ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #20 : ธารเวลา (อวสาน)

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 61





    ตอนสุดท้าย : ธารเวลา (อวสาน)


       ๔ ปีให้หลังขุนศรีวิสารวาจาได้ถูกเลือกให้เป็นตรีทูตเพื่อส่งไปยังประเทศฝรั่งเศษ หลังจากเขาไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนอดีตคู่หมายกับหญิงที่เปรียบเสมือนน้องสาวหลายปี วันนี้เขาจึงนั่งเรือมาที่เรือนของจันทร์วาดเพื่อบอกข่าวและขอกำลังใจ และได้ชวนออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปามาด้วย

       บรรยากาศหน้าเรือนดูเงียบเหงาเพราะเหล่าทาสทั้งหลายต่างไปรวมตัวกันบนเรือนทั้งหมด ขุนศรีวิสารวาจาชะเง้อมองไปข้างบนอยู่ครู่ใหญ่

       "คุณปรางอย่าวิ่งสิเจ้าคะ! โอ๊ย~" นังปริกที่ดูแก่มากจนหัวขาววิ่งตามเด็กผู้หญิงวัยประมาณสี่ขวบลงมาจากเรือน

        แม่ปรางเป็นลูกสาวคนเล็กของพระยาสุรสีห์กับคุณหญิงแฉล้ม ซึ่งพระยาสีรสีห์หรือพ่อสีห์เป็นลูกต่างมารดากันกับการะเกด เกิดในคุณหญิงละอองศรีเมียรองของพระยารามณรงค์บิดาของการะเกด

        เกศสุรางค์อยากมีลูกเพิ่มอีกคนจึงปรึกษากับจันทร์วาด และนังผินนังแย้มก็ออกความเห็นให้ไปขอลูกจากพระยาสุรสีห์ที่มีลูกมากมาย ตอนนั้นถือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดี เพราะคุณหญิงแฉล้มได้ให้กำเนิดบุตรหญิง เมื่อเดินทางไปขอด้วยเห็นว่าเป็นญาติพี่น้องจึงยกให้อย่างง่ายๆ

        "สวัสดีเจ้าค่ะ พวกท่านเป็นใครเหรอคะ?" แม่ปรางประนมมือไหว้ท่าทางแก่นแก้ว แม้แต่สำนวนการพูดก็เหมือนกันกับเกศสุรางค์ประมาณว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกใคร

       กลุ่มผู้มาเยือนยืนอึ้งทำหน้าเลิ่กลั่กให้แก่กัน ด้วยเข้าใจไปว่าแม่หญิงจันทร์วาดกับเกศสุรางค์มีลูกด้วยกันได้จริงๆ หากจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกเพราะคนอยุธยาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหลักอนาโตมี่หรือเพศศึกษาชีววิทยาต่างๆ

       "สวัสดี?..งั้นฤา?" ขุนศรีวิสารวาจายิ้มแห้งๆถาม

        "เจ้าค่ะ! คุณแม่สอนให้ข้าพูดเจ้าค่ะ"

        "งั้น..พาพวกเราไปหาคุณแม่ออเจ้าได้ฤาไม่?"

        "ท่านออกญา คุณหญิงจำปา ท่านขุน" นังปริกนั่งลงกับพื้นแสดงความเคารพนายเก่าด้วยหน้าระรื่น "สบายดีนะเจ้าคะ?"

        "ข้าสบายดี เอ็งล่ะนังปริกแก่หง่อมเชียว" คุณหญิงจำปาแอบขำหน่อยๆ "แม่การะเกดแลแม่จันทร์วาดอยู่ฤาไม่?"

        "อยู่เจ้าค่ะ กำลังสอนหนังสือให้คุณเดือนเจ้าค่ะ"

        "ประเดี๋ยวข้าจักเกียมของฝากสักเดี๋ยว เอ็งพาแม่...เอ่อ?"

       "ปรางเจ้าค่ะ"

       "เอ็งพาแม่ปรางขึ้นเรือนไปก่อนเถิดหนา" ขุนศรีวิสารวาจากล่าวอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นความน่ารักน่าชังของปรางเหมือนกับหญิงที่เขาเคยรัก

        กลางเรือนน้อยที่มีเนื้อที่มุงหลังคายาวเหมือนศาลา พลับพลาไม้สักทองวางเรียงกันสามารถนั่งได้หลายคน อีกฝั่งมีโต๊ะญี่ปุ่นเต็มไปด้วยกระดาษ หมึกและดินสอ เกศสุรางค์ที่ตัดผมสั้นประบ่าแต่ยังคงไว้เป็นมหาดไทยกำลังสอนลูกสาวคนโตอ่านเขียนภาษาฝรั่งเศส ส่วนจันทร์วาดก็นั่งกินขนมจิบชามองด้วยรอยยิ้ม

       จันทร์วาดเกล้าผมมวยต่ำไว้หางคล้ายคุณหญิงนิ่ม และปักปิ่นทองสุกที่คนรักได้มอบให้เมื่อนานมาแล้ว สไบก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มๆไม่ฉูดฉาด ส่วนเกศสุรางค์ก็นุ่งห่มแต่โทนออกเหลืองและส้ม เป็นการแสดงถึงอายุที่มากขึ้นจึงไม่สวมใส่เสื้อผ้าสีสดใสเหมือนครั้งยังสาว

       "บงชูร์ เป็นคำทักทายที่ใช้ตั้งแต่เช้าจนถึงเพลาชาย ถ้าช่วงเย็นไปถึงค่ำจะใช้คำว่า บงซัวร์"

        "แล้วถ้าเจอกันเวลาดึกๆเล่าเจ้าคะคุณแม่?"

