ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #19 : บุหลันชูเดือน

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 61







    ตอนที่ ๑๘ : บุหลันชูเดือน (ลูกสาวคนแรก)


       แสงฟ้าสางและเสียงไก่โห่เตือนผู้คนทั้งหลายว่าถึงเวลาตื่นนอนโดยเฉพาะพวกทาสบริวารของเจ้านายทั้งหลาย ที่ต้องลุกขึ้นก่อนนายเพื่อทำงานต่างๆให้เสร็จพร้อมเมื่อเจ้านายตื่น

       นังปริกขอย้ายมารับใช้แม่หญิงทั้งสอง และขยันขันแข็งนำยาสมุนไพรนั่งต้มแต่เช้ามืด

       "เอ๊า!แม่ปริก มาทำกะไรแต่เช้า" นังบุญตามกลิ่นยาต้มมาในครัวก่อนเอ่ยถาม

        "ข้าก็มาต้มยาให้แม่หญิงสิวะนังบุญ" บ่าวอายุมากเคี้ยวหมากพลางโบกพัดดังไฟสบายใจเฉิบ

       "อ๋อ ข้ารู้แล้ว" นังบุญยิ้มกรุ้มกริ่ม

        "เออ~นั่นแหล่ะ ถ้ารู้แล้วก็มาช่วยข้าดังไฟ ประเดี๋ยวข้าจักไปเตรียมสำรับ"

        บ่าวที่เคยรับใช้อยู่คนละเรือน เมื่อต้องอยู่กันช่วยกันร่วมมืออย่างสามัคคี เพราะบัดนี้พวกมันมีเจ้านายคนเดียวกันแล้ว

        ย่ำรุ่งไม่มีเจ้านายเรือนใดตื่นหากมิได้มีกิจธุระจำเป็น แต่สำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามันทุกเสี้ยวเวลาช่างน่าพิสมัยจนอาจละเลยที่จะตักตวงช่วงเวลาอันหวานชื่นทุกหยาดหยด เพียงหลับตาทุกสิ่งก็เลือนหาย และจิตสำนึกก็คำนึงถึงแต่ยอดชู้ที่กอดตระกองพลอดรักกันจนถึงเช้า ถึงจะอ่อนเรี่ยวอ่อนแรง ขอแค่ได้สูดดมหอมกลิ่นของกันก็เพียงพอให้ใจทั้งสองดวงตกหลุมลุ่มหลงจนหาทางขึ้นมิได้

       ..แลพวกนางไม่คิดที่จะหาทางขึ้นอยู่แล้ว..

       "อือ..แม่เกศ" จันทร์วาดนอนหลับตาพริ้มปล่อยให้อีกคนทั้งจูบทั้งหอมใบหน้าแลลำตัว นางรู้สึกเพลียเหลือกำลังจากการร่วมรสรักสบสังวาสที่ประสมประสานหลากรสสัมผัสแปลกใหม่ชวนประหลาดใจมิคลาย

       "คุณพี่ตัวห๊อมหอม" แม่ตัวร้ายที่ขี้โกงแอบใช้บทรักสมัยใหม่มาใช้กับหญิงยุคโบราณ พรมจูบไล้จมูกดมร่างน้อยปวกเปียกอย่างได้ใจที่เมื่อคืนเธอทำเอาจันทร์วาดต้องยอมสยบ "หายเจ็บรึยังคะ?" ตาคมชำเลืองดูข้อมือที่แอบมีรอยแดงจางๆพร้อมลูบจับอย่างถนอม

        "พี่มิเจ็บดอกหนา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าแม่เกศจักจับพี่..เอิ่ม..มัดกับเสาเตียงฉะนั้น" จันทร์วาดมองอย่างสงสัยด้วยแววตาที่ดูใสซื่อกึ่งใคร่รู้ผิดจากเดิมที่มักจะอ่านกินกรุ้มกริ่มอยู่เสมอ "ออเจ้าไปรู้วิธีนี้มาจากที่ใด?..หืม?"

        "ก็เวลาหื่นมากๆคุณพี่ชอบจับน้องแรงนี่เจ้าคะ น้องเลยต้องจับมัดไว้ ส่วนเรื่องว่าน้องไปได้วิธีนี้มาจากที่ใดคุณพี่ไม่ต้องรู้หรอกเจ้าค่ะ" แขนเรียวช้อนกอดเอวบางของจันทร์วาดแล้วก้มจูบเบาๆ

       ผู้เป็นสามีตวัดตัวขึ้นคร่อมครามเมียรักสุดจองหอง เนื่องด้วยเมื่อคืนนางถูกอีกฝ่ายจับมัดและทำการล่วงล้ำอยู่นานโขจึงแอบแค้นใจหมั่นไส้ไม่น้อย "บังอาจนักนะ..ประเดี๋ยวพี่จักจับโบยให้หลังแอ่น"

       "เอาเลยค่ะ..ถ้ากล้าล่ะก็นะ" เสียงเล็กกล่าวยียวนเชิงท้าทายคนตรงหน้าที่ขยับเข้ามามองเธอใกล้จนห่างกันแค่ช่วงฝ่ามือ..กลัวซะที่ไหนเพราะเธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่เคยจับหวายเลยสักครั้ง

        "กะเดี๋ยวเถิด มิเชื่อคำผัวจักต้องโดนทำโทษหนา"

        "ไม่มีหวายเจ้าค่ะ!"

        "พี่จักใช้ฝ่ามือแลปากนี้แหล่ะ" มือนุ่มแต่แรงจับสุดจะหนัก จันทร์วาดบีบคางคนดื้อให้เชิดชูขึ้นก่อนกดคั้นรอยจูบบนกลีบปากที่ชอบกล่าววาจาอวดดีให้ยอมสยบเงียบ

        "อื๊อ!?" คนถูกจูบหลับตาปี๋เม้มปากฝืนแต่สุดท้ายก็ต้องยอมด้วยความหวั่นไหว รสปากนี้เมื่อได้จิบลิ้มลองก็เผลอไผลหลงหน้าแดงทุกครั้ง

        "มาเถิด..ใจพี่มันฮึกเหิมนัก"

        "คุณพี่อ้ะ!..ว๊าย!?"

         อีกครั้งที่เกศสุรางค์โอนอ่อนตามเนื้อกายเนียนนุ่มชวนลุ่มหลง แต่ใจกลับไม่อิ่มไม่พอที่จะดื่มด่ำรสคำรักหวานซึ้งที่พร่ำเพ้อละเมอบอกจนลืมเลือนทิฐิต่างๆอย่างไร้ซึ่งกาลเวลามาควบคุม

        ฉันหลงรักสาวอยุธยาหมดใจ..

