ตอนที่ 17 : 17
17
ได้จ้องตาไม่กี่วินาทีก็แพ้แล้ว
ขอร้องได้มั้ย...อย่าทำให้แพ้ไปมากกว่านี้เลย
เอ็นดูนั่งอมยิ้มอยู่บนวีลแชร์ระหว่างกำลังรอรถตู้มารับ ฟังเสียงคนสองคนคุยกัน เสียงหนึ่งเป็นของคุณนภัสราคุณแม่ของเอ็นดูเอง...ส่วนอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงของคุณปนัดดา คุณแม่ของหม่อมราชวงศ์ราชวงศ์ทรงโปรด
ตอนนี้ก็อยู่ในโรงพยาบาลเอกชนของเชียงรายนั่นแหละ สามวันกับการอยู่ในห้องผู้ป่วยแบบวีไอพีสิ้นสุดลงแล้วเมื่อหมอบอกว่าเอ็นดูแข็งแรงดี และสามารถกลับบ้านได้
ส่วนหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดยืนประจำตำแหน่งคนเข็นวีลแชร์ให้เอ็นดู เขาเองก็ฟังคุณแม่ทั้งสองท่านยืนคุยกันอย่างออกรสด้วยเช่นกัน ระหว่างรอรถตู้เนี่ย...คุณปนัดดาเผาเขาไปหลายเรื่องแล้ว
“ชายโปรดเนี่ยสูงหล่อดีจริงๆ นะคะคุณนัด”
“ได้ความสูงจากท่านพ่อของเขากันหมดเลยค่ะ”
เผาลูกชายเสร็จแล้วตบท้ายด้วยการชมอย่างภูมิใจ ถึงจะยืนห่างกันไม่กี่เมตรแต่ทรงโปรดก็ได้ยินที่คุณแม่ของเขาเม้ามอยกับคุณแม่ของแฟนอยู่
อือ นั่นแหละ มาถึงขั้นนี้แล้ว เรียกว่าแฟนคงไม่ผิด
ถึงจะยังไม่ได้ขอเป็นแฟนแบบทางการก็เถอะ
“หัวเราะอะไร”
คนผิวขาวนี่ก็นั่งหัวเราะตั้งแต่ที่คุณแม่ของพวกเขาเริ่มเม้าเรื่องลูกชาย เรื่องหลักๆ ก็มีแต่เรื่องของทรงโปรดทั้งนั้น ส่วนเอ็นดูถูกพูดถึงเหมือนกัน แต่เรื่องที่ถูกเผาไม่เยอะเท่าเรื่องของทรงโปรดหรอก
“หัวเราะก็ไม่ได้เหรอครับ”
คนป่วยที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลเงยหน้ามองคนตัวสูง เอ็นดูอมยิ้มทำปากมุบมิบใส่คุณชาย เล่นหูเล่นตาจนเขาอดใจไม่ไหวต้องโน้มตัวก้มหน้าฝังจมูกบนแก้มเจ้าคนผิวขาวบนวีลแชร์
“คุณ!” กัดฟันกรอดมองค้อนคนที่กล้าก้มหน้าหอมแก้มในที่สาธารณะแบบนี้
เขาเคยอายที่ไหน ให้กอดเอ็นดูแน่นๆ ตรงนี้ยังได้เลย น้องอยากทำตัวน่ารักน่าฟัดให้เห็นเอง เอ็นดูรู้อยู่แล้วว่าหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดไม่ค่อยมีความอดทนกับความน่ารักของน้องเท่าไหร่
ยิ่งชอบยิ่งยั่ว ยิ่งรักยิ่งทำให้หลง
แค่นี้ก็โงหัวไม่ขึ้นแล้ว
“เปลี่ยนจากงานหมั้นเป็นงานแต่งเลยมั้ยคะคุณแอ้” คุณแม่เขาก็ชงเก่ง
“ตอนแรกแอ้ติดเรื่องที่เอ็นดูยังไม่จบค่ะคุณนัด แต่ดูสิคะ...เด็กเขารักกันขนาดนั้น แอ้วางใจฝากชีวิตเอ็นดูไว้กับชายโปรดแล้วล่ะค่ะ”
หม่อมหลวงจิราก้มหน้ายู่ปาก สองมือขาวที่วางบนตักบีบนวดให้กำลังใจตัวเอง...ดูดิ ยังไม่ทันหมั้นคุณแม่ของเขาก็เห็นตรงกันว่าควรแต่ง...