        "บอนนุย จ่ะ" มือเรียวลูบหัวลูกสาวด้วยเอ็นดู ที่ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนจันทร์วาดขึ้นทุกที พอเกล้าผมทรงโซงโขดงแล้วก็ยิ่งเหมือน

       "แล้วคุณแม่กับคุณพ่อบอก บอนนุย กันบ่อยฤาไม่เจ้าคะ?" เด็กสาวถามเสียงซื่อ

        "ไม่นี่จ๊ะ.. ทำไมเหรอ?" เกศสุรางค์ขมวดคิ้วเม้มปากไม่เข้าใจว่าเดือนจะถามไปเพื่ออะไร

        "ตอนดึกๆลูกเห็นคุณพ่อเข้าไปหาคุณแม่ในหอนอนใหญ่บ่อยๆนี่เจ้าคะ"

        "แค่ก!แค่ก!" จันทร์วาดสำลักน้ำชาเพราะนางแอบร้อนตัว "พ่อแลแม่ก็นอนด้วยกันเป็นปกติหนา" มือน้อยใช้ผ้าฝ้ายขางเช็ดปากที่เปื้อนน้ำชาและขนมที่เลอะออกมาเมื่อครู่พร้อมมองลูกสาวอย่างอายๆ

        "แสดงว่าลูกแอบนอนดึกใช่มั้ย?" ตาเรียวคมเหล่จับผิดแม่จอมสอดส่องตัวน้อยที่หลบหน้าเชือนตากลัวความผิด

        "เอาเถิด..นางก็แค่อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก อย่าไปเอาโทษลูกเลยแม่เกศ"

        "เจ้าค่า~เจ้าค่า ไม่เอาโทษหรอกเจ้าค่ะ"

        ขณะนั้นเองนังปริกก็อุ้มลูกสาวคนเล็กที่ดิ้นซุกซนไม่อยู่สุขจนบ่าวพี่เลี้ยงต้องยอมปล่อยลงให้วิ่งตามอิสระ

         "คุณพ่อเจ้าขา~"

         แม่ปรางจอมซนแก่นแก้วเหมือนแม่ไม่มีผิด วิ่งปรื๋อเข้าไปกอดขาจันทร์วาดออเซาะยุกยิกไม่อยู่นิ่ง คนโดนอ้อนยิ้มแป้นจนตาหยี มือที่สวมแหวนทองวงใหญ่อุ้มเด็กตัวน้อยขึ้นนั่งบนพลับพลาข้างๆตน ก่อนจัดแจงแต่งตัวเก็บลูกผมที่หลุดลงปรกใบหน้าน้อยที่มีแก้มอิ่มกลม

        "อีกสิบวันได้ยินว่าจักมีสำเภาฝะรังคีมาเทียบฝั่งแลมีของกินของใช้ให้เลือกซื้อมากมาย ลูกขอไปได้ฤาไม่เจ้าคะ?"

        "ออเจ้ารู้ได้อย่างไร?"

        "คุณแม่บอกให้ข้ามาบอกเจ้าค่ะ เพราะคุณแม่ขอเองทีไรคุณพ่อไม่เคยอนุญาต"

        เกศสุรางค์เห็นลูกสาวคนเล็กพูดความจริงออกไปด้วยความซื่อก็สะดุ้งโหยง พร้อมหันควับไปทำหน้าจืดเจื่อนยิ้มกลบเกลื่อนความผิดความอาย

        "แม่เกศ.." นัยน์ตาสีดำขลับฉายแววดุหรี่จ้องภรรยาอย่างเอาเรื่อง ที่ไม่เคยละทิ้งความเจ้าเล่ห์แสนกลหรือความซุกซนลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น

        "แห่ะ..แห่ะ ขอโทษเจ้าค่ะ" ผู้เป็นเมียยกมือไหว้หน้าจ๋อย

        "แต่ลูกก็อยากไปหนาเจ้าคะ"

        "ออเจ้าจงไปนั่งเรียนกับพี่เดือนเขา แล้วพ่อจักพาไป"

       "คุณพ่อใจดีที่สุดในโลกเลยเจ้าค่ะ" ถ้อยคำฟังแล้วก็คงติดมาจากเกศสุรางค์ หัวใจซื่อใสปริ่มเปรมเพียงรู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยว ปรางกราบลงที่ไหล่ของจันทร์วาด "ลูกจะทำตามคำสั่งคุณพ่อทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ"

       "ฮึๆ..ปากหวานได้ใครหนอ" พูดกับลูกแต่ตาเชือนไปหาเมีย พลันคิดไปว่าแม่ลูกคู่นี้ช่างไม่มีอะไรต่างกันเลย ประหนึ่งว่าแม่ปรางก็คือแม่เกศสุรางค์ตัวจิ๋ว ทำให้นางเอ็นดูลูกคนเล็กเป็นพิเศษ เพราะมันทำให้คิดย้อนไปถึงสมัยที่รักกันใหม่ๆ

       "คุณพี่ก็.."

        แม่เดือนกวักมือเรียกน้องสาวจอมซนให้มานั่งข้างๆพร้อมสะกิดแม่ของตัวเอง "เดี๋ยวลูกจักช่วยสอนน้องเองเจ้าค่ะ คุณแม่ไปคุยกับคุณพ่อเถิด"

        เกศสุรางค์ลอบจีบมือโอเคต่ำๆ ก่อนดันตัวลุกจากกลุ่มนักเรียนตัวน้อยเพื่อไปนั่งตรงที่นั่งไม้ฝั่งซ้ายมือของจันทร์วาด

       "น้องขอโทษเจ้าค่ะที่ใช้ลูกไปบอก" คนผิดรีบออกปากขอโทษขอโพยเสียก่อนจะโดนดุ "วันหลังจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ"