        ผ่านไปพักใหญ่แสงตะวันเริ่มส่องแสงแรงขึ้นทำให้ท้องฟ้าสว่าง นังบุญยกขันโตกใส่ยาบำรุงมาถึงหน้าหอนอน และในขณะที่กำลังจะเคาะประตูก็หยุดชะงักด้วยได้ยินเสียงที่แว่วออกมา

        "คุณพี่เจ้าขา!ไม่เอาเจ้าค่ะ!"

        "คนโป้งโหยงอวดเก่งของพี่หายไปไหนแล้วหนอ"

        "หยุดหอมน้องได้แล้วเจ้าค่ะ..แก้มชาหมดแล้ว"

        "แม่เกศทั้งจูบทั้งหอมพี่..พี่ยังไม่ปริปากบ่นสักคำเลยหนา"

        นังปริกยกแป้งร่ำเครื่องหอมตามมาทีหลังเห็นบ่าวตัวน้อยยืนงกๆเงิ่นๆก็หลู่เข้าถามเสียงค่อย "ใยไม่เอาเข้าไปให้แม่หญิงวะ ยาบำรุงเนี่ยสำคัญมากสำหรับการเข้าเรือนหอนะนังบุญ"

        "คงมิต้องแล้วล่ะแม่ปริก.." นังบุญเชือนตามองประตูประมาณว่าให้นังปริกลองฟังเสียงด้วย

       แค่ได้ยินเสียงยุกยิกหยอกเย้าสเน่หานังปริกก็ยิ้มย่องกระลิ่มกระเหลี่ย "งั้นอย่าไปกวนแม่หญิงเลยว่ะ" สองบ่าวชวนกันเดินย่องออกมาเงียบๆปล่อยให้คู่รักอยู่กันตามลำพังในห้องหอ

    .....

       เพลาสายประตูหอนอนใหญ่ซึ่งปิดเงียบมาตั้งแต่ค่ำเมื่อวานก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยสายตาของทาสบริวารที่จับจ้องแม่หญิงทั้งสองเป็นตาเดียว

       "ข้าหิวมีไรกินมั่ง?" เกศสุรางค์ลูบท้องที่ร้องโครกครากพร้อมยิ้มแหยๆ

        "ทางนี้เจ้าค่ะแม่หญิง" นังผินต้องเปลี่ยนคำเรียกใหม่เพราะเกศสุรางค์ได้ตบแต่งกับแม่หญิงจันทร์วาด "มีสำรับมากอย่างจัดเกียมไว้ที่โต๊ะแล้วเจ้าค่ะ"

       จันทร์วาดเดินตามเกศสุรางค์และบ่าวไปยังโต๊ะกินข้าวแล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ ส่วนคนที่ได้ชื่อว่าเมียก็นั่งลงในจุดที่เยื้องใกล้กัน

        "ผู้ใดเป็นคนทำสำรับเหล่านี้" จันทร์วาดถามพลางกราดตามองบ่าวที่นั่งอยู่โดยรอบ

        "บ่าวเองเจ้าค่ะแม่หญิง" นังปริกยิ้มตาหยี "มีทั้งกุ้งผัดกระเทียม แกงสับปะรด น้ำพริกนรกผักลวกผักสด รับรองว่า.."

        "พอแล้วล่ะข้ารู้แล้ว" จันทร์วาดปรามนังปริกไว้ แล้วจุ่มล้างมือในครุเตรียมกินข้าว

        "เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณพี่!" เห็นอีกคนกำลังจะใช้มือหยิบข้าวเกศสุรางค์ก็นึกขึ้นว่าได้เตรียมอุปกรณ์ที่สั่งให้จีนฮงทำมาใหม่ๆ "ต้องใช้ช้อนเจ้าค่ะ"

        "ช้อนเอาไว้ตักน้ำแกงน่ะฤา?"

        "รอดูนะคะ..พี่ผินพี่แย้มเอาช้อนมาให้หน่อย"

        นังผินกับนังแย้มวางช้อนและส้อมสองคู่ลงบนจานเปล่า ตากลมของจันทร์วาดมองอย่างสงสัยก่อนเหลือบไปแลหน้าเกศสุรางค์ "ใช้อย่างไร?"

       "เดี๋ยวน้องทำให้ดูนะเจ้าคะ มือขวาจับช้อน มือซ้ายจับส้อมแบบนี้ค่ะ" เกศสุรางค์ค่อยบอกค่อยสอนคนรักอย่างใจเย็น พอเห็นว่าเริ่มใช้เป็นเธอก็เริ่มกินข้าวทันทีตอบสนองร่างกายที่ต้องการพลังงาน

       ตาเชื่อมสองคู่สบประสานกันเนืองๆในขณะที่รับข้าว พลางตักกับตักแกงให้กัน ความหวานแหววของนายหญิงเกินความสามารถของพวกบ่าวจะทานทนได้ พวกมันต่างก้มหน้างุดแล้วทำได้เพียงลอบยิ้มกรุ้มกริ่มให้แก่กัน

       กินอาหารเช้ากันเสร็จจันทร์วาดซึ่งใครๆก็ยกย่องว่าเป็นต้นแบบแห่งกุลสตรีศรีอยุธยาก็ไม่ละเลยที่จะไปนั่งกรองอุบากดอกไม้และมาลัยกับบ่าวคนสนิท เกศสุรางค์ถึงจะเหนื่อยล้าจากการลงสนามรักแต่กำลังก็ยังมากพอที่จะไปเที่ยวเตร่ได้จึงเดินเข้าไปหาผู้เป็นผัวเพื่อขออนุญาต

        "คุณพี่เจ้าขา~" ร่างโปร่งรุดเข้าไปนั่งพูดเฉาเลาะข้างๆคนกำลังกรองมาลัย

        "มีอันใดฤา?" จันทร์วาดหยุดงานในมือแล้วหันมามองสาวน้อยที่มองนางคล้ายจะกำลังเว้าวอนอะไรสักเรื่อง

        "น้องขอไปเที่ยวตลาดได้มั้ยเจ้าคะ?"

        "มันมิควรหนา เพิ่งเข้าเรือนหออยู่หลัดๆก็จักออกไปเที่ยวเตร่เสียแล้ว" แม้นไม่พูดห้ามก็เหมือนห้าม เพราะสีหน้าแววตาของจันทร์วาดมันตอบแทนแล้วว่า'ไม่'

        "แม่หญิงเจ้าขา" นังปริกสะกิดเรียกเด็กสาวแล้วกระซิบข้างหู "ทำแบบนี้สิเจ้าคะ.."

