใช่ๆ โรคนี้น้อยคนที่จะเป็นและคนๆนั้นจะไม่สามารถโดนแดดตอนกลางวันได้เพราะมันจะทำให้ผิวของคนที่เป็นโรคนี้คล้ำและแตกได้ในที่สุด”
ความเป็นไปได้ในสิ่งที่ยูราพูดถึงตอนนี้มีสิทธิ์เป็นได้ถึง 50% นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกชายเจ้าของบ้านไม่สามารถใช้ชีวิตได้ในตอนกลางวัน แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็ไม่ปักใจเชื่อว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง ใครจะไปรู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงคนๆนั้นอาจจะมีอุปนิสัยติสต์แตกกว่าคนทั่วไปจึงเลือกใช้ชีวิตในตอนกลางคืนที่ไร้ผู้คนมากมายก็เป็นได้หรืออีกเหตุผลที่สามารถเป็นไปได้ก็คือธุรกิจของคนตระกูลนี้นั่นเอง
หลังจากที่ชานยอลวางสายจากพี่สาวของตัวเองเขาก็ยังคงเลือกที่จะนอนเล่นอยู่ใต้ต้นเมเปิ้ลต่อไป และเพราะบรรยากาสที่ร่มรื่นและเงียบสงบทำให้ชานยอลเผลอหลับไปในที่สุด
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เมื่อร่างโปร่งลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาเย็นพอสมควรแล้วและนี่คิดว่าเรียกความตกใจให้ชานยอลได้มากพอสมควรแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ร่างโปร่งตกใจได้ยิ่งกว่าก็คือมีชายหนุ่มร่างสูงที่สวมชุดดำทั้งตัวนั่งจ้องมองเขาอยู่ใต้ต้นไม้ฝั่งตรงข้ามกับม้านั่งที่เขานอนอยู่
“เฮ๊ย!!!! คุณเป็นใคร!!”
ชานยอลร้องออกมาด้วยความตกใจและแสงสว่างที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดทำให้เขาพอมองเห็นคนฝั่งตรงข้ามได้บ้าง รูปร่างของเขาน่าจะสูงกว่าชานยอลเพียงเล็กน้อยและเรียกว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเรื่องหน้าตาก็ว่าได้ แต่หน้าตาไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย
“แล้วคุณเป็นใคร?” ร่างสูงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มีบ้านนากามูระเป็นโฮสต์ แล้วคุณ..เป็นใคร? มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?!”
ชานยอลถามอีกคนไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความตกใจหลงเหลืออยู่ แต่อีกคนกลับไม่ได้ตอบอะไรกลับมาและทำเพียงแค่ลุกขึ้นเดินมานั่งลงที่ม้านั่งข้างๆกันกับชานยอลและนั่นก็ทำให้ร่างโปร่งได้เห็นว่าอีกคนมีผิวพรรณที่ขาวซีดกว่าคนทั่วไป
“ผมต้องไปนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะคุณแอบมานอนอยู่บนที่นั่งของผมนี่ไง” ร่างสูงยังคงบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเหมือนเดิม
“แล้วจะมานั่งอะไรมืดๆค่ำๆ ตกใจหมดนึกว่าโดนผีหลอก!” ชานยอลบอกพร้อมกับยกมือขึ้นทาบลงบนหน้าอกของตัวเอง
“ก็แค่อยากจะออกมาเจอแสงแดดบ้างก็แค่นั้นเอง” เสียงทุ้มบอกอย่างอ่อนเพลียราวกับคนเพียงตื่น
“ดูแดด? แดดตอนนี้เนี้ยนะนี่คุณเพี้ยนไป หรือเป็น......................”
ชานยอลเว้นคำพูดไปเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เรื่องราวทั้งหมดที่เขาได้ยินมาตั้งแต่วันแรกที่เขาเดินทางมาที่ญี่ปุ่น รวมไปถึงเรื่องที่ร่างโปร่งได้คุยกับพี่สาวไปเมื่อตอนกลางวันค่อยๆไหลย้อนกลับมาในความคิดของเขาอีกครั้ง
“เป็นอะไร?” โทนเสียงเรียบนั่นถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าชานยอลนิ่งเงียบไป
“คุณเป็น..ลูกเจ้าของบ้านหลังนี้...ใช่หรือเปล่า??” ร่างโปร่งตัดสินใจถามคนข้างๆออกไป
“อีกไม่นานคงได้เป็นเจ้าของบ้านแล้วมั้ง”
ทันทีที่ได้ยินประโยคจากปากของอีกคนชานยอลรีบถอยตัวออกห่างในทันที เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้คือคนที่เขาเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อตอนกลางวันจริงๆ และดูเหมือนว่าคนนี้จะมีสิ่งที่ต่างจากคนทั่วไปจริงๆ
“ตอนนี้เป็นลูกเจ้าของบ้าน โอเครู้จักแล้วและตอนนี้มันก็มืดแล้ว เอ่อ..ผมว่าผมขอตัวกลับก่อนดีกว่านะ” ชานยอลว่าพร้อมกับเตรียมตัวลุกขึ้นหนี แต่มือหนากลับคว้าข้อมือของร่างโปร่งเอาไว้เสียก่อน และมันก็ทำให้ชานยอลสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อสัมผัสจากมือนั้น
.....ไร้ความอบอุ่น
“คุณชื่ออะไร?”