        "มานี่..แม่ตัวดี" คำนั้นเหมือนคำปกาศิตเพราะฟังดูเอาจริง มือน้อยตบบริเวณพลับพลาที่เหลือที่ว่างข้างตน คนถูกเรียกกลืนน้ำลายและคำแก้ตัวทั้งหมดลงคอแล้วทำตามคำสั่งผัวอย่างเลือกไม่ได้ จันทร์วาดลอบยิ้มเมื่อเห็นเมียดื้อยอมอ่อนข้อทำตามถ้อยบัญชา เกศสุรางค์กระพริบตาปริบๆแอบหวั่นใจรางๆ เมื่อหน้าหวานที่กาลเวลามิอาจทำลายดวงนั้นค่อยๆยื่นเข้ามาจ้องเอาผิดเธอใกล้ๆ

        "เจ้าคะ?" อยู่ร่วมกันมานานจะเคอะเขินก็คงไม่ใช่ แต่อายพวกบ่าวหัวหงอกทั้งหลายที่นั่งอยู่รอบๆมากกว่า

        แม่เดือนแอบเหลือบเห็นก็ปิดตาน้องสาวตัวน้อยไว้เพราะยังเด็ก "อย่าหันไปหนา"

        "อายุอานามก็มิใช่น้อย..แต่ยังทำตัวเหมือนครั้งยังเป็นสาว"

        คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ แต่ด้วยนิสัยขี้เถียงก็คันปากพูดยียวนออกไป "ก็ข้าไม่ได้แก่เหมือนคุณพี่นี่เจ้าคะ" เอ่ยจบก็หวั่นใจแปลกๆแอบบ่นในใจว่าไม่น่าพูด

        "ฤทธิ์มากนักฤา ได้..งั้นพี่ขอจูบขอหอมหนักๆเหมือนครั้งยังสาวเป็นไร" นางกระซิบเบาๆไม่ให้ลูกทั้งสองได้ยิน

        โรคจิต! เกศสุรางค์ขนลุกขนพองกับแววตามันวาวคู่นั้น จะให้เร่าร้อนเหมือนสมัยก่อนก็ไม่ไหวแล้ว เพราะตั้งแต่มีแม่เดือนกับแม่ปรางมาก็ผันตัวมาเป็นผู้ปกครองที่ดี ใช้เวลาส่วนใหญ่กับลูก พอได้ยินแบบนี้มันออกจะสยองมากกว่า

        "ไม่เจ้าค่ะ! แก่แล้ว!"

        "ออเจ้าเพิ่งบอกพี่ว่าออเจ้าไม่แก่อยู่เมื่อครู่หนาแม่เกศ"

        "คุณพี่อ่ะ! พูดอะไรก็ไม่รู้"

        กำลังเย้าหยอกกันสนุกปาก กลุ่มขุนศรีวิสารวาจาก็ขึ้นเรือนมาพอดีพร้อมกับไอ้จ้อยและบ่าวชายหอบเสื้อผ้าแพรพรรณกับของแห้งมากมายตามขึ้นมาทีหลัง

        ขุนนางชายเห็นเด็กสองคนนั่งสอนหนังสือกันก็อึ้งไปสักพัก "แม่หญิงจันทร์วาด..แม่หญิงการะเกด"

        "คุณพี่เดช คุณลุง คุณป้า ข้าไหว้เจ้าค่ะ" จันทร์วาดลุกรับแขกตามหน้าที่เจ้าของเรือน ถึงจะสงสัยที่มาเยี่ยมทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นหน้า แต่หากจะถามก็จะเสียมารยาท

        เกศสุรางค์พาลูกสาวทั้งสองมาทักทายผู้ใหญ่ ซึ่งแม่เดือนรักษากิริยามารยาทได้ดีทีเดียว มีแค่คนสุดท้องที่ดุกดิกพร้อมส่งสายตาแก่นแก้วมองแขกอยู่ตลอดเวลา

        "นี่แม่เดือนกับแม่.."

        "เมื่อครู่ลูกลงไปเจอกับพวกท่านลุงท่านป้ามาแล้วเจ้าค่ะ!"

        "แม่ปราง! อย่าพูดขัดผู้ใหญ่สิลูก"

        "เอาเถิดแม่การะเกด" ขุนศรีวิสารวาจาเอ่ย "วันนี้ข้านำของฝากมาให้ออเจ้ามากหลาย แลมีเรื่องจักมาแจ้ง"

        ทักทายและจัดสรรปันส่วนของฝากไปเก็บในห้องว่างเรือนน้อยเสร็จสรรพ ก็พากันไปนั่งประชุมอยู่กลางเรือน พวกบ่าวพาเด็กๆหลีกไปทางอื่นก่อน ปล่อยให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายเจรจากันตามสะดวก ขุนศรีวิสารวาจาแจ้งเรื่องจะเดินทางไปฝรั่งเศสในฐานะตรีทูต เกศสุรางค์ตื่นเต้นจนตัวสั่นเพราะเคยได้เล่าเรียนมาเรื่องอยุธยาส่งทูตไปเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ ณ พระราชวังแวร์ซายส์

        คุยกันอยู่พักใหญ่ขุนศรีวิสารวาจาก็เงียบไปเหมือนครุ่นคิดอะไรสักอย่างที่หนักปากจนตัดสินใจครึ่งๆกลางๆไม่กล้าพูด

        "แม่การะเกด ออเจ้ารู้ข่าวเรื่องนางตองกีมาร์แล้วฤา?"

        "เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?"

        เกศสุรางค์ใจหายวาบเพราะรู้ว่าเจ้าพระยาวิชาเยนทร์จะถูกพระเพทราชาสังหาร เมียใหญ่เมียเล็กต่างก็ต้องระหกระเหินหนีตายไปคนละทิศละทาง..และคนที่ดูจะลำบากที่สุดกผ้คือเมียเอก 'ท้าวทองกีบม้า'

        "เจ้ากองสตังค์ถูกพระเพทราชาฆ่าตาย นางตองกีมาร์รู้ชะตาว่าจะถูกต้องโทษจึงหนีหายไป จนบัดนี้ก็ตามตัวยังไม่เจอ"

        "ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ!?"