        เกศสุรางค์ยิ้มย่องเมื่อฟังจบแล้วหันไปสวมกอดร่างน้อยพร้อมตระโบมจูบหอมแก้มอิ่มทั้งสองข้าง จันทร์วาดถึงกับปล่อยเข็มร้อยกรองมาลัยแล้วยกมือป้องใบหน้าตัวเอง

        "แม่เกศ! ออเจ้าทำกะไรนี่หา!?" วงหน้ารูปไข่เปลี่ยนสีแดงระเรื่อพลางเหลือบมองบ่าวไพร่ที่ก้มหน้าหลุบตาต่ำเหลือเพียงนังปริกคนเดียวที่บิดตัวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ "ออเจ้าจักไปเที่ยวก็ไปเถิดหนา" ความอายบังคับให้บอกอนุญาตออกไป ก็แอบด่าตัวเองในใจแต่ถ้าไม่มีหวังถูกจูบต่อหน้าบริวารซึ่งเป็นภาพที่ไม่งาม

        "น้องจะไปช็อปแต่ไม่มีตังค์เจ้าค่ะ" เสียงอ่อยพูดออดอ้อน "คุณพี่ให้ตังค์น้องด้วยสิเจ้าคะ"

         "ตังค์? ช็อป?"

         "น้องไม่มีเงินไปซื้อของเจ้าค่ะ"

         "เหมือน..บุญไปหยิบถุงเงินสีม่วงในหอนอนเล็กมาให้แม่หญิง" หญิงสาวถอนหายใจยาว

        "เย้!รักคุณพี่ที่สุดเลยเจ้าค่ะ" แม่จอมซนกระดี้กระด้าทำท่าจะเข้าไปกอดจันทร์วาดแต่ก็ถูกปฏิเสธ

         "พอได้แล้ว..อายเค้า"

         "เชอะ..ทีในหอนอนล่ะ.."

         "เงียบปาก" จันทร์วาดกัดฟันเค้นเสียงขู่คำรามในคอ

         "ไม่พูดก็ได้"  เกศสุรางค์หน้ายู่พลางยกมือขึ้นปิดปาก

         นังเหมือนและนังบุญนำห่อเงินเล็กๆออกมามอบด้วยคุกเข่าต่อหน้าเกศสุรางค์

        "ให้ห่อเล็กนิดเดียวเองง่ะ..คุณพี่ขี้งก" เห็นซองเล็กๆก็อิดออดใหญ่ ว่าจะไปซื้อมุ้งซื้อหมอนใหม่ให้บ่าวในเรือน เงินในห่อไม่น่าจะพอในความคิดเธอ

        "เปิดดูก่อนเถิดแล้วจึ่งว่าพี่" คนพูดกระตุกยิ้มมุมปากพลางร้อยมาลัยต่ออย่างคล่องมือ

        "นี่เป็นเงิน ๑ ตำลึงเลยหนาเจ้าคะแม่หญิง" นังปริกเห็นก้อนเงินหนักหนึ่งบาทป้ำตรานารายณ์ประมาณ ๔ ก้อนก็ยิ้มแฉ่ง

        "๑ ตำลึง?"

        "๔ บาทเจ้าค่ะเท่ากับ ๓๒ เฟื้อง เป็นเงิน ๒๕,๖๐๐ เบี้ยเลยหนาเจ้าคะ"

        โอ้พระพุทธเจ้าช่วย! มุ้งหลังละ ๒๐๐ เบี้ย ซื้อได้เป็นร้อยหลังเลยนะ ถึงจะซึนแต่ก็สายเปย์นะเนี่ย

        "ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณพี่..ไปแล้วนะคะ" พอได้เงินก็วิ่งลงจากเรือนอย่างไวจนบ่าวทั้งสามคนวิ่งตามกันขาไขว่

        "แม่หญิง! เดี๋ยวก็หกผะเลิดดอกเจ้าค่ะ!"

        จันทร์วาดอมยิ้มเย็นๆฟังเสียงฝีเท้ากระทบพื้นเรือนที่ดังจนลับไปก็เดาได้ว่าคงลงเรือไปแล้ว ในใจคิดไปถึงวันแรกที่เจอกับเกศสุรางค์ที่ไม่ใช่การะเกด หากพิจารณาให้ดีเกศสุรางค์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้สักน้อย

        ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ความรักที่ผลิบานหอมหวานมากขึ้นเรื่อยๆและไม่มีวันโรยรา

    ...........................................



        ปึง!

        "อะไรกัน!?" ชายฝรั่งฟาดฝ่ามือใหญ่หนาลงบนโต๊ะไม้สุดแรงด้วยโมโหอย่างไม่กลัวเจ็บ "ไอ้ออกพระเพทราชามันจักจองล้างจองผลาญข้าไปถึงไหน!?"

        หลังจากหลวงสุรสาครได้รับการอวยยศเป็นออกพระฤทธิ์กำแหงเป็นเรื่องน่ายินดี แต่กลับต้องมาได้ยินข่าวแย่ๆที่ทหารองครักษ์คาบมารายงาน ใบหน้าคมคร้ามแดดขรึมเข้มขึงขังอย่างเจ็บแค้น

        "ท่านทำตัวท่านเองหนา" คำพูดมีอำนาจดังขึ้นพร้อมหญิงร่างระหงที่เดินลงมาจาปกบันไดเรือน ตองกีมาร์ที่ใครๆก็รู้จักในนามเมียของขุนนางฝะรังคีผู้ยิ่งใหญ่แต่หามีใครรู้ว่านางไม่เคยยินยอมให้ออกพระฤทธิ์กำแหงได้ล่วงเกินนางเลย "ท่านกล้าฤา..ที่จะทำร้ายแผ่นดินที่ท่านอาศัยอยู่ แผ่นดินที่ชุบชีวิตท่านขึ้นจากความสิ้นไร้ แผ่นดินของขุนหลวงที่รักและไว้ใจท่าน"

        "ตองกีมาร์ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"

        "ท่านทำให้ออกญาท่านตายยังมิพอฤา? ท่านคดโกงช่อราชบังหลวงจนคลังสินค้าอังกฤษโดนเผาพินาศยังไม่สาแก่ใจท่านอีกงั้นฤาฟอลคอน!?"

        ออกพระฤทธิ์กำแหงแทบสติหลุดกับคำดูหมิ่นจากมารี เขาเงื้อมือหมายจะตบตองกีมาร์ให้หายคับแค้น แต่ด้วยใจเขาเองก็รักนางมากจึงดึงมือกลับพร้อมด้วยท่าทีฟึดฟัดก่อนเดินสะบัดขึ้นข้างบน

        มารีตกอยู่ในอาการตกใจกับความเกรี้ยวกราดของชายร่างใหญ่เมื่อครู่ แล้วจึงค่อยๆตั้งสติ "ข้าเกลียดท่านยิ่งนัก"

     ..........................................................