เข้าทางเลยว่ะ
“แต่งเลยมั้ย”
“แต่งอะไรของคุณครับ”
“แต่งงานไง”
“...”
“ไม่ต้องหมั้นแล้ว กินลูกชายเขาไปแล้ว”
“ม...ไม่รู้ครับ รถมาแล้วด้วย…โอ๊ย”
เขินจนทำอะไรไม่ถูก คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ลืมตัวว่าขาเจ็บอยู่รีบลุกขึ้นยืน เอ็นดูทิ้งน้ำหนักลงบนขาข้างขวาที่ยังไม่หายดีเพื่อพยุงตัว แล้วสุดท้ายแทบเซล้มลงพื้นเพราะความเจ็บ...ดีนะที่คุณชายทรงโปรดไวกว่า รีบคว้าเจ้าคนผิวขาวเข้ามากอดไว้แน่น
“ระวังหน่อยเอ็นดู”
“เจ็บครับ...” ก้มหน้าพึมพำใส่อกแกร่ง จะเขย่งเป็นกระต่ายขาเดียวแล้วนั่งลงบนวีลแชร์ต่อแต่ก็ไม่ทันคนตัวสูงที่ช้อนร่างน้องตัวปลิวในท่าเจ้าสาว “ปล่อยเลยนะคุณ เดินเองได้ครับ”
ฟังซะที่ไหน
ทรงโปรดพาเจ้าคนน่ารักขึ้นไปนั่งบนรถตู้คันหรูท่ามกลางเสียงหัวเราะชอบใจของคุณแม่ทั้งสองท่าน คนที่ดี๊ด๊ามากที่สุดก็คือพวกท่านนั่นแหละ แต่ดูท่าคุณแม่ของทรงโปรดจะชอบอกชอบใจมากกว่าใคร
คนเจ็บขานั่งจุมปุ๊กบนเบาะสีครีมในตอนที่คุณปนัดดากับคุณนภัสราเลื่อนประตูอีกฝั่งแล้วขึ้นนั่งบนเบาะด้านหลัง ทรงโปรดขึ้นไปนั่งข้างเอ็นดูทันทีที่ผู้ใหญ่ประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“น่าเสียดายจริงๆ นะคะ นัดกะว่าจะได้อยู่สูดอากาศภาคเหนือต่ออีกสักหน่อย”
“ไว้คราวหน้าค่อยมาพักผ่อนกันก็ดีนะคุณนัด สมัยที่แอ้มาเก็บตัวกับกองประกวดที่นี่ เขาพาไปเที่ยวที่สวยๆ ด้วยค่ะ...ไว้แอ้จะพาคุณนัดไปเที่ยวเอง”
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ต้องทำให้กลับกรุงเทพฯ กะทันหันแบบนี้...ท่านพี่เขาร้อนใจอยากเจอว่าที่คู่หมั้นของชายโปรดน่ะค่ะ”
“แอ้เข้าใจค่ะคุณนัด”
อือ นั่นแหละ คุณหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลก็ต้องกลับกรุงเทพฯ ทันที
หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดเคลียร์งานที่รีสอร์ตเสร็จแล้ว ส่วนที่เสียหายเขาได้รับการรับผิดชอบ มันไม่ได้เสียหายเยอะเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์งานที่เดินหน้าไปเยอะพอสมควร
เขาคิดเอาไว้ว่าจะอยู่พักผ่อนกับเอ็นดูตามประสาว่าที่คู่หมั้น แต่กลับถูกตามตัวกลับกรุงเทพฯ เมื่อคุณแม่บอกว่าหม่อมเจ้าทรงยศ ภัสร์ฤทัย หรือท่านพ่อของเขาบินจากอังกฤษและอยู่ที่วังรอเจอหน้าว่าที่คู่หมั้นของทรงโปรด
ปกติหม่อมเจ้าทรงยศอาศัยอยู่กับคุณแม่ที่วังนั่นแหละ แต่ท่านสามเดือนที่ผ่านมาท่านออกทริปเที่ยวรอบโลกกับกลุ่มเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ล่าสุดท่านส่งรูปมาให้ดูว่าอยู่อังกฤษ ที่ที่ทรงโปรดคุ้นเคยเป็นอย่างดี อีกไม่กี่วันต่อมาก็ได้รับข่าวว่าตอนนี้ท่านอยู่กรุงเทพฯ ซะแล้ว