        'แม่มะลิ..เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ..ป่านนี้จะเร่ร่อนไปถึงไหน'

    ...............................................................



        ณ ที่ที่ห่างไกลจากอยุธยาพระนครใหญ่ของสยาม พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าทึบใบเขียวชอุ่มและอากาศค่อนข้างหนาวเย็น หญิงผู้ต้องโทษแรมรอนหนีตายฝ่าดงป่าใหญ่ไปตามลำธารโดยมีเพียงขนมข้าวตูไม่กี่ชิ้นเป็นเสบียง

        มารีคลุมผ้าสีทึบพรางตัวทั้งชำเลืองมองรอบๆอย่างระแวดระวังกลัวทหารอโยธยาจะตามเจอ

        ตองกีมาร์คิดแค่ว่าจะหนีให้ไกลที่สุดจนไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน แต่ดูจากลักษณะภูมิประเทศกับพืชต้นต่างๆล้วนแต่เป็นของเมืองหนาว บางทีตอนนี้มารีอาจจะอยู่แถวฝั่งเหนือของสยามหรือ 'แคว้นล้านนา' หรือไม่ก็ 'แคว้นเชียงใหม่'

        หลังจากดิ้นรนมานานวันร่างกายก็อ่อนแรงเพราะรับอาหารไม่พอ ในป่ายุงก็ชุมนักทำให้นางติดไข้ป่าจนตอนนี้จับสั่นไปหมด มารีสิ้นหวังที่จะมีชีวิตรอด นางล้มตัวลงนอนขดงอสั่นระริกอยู่ที่ต้นน้ำที่เป็นน้ำตกใสสวยงามซึ่งหาดูไม่ได้ที่อยุธยา

        "นี่น่ะฤา..น้ำตกเมืองล้านนา"

        ในตอนที่กำลังจะถอดใจหลับตาลงสิ่งที่ขยับมาปรากฏต่อหน้าคือเท้าคู่หนึ่ง ผิวพรรณนวลเนียนขาวเป็นพิเศษต่างจากหญิงอยุธยาที่สวมกำไลข้อเท้าสีทองสุกปลั่งหยุดยืนหันมาที่นาง

        "มึงเป็นผู้ใดวะ?" เจ้าถิ่นถามเสียงเรียบพลางชะโงกมองใบหน้าอิดโรยของคนแปลกหน้าอย่างสงสัย รูปร่างสีผิวไม่เหมือนทั้งคนล้านนาและก็ไม่ใช่ชาวอโยธยาเช่นกัน "กูถามใยไม่ตอบ?"

        "เจ้านาง!? อย่าเข้าไปใกล้นะพะยะค่ะ!" ทหารองครักษ์ร่างสูงใหญ่กำยำใส่ผ้าขาวโพกศีรษะวิ่งกรูเข้ามาสามสี่คน กันเจ้าหญิงรูปงามให้ถอยห่างจากคนสภาพมอมแมมที่นอนซม

        "กูเพียงอยากรู้ว่ามันมาทำอะไรที่น้ำตกเขตวังของกู พวกมึงจักเสร่อเข้ามาใยวะ"

       "มิได้พะยะค่ะ หากเจ้านางเกิดเป็นอันใดขึ้นมาพวกข้ากระหม่อมคงถูกบั่นคอเป็นแน่แท้"

       เจ้าหญิงล้านนาเหลือบมองร่างที่ค่อยๆผุดลุกขึ้นช้าๆ เหล่าทหารพลันจ่อดาบไปทางเดียวกันด้วยห่วงความปลอดภัยของคนที่พวกตนต้องปกป้อง

       "เห็นนอนนิ่งกูก็นึกว่ามึงตายแล้ว เกือบจับฝังดินแล้วไหมเล่า"

       มารีค่อยๆเงยหน้ามองเจ้าของเสียงใสนั้น แทบไม่อยากเชื่อตาตัวเอง คนตรงหน้าที่ได้ยินว่าเป็นเจ้านางมีหน้าตาเหมือนเพื่อนสนิทของนางทุกประการเพียงแต่ดูเด็กกว่ามาก "แม่การะเกด?"

       "มึงรู้ชื่อกูได้อย่างไรอีฝรั่ง?" หญิงสูงศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งล้านนาไม่มีผู้ใดกล้าขาลเรียกชื่อจริง หากแต่วันนี้มีคนต่างถิ่นมาเอ่ยเรียกจึงถามด้วยฉงน "แล้วมึงเป็นผู้ใดมาแต่ใด ใยสภาพจึงดูไม่ได้เยี่ยงนี้?"

       "ข้ามารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา" มารีตอบชื่อเดิมของตนไปเนื่องด้วยชื่อตองกีมาร์ ฟอลคอนเป็นผู้ตั้งให้เมื่อเขาตายแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดจะต้องใช้ชื่อ มารี กีมาร์ อีกต่อไป

        "ชื่อมึงเรียกยากนักกูจำไม่ได้"

        "เรียกข้ามารีก็ได้เจ้าค่ะ"

        "เออ..ค่อยเรียกง่ายหน่อยอีมารี " แม่นางการะเกดยิ้มชอบใจใหญ่ "มึงหนีใครมารึ สภาพดูเอาไม่ได้เลยหนา"

        เมื่อถูกถามมารีก็หลุบตาลงต่ำ หากจะบอกไปว่าหนีความโทษมาก็จะกะไร แล้วหาเรื่องโกหกที่สมเหตุสมผลไม่ได้จึงเงียบปิดปาก แต่หวั่นใจหน่อยๆกลัวหญิงตรงหน้าจะโกรธเอาได้