       ณ ตลาดท่าวัดนางชี หญิงผู้ดีรูปร่างโปร่งสวยเพลินตาเดินเลือกซื้อหมอนมุ้งและผ้าห่ม วันนี้เธอลากบ่าวมาด้วยหลายคนทั้งนังผิน นังแย้ม นังปริกและบ่าวหญิงหน้าใหม่อีกสามคน

        อยู่เรือนมีบ่าวทั้งหมดยี่สิบห้าคนต้องซื้อกลับไปให้ครบกัน แม่หญิงน้อยพิจารณาสินค้าไปทีละร้านก่อนจะหยุดลง เมื่อตาเรียวคมเหลือบไปเห็นหญิงรูปร่างค่อนข้างอวบท่าทางขี้โรคดูคุ้นหน้า กำลังเดินกระย่องกระแย่งโดยมีชายตัวใหญ่ช่วยประคอง

       "นั่น..น้องสาวคุณพี่รึเปล่านะ?" เธอเพ่งตามองชัดๆจนแน่ใจว่าเป็นแม่บุหลันลูกสาวคนที่สองของเจ้าพระยาโกษาธิบดี(ออกญาเหล็ก)กับคุณหญิงนิ่มก็รีบเข้าไปทักทาย "แม่บุหลัน! แม่บุหลันใช่ฤาไม่?"

       "แม่หญิงการะเกด?" บุหลันชำเลืองดูก่อนหันมายิ้มอ่อนๆ "มิได้เจอกันนาน ออเจ้าดูอวบอ้วนขึ้นหนา"

       "ห๊ะ! ข้าอ้วนขึ้นอย่างงั้นเหรอ?"

       ทักได้เริ่ดมาก..สำหรับคนอยุธยาผู้หญิงอวบๆถือว่าสวยกำลังดีหากโดนทักแบบนี้ก็จะดีอกดีใจ แต่ไม่ใช่สำหรับสาวรัตนโกสินทร์ที่นิยมผู้หญิงหุ่นนางแบบอย่างเกศสุรางค์ ที่พอได้ยินแบบนั้นเข้าไปก็แทบจะหมดแรงหมดกำลังใจในการซื้อของ เห็นทีจะต้องงดกินขนมฝีมือจันทร์วาดไปสักพัก

       "ดูสวยขึ้นไม่ผอมแห้งแรงน้อยเหมือนก่อน"

       "เอ่อแล้วนี่.." เกศสุรางค์รู้ว่าบุหลันเป็นคนอวบมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าลักษณะท้องโย้ๆแบบนี้คงไม่ใช่เพราะลงพุงหรอก

       บุหลันเห็นอีกฝ่ายมองอึ้งๆก็ยิ้มหัวร่อใหญ่ "ข้ามีครรภ์หนาแม่หญิงการะเกด"

       "มีครรภ์!?" ที่นี่คงไม่แปลกที่มีลูกตั้งแต่ยังอายุสิบห้าแต่เกศสุรางค์ก็ยังไม่ชินอยู่ดี "ออเจ้าออกเรือนตั้งแต่เมื่อใด?"

       "พอท่านพ่อข้าสิ้น คุณหญิงแม่ก็ให้ข้าตบแต่งกับลูกชายออกพระไชยชิตสงครามผู้ดูแลกรมตำรวจที่เมืองละโว้" บุหลันเอ่ย "นี่หมื่นอินทร์กรมรักษ์น้องชายผัวข้า"

       "ออเจ้าสบายดีนะ?" ดูจากภายนอกบุหลันก็ดูอิดโรยมากเหมือนไม่ใคร่จะสู้ดี "แล้วผัวออเจ้าเล่า?"

       "ข้ามิใคร่จักสบายนัก.." นางทำหน้าเศร้าขึ้นมาเมื่อคิดถึงผัวที่จากไปทิ้งให้นางต้องอุ้มท้องอย่างโดดเดี่ยว "ผัวข้าสิ้นหลังเข้าช่วยหม่อมห้ามจากพวกโจรใจบาป"

        "ข้าเสียใจด้วยนะ แล้วนี่ท้องกี่เดือนแล้ว?"

        "ได้สองเดือน"

        "หูย ท้องโตจังแค่สองเดือนเนี่ยนะ ลูกแฝดแน่ๆเลย"

        "มิใช่ดอกหนา หมอจีนมาจับแมะ(ชีพจร)ให้ข้า บอกว่าน่าจะเป็นเพราะเด็กในครรภ์ตัวใหญ่นัก..ข้าต้องไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่หนา"

        "จ่ะ แม่บุหลัน"

        ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปทำธุระของตน เกศสุรางค์ซื้อหมอนซื้อมุ้งจนครบก็พากันกลับเรือน โชคดีที่นำเรือมาถึงสามลำจึงขนของกลับได้หมด

        ขบวนกรุ๊ปช็อบปิ้งทัวร์ของเกศสุรางค์จอดเทียบท่าจอดหน้าเรือน บ่าวที่รออยู่ท่าปรี่เข้าช่วยยกขนของอย่างสามัคคีด้วยใจปลาบปลื้มในความเมตตาของแม่หญิงเมืองสองแควผู้นี้

       จันทร์วาดเห็นพวกทาสขนของกันขวักไขว่ประหนึ่งแม้ค้าตลาดยกสินค้าเข้าร้านก็สงสัย จึงเดินลงจากบนเรือนเพื่อไตร่ถาม

       "พวกเอ็งขนกะไรกันมากมาย?" ตากลมเหลือบดูก็รู้ว่าเป็นอะไร

       "แม่หญิงการะเกดบอกให้นำหมอนมุ้งแลผ้าห่มไปแจกจ่ายบ่าวในเรือนเจ้าค่ะ"

        ผู้ถืออำนาจสูงสุดในเรือนพยักหน้าตอบจากนั้นก็ตรงเข้าไปหาเกศสุรางค์ด้วยกิริยาเรียบร้อยเฉดเช่นเดิม

        "คุณพี่~" เกศสุรางค์ไม่พูดอะไรก่อน รีบโผเข้ากอดร่างน้อยในชุดลำลองผ้าน้อยชิ้นพร้อมหอมแก้มคนใจสปอร์ตเข้าทีหนึ่ง "มารับน้องขึ้นเรือนฤาเจ้าคะ?"

      "พี่จักมาถามแม่เกศว่าซื้อของพวกนี้มาให้บ่าวไพร่ฤา?"

        "เจ้าค่ะ นี่ก็ใกล้หน้าหนาวแล้ว พวกเขาไม่มีผ้าห่มกลัวว่าจะเป็นไข้เอา" เกศสุรางค์หน้าจืดไปเล็กน้อยด้วยกลัวโดนด่า "ไม่ได้เหรอคะ?"