เอ็นดูไม่เคยเจอท่านพ่อของเขา ตอนนี้น้องเลยดูประหม่า
“มือเป็นอะไร” เห็นบีบจัง บีบๆ คลึงๆ วนอยู่อย่างนี้หลายรอบจนทรงโปรดอดไม่ได้ที่จะยื่นมือหนาไปกุมมือขาวเอาไว้ “หนาวเหรอ”
“ไม่ครับ”
พวกเขาไม่ได้คุยกันเสียงดังเพราะคุณแม่ที่นั่งอยู่เบาะหลังกำลังสนุกสนานกับการสนทนากันอยู่ หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดใช้โทนเสียงทุ้มต่ำ ก้มหน้าเข้าใกล้ใบหูขาวแล้วเปล่งเสียงออกไป
“เห็นบีบมือซะแน่น นึกว่าหนาว”
น้องส่ายหน้าพลางคลายมือที่บีบกันไว้ออกช้าๆ แล้วประสานนิ้วมือเข้ากับนิ้วแกร่งของทรงโปรดแทน เบาะที่เขานั่งติดกับเบาะของเอ็นดู ไม่มีช่องโหว่ให้คุณแม่ที่นั่งด้านหลังเห็นว่าตอนนี้มือของเขากำลังกุมกันไว้
เพราะคุณแม่ไม่เห็นนี่แหละ เอ็นดูเลยกล้าจับมือทรงโปรด
“ท่านพ่อดุมั้ยครับ”
“ดุ”
คนฟังหน้าจ๋อย ขมวดคิ้วจนทรงโปรดหลุดขำ
รู้ทันทีว่าที่น้องแสดงอาการประหม่าสาเหตุมาจากอะไร แต่ถึงรู้แล้วทรงโปรดก็ยังไม่วายแกล้งให้เอ็นดูตัวสั่น
“แล้วผมต้องทำตัวยังไงครับ ต้องใช้ราชาศัพท์กับท่านพ่อของคุณหรือเปล่า...” คนพูดเขย่าแขนแกร่งของทรงโปรดเบาๆ “ผมใช้ราชาศัพท์ไม่เป็นนะครับ”
เขาขำเมื่อน้องกระซิบเบาๆ จนต้องก้มหน้าลงไปฟังน้ำเสียงนุ่มนิ่มกับมือน้อยๆ ที่บีบมือหนาเป็นระยะ
“เดี๋ยวเย็นนี้ก็รู้”
“บอกหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมจะได้ทำตัวถูก”
“บอกไปเดี๋ยวไม่สนุก”
“ผมไม่ได้จะสนุกกับคุณด้วยสักหน่อย” คนผิวขาวยู่ปากหน้างอ “เครียดจะตายแล้วคุณ”
“มาตายบนอกพี่มา” ทรงโปรดตบอกแกร่งปักๆ
“นอกเรื่องเก่งจังนะครับ”
แค่เล่นมุกให้เอ็นดูยิ้มหวานๆ ให้ดูก็เท่านั้นเอง ไม่อยากเห็นความเครียดหรือความกังวลใจบนใบหน้าสวยๆ นี้เลย
เห็นเอ็นดูนิ่งๆ ไม่ค่อยหืออือกับอะไรเท่าไหร่แบบนี้ เหมือนถูกชักจูงง่าย ซึ่งก็ใช่ ถึงจะดูเป็นคนยังไงก็ได้ แต่ความจริงเด็กคนนี้คิดมากเป็นที่หนึ่ง ทรงโปรดเดาว่าน้องเป็นเด็กที่ชอบเก็บอะไรไว้ในใจคนเดียว เครียด มีความสุข หรืออยากจะร้องไห้ยังไงก็ไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น
จะมีแต่เขานี่แหละที่ได้เห็นแทบทุกมุมของเอ็นดู
“ผมไม่เก่งราชาศัพท์นะครับ” น้องช้อนตาขยับปากบอก สีหน้ากังวลหน่อยๆ ของเอ็นดูทำให้เขาต้องวางมือลงบนศีรษะกลมของคนเด็กกว่า
“เครียดอะไรขนาดนั้น”
“ก็...ผมทำตัวไม่ถูกนี่ครับ จำได้ว่าตอนเด็กเคยใช้ราชาศัพท์แค่สองสามครั้งเอง...”
