ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #18 : เรือนหอคอยรัก

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 61




    ตอนที่ ๑๗ : เรือนหอคอยรัก

        ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเกศสุรางค์ถูกกักไว้ในเรือนไม่ให้ออกไปเที่ยวเตร่ คุณหญิงจำปาคอยเฝ้าอบรมสั่งสอนความเป็นแม่บ้านแม่เรือน และสั่งให้นังผินนังแย้มคอยขัดสีฉวีวรรณแม่หญิงมิให้ขาด ถึงกับลงทุนซื้อตลับทองพร้อมเครื่องแป้งน้ำปรุงให้ใหม่ทั้งชุด

        วันพรุ่งนี้เจ้าบ่าวก็จะหอบสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอแล้ว บ่าวหญิงเกือบทั้งหมดถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่เรือนใหญ่เพื่อเตรียมอุบากและมาลัย บางคนตกแต่งเรือนด้วยดอกบัวบานและบัวหลวง ส่วนบ่าวหญิงชายที่เหลือก็ทำความสะอาดรอบๆจัดวางอุบากดอกไม้เรียงรายตลอดทาง

        การจัดบ้านครั้งนี้เป็นเพียงการรอต้อนรับเจ้าบ่าวและเป็นทางผ่านในการส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอเท่านั้น ซึ่งเรือนออกญาโกษาธิบดีเหล็กถูกเลือกใช้เป็นเรือนหอ

        ว่าที่เจ้าสาวนั่งอาบน้ำอยู่ริมท่าในเวลาเย็น นังแย้มคอยขัดผิวกายท่อนบนด้วยขมิ้นบดผสมมะขามเปียก ส่วนนังแย้มก็ขัดเรียวขาทั้งสองข้างนานเป็นพิเศษ พอทำทุกอย่างเสร็จก็ล้างอาบด้วยน้ำฝนผสมน้ำปรุงลอยกลีบกุหลาบและดอกมะลิ

        เกศสุรางค์รู้สึกถึงผิวที่เนียนนุ่มปานว่านุ่นของตัวเองหลังจากที่เฝ้าขัดเฝ้าถนอมมาตลอดเจ็ดเดือน

        "แม่นายประเดี๋ยวถึงหอนอน บ่าวจักสอนสิ่งหนึ่งให้เจ้าค่ะ" นังแย้มเอ่ยขณะที่ซับเช็ดน้ำตามเนื้อตัวให้นาย

        "สอนอะไรเหรอพี่?" รำคาญจะแย่ที่ถูกบังคับให้ฝึกนั่นเรียนนี่ แต่วันพรุ่งนี้ก็จะถูกส่งไปเก็บตัวที่เรือนหอสามวันเกศสุรางค์เองก็ตื่นเต้นไม่น้อย

        "การชำระร่างกายยามเข้าหอเจ้าค่ะ"

        "ห๊ะ!? ยังมีอีก? เชื่อเขาเลย" สามนายบ่าวพากันขึ้นหอนอน แต่งเครื่องหอมแลแป้งร่ำจนครบ นังผินเตรียมครุทองเหลืองหอมน้ำอบเข้ามาวางข้างพลับพลาหน้าคันฉ่อง

        "เมื่อเข้าหอเมียจักต้องชำระร่างกายให้ผัว..แบบนี้เจ้าค่ะ" นังแย้มปั้นผ้าพอหมาดเช็ดตามเนื้อตามตัวแม่นายเพื่อให้เกศสุรางค์รับรู้เป็นแบบอย่าง "แต่ของจริงต้องเปลื้องผ้าเจ้าค่ะ"

        "ห๊ะ! เปลื้องผ้า!?" คุณพระ..จันดาราก็มิปาน ดีนะที่ยุคนี้ยังไม่มีตู้เย็นไม่งั้นมีหวังต้องเอาน้ำแข็งถูหลังแน่ๆ คิดดังนั้นเกศสุรางค์ก็ขนลุกด้วยอายใจตัวเอง

       "เจ้าค่ะ..เปลื้องเฉพาะท่อนบน แต่หลังจากนั้นบ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ" บ่าวร่างผอมงุดหน้าเขิน "แต่มันเป็นธรรมเนียมหนาเจ้าคะ"

       "เรื่องนี้รู้อยู่พี่"

       "พรุ่งนี้แล้วหนาเจ้าคะแม่นาย" นังผินคลานเข้ามาพูดใกล้ๆแล้วมองนายหญิงอย่างยินดี

       "จ่ะ..เอ้อนี่พี่ถ้าข้าออกเรือนแล้ว พวกสมบัติในห้องนี้ทำไงอ่ะ?"