“ชะ ชานยอล..ผมชื่อชานยอล แต่เดี๋ยว! นี่คุณพูดภาษาเกาหลีได้?!” ความแปลกใจในเรื่องภาษาที่อีกคนใช้พูดสามารถกลบความรู้สึกกลัวเมื่อครู่ไปได้เล็กน้อย
“ก็คิดว่าคุณคงไม่ใช่คนญี่ปุ่นและบังเอิญว่าผมพูดภาษาเกาหลีได้”
“อ่อ แล้วไป ตะ แต่ผมขอตัวก่อนนะ” ชานยอลถอยตัวออกห่างอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่เขากำลังหาทางหนีจากคนตรงหน้า
“เดี๋ยวสิ คุณยังไม่รู้จักผมเลย”
“ห่ะ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่อีกคนพูด และได้แต่พูดอยู่ในใจลึกๆว่า ‘ใครจะอยากไปรู้จักแกว่ะ’
“ผมชื่อคริส เป็นลูกชายเจ้าของบ้านอย่างที่คุณเข้าใจ แต่ไม่ได้เป็นปีศาจ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวผมหรอก”
คริสบอกก่อนจะยิ้มบางๆ ให้กับชานยอล แสงที่เพิ่งหมดไปพร้อมกับตะวันที่ลับขอบฟ้าทำให้เขาเห็นแววตาของชานยอล แววตาที่บอกได้ว่าร่างโปร่งกำลังกลัว
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังกลัวคุณ?” ร่างโปร่งถามออกไปโดยพยายามรักษาเสียงในระดับปกติเพราะยิ่งร่างสูงพูดถูกเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ชานยอลกลัวเขามากขึ้นเท่านั้น
“ผมเดาจากน้ำเสียงคุณน่ะ ไปเถอะ คุณกลับไปได้แล้ว หายตัวมานานเดี๋ยวคุณนากามุระจะเป็นห่วง”
คริสบอกด้วยน้ำเสียงที่เริ่มกลับมาเป็นปกติและท่าทางเขาเริ่มดูมีแรงขึ้นมากว่าตอนแรกที่ชานยอลเห็น
“อือ ผมไปแล้วนะ แล้วก็ ขอโทษด้วยที่มาแย่งที่นั่งอาบแดดของคุณ ไปล่ะ” ร่างโปร่งบอกก่อนจะก้าวขาออกไป แต่ก็ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อคริสพูดขึ้นมา
“คราวหน้าถ้าง่วงก็แวะเข้าไปที่บ้านผมก่อนก็ได้ อย่ามานอนอยู่ในที่แบบนี้ มันอันตราย”
ชานยอลพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
นี่น่ะหรอ..ลูกชายเจ้าของบ้านที่ถูกกล่าวถึง
นี่น่ะหรอ..ลูกมาเฟีย
นี่น่ะหรอ..แวมไพร์
หากคริสเป็นแวมไพร์อย่างที่มีคนพูดถึงจริง มันคงจะไม่ใช่แวมไพร์ที่มีลุคสุดคูลอย่างในหนังที่หลายๆคนเคยดูอย่างแน่นอน เพราะเขาดูอ่อนแอ อ่อนแอเกินที่จะไปทำร้ายใครได้ ในช่วงเวลาที่มีแสงสว่างแม้มันจะมีเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้เขาดูเหมือนคนที่เป็นโรคร้ายที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ แต่หลังจากนี้ชานยอลยังไม่รู้ว่าคริสจะเป็นยังไง เขาอาจจะอ่อนแอภายใต้แสงอาทิตย์ แต่หากเป็นแสงจันทร์คริสจะเป็นยังไงชานยอลยังไม่สามารถรับรู้ได้ในตอนนี้
แต่ลางสังหรณ์มันบอกเขาว่าจะต้องได้รับรู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับคนๆนี้ได้อีกในไม่ช้าอย่างแน่นอน...
ตอนแรกอาจจะผ่านไปแบบสั้นๆ แต่รับรองว่าเนื้อหาหลังจากนี้จะเข้มข้นขึ้นอย่างแน่นอน #อตมน
ความคิดเห็น