        "ไม่อยากตอบก็ไม่ต้อง..กูจักเลี้ยงดูมึงไว้ใช้งาน มึงทำกะไรเป็นมั่ง?" สายตาอันเฉียบคมของเจ้าหญิงเมืองเหนือดูแว๊บแรกก็เห็นแววในตัวหญิงลูกครึ่งทันทีว่าไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องมีความเก่งและสามารถเป็นแท้

        "ข้า..เคยเป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้นเจ้าค่ะ" มารีขออวดวิชาเสียหน่อยเมื่อเห็นหนทางที่จะเริ่มชีวิตใหม่และได้ใกล้ชิดรับใช้คนที่เหมือนกับหญิงที่นางแอบหลงรักปักใจ

        "ดี! ไว้กูจักเลี้ยงไว้แล้วกัน"

        มารียินดีกับคำกล่าวนั้น แต่โรคภัยที่ติดมาจากในป่าก็แผลงฤทธิ์ทำให้ไอกระอ่อกกระแอ่กหน้าซีดเซียว

       "เป็นไข้ฤา? ประเดี๋ยวกูจักสั่งนางกำนัลให้ตามหมอมารักษามึง" มือเรียวอ่อนนุ่มปานสำลีผายไปทางผู้ติดตามคนใหม่พร้อมอมยิ้มเยือกเย็นในหน้า ถึงทหารองครักษ์จะไม่ค่อยสนิทใจที่จะให้เจ้านางใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเนื้อตัวสกปรกแต่ไม่กล้าขัดพระทัยจึงปล่อยเลยตามเลย

        มารีรับน้ำใจนั้น นางไม่รู้ว่าแม่หญิงคนนี้เป็นใครแต่ก็เดาได้ว่าน่าจะเป็นหญิงสูงศักดิ์หรือเชื้อพระวงศ์ด้วยการแต่งตัวที่มีเครื่องประดับเลอค่ามากหลาย

       สมาชิกใหม่ถูกพาตัวไปพักรักษาที่ตำหนักหลังวังพิงค์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของคนสนิทในเจ้านางการะเกด ก็จะมีอินเหลากับแว่นแก้วพี่เลี้ยงที่เป็นสหายสนิทวิ่งเล่นด้วยกันมาแต่ยังน้อย

        หลังมารีฟื้นจากไข้ก็นอนเซาอยู่นาน อินเหลาคอยดูแลมิให้ห่างคอยนำข้าวน้ำและยาต้มชั้นดีมาให้อย่างสม่ำเสมอ แลเจ้านางการะเกดก็แวะมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว

        ก็นับเป็นเดือนที่สองแล้วกับการใช้ชีวิตในพระราชวังพิงค์ มารีจึงแต่งตัวแบบล้านนาให้เข้ากับผู้คนทางนี้ นางเป็นคนผิวขาวด้วยเชื้อชาติฝรั่งผสมญี่ปุ่นจึงกลมกลืนไปกับคนเมือง

        "อินเหลา..แม่หญิงผู้นั้นเล่า?" คนเพิ่งหายป่วยถามเสียงแห้งๆ

        "เจ้าหมายถึงแว่นแก้วฤา? ตอนนี้นางคงไปปรณนิบัติเจ้านางอยู่วังในโน่น"

        "คนที่ชื่อการะเกดน่ะจ่ะ"

        "มารี!เจ้าเงียบปากไปประเดี๋ยวนี้!" อินเหลาหันแลซ้ายขวาเหมือนกลัวมีคนมาได้ยินเข้า "ประเดี๋ยวหัวก็หล่นออกจากบ่าดอก"

        "ทำไมฤา?"

         "เจ้านางสุคนธาพระราชธิดาในองค์ยี่เป็ง เจ้าผู้ครองแคว้นล้านนา พระมารดาทรงตั้งชื่อให้เจ้านางว่าการะเกด แต่ด้วยเป็นชื่อของคนอโยธยา องค์ยี่เป็งก็มิพึงพระทัย มิทรงอนุญาตให้ใช้"

        "แต่กูมิได้บอกว่าไม่ชอบนี่วะอีอินเหลา" หญิงสาววัยแรกรุ่นแต่งเครื่องทรงแบบล้านนา ผ้าแถบสีแดงรัดคาดอก อวดทรดทรงองค์เอวและผิวเนียนขาวไร้มลทิน

        "ว๊าย! จ..เจ้านาง!? ทรงมิให้ซุ่มให้เสียงหม่อมฉันตกใจหมดเลยหนาเพคะ" อินเหลารีบนั่งหมอบลงกับพื้นตัวสั่นระริก

        "มึงลอบนินทากูระวังปากจักฉีกถึงหู" การะเกดพูดเชิงกระเซ้าเย้าแหย่ให้เจ้ากระต่ายตื่นตูมกลัวพร้อมหัวร่อสะใจ "กูมีความจักพูดกับอีฝรั่ง มึงไปเก็บบะตื๋น(กระท้อน)มาลอยแก้วให้กูกินเสีย"

        "เพคะเจ้านาง"

        อินเหลาระเร้งวิ่งแทบไขว่ขาตัวเองล้มออกจากตำหนัก มารีทราบฐานะของการะเกดก็ค่อยผลักร่างอ่อนแรงลุกเพื่อจะนั่งลงบนพื้นทำความเคารพ

        "มิต้องดอกอีฝรั่ง มึงยังเจ็บยังไข้ก็นอนต่อเถิดหนา กูเพียงแวะมาดูอาการ"

        "เจ้านางการะ..เอ่อ เจ้านางสุคนธามีพระคุณต่อหม่อมฉันมากนัก หม่อมฉันมิรู้จักตอบแทนอย่างไรดี"

       "กูชอบให้มึงเรียกกูว่าการะเกด ฟังแล้วคล่องหูดี" เสียงของการะเกดฟังดูฉะฉานแต่ก็อ่อนโยนกว่ายามพูดกับคนอื่นมาก "อายุอานามเท่าไหร่แล้ว?"