        "ได้..แต่พี่ไม่เคยเห็นผู้ใดกระทำอย่างออเจ้า"

        "งั้นข้าจะเป็นคนแรกนี่แหล่ะค่ะที่ทำ"

        "ออเจ้านี่หนา..ระวังเถิดจักมีผู้คนมากหลายมาขายตัวเป็นทาสจนไล่มิทัน"

        "ถ้ามาอีกข้าก็ซื้อให้อีกได้ค่ะ..จะว่าไปวันนี้ข้าเจอกับแม่บุหลันด้วยนะเจ้าคะ"

        "งั้นรึ..นางเป็นอย่างไรบ้าง?"

        "มีครรภ์แล้วเจ้าค่ะ..แต่ว่า...." เกศสุรางค์เลิ่กลั่กไม่รู้จะพูดออกไปดีรึเปล่า

        "นางเป็นกะไร?" จันทร์วาดเกิดกังวลใจแปลกๆที่เกศสุรางค์อยู่ๆก็เงียบไป เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าแม่บุหลันสุขภาพไม่ค่อยดีมาแต่น้อย

        หากบอกออกไปตรงๆว่าน้องสาวป่วย ก็จะทำให้คนฟังไม่สบายใจ เคยเห็นว่าชีวิตสามีไม่ค่อยสุขสำราญอยู่เดิมแล้วก็ไม่อยากทำลายบรรยากาศและความรู้สึกดีๆ เกศสุรางค์คิดตำหนิตนเองที่คิดตัดสินใจแบบเห็นแก่ตัว จันทร์วาดก็ห่วงแม่บุหลันก็ห่วง แต่บางเรื่องไว้บอกทีหลังก็ได้ คิดว่าช้าหน่อยคงไม่เป็นอะไร

        "น้องกำลังจะบอกว่าไว้หาโอกาสไปเยี่ยมแม่บุหลันกันเจ้าค่ะ" หญิงงามยิ้มจืดเจื่อนตอบ

        มีฤาจันทร์วาดจะไม่รู้ บ่าวติดตามของคุณหญิงนิ่มเคยเล่าแก่นางว่าแม่บุหลันที่ป่วยอิดๆออดๆอยู่แล้ว เมื่อสิ้นเจ้าคุณพ่อก็เศร้าเสียใจมากนัก ยิ่งผู้เป็นผัวคือขุนพิเชษฐ์ชัยชาญมาตายหนีจากก็ยิ่งตรอมใจล่องลอยราวไร้วิญญาณ แต่การจะไปเยี่ยมถึงเรือนออกพระไชยชิตสงครามมิใช่ง่าย เพราะเป็นผู้ปกครองกรมตำรวจมีผู้ปองร้ายมากโข

        "อย่างนั้นฤา?" สองคนมองตากันอย่างเข้าใจ จันทร์วาดเองก็เห็นว่าเกศสุรางค์ห่วงใยความรู้สึกนางมากจนไม่กล้าพูดความจริง จึงพยักหน้ารับพอให้พ้นๆเรื่องไป

        "อีกไม่กี่เดือนคุณพี่ก็จะมีหลานแล้วน้า~" แขนเรียวสวมกอดเอวคอดกิ่วจากด้านหลังพร้อมแสร้งทำซบไหล่ฉอเลาะเพื่อให้จันทร์วาดยิ้มได้ ทั้งที่ในใจก็คิดหนักเรื่องแม่บุหลัน

        "ขึ้นเรือนกันเถิดหนา ดูซิพวกบ่าวอยู่กันเต็มไปหมด อายพวกมันเสียบ้าง..แลพี่เห็นออเจ้ายังมิได้อาบน้ำแต่เช้ามิใช่ฤา?"

        "ก็มันหนาวนี่เจ้าคะ ถ้าคุณพี่อาบให้น่าจะพออุ่นขึ้นบ้างเจ้าค่ะ"

        "ประเดี๋ยวพี่พาออเจ้าไปอาบที่เรือนแม่น้ำน้อยอีกดีฤา?" ปากได้รูปยิ้มมีเล่ห์ "จักได้อาบด้วยกันอีกอย่างไรเล่า"

        "ติดใจล่ะสิ ไม่ต้องเลยค่ะเดี๋ยวข้าให้พี่ผินกับพี่แย้มอาบให้" เกศสุรางค์แลบลิ้นทรงทะเล้นก่อนพาบ่าวสองคนเดินอ้อมสวนไปยังท่าอาบน้ำ

       วันเวลาหลังการแต่งงานช่างหอมหวานและผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเรื่องจากภายนอกจะถูกลืมเลือนไปเสียหมด เพลาผ่านไปเกือบปี...จนกระทั่งวันที่เรือนเงียบไร้แขกไร้คนเยี่ยมมีเรือใหญ่มาจอดเทียบท่า

        "แม่หญิงจันทร์วาดอยู่ฤาไม่?" หมื่นอินทร์กรมรักษ์แค่เหยียบท่าก็ถามถึงเจ้าของเรือนหน้าดำคร่ำเครียด "ข้าคือหมื่นอินทร์กรมรักษ์น้องชายของขุนพิเชษฐ์ชัยชาญ มีเรื่องจักมาบอก"

        "มีอันใดฤาหมื่นอินทร์?" จันทร์วาดในชุดลำลองรับอากาศเย็น คาดผ้าไหมแถบย้อมม่วงพาดผ้าสไบคล้องอ้อมหลังกับซิ่นแพรวาจีบหน้า เดินลงเรือนมารับแขกในใจแอบคิดกังวล ร้อยวันพันปีไม่เคยมีญาติจากละโว้มาหาชวนผิดสังเกต

        "เร่งไปดูแม่บุหลันเถิด นางอาการมิค่อยสู้ดีนัก" แววตาเข้มขมของชายหนุ่มจริงจังและเจ็บปวดมองไปยังหญิงร่างน้อยพร้อมบอกเสียงเครือ

        "กะไรหนา..!?"