        "ก็ต้องเป็นของผัวซิเจ้าคะ" นังผินตอบ

        "อ้าว? แล้วสินสอดเป็นของข้างี้เหรอ?"

        "ก็เป็นของผัวเช่นกันเจ้าค่ะ"

        "เอ๊า!? แล้วเขาจะเอาเงินมาสู่ขอทำไมถ้าสุดท้ายก็ได้กลับคืนไปอยู่ดี"

        "เป็นการแสดงถึงความร่ำรวย แลให้รู้ว่าเจ้าบ่าวมีสมบัติมากพอจักสร้างครอบครัวเจ้าค่ะ" นังแย้มช่วยเสริมอีกคน

        "งั้นข้าเอาเงินที่ไหนใช้อ่ะ?"

        "ผัวจักเป็นคนจัดสรรปันส่วนให้เองเจ้าค่ะ"

        "แม่นายจักแปลกใจไปใยเจ้าคะ ธรรมเนียมประเพณีก็เป็นแบบเช่นนี้มาแต่ไหน" นังแย้มเอ่ย

         "เอาเหอะพี่ มาถึงขั้นนี้ละ" รักเขาไปแล้วทั้งใจจะเป็นเช่นไรก็คงยอม เด็กสาวรู้ดีว่าคนอย่างจันทร์วาดไม่ใช่พวกเผด็จการยึดอำนาจที่จะกดขี่เธอแน่

    .....................................................



       ณ เรือนออกญาโกษาธิบดีอุบากดอกไม้กรองห้อยจนรอบ บ่าวที่เหลือเพียงน้อยนิดกำลังเตรียมเรือนหออย่างขะมักเขม้น คุณหญิงนิ่มที่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับเจ้าแม่วัดดุสิตทราบข่าว ก็ทูลขอกำลังทาสจากพระตำหนักมาช่วยลูกสาวแต่ไม่ได้แจ้งว่าให้มาทำอะไร แล้วนางยังนำผ้าไหมผ้าแพรวาอย่างดีมาให้ด้วย

       "แม่จันทร์วาดอยู่ในหอนอนฤา?" คุณหญิงนิ่มเพิ่งมาถึงก็ถามหาลูกสาวทันที

       "เจ้าค่ะ" นังบุญก้มหน้าพร้อมก้าวถอยไปเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้คุณหญิงเดินไปยังหอนอนของจันทร์วาดได้

        คุณหญิงนิ่มชะเง้อมองประตูห้องที่เปิดอยู่แล้วนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาลูกสาว

        ภาพที่เห็นคือหญิงสาวที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองเงินพดด้วงก้อนเล็กก้อนใหญ่มีค่าต่างกัน ข้างๆมีหีบใส่เครื่องประดับทองอยู่หลายลูกวางตั้งอยู่ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพิธีสู่ขอเช้าวันพรุ่งนี้ และสิ่งที่ทำให้ผู้เป็นแม่ประหลาดใจคือ จันทร์วาดกำลังนับและชั่งสินสอดพวกนั้นทีละลูกด้วยตัวเอง

        "แม่จันทร์วาด"

        "คุณหญิงแม่? ลูกไหว้เจ้าค่ะ" ร่างน้อยวางก้อนเงินในมือลงบนพาน แล้วหันมาประนมมือเคารพผู้เป็นแม่อย่างนอบน้อม "มาหาลูกมีกะไรฤาเจ้าคะ" จันทร์วาดลุกจากพลับพลาไปยืนต่อหน้าคุณหญิงนิ่มด้วยใบหน้าอิ่มไปด้วยความสุข