       "๓๓ เพคะ" นางตอบเบาๆพลางเหลือบมองอีกฝ่ายแต่ไม่กล้าจ้องคนมีศักดิ์สูงเต็มตา

       "อายุมึงมาก..แต่ก็ยังงาม" ตาคมของเจ้านางวัยละอ่อนมีประกายอ่อนไหวประหลาด เจ้าหญิงน้อยที่อยู่แต่ในรั้ววังพบปะคนไม่มากส่วนใหญ่ก็เป็นพวกขันทีและนางกำนัล เมื่อเห็นคนต่างถิ่นความใตร่จักเชยชมก็ผุดขึ้นในใจ "กูชอบมึงนักมารี กูจักให้มึงเป็นใหญ่ในวังกู"

        "เป็นความกรุณาเพคะ" คนอายุมากกว่าเท่าตัวประนมมือไหว้นอบน้อมด้วยรู้สึกขอบคุณความเมตตาของเจ้านางน้อย "แต่หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชน ความสามารถน้อย มิบังอาจ..."

        "มึงมิต้องทำอันใด แค่อยู่กับกู มอบกายและใจของมึงให้กู"

         "เพคะ?" มารีกระพริบตาปรอยๆย่นคิ้วพร้อมถามย้ำ

        "มึงจักอยู่รับใช้กูตลอดไปฤา?" เจ้านางโอบเรียวหน้าคมอย่างนุ่มนวลประหนึ่งว่ากำลังจับกลีบดอกจำปาลาวแสนบอบบาง

       "เพคะหม่อมฉันจักอยู่รับใช้เจ้านางตราบชั่วชีวิตของหม่อมฉัน"

        "แลกูอยากให้มึงติดตามกูไปทุกภพทุกชาติด้วยหนา"

        "หากเป็นความปรารถนาของเจ้านางหม่อมฉันก็มิอาจค้านขัด"

        การะเกดยิ้มเย็นๆอย่างสุขุมสมฐานะและยศศักดิ์ ค่ำคืนนั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตำหนักหลังวังพิงค์ เจ้าหญิงผู้มากอำนาจยอมสยบปล่อยทรวงให้เผลอไผลหลงระเริงไปกับความรักต้องห้าม หลังจากทรงมั่นในพระทัยว่าจักไม่รักใครง่ายๆ ขนาดเจ้าฟ้าแห่งเมืองพม่ามาขอแต่งงานถึงแคว้นนางยังปฏิเสธ แต่รสสัมผัสที่เหมือนรอคอยมานานก็ดูดดึงให้พระองค์ต้องละสิ้นซึ่งความคิดนั้น

       ต่อมาเจ้านางการะเกดทรงส่งมารีเข้าเฝ้าพระบิดาเพื่อถวายงาน องค์ยี่เป็งทรงโปรดขนมแลอาหารของนางมากจึงแต่งตั้งให้เป็นถึงท้าวซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าห้องเครื่องต้นปรุงสำรับให้พระราชวงศ์และแขกบ้านแขกเมืองเป็นหลัก ส่วนการะเกดก็แอบตั้งมารีเป็นใหญ่ในวังพิงค์อย่างลับๆ และยกแว่นแก้วให้เป็นผู้ติดตาม

    ..............................................................

        อยุธยาในการปกครองของพระเพทราชา ชาวต่างชาติมีบทบาทและอำนาจน้อยลง ฝรั่งทั้งหลายไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นขุนนางดังยุคเดิม ทำได้เพียงนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไพร่ฟ้าอโยธยามิต้องทนการกดขี่หรือกลัวพวกฝรั่งตาน้ำข้าวอีกต่อไป

        "ชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงห่านไว้กินไข่เขาเก็บไข่มากินทุกวัน วันหนึ่งขณะเก็บไข่ห่าน เขาพบว่ามันเป็นสีเหลืองอร่าม..." เกศสุรางค์เล่านิทานก่อนนอนให้ลูกๆฟัง ถึงแม่เดือนจะโตเป็นวัยรุ่นแล้วก็ยังมาร่วมฟังและนอนเป็นเพื่อนน้องปราง "มาวันหนึ่ง
    เขาเกิดความโลภ จึงจับห่านผ่าท้อง หวังจะเจอไข่มากกว่าเดิม แต่กลับพบว่าในท้องของห่านนั้นว่างเปล่า.."

        "งื้อ..จบแล้วฤาเจ้าคะ? ปรางยังไม่หลับเลย" ปรางที่งัวเงียกำลังจะเคลิ้มหลับขยับตัวอีกครั้งเหมือนจะอ้อนให้แม่เล่านิทานต่ออีก

       "อย่าไปกวนคุณแม่มากสิ นอนได้แล้ว" พี่สาวสะกิดน้องตัวแสบพร้อมหม่นคิ้วผูกกัน

       "เอาน่าลูก เดี๋ยวแม่เล่าให้ฟังอีกเรื่องก็ได้"

       "คิกๆ..ขอบพระคุณเจ้าค่ะ..แบร่!" ตัวแสบหันไปแลบลิ้นใส่พี่สาวที่นอนอยู่ข้างๆอย่างผู้ชนะ

        "กะเดี๋ยวเหอะ..นี่แน่ะ!" เดือนหยิกแขนน้อยนั้นเบาๆอย่างหมั่นไส้

        "พี่เดือนแกล้งข้าเจ้าค่ะคุณแม่!"

        "ลูกเปล่านะเจ้าคะ!"

        "แต่พี่มาหยิกแขนข้า!"