         จันทร์วาดขึ้นเรือนไปตามเกศสุรางค์ลงมาด้วยตัวเองแล้วนั่งเรือของหมื่นอินทร์กรมรักษ์ไปละโว้ แม้จะนั่งสงบเรียบร้อยแต่จริงๆแทบจะนั่งไม่ติดในใจกังวลเรื่องน้องสาว ดวงตากลมแสดงความวิตกที่สั่นไหวอยู่ในใจ

        "คุณพี่.." เกศสุรางค์เองก็เจ็บปวดกับการโทษตัวเองที่ไม่ยอมบอกไปตั้งแต่ตอนนั้น "แม่บุหลันต้องไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ"

        จันทร์วาดอมยิ้มฝืดๆรับน้ำใจคนปลอบ ทว่ายังมิคลายกังวลเรื่องแม่บุหลันอยู่ดี

        สีหน้าเคร่งเครียดของแม่หญิงจันทร์วาดสร้างความอึดอัดใจให้คนในเรือทั้งลำ กระทั่งเรือได้จอดเทียบที่ริมท่าเมืองละโว้หลังพายทวนกระแสน้ำกันอยู่พักใหญ่

       หมื่นอินทร์กรมรักษ์เดินนำกลุ่มตรงไปยังเรือนออกพระไชยชิตสงครามบิดาตน ชาวบ้านร้านค้าต่างหันมามองเป็นตาเดียวกันด้วยจำนวนคนมากและท่าทีขึงขังขิงกลุ่มคน

       พอเข้าไปในเรือนจันทร์วาดพลันยกมือขึ้นป้องปากด้วยสะเทือนใจกับภาพที่เห็น นางถึงกับต้องเบือนหน้าหนีไปครู่หนึ่งก่อนตั้งสติทำใจหันกลับมามองน้องสาวที่เหมือนจะนอนติดเตียงมานานมากแล้ว

       ร่างที่เคยอวบอ้วนสมบูรณ์ บัดนี้ซูบผอมจนกลายเป็นคนละคน ผิวกายสีขาวอมชมพูก็เปลี่ยนเป็นเหลืองซีดผมเผ้าไม่เป็นทรง พี่สาวนั่งลงข้างเตียงพลางเอื้อมสัมผัสใบหน้าน้องด้วยใจสงสาร

       ถึงทาสในเรือนช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดเต็มที่ แต่ก็มีกลิ่นคาวนมคลุ้งอยู่ทั่วห้อง ดูเหมือนว่าแม่ลูกอ่อนผู้นี้จะมีน้ำนมไหลแต่ไม่มีแรงพอที่จะลุกมาป้อนให่แก่ลูกน้อย จึงต้องฝากให้แม่นมเป็นคนดูแลชุบเลี้ยง

       "พุทโถ่ น้องพี่" เสียงเรียกแผ่วเบาปลุกให้ร่างที่นอนซมค่อยๆขยับเปลือกตาเปิดออกมองคนตรงหน้า เมื่อจันทร์วาดเห็นแม่บุหลันตื่นมีสติก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย "ป่วยมานานเพียงใดแล้ว..ใยจึงไม่บอกพี่บ้าง?"

       "ข้าเห็นคุณพี่เพิ่งออกเรือน มิอยากนำเรื่องไปแจ้งให้กังวลใจเจ้าค่ะ" คำตอบช่างสะเทือนใจพี่สาวยิ่งนัก เสียงแหบพร่าของแม่บุหลันราวเป็นมีดกรีดกลางอกของจันทร์วาด จนนัยน์ตาสีนิลถูกบดบังด้วยหยดน้ำตาแห่งเวทนา

       "ความคิดเจ้าช่างเด็กนัก" กลีบปากงามเม้มกัดกลืนน้ำตาพลางกุมมือน้องสาวไม่แน่นมากนักด้วยกลัวจะเจ็บ

       เกศสุรางค์นั่งตามลงไปทีหลัง เธออึดอัดขึ้นในใจเมื่อความหดหู่ผุดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ "แม่บุหลัน.."

       "แม่หญิงการะเกด..ลูกข้าคลอดออกมาแล้วหนา" บุหลันดีใจที่เห็นคู่ครองของพี่ ปากสั่นเผยอยิ้มเซียวๆแต่ก็มีความสุขปรากฏขึ้น "นังชุ่ม..เอ็งไปพาลูกข้ามา"

        บ่าวผู้ภักดีปาดน้ำตาทำตามคำบัญชา นังชุ่มหายเข้าไปในห้องข้างๆครู่ใหญ่ ก่อนอุ้มทารกตัวน้อยที่กำลังหลุบปุ๋ยในห่อผ้าชนิดดีออกมาอย่างทะนุถนอม

        แต่ด้วยแสงที่มากกว่าในห้องนอนก็ปลุกให้ทารกตื่นมาร้องโหวกเหวกเสียงดัง สร้างรอยยิ้มอิ่มเอมให้ผู้เป็นแม่ที่นอนป่วยอยู่

        "น่ารักน่าชังเหลือเกิน..ไม่ร้องหนา โอ๋..โอ๋" จันทร์วาดรับเด็กงอแงมาจากนังชุ่มแล้วกล่อมโอ๋ด้วยความเอ็นดู ด้วยเคยช่วยพ่อแม่เลี้ยงบุหลันมาก่อนเลยรู้ทั้งวิธีอุ้มและกล่อม

        "น่ารักจริงๆ" เกศสุรางค์ชะเง้อมองหน้าเด็กซึ่งเงียบไปเมื่อถูกจันทร์วาดอุ้ม "เหมือนคุณพี่จังเลยนะเจ้าคะ"

        "ข้าก็คิดเช่นนั้น..ข้าจึ่งยังมิตั้งชื่อลูก" บุหลันเอ่ย "พี่จันทร์วาดแลแม่หญิงช่วยตั้งให้ได้ฤา?"

        "ตั้งชื่องั้นฤา?" จันทร์วาดเม้มปากครุ่นคิดแล้วเงียบไปด้วยว่าเรื่องตั้งชื่อนางไม่ถนัดนัก

        นัยน์ตาสีน้ำตาลเกือบดำส่องประกายเมื่อมองทารกน้อยยังแบเบาะ เจ้าของปากเรียวยิ้มพริ้มพรายที่ได้มองคนรักอุ้มประคองเด็ก ทำให้เธอเห็นภาพของเพื่อนรักทับซ้อนในตัวของจันทร์วาด "เดือน..ให้ชื่อเดือนก็เพราะดีนะเจ้าคะ"

        'ยัยเดือนฉันคิดถึงแกว่ะ..ไม่ว่าจะตอนไหนเวลาใดแกก็รักเด็กเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ'

       "ข้าชอบชื่อนี้..ออเจ้าช่างคิดเสียจริง" จันทร์วาดค่อยเอี้ยวตัวไปทางเกศสุรางค์ด้วยรู้สึกชอบชื่อนั้นอย่างประหลาด

       "แม่เดือน.." บุหลันปรับท่าลุกขึ้นนั่งช้าๆ มีนังชุ่มบ่าวคนสนิทช่วยประคองขึ้น "ตั้งชื่อได้ไพเราะนัก..ออเจ้าสองคนคงเป็นทั้งพ่อแลแม่ที่ดีเป็นแน่"