        "แม่ขอแรงบ่าวไพร่จากตำหนักเจ้าคุณย่ามาช่วยออเจ้าเกียมเรือนหอ แลนำผ้าแพรไหมจากละโว้มาให้มากโข" คุณหญิงบอกพลางเชือนตาดูกองเงินที่ถูกนับไปกว่าครึ่ง แล้วเหลือบกลับมามองลูกสาวอย่างอึ้งๆ "นี่ลูกชั่งแลนับเงินพวกนี้เองหมดเลยฤา?"

        "ใช่เจ้าค่ะ" นางตอบพร้อมงุดหน้าอาย

        "ให้แม่ไปตามบ่าวมาช่วยนับดีฤา?"

        "ไม่ต้องเจ้าค่ะ ลูกอยากนับเอง"

        "ด้วยเหตุใด?" ผู้เป็นแม่ยิ้มหน่อยๆ

        "ลูกเกรงว่าหากนับไม่ถี่ถ้วนอาจมีขาดมีเกิน แลจักทำให้เจ้าสาวของลูกเสียหน้า ลูกมิอยากให้ผู้ใดกล่าวครหางานตบแต่งครั้งนี้แม้สักน้อยเจ้าค่ะ" จันทร์วาดพูดตอบเรียบๆแต่น้ำเสียงกลับมีความเด็ดขาดจนคุณหญิงนิ่มต้องยกยิ้ม นางหมดห่วงในตัวลูกสาวด้วยเห็นว่ามีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่พอ

       "งั้นแม่ช่วยหนา"

       จันทร์วาดพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มปริ่มเปรม สองแม่ลูกจากเคยมีความเห็นขัดแย้ง ช่วยกันนั่งนับสินสอดทองหมั้นอย่างละเอียดทุกชิ้น

    .........................................

        และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เกศสุรางค์แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยผ้าชนิดดีและเครื่องทองใหม่ทั้งชุด น้ำอบน้ำปรุงชั้นดีก็ถูกประพรมตามร่างกายจนหอมอวลเพียงแค่เดินผ่าน ริมฝีปากเรียวถูกแต้มเป็นสีชมพูอมแดงด้วยชาดทาปาก ส่วนหน้าไม่ต้องพูดถึงผัดทั้งแป้งและแก้มจนครบเครื่อง

        บ่าวหญิงทั้งเรือนทัดดอกแก้วและดอกจำปีไว้ที่หู ออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปาใส่ชุดโทนสีโอรสเป็นมงคลนั่งรออยู่ในห้องที่จะใช้เป็นที่นับสินสอด ส่วนขุนศรีวิสารวาจากับขุนเรืองอภัยภักดีช่วยกันคอยต้อนรับแขกที่สนิทซึ่งเชิญกันมาอย่างลับๆ เพราะเป็นงานตบแต่งระหว่างหญิงสองคน

       "ขุนศรีวิสารวาจา" ขุนเรืองอภัยภักดีเหล่ตามองสหายที่ดูเหม่อลอย "คิดสิ่งใดอยู่ฤา?"

        "อ..อ๊อ! เปล่า" สติของชายหนุ่มถูกดึงกลับมาด้วยเสียงเรียกทุ้มๆ

       "แต่ข้าเห็นออเจ้าเหม่อลอยอยู่นาน"

       "หน้าข้าดูกลัดกลุ้มกระนั้นฤา?" คิ้วคมยู่เข้าหากัน "งานมงคลฉะนี้ข้าจักกลัดกลุ้มไปใย"

       "กระนั้นแล" ขุนเรืองอภัยภักดีหัวร่อชอบใจกับการปกปิดอารมณ์ที่ไม่แนบเนียนของอีกฝ่าย

        ขณะนั้นเองก็มีสาวลูกครึ่งรูปร่างปราดเปรียวห่มสไบเฉียงสีชมพูและผ้าถุงจีบหน้าโทนโอรสเดินขึ้นมาบนเรือน