       พี่น้องที่ราวกับว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมาเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร คนเป็นแม่ได้แต่ปรามทั้งที่รู้ว่าลูกจอมซนทั้งสองไม่มีทางฟังเธอ

        ทั้งสองทะเลาะกัน สุดท้ายพี่สาวต้องยอมอีกตามเคย พอชนะสมใจแม่ปรางก็หันหน้าเข้าฝาหลับสบายใจเฉิบ ฝ่ายแม่เดือนก็ถอนหายใจหน่ายๆ

        "น้องนอนแล้วคุณแม่ไปพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ"

        เกศสุรางค์หอมหน้าผากลูกสาวคนละที ก่อนลุกขึ้นดับตะเกียงแล้วเดินออกมาหน้าประตูซึ่งจันทร์วาดแอบยืนเมียงๆมองๆสามแม่ลูกเล่านิทานให้กันฟังมาแต่แรก

        "คุณพี่ยังไม่นอนอีกรึเจ้าคะ?" เธอถามพลางปิดประตูหอนอนให้เด็กๆอย่างเบามือ

        "หากนอนแล้วพี่จักมายืนอยู่อย่างนี้ฤา?"

        "แน่ะ มีย้อนอีก..ถ้าไม่มีอะไรก็เข้านอนกันเถอะเจ้าค่ะ" เกศสุรางค์สะบัดหันหลังจะเดินเข้าห้องคิดว่าเดี๋ยวจันทร์วาดก็ตามมาเอง

        "ประเดี๋ยวก่อน..แม่เกศ"

        "เจ้าคะ?"

        "คืนนี้พระจันทร์สวย มิมาชมจันทร์ด้วยกันหน่อยฤา?"

        นานเพียงใดแล้วที่คู่รักไม่ได้ชมจันทร์ด้วยกัน จันทร์วาดเอื้อมจับมือเรียวที่ไม่ว่าจะจับสักกี่ครั้ง ก็ให้เนื้อสัมผัสอุ่นทุกครั้งที่แตะต้อง นัยน์ตาสีนิลเปี่ยมเสน่ห์จ้องประดุจหญิงสาววัยแรกรุ่นกำลังพร่ำพลอดออดอ้อนคนรัก

        'แหม..ยังขี้อ้อนเหมือนเดิมเลยนะคะ'

        เกศสุรางค์กระพริบตาพริ้มทีหนึ่งแล้วยิ้มพราย เธอขยับเข้าใกล้จันทร์วาดเป็นการรับข้อเสนอ สองมือเริ่มประสานและกุมกันไว้มั่นคง แม้ไม่ได้พูดอะไรกันสักคำแต่ทั้งคู่ก็พร้อมใจเดินเคียงกันลงไปยังศาลาริมน้ำ

        "ทำไมอยากชมจันทร์เอาตอนนี้ล่ะคะ?"

        "คืนนี้จันทร์เต็มดวงแลมีลมโกรกเอื่อยๆ"

        "แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเหรอเจ้าคะ? จันทร์เต็มดวงครั้งก่อนๆลมก็โกรกแบบนี้ คุณพี่ไม่เห็นชวนข้าลงมาเลย"

        จันทร์วาดมุ่นคิ้วพร้อมเสียงหัวร่อหึเบาๆหลายครั้งจนเกศสุรางค์เผลอคิดไปว่าเธอพูดอะไรผิดรึเปล่า

       'ชอบหัวเราะโรคจิตแบบนี้อยู่เรื่อย..'

        "ปีนี้ดอกแก้วที่ปลูกโตเต็มที่ส่งกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เมื่อปะทะกับกลิ่นดอกมนฑาทองก็ยิ่งหอมเข้ากัน" นางเอ่ยหน้าแย้มยิ้มเมื่อคิดหวนถึงคืนวันเก่าๆ ซึ่งยังคงติดตรึงอยู่ในทุกๆอณูหัวใจที่เก็บทรงความจำเหล่านั้นไว้ชัดเจน

        พวงแก้มขาวของเกศสุรางค์ที่ไม่ได้มีเลือดฝาดแห่งความเอียงอายแต่งแต้มมานาน บัดนี้ได้ระเรื่อแดงขึ้นมาอีกครั้ง เธอเองก็จดจำห้วงภวังค์เวลานั้นได้ชัดเจน พอนึกถึงก็เสมือนว่าถูกดึงกลับไปอยู่ในจุดๆเดิมที่บรรยากาศโดยรอบเป็นใจเหมือนกับตอนนี้

        ...กลิ่นดอกมนฑาทองหอมแรง เกสรดอกแก้วก็ส่งกลิ่นอ่อนๆโชยมาตามลมท่ามกลางแสงจันทรานวลสว่าง...

        'จูบครั้งนั้น..ช่างน่าตราตรึง'

        "คืนนั้นคุณพี่ไล่พี่ผินกับพี่แย้มเพื่อจะรุกจูบข้า"

        "พี่ดีใจที่ออเจ้าจำได้"

        "เห็นแบบนี้ น้องจำทุกช่วงเวลาที่อยู่กับคุณพี่ได้หมดเลยนะเจ้าคะ"

        แล้วจันทร์วาดก็ยกมือป้องปากหัวเราะหึๆกวนใจเกศสุรางค์อีกครั้ง คราวนี้นางพูดคำว่า 'ฤา' สลับ 'งั้นฤา' ไม่หยุดปากด้วยทีท่าขบขัน

        "เจ้าค่ะ! หัวเราะแบบนี้แสดงว่าไม่เชื่อใช่มั้ยเจ้าคะ?" ตาคมหรี่จ้องอย่างเอาเรื่อง

        "เชื่อ.."

        "แล้วหัวเราะเพื่อ?"