        "ออเจ้าหมายจักกล่าวสิ่งใด?..แม่บุหลัน" พี่สาวหน้าเจื่อนไปทันที ด้วยความที่เป็นพี่น้องก็รู้นิสัยใจคอกัน นางเผลอคิดวูบหนึ่งในหัวว่าบุหลันกำลังจะยกแม่เดือนให้กับตน

        "ข้าขอฝากแม่เดือนด้วยหนา" เป็นดังที่คิดบุหลันเอ่ยบอกทั้งหน้าเศร้า "ถึงที่นี่จะมีคนช่วยเลี้ยง แต่ข้ามิอยากให้แม่เดือนต้องโตมาแลคิดว่าตนกำพร้าบิดาแลมีแม่ขี้โรคง่อยพิการ ข้าอยากให้ลูกเติบใหญ่กับภาพจำที่งดงาม..อย่าได้บอกนางว่าข้าคือแม่"

        แม่บุหลันหลั่งน้ำตาอาลัยไหลพราก อกเปี่ยมรักที่มอบให้ลูกสั่นสะท้านเจ็บร้าวสุดกล้ำกลืนที่ต้องยกลูกสาวให้กับผู้อื่น ถึงแม้จะเป็นพี่สาวแท้ๆแต่สายใจจะถูกพรากไปจากอกก็คิดถึงห่วงหาอาดูรไว้ก่อนแล้ว

       ประหนึ่งว่าเด็กน้อยจะรับรู้ แม่เดือนร้องงอแงขึ้นอีกครั้งด้วยความหิว ทันใดน้ำนมของแม่ก็ไหลออกมาตอบรับความหิวนั้น

       "แม่บุหลัน.."

       "ข้าขอให้ได้ป้อนนมจากอกให้แก่แม่เดือนก่อนจากกันเถิดหนา"

        เกศสุรางค์มองจันทร์วาดช่วยอุ้มแม่เดือนไปกินนมจากแม่แท้ๆเป็นครั้งแรกด้วยความปิติ..นี่แหล่ะคือความรักของแม่

        ขอไถ่โทษที่แม่ละเลยเจ้า
        มิได้เฝ้าป้อนนมอย่างควรให้
        แลก็หวังให้เจ้าจงอภัย
        เพราะแม่ไร้ปัญญาจักดูแล
        มือประคองโอบลูกด้วยใจรัก
        พินิจพักตร์เจ้าเอ๋ยเอ็นดูหลาย
        น้ำนมอุ่นสนุตไหลไป่ดูดาย
        แม่มิคลายรักเจ้าดอกแก้วตาเอย

        บุหลันได้เห็นรอยยิ้มจากลูกสาวเป็นครั้งแรก น้ำนมนี้ช่างวิเศษนัก.. แม่ไม่เคยจดจำว่าลูกร้องไห้มากี่ครั้ง..แต่แม่จักจดจำรอยยิ้มแรกของลูกไว้ในใจเสมอ

        ทารกน้อยถูกพาตัวจากละโว้กลับไปยังอยุธยา อยู่กับครอบครัวใหม่ เกศสุรางค์กับจันทร์วาดผลัดเวรกันคอยอุ้มแม่เดือน และมีบ่าวหญิงคอยช่วยดูอีกที

        "โอ๋เอ๋ๆ แม่เดือนคนเก่งนอนเถอะนะ" ลูกสาวคนเดียวอย่างเกศสุรางค์อุ้มเด็กเป็นที่ไหน แต่ด้วยรักและเอ็นดูก็พยายามทำดีที่สุด

        แง๊!!!

       "โอ๋ แม่เดือนจ๋า~" คนไม่เคยมีน้องมีหลานพอจะให้เลี้ยงลูกก็ไม่แปลกที่จะทำอะไรเงอะงะ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกรักมากขนาดนั้น แต่พอได้เห็นทั้งการกินการนอนและร้องไห้ เกศสุรางค์ก็หลงรักแม่เดือนประหนึ่งลูกของตัวเอง

       "ออเจ้าอุ้มเด็กมิเป็นฤา? ประเดี๋ยวพี่จักสอนให้..มานี่" จันทร์วาดที่รออยู่หอนอนได้ยินเสียงร้องไห้ก็ตามมาดู มือน้อยช้อนร่างเด็กอ่อนจากอีกฝ่ายมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วไกวตัวเบาๆช้าๆ ก่อนเหลือบมองเกศสุรางค์ที่ยิ้มตาค้างมองอยู่ "มีกะไร?"

        "คุณพี่ดูเป็นทั้งพ่อและแม่ที่ดีในเวลาเดียวกันเลยนะเจ้าคะ" คนพูดหน้าแดง "ทำให้..คิดถึงแม่ของน้อง"

        "แม่ออเจ้างั้นฤา?"

        "เจ้าค่ะ..แม่สิปาง"

        "คุณแม่ของออเจ้ามิได้ชื่อพุดจีบดอกฤา?"

        "ค่ะ" เกศสุรางค์คิดถึงแม่สิปางและคุณยายนวลก็จุกอกไปนิดเพราะไม่อาจกลับไปเจอได้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสมัยอยุธยากับแม่หญิงจันทร์วาดที่เธอรัก แม้นางจะเป็นลูกสาวของออกญาโกษาธิบดี เป็นหลานรักของเจ้าแม่วัดดุสิตและยังเป็นสหายของกรมหลวงโยธาทิพ แต่กลับถูกประวัติศาสตร์ลืมเลือน ไม่มีแม้ตัวอักษรเดียวที่กล่าวถึง

        ..แต่ฉันจะจารึกแม่หญิงผู้นี้ไว้ในดวงจิตตราบชั่วนิรันดร์..

         เกศสุรางค์เริ่มเขียนบันทึกมาตั้งแต่สลับร่างกับการะเกด คืนนี้สมุดข่อยเล่มนั้นถูกหยิบออกมาเขียนอีกครั้ง เนื้อความนอกจากจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์แล้วยังมีคำกล่าวเชิดชูผู้เป็นพี่อยู่หลายหน้า ด้วยหวังว่าสักวันสมุดเล่มเล็กๆนี้จะช่วยบอกเล่าเรื่องราวความรักระหว่างเธอและจันทร์วาดให้คนรุ่นหลังได้ประจักษ์

        แม่เดือนทารกน้อยถูกเลี้ยงดูฟูมฟักจนอายุได้ ๑๐ ขวบ โดยมีนังปริกเป็นหัวหน้าพี่เลี้ยง นังเหมือนและนังบุญก็ผลัดมือกันดูแล ส่วนหน้าที่ติดตามรับใช้แม่หญิงทั้งสองก็ตกเป็นของนังผินนังแย้มไป

       ทุกสัปดาห์เดือนจะถูกพาไปเยี่ยมแม่บุหลันที่ละโว้โดยให้รู้แค่ว่าเป็นน้องสาวของคุณพ่อจันทร์วาดเพื่อมาเล่นกับลูกเมียทาส