        "แหม่มตองกีมาร์ เชิญด้านใน" ขุนศรีวิสารวาจาเอ่ย "แม่การะเกดรออยู่ในห้องฝั่งโน้น เชิญออเจ้าไปหาเถิด"

        "เพื่อนเจ้าสาวฤา?" ขุนเรืองถาม "ไม่คิดว่าหัวหน้าห้องเครื่องต้นจะมาด้วยตัวเองเลยหนา"

        มารียิ้มตามมารยาทแล้วเดินตรงไปยังห้องที่เกศสุรางค์กำลังนั่งรอขบวนขันหมาก

        ขุนศรีวิสารวาจามองตามนางตองกีมาร์ไปจนเข้าห้อง เมื่อวกกลับมาก็เห็นว่าขุนเรืองกำลังมองตนด้วยแววตาหวานฉ่ำ "มีกะไรขุนเรือง?"

        "รูปงามนัก" ชายหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มย่อง

        "นางมีผัวแล้วหนาขุนเรือง.."

        "ข้ามิได้หมายถึงนาง"

        พ่อเดชเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายดูจะคุกคามมากขึ้นทุกที จึงเชือนหนีไปทางแขกที่เดินขึ้นเรืนมาแล้วทำการต้อนรับต่อไป

        ทางด้านมารีก็เข้าไปไหว้ทักทายผู้ใหญ่ก่อนนั่งลงข้างๆว่าที่เจ้าสาว "ออเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"

        "ตื่นเต้นสุดๆไปเลยแม่มะลิ ทำตัวไม่ค่อยจะถูก" แม้ว่าจะรักและชอบกับจันทร์วาดมานานแค่พอถึงวันแต่งกลับประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น

       "ใจเย็นหนาแม่การะเกด การออกเรือนมิได้ยากหรือน่ากลัวเลย"

       เกศสุรางค์หน้าจืดเจื่อนพร้อมผงกหัวรับแบบขอไปที เธอตื่นเต้นที่จะได้ร่วมหอลงโรงกับคนที่เธอรักสมใจ แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าหลังจากนี้ไปชีวิตรักระหว่างเธอกับจันทร์วาดจะดำเนินต่อไป..และยังจะคงหวายชื่นแบบนี้ได้อยู่รึเปล่า

        'เพราะนี้ความสัมพันธ์มันกำลังดิ่งถลำมาอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดแล้ว'

        "เจ้าบ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ!"

         เสียงนังทองใบกล่าวทูลแก่เจ้านายทั้งห้อง ความปลาบปลื้มผุดขึ้นจนเอ่อล้นทำให้เธอหน้าชาไปหมด อัตราการเต้นหัวใจของเกศสุรางค์เพิ่มขึ้นจนรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว

        นังเหมือนและนังบุญบ่าวคนสนิทยกมาลัยที่กรองใหม่เข้ามาคนละหาบ ส่วนเงินพดด้วงรวม ๒๐๐ ชั่งกับทองสามหาบต้องให้บ่าวชายร่างกำยำช่วยกันแบกเข้ามาถึงแปดคน

        ร่างอรชรในชุดสไบสีม่วงอมชมพูและเครื่องทองสีสุกปลั่ง ผมยาวดำขลับถูกรวบตึงทรงโซงโขดงครอบรัดเกล้าเดินตามเข้ามาพร้อมผู้เป็นแม่ ตามด้วยพระขนิษฐาในขุนหลวงซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ท่วงท่าการเคลื่อนไหวงดงามด้วยกิริยามารยาทไม่ผิดจากหญิงชาววังสะกดว่าที่เมียจนละสายตาไม่ออก

        "แม่การะเกด" คุณหญิงจำปาเห็นหลานสาวนั่งตาค้างจึงเอ่ยเรียกสติ "พี่ของออเจ้ามาแล้วหนา"

        "จ..เจ้าค่ะ" เด็กสาวอมยิ้มนิดๆให้คุณหญิงป้าแล้วหันไปพินิจดูความงดงามของจันทร์วาดตาพราว