        "พี่เขินน่ะ"

        วงหน้านวลแอร่มของเกศสุรางค์เปื้อนรอยยิ้มหวานแฉล้มกระจ่างท่ามกลางแสงจันทร์และแสงไต้ข้างเรือนที่ส่องสลัวงามจับตา ถึงที่ผ่านมาจะไม่ได้เชื่อมชื่นเหมือนเก่าก่อน แต่ความรักที่มีต่อกันยังคงมั่นและมีชีวิตน้อยๆทั้งสองเป็นดั่งพยานยืนยันในคำมั่นสัญญาที่ต่างคนต่างระลึกถึงตลอดมา..รักคุณพี่นะเจ้าคะ

        "ทำตัวเป็นเด็กจีบกันไปได้.."

        "มาให้พี่หอมแก้มสักหน่อยเถิดหนา"

        จันทร์วาดโน้มตัวไปโอบแล้วสูดหอมแก้มนวลนั้นจนฉ่ำปอด ได้กลิ่นแป้งร่ำเคล้าน้ำปรุงจางๆกลิ่นเดิมอันคุ้นเคยนี้ช่างรัญจวนใจ

        "คุณพี่เจ้าขา" เกศสุรางค์เรียกพลางหยิบสมุดข่อยพับที่แอบเหน็บติดตัวออกมาพร้อมหอมแก้มอีกฝ่ายกลับเบาๆ "น้องมีสิ่งๆหนึ่งจะมอบให้คุณพี่เจ้าค่ะ"

        จันทร์วาดเอียงคอมองสมุดข่อยเล่มค่อนข้างหนา แล้วรับมาถือไว้ในมือพิจารณาดูแต่ก็ไม่ยอมเปิดเพราะคนให้ยังไม่อนุญาต "สมุดอะไรฤา?"

       "ไม่ใช่สมุดเจ้าค่ะ"

       "ไม่ใช่..แล้วมันคือกะไรเล่า?" ก็เห็นๆอยู่ว่ามันคือสมุดข่อยจะให้นางคิดเป็นอย่างอื่นได้เช่นไร

       "นี่คือความในใจของน้องที่มีต่อคุณพี่..สิ่งนี้เปรียบเสมือนเป็นหัวใจน้อง"

        "พูดหวานเป็นกับเขาด้วยฤา?"

        "ไม่เป็นแล้วจะจีบคุณพี่ติดเหรอเจ้าคะ?"

        "ออเจ้านี่เจ้าคารมมิเปลี่ยนเลยหนา" ว่าแล้วจันทร์วาดก็เปิดสมุดข่อยกำลังจะอ่านแต่ถูกเกศสุรางค์ห้ามไว้

        "ไว้อ่านบนห้องเจ้าค่ะ"

        "เฮ้อ..เงื่อนไขเยอะเสียจริง"

        "มัวแต่อ่านเดี๋ยวก็ไม่ได้ชมจันทร์กันพอดี"

        "จ่ะ..แม่คนเก่ง"

        เกศสุรางค์ก็สวมกอดแนบซบไหล่ที่ทั้งอบอุ่นและให้ความสุขใจล้ำลึกประหลาด จันทร์วาดลูบหัวแม่หญิงขี้อ้อนออเซาะด้วยเอ็นดูพลางกอดตระกองไว้ไม่ห่างกาย สองร่างที่รวมใจเป็นหนึ่งร่วมมองจันทร์ที่ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปเช่นไรก็ยังคงทอแสงงดงาม เหมือนความรักของทั้งคู่ที่ยังถักทอผูกพันธ์กันมิแหนงหน่าย สัมผัสอันคุ้นเคยซึมซาบอาบอิ่มหัวใจที่ได้จิตผูกสัญญาว่าจะครองรักกันตลอดทุกภพชาติ

        "ปิ่นปักผมแลสมุดเล่มนี้พี่จักเก็บไว้ให้จงดี"

        ดวงจิตที่ผูกพันธ์ยังมั่นคงแม้นจักต้องข้ามผ่านมากหลาย 'ธารเวลา' หากมีเธออยู่ที่ปลายทาง..ฉันก็จะข้ามไป

    -------{{กิจรักข้ามภพ : จบบริบูรณ์}}-------

         ณ ที่แห่งหนึ่งที่แสนไกลที่กาลเวลาผ่านไปแสนเนิ่นนาน...

        สมุดข่อยที่มุมเล่มเปื่อยขาดไปตามกาลเวลาถูกเปิดอ่านในยามค่ำคืนที่ดวงจันทร์ฉายแสงเพียงครึ่งดวง ในห้องสวีทบนตึกคอนโดสูงใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบศัลยแพทย์แต่ผันตัวมาเป็นศิลปินซึ่งได้วาดภาพตามใจรัก กำลังนั่งจินตนาการถึงผู้หญิงที่ถูกกล่าวถึงในสมุดโบราณเล่มนั้นและระบายลงบนกระดาษผ่านปลายดินสอ

        "แม่หญิงจันทร์วาด งามประหนึ่งสวรรค์เขียน หุ่นอ้อนแอ้นอรชรเหมือนนางอัปสร ผิวพรรณดุจทองสุกปลั่ง" คนพูดจับดินสอไว้อย่างมั่นคงบรรยายความงามในมโนผ่านรูปภาพตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเวลาย่ำรุ่ง "เสร็จแล้ว.."




        ตาเรียวคมนั่งมองภาพหญิงสาวที่แม้จะวาดออกมาเพียงครึ่งร่างแต่ก็ให้ความรู้สึกน่าตราตรึงอย่างประหลาด จนเธอรู้สึกราวกับว่า..กำลังหลงรักหญิงในภาพวาดที่ตัวเองวาดอยู่

        "สวยจัง..ถ้ามีตัวตนจริงตอนนี้เธอจะอยู่ที่ไหนกันนะ แม่หญิงจันทร์วาด"

    -------{{ภาคต่อ : ธารเวลา}}-------



    ฟิคธารเวลา : https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1807062
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×