        เดือนเป็นเด็กเรียบร้อยเป็นแม่บ้านแม่เรือน ชนิดถอดแบบจากแม่หญิงจันทร์วาด ตัวแค่นี้กรองมาลัยและอุบากดอกไม้ได้สวยไม่แพ้ผู้ใหญ่ ไม่ดื้อไม่ซนอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ และที่สำคัญนางติดพ่อมากไม่แปลกที่จะมีนิสัยเหมือนกัน



        ปีหน้าจันทร์วาดก็จะอายุ ๓๐ แล้ว การรวบผมตึงทรงโซงโขดงแบบชนชั้นสูงมักจะทำให้ปวดหัวบ่อยๆจึงเปลี่ยนเป็นทรงมหาดไทยตามเมีย แต่การแต่งตัวยังคงเหมือนเดิม

        "ลูกไหว้เจ้าค่ะคุณพ่อ" เด็กหญิงเดินช้าเข้ามานั่งกราบลงบนบ่าของจันทร์วาดซึ่งกำลังแกะสลักลูกมะม่วงอยู่

        "ว่าอย่างไรแม่เดือน?" จันทร์วาดวางงานในมือหันไปลูบหัวแม่เดือนเบาๆ "เหงื่อซ่กเชียวไปทำอะไรมา?"

        "ไปช่วยคุณหญิงแม่เก็บหมากตูมมาเจ้าค่ะ" เดือนหลุบตาลงเล็กน้อยเพราะกลัวโดนดุ

        "แล้วแม่ของออเจ้าอยู่ที่ใด?" ตากลมเหลือบดูรอบๆก็เห็นเพียงบ่าวกำลังยกลูกหมากตูมใส่หาบมาแต่ไม่มีวี่แววของเมียตน

        "เก็บเงาะอยู่เจ้าค่ะ"

        "เก็บเงาะรึ!?..แม่เดือนลูกช่วยพวกบ่าวแกะสลักผลไม้ไปหนา ประเดี๋ยวพ่อจักลงไปข้างล่างเสียหน่อย"

         ดีกรีความซนของเกศสุรางค์ไม่เคยลดลงตามกาลเวลาอายุตอนนี้ก็ ๒๘ ตั้งแต่สาวจนเป็นผู้ใหญ่เธอหมั่นสร้างเรื่องปวดกะบาลให้ไม่เคยเว้น ยิ่งแต่งงานกันนานเข้าก็ยิ่งหนัก บางวันก็ไปงมกุ้งเองบ้างก็ตระเวนหนีเที่ยวไปถึงบางกอก หากเป็นเรือนอื่นเมียจอมซนคงถูกหวายไปแล้วหลายยก

        จันทร์วาดจ้ำเท้าดุ่มๆไปยังสวนหลังเรือนที่ผลไม้สารพัดต้นผลิดอกออกผลในฤดูร้อน ก็เห็นหญิงร่างโปร่งไต่ปีนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว บนพื้นมีเข่งและกระจาดเต็มไปด้วยผลเงาะสีแดงบลูกหล่นอยู่ตามพื้นเพราะโยนพลาด

        เกศสุรางค์รักการกินเป็นชีวิตและจิตใจ พอถึงช่วงเมษาปีใหม่ก็จะแอบมาปีนเก็บผลไม้ประจำ แต่พอถูกจับได้จันทร์วาดก็สั่งห้ามแต่เธอเคยเชื่อซะที่ไหน

        "แม่เกศ!"

        "ม..แม่หญิงจันทร์วาด!?" นังผินและนังแย้มรีบก้มหน้างุด

        "คุณพี่!?" ร่างปราดเปรียวเร่งปีนลงมาแทบจะทันทีที่ถูกเสียงดุนั้นเรียก ในมือยังคงกำลูกเงาะไว้ประมาณสองสามลูก "มีอะไรเหรอเจ้าคะ?"

        "ยังจักถามอีก"

        "หน้าบูดไม่สวยนะเจ้าคะ อ่ะนี่กินเงาะจะได้อารมณ์ดี" เกศสุรางค์ยื่นเงาะในมือให้คนโมโห

        "ไม่ตลก.." จันทร์วาดขมวดคิ้วขรึมจริงจัง "ออเจ้านับวันยิ่งจักดื้อกว่าลูก ตกลงมาหัวร้างข้างแตกมามิเดือดร้อนกันหมดฤา หากถูกงูเงี้ยวเกี้ยวขอมันฉกเอาจักเป็นอย่างไร?"

       "โหย~คุณพี่อย่าเพิ่งดุสิเจ้าคะ ข้าจะทำเงาะลอยแก้วที่คุณพี่ชอบกินตอนหน้าร้อนอย่างไรเจ้าคะ" เกศสุรางค์รู้จุดอ่อนอีกฝ่ายดีเลยเข้าไปออเซาะกอดอ้อน ยิ่งแถมหอมแก้มไปทีหนึ่งทำผิดแค่ไหนก็ยอมอภัย

       "คิดว่าพี่จักหายโกรธฤา?" ปากว่าแต่ตาที่มองเมียกลับหวานย้อนแย้งกับคำพูด จนบ่าวที่ยืนดูแอบลอบส่งยิ้มให้แก่กัน

       "ไม่คิดค่ะ..มั่นใจเลยตะหาก"

       "แสนซนแต่เด็ก..สงสัยจะเป็นเช่นนี้ยันแก่เลยกระมัง"

       "คำว่าแก่พูดเบาๆก็เจ็บนะคะ"

       "แล้วหากเป็นคำว่ารักเล่า?"

        "ฟังกี่ทีก็เขินเจ้าค่ะ"

        เมื่อขึ้นไปบนเรือนลูกสาวก็เข้ามากอดหอมทั้งคู่ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ เกศสุรางค์รักแม่เดือนมากด้วยว่าตั้งชื่อตามเพื่อนรัก แถมยังนิสัยเหมือนจันทร์วาดชนิดที่ว่าผลิตมาจากโรงงานเดียวกัน ทำให้คิดไปอีกว่าถ้ามีได้อีกสักมาเล่นเป็นเพื่อนแม่เดือนคนก็คงจะดี

       'ถ้าอยากได้เพิ่มอีกคน..จะทำยังไงดีนะ'




    --((จบตอนที่ ๑๘))--
    ยังมีมาม่าได้อีก 55555 อย่างไรเสียฝากรีดติชมด้วยนะจ๊ะ ไรท์งานเยอะแต่ปั่นฟิคเนืองๆ(ช่วงนี่ติดทวิตแลคนในทวิต 5555)
    ใจบางกับคูมพ่อยิ่งนัก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×