“ใช้กับใคร”
“ท่านปู่ครับ”
“ได้ยินมาว่าท่านปู่เราดุมาก”
ได้ยินมาจากคุณนภัสราตอนคุยกันเรื่องหม่อมเจ้าทรงยศอยากพบหน้าลูกสะใภ้นั่นแหละ คุณแม่ของเอ็นดูเล่าให้คุณแม่ของเขาฟังว่าสมัยที่ท่านปู่ของเอ็นดูยังมีชีวิตอยู่ที่วังเคร่งครัดเรื่องระเบียบและการใช้ราชาศัพท์มากกว่านี้เยอะมาก
ทรงโปรดเลยเดาว่าที่เอ็นดูเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทของคุณหญิงลักขณาคงเพราะเป็นว่าคุณหญิงป้าได้เชื้อความเจ้าระเบียบมาจากท่านพ่อของตัวเอง เลยมาเข้มงวดใส่หลานชายที่น่ารักคนนี้
“ตอนเด็กๆ ท่านปู่บังคับให้ผมนั่งคัดคำราชาศัพท์ด้วยนะครับ” พอได้ยินผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหลังคุยเรื่องความหลัง เอ็นดูก็พูดบ้าง
ชอบสุดๆ ก็คือตอนที่เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองออกมาโดยที่เขาได้ขอให้เล่า
เอ็นดูทำแบบนี้กับคนที่สนิทใจด้วยเท่านั้น
“จำได้ว่านั่งคัดไปก็ร้องไห้ไปด้วย แล้วจากนั้นก็กลัวราชาศัพท์ไปเลยครับ”
“เดี๋ยวนี้ยังกลัวอยู่มั้ย”
“ไม่ได้ใช้เลยไม่กลัวครับ แต่ตอนนี้เริ่มกลัวแล้ว”
“ไม่น่ากลัวหรอก อย่าคิดมาก”
“แสดงว่าคุณใช้ราชาศัพท์เก่งมากเลยสินะครับ”
“เปล่า” หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดหัวเราะ
ตัวเขาเองไปอยู่อังกฤษตั้งแต่เด็กแทบไม่ได้ใช้ภาษาไทยด้วยซ้ำ ราชาศัพท์ไม่ต้องพูดถึง ถ้าทรงโปรดไม่ดูข่าวราชสำนักหรือพวกละครหลังข่าวเขาก็ไม่มีวันรู้เลยว่าคำพวกนี้มันต้องใช้ยังไงและต้องใช้กับใคร
กับกลุ่มเพื่อนก็เหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่กลับไทย ทรงโปรด จอมภพ และพีช ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกันตลอด ก่อนจะเปลี่ยนมาพูดภาษาบ้านเกิดกันก็ตอนที่เริ่มทำงาน
“สรุปคุณจะช่วยอะไรผมได้บ้างเนี่ย...”
คนตัวเล็กตัดพ้อไม่จริงจังก่อนทิ้งศีรษะไว้กับพนักพิงของเบาะสีครีม เหลือบตามองคนตัวสูงข้างกาย เช่นเดียวกับหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดที่กำลังใช้ตาคมจับจ้องใบหน้าของว่าที่คู่หมั้น
ต่างคนต่างระบายยิ้มให้กัน สองมือสอดประสานไม่ยอมปล่อย เสียงกระซิบของพวกเขาเงียบลงแล้ว เหลือแต่เสียงพูดคุยของคุณแม่ของทั้งสองคนนั่นแหละ ที่ทำให้รอยยิ้มจางๆ ระหว่างหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดกับหม่อมหลวงจิราเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้น
“คุณแอ้ขัดข้องอะไรมั้ยคะ ถ้าหลังจบงานหมั้นพวกเราจะมาคุยกันเรื่องงานแต่งต่อเลย”
“ยินดีมากเลยค่ะคุณนัด เห็นเด็กๆ รักกันขนาดนี้...จบงานหมั้นแล้วเราสองคนคงต้องได้จัดการงานแต่งต่อแน่ๆ เลยค่ะ”
วังภัสร์ฤทัยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาคึกคักเป็นพิเศษเพราะแขกคนสำคัญของเจ้าบ้านเพิ่งลงจากรถพร้อมกับทายาทวังใหญ่หลังนี้ที่ประคองว่าที่คู่หมั้นลงจากรถตู้คันหรู
รถยนต์หลายคันจอดอยู่ในโรงรถ เอ็นดูปลายตามองตอนที่ลงจากรถเรียบร้อยแล้ว...เท่าที่เห็นไม่ต่ำกว่าห้าคัน แต่ราคารวมๆ เกือบร้อยล้าน หนึ่งในนั้นคือเบนซ์คันหรูของหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดที่จอดสนิทตั้งแต่ไปเชียงราย แลมโบกินี่ของหม่อมราชวงศ์ภูผา อาวดี้สองคันกับแอสตันมาร์ตินที่เอ็นดูไม่รู้เป็นของใคร และเบนท์ลีย์คันหรูสีน้ำตาลที่ราคาน่าจะเกินหกสิบล้านไปแล้ว
เอ็นดูถึงขั้นก้มหน้ากัดริมฝีปาก จากที่ได้กำลังใจจากหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดตั้งแต่บนเครื่องบินแล้วว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ตอนนี้ไม่เลย เอ็นดูทั้งประหม่า กังวล เครียดจนไม่อยากก้าวขาเดินเข้าวังภัสร์ฤทัย
“คุณ ทำไมรถจอดเยอะจังเลยครับ”
“ปกติของวันรวมญาติ”
ปกติของเขาแต่ไม่ปกติสำหรับเอ็นดูเลยสักนิด รถคันหรูไม่ทำให้เอ็นดูตื่นตาตื่นใจหรอก เพราะที่วังของเจ้าตัวก็มีแบบนี้ไม่ต่ำกว่าสิบคัน มันถูกจอดไว้ในห้องใต้ดินของโรงจอดรถ เป็นรถที่เหมาะกับการขับเล่น ขับออกงานหรูๆ มากกว่าใช้ในชีวิตประจำวัน หม่อมราชวงศ์ลักขณาเลยให้จอดไว้ในห้องใต้ดินเผื่อรักษารถไว้และไม่ให้มันดูเอิกเกริกเกินไป
“ไม่มีคนอื่นหรอก คนในครอบครัวทั้งนั้น”
“เดี๋ยวนี้นับภูผาเป็นญาติแล้วเหรอครับ”
“ตอนแรกก็ว่าจะนับ แต่พอนึกได้ว่ามันเป็นแฟนเก่าเรา...ไม่นับเลยดีมั้ย”
“ผมล้อเล่นครับ”
ย่นคิ้วใส่คนตัวสูงที่ยิ้มกริ่มทีเล่นทีจริง กับภูผาเคลียร์จบตั้งแต่บล็อกทุกอย่างไปแล้ว รายนั้นโตพอที่จะรู้ว่าเอ็นดูไม่เล่นด้วย และภูผาก็ไม่หน้าด้านพอมาเล่นกับคนที่มีเจ้าของแล้ว (ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นภูผาจะมาก่อกวนเอ็นดูเพราะรู้ว่าเป็นว่าที่คู่หมั้นของทรงโปรดก็เถอะ)
จริงๆ แล้วภูผาเป็นคนดีนะ เรียนเก่งแถมเรียนทันตแพทยศาสตร์อีกต่างหาก แต่ติดที่เจ้าชู้ไม่แพ้ทรงโปรด แสบซ่าตามประสาวัยรุ่น ในเมื่อตอนนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภูผาแล้ว...เอ็นดูก็ได้แต่ภาวนาให้ฝ่ายนั้นเลิกเจ้าชู้แล้วจริงจังกับใครสักคนสักที
“เข้าบ้านกัน”
พอได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่พาให้อบอุ่นไปทั้งหัวใจ ประกอบกับมือหนาที่กุมมือขาวแล้วบีบนวดให้กำลังใจเบาๆ ก็เหมือนกับว่าเขาเติมความกล้าให้เอ็นดูไปแล้ว คนสูงกว่าโน้มตัวจูบผมสีน้ำตาลนุ่ม พาดแขนแกร่งโอบเอวคนที่เพิ่งหายป่วยให้เดินเข้าไปในวังหลังใหญ่นี้ด้วยกัน
เสียงเพลงแจ๊สประกอบกับกลิ่นหอมของสเปรย์ปรับอากาศอบอวลภายโถงทางเดินของวังทำให้เอ็นดูผ่อนคลายขึ้นเป็นกอง พอมองเข้าไปในห้องรับแขกขนาดกว้างที่ประตูถูกเปิดเอาไว้ เห็นคุณแม่ของทรงโปรดกับคุณแม่ของเอ็นดูที่ลงจากรถและนั่งอยู่ในห้องนั้นก่อนแล้วก็รู้สึกอุ่นใจเพิ่มมากขึ้น
“ให้ดิฉันเอาวีลแชร์มาให้มั้ยคะ คุณเอ็นดูน่าจะเดินไม่ค่อยถนัด”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเดินไหว” คนเจ็บขาค่อยๆ วางปลายเท้าสัมผัสพื้นพรม “ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่แล้วครับ”
“ถ้าปวดจะได้อุ้ม วีลแชร์ไม่จำเป็นเหรอก”
“ห้ามทำรุ่มร่ามต่อหน้าผู้ใหญ่เด็ดขาดนะครับ”
“ไม่รู้ ขอดูความประพฤติก่อน”
“นี่คุณ...”
“เด็กดี เข้าเฝ้าท่านพ่อกันครับ”
ทรงโปรดไม่สนอะไรแล้ว เขาค่อยๆ ประคองเอ็นดูให้เดินเข้าไปในห้องรับแขก และเมื่อพวกเขาก้าวผ่านกรอบประตูสวยงามเข้าไปยังด้านในของห้องรับแขก เอ็นดูก็พลันหายใจไม่ทั่วท้องทันทีเมื่อเห็นทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันจริงๆ
ทุกคนนั่งพับเพียบบนพื้นหลบไปซ้ายบ้างขวาบ้าง ในขณะที่เอ็นดูกับทรงโปรดยืนอยู่กลางห้อง เอ็นดูรีบยกมือขึ้นสวัสดีหม่อมราชวงศ์ทรงเพลิงและหม่อมราชวงศ์ทรงคุณ ตามด้วยหม่อมราชวงศ์รฐา หม่อมราชวงศ์ภูมินทร์ที่เป็นสามี ชำเลืองมองภูผาที่นั่งยักไหล่ให้ก่อนจะเบนสายตาและยกมือไหว้หม่อมราชวงศ์ลักขณาที่ฉีกยิ้มกว้างป้องปากคุยกับคุณแม่ของทรงโปรดอยู่
เอ็นดูแทบจะย่อตัวนั่งลงบนพื้นตอนนั้นหากไม่มีเสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังซะก่อน
“อ้าว หายไปแป๊บเดียว ทำไมลงไปนั่งบนพื้นกันหมด”
เสียงๆ นั้นทำเอาคนที่นั่งอยู่บนพื้นลุกขึ้นโค้งคำนับ เช่นเดียวกับเอ็นดูกับคนตัวสูงข้างกายที่หันหลังขวับ
เข่าแทบทรุดเลย โชคดีที่หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดประคองเอ็นดูไว้
“โค้งคำนับก็พอ ไม่ต้องนั่งลง” ทรงโปรดบอกพลางรั้งคนที่ทำท่าจะทรุดตัวนั่งเพื่อทำความเคารพต่อหน้าท่านพ่อของเขา
“...ครับ” น้องชะงักก่อนพยักหน้าตอบรับทรงโปรด
หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดและว่าที่คู่หมั้นโค้งกายคำนับหม่อมเจ้าทรงยศพร้อมกัน ใจดวงน้อยๆ ของเอ็นดูเต้นแรง เต้นแบบคนที่ตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีด หน้ากับมือนี่ร้อนจนเหงื่อผุด
“กราบถวาย--”
“สวัสดีครับท่านพ่อ”
คนที่กำลังจะเปล่งราชาศัพท์ชะงัก เอ็นดูเม้มปากเมื่อเห็นว่าทรงโปรดใช้คำสามัญกับหม่อมเจ้าทรงยศ
“สวัสดีครับ...ท่านพ่อ” เลยพูดสามัญตามทรงโปรด
คนผิวขาวกัดริมฝีปากสวยๆ ของตัวเองแน่น ก็ขนาดอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ทุกคนทรงโปรดยังกอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อยสักที ทั้งที่บอกว่าอย่ารุ่มร่าม...คุณชายเขาฟังซะที่ไหนล่ะ
“หมดทุกหมดโศกนะลูก ครั้งนี้ถือว่าฟาดเคราะห์ไป”
เอ็นดูยืนตัวเกร็งเมื่อมือหนาของหม่อมเจ้าทรงยศวางลงบนศีรษะกลมแล้วลูบเบาๆ คล้ายปลอบประโลมว่าที่คู่หมั้นของลูกชายคนเล็กให้หายตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ท่าทางนุ่มนวล เป็นกันเองของท่านพ่อทำเอาเอ็นดูทำอะไรไม่ถูก
“ไหนดูสิ คนที่ชายโปรดบอกว่าน่ารักเหมือนกระต่าย...เงยหน้าให้พ่อมองหน่อยเร็ว”
ปลายคางถูกเชยขึ้น เอ็นดูไม่กล้าสบตาท่านหรอกนะ แต่เพราะไม่สามารถเหลือบตาหนีได้เลยจำเป็นต้องยิ้มเจื่อนสบตาหวานกับท่านพ่อของคุณชายทรงโปรด
“น่ารักสมกับที่ชายโปรดอวดไว้”
“...”
“อืม...ลูกนี่เหมือนกระต่ายจริงๆ”
หม่อมเจ้าทรงยศปล่อยมือออกจากคางของเอ็นดู เปลี่ยนตำแหน่งไปลูบผมนุ่มเหมือนเดิม
ไม่เห็นว่าท่านจะดุเลย เอ็นดูโดนคุณชายโปรดหลอกแล้วมั้งเนี่ย
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่...ไม่รู้ทำไม...อยู่ๆ เอ็นดูก็รู้สึกว่าสายตาของท่านอบอุ่น เหมือนสายตาคุณพ่อของเอ็นดูที่มองลูกชายคนนี้ด้วยความเอ็นดูตลอด
คุณพ่อตั้งชื่อเล่นนี้ให้ เพราะเอ็นดูเป็นเด็กน่าเอ็นดูสมชื่อตั้งแต่แรกเกิด
‘ตอนหนูเกิดแก้มก็ป่อง ผิวขาวน่าฟัด เลี้ยงง่ายไม่ร้องงอแง เป็นขวัญใจของพี่ๆ พยาบาลทุกคนเพราะตาใสแจ๋วน่าเอ็นดูของหนู...พ่อคิดชื่อเล่นไว้ให้หนูสองชื่อ แก้มป่องกับเอ็นดู แต่พ่อคิดว่าจะเก็บชื่อแก้มป่องไว้ให้น้องหนูมากกว่า เสียดาย...ที่น้องเขาไม่ยอมมาเกิดกับครอบครัวเราสักที’
แล้วก็รู้สึกคิดถึงจนต้องกุมข้อมือข้างที่สร้อยคล้องประดับไว้ แต่กลับต้องเบิกตากว้าง ขมวดคิ้วยุ่งเมื่อไม่พบกับสิ่งที่เป็นของแทนใจของคุณพ่อ
“นั่งคุยกันดีกว่าลูก ชายโปรด ประคองน้องไปนั่งเร็ว”
หม่อมเจ้าทรงยศขยับตัวนั่งลงบนโซฟาที่ประจำพร้อมกับคนอื่นที่นั่งลงบนโซฟาเหมือนกัน
บรรยากาศผ่อนคลายลงกว่าเดิมเพราะเอ็นดูไล่ความประหม่าออกได้แล้ว ทุกคนแย้มยิ้ม ทรงโปรดก็เช่นกัน คนตัวสูงประคองให้น้องนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับตัวเองที่ขยับตัวนั่งข้างน้อง
“คุณ...สร้อยข้อมือผมหายอีกแล้วครับ” คนผิวขาวอาศัยจังหวะที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน เสียงหัวเราะของหม่อมเจ้าทรงยศดังกลบเสียงอื่น ยิ่งประสานกับเสียงหัวเราะของหม่อมราชวงศ์ลักขณาด้วยแล้ว ในห้องนี้ก็ไม่ได้ยินเสียงคุยของใครเลยถ้าไม่กระซิบกระซาบกัน
“ขยันหายทำหายนะเรา”
“ไม่ได้ตั้งใจนี่ครับ” พูดพลางลูบข้อมือปอยๆ “หายที่เชียงรายแน่ๆ เลย”
พึมพำคนเดียวเพราะหม่อมราชวงศ์ทรงโปรดเอาแต่แจกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อยู่ได้
คนที่มัวแต่เครียดเรื่องสร้อยไม่ทันสังเกตว่าว่าที่คู่หมั้นร่างสูงกำลังใช้มือล้วงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีดำอยู่ กว่าจะรู้ตัวว่าทรงโปรดทำอะไรก็ตอนที่วัตถุเย็นๆ สัมผัสโดนผิวขาว
“คุณ สร้อยของผมนี่ครับ อยู่กับคุณเองเหรอครับ” คนเครียดยิ้มแฉ่ง เงยหน้ามองทรงโปรดที่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“รู้ว่าเป็นของสำคัญ จะปล่อยให้หายไปกับกองเพลิงได้ยังไง” เขาพูดขณะก้มหน้าสวมสร้อยลงบนข้อมือขาว
“หมายความว่ายังไงนะครับ”
“สร้อยเราหลุดอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้ พี่รู้ตั้งแต่อุ้มเราออกจากบ้านแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสกลับไปเอา”
“...”
“พอคุณแม่บินมาหาเราถึงที่ พี่เลยกลับไปหาสร้อยให้ เกือบหาไม่เจอ”
“ทำไมคุณต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นด้วยล่ะครับ”
เพลิงที่มอดไปแล้ว มีวันกลับมาลุกโชนอีกครั้ง เอ็นดูดูจากรูปถ่ายรีสอร์ตหลังที่ถูกไหม้ เจ้าหน้าที่กั้นเป็นรั้วเขตอันตรายห้ามเข้า แต่หม่อมราชวงศ์ก็ยังจะเข้าไปหาสร้อยให้เอ็นดูอีก
“ทีเอ็นดูยังเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยพี่โปรดได้เลยนี่ครับ”
“...”
เอาอีกแล้ว
เขารู้ว่าเอ็นดูแพ้อะไรแบบนี้ก็ยังพูดออกมา ไม่ใช่แค่น้ำเสียงทุ้มๆ ที่ทำให้เอ็นดูตื้นตันใจ แต่สายตาอบอุ่นกับความจริงใจที่แสดงออกมานั่นแหละ...ที่ทำให้เอ็นดูกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้เลยจริงๆ
“ผมเต็มใจช่วยครับ”
“เหมือนกัน”
“ขอบคุณนะครับ”
“ขอบคุณที่ช่วย?”
“ครับ แล้วก็อีกอย่าง...”
หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดเลิกคิ้ว เอียงคอมองคนตัวขาวที่ตอนนี้หน้าแดงระเรื่อ
“ขอบคุณนะครับ...ที่รักผม”
“อันนี้เต็มใจมากๆ” ทรงโปรดยิ้มกว้าง “แต่ต้องสลับคำหน่อย”
“ครับ?”
“เปลี่ยนจากที่รักผม เป็นที่รักของผม”
ไม่สนแล้วว่าสายตาของใครกำลังจับจ้องอยู่บ้าง เอ็นดูสนใจแค่สายตาของทรงโปรดคนเดียวก็พอแล้ว
แล้วเขาก็ยังเป็นคนที่เดินหน้าทำแต้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ทางกายจะเกินเลยไปถึงไหนต่อไหนก็ตาม
หม่อมราชวงศ์ทรงโปรดยังเหมือนเดิม...ไม่เคยเปลี่ยน
เป็นคนที่จีบเอ็นดูอยู่เสมอ และไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อหน่ายเอ็นดูเลยสักนิด
ตอนนี้เอ็นดูมั่นใจแล้วแหละ
“ครับ ที่รักของผม”
มั่นใจที่ให้คนคนนี้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ้ยตายจ้ะตายเขินจะตายแล้วว
เขินมากกกก จีบกันตลอดเวลาเลยสองคนนี้
ในห้องมีกี่คนไม่รู้นะคะ พี่โปรดกับน้องเอ็นดูทำให้ทุกคนระเหยหายไปกับอากาศแล้วนะ หวานม้ากกกกกกก yv y55555555
เอ็นดูน่าเอ็นดูมากค่ะ
แหม ๆ ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ก็หวานไม่แคร์ใครกันเลยนะคะ