        นางฟ้า..สวยประดุจเทพธิดานางฟ้าจนดึงตายั้งใจออกมาไม่ได้ เกศสุรางค์สั่นไหวไปทั้งกายใจ วันนี้แล้วที่เธอจะได้ออกเรือนกับผู้หญิงที่ทั้งสวยและทั้งเป็นคนที่กุมหัวใจของเธอเอาไว้

        คุณหญิงนิ่มเข้าไปนั่งพลับพลาที่จัดเตรียมไว้และจันทร์วาดก็นั่งลงข้างเจ้าสาวตำแหน่งตรงกับมารดาตนเอง

       "ลูกสาวข้าเตรียมสินสอดทองหมั้นมาครบแล้ว เชิญท่านออกญานับเถิดเจ้าค่ะ"

        บ่าวจากเรือนจันทร์วาดเปิดผ้าคลุมหาบออก เผยให้เห็นกองเงินพดด้วงและทองคำมากมาย พวกทาสที่แอบส่องแอบดูจากข้างนอกก็พากันอ้าปากค้างตกตะลึงกับความเยอะและสวยงามของทรัพย์สมบัติเหล่านั้น

       "เห็นทีจักมิเสร็จง่ายหนา" ออกญาโหราธิบดีกล่าวพร้อมเบิกตากว้างด้วยคาดไม่ถึงว่าแม่หญิงตัวน้อยจะสามารถหาของมีมูลค่ามาได้มากขนาดนี้ "นี่ก็สายมากแล้ว พาเจ้าสาวไปเกียมตัวที่เรือนหอเถิด"

       เกศสุรางค์ชำเลืองมองจันทร์วาดด้วยความงงเงิ่น   แต่ก็ดันตัวลุกขึ้นตามนังผินและนังแย้มที่มาจับประคองร่างของเธอ

        "ประเดี๋ยวนับสินสอดเสร็จพี่จักตามไปหนา"

         ทุกอย่างเป็นไปตามพิธีเจ้าสาวและเพื่อนเจ้าสาวถูกส่งตัวไปแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ที่เรือนหอเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมพิธีกราบขอพรผู้ใหญ่และพิธีซัดน้ำ ส่วนเจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวต้องนั่งรอจนนับสินสอดทองหมั้นเสร็จหรือได้เวลาบ่ายแล้วจึงเดินทางไปร่วมพิธีที่เรือนหอ

        เกศสุรางค์กับตองกีมาร์และบ่าวติดตามนั่งเรือสำปั้นมีหลังคาปิดตรงไปยังเรือนหอแล้วจัดแจงแต่งตัวเสียใหม่

        "น..นี่ต้องใส่เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?" ว่าที่เจ้าสาวพิจารณากำไลทองที่เพื่อนสนิทบรรจงใส่ให้ทีละชิ้นๆจนสูงมาแทบถึงข้อศอกก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ

       "กระนี้แหล่ะ ออเจ้าเป็นลูกพระยาแห่งเมืองสองแคว แลผัวของออเจ้าก็ร่ำรวยเป็นหลานของพระนมชั้นเอก จักต้องใส่เครื่องประดับให้มากตามฐานะ"

        "โห.."

         รัดเกล้าทองสุกอันใหญ่ถูกสวมครอบลงบนมวยผมเกล้าสูง ร่างระหงแต่งด้วยผ้าสไบชั้นเลิศสีชมพูคล้องสร้อยสังวาลย์เส้นหนา ไหมมัดหมี่ราคาแพงถูกนุ่งจีบหน้าสีตัดกับผ้าท่อนบน ไม่ว่าจะเข็มขัดกำไลหรือสร้อยคอก็ล้วนแต่เป็นของดีที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเตรียมไว้ให้

        "งามเหลือเกินเจ้าค่ะแม่หญิง" นังปริกขอติดตามมาแทนนังแย้มกระดี้กระด้าใหญ่ จากเคยเกลียดพอเจอความดีและความน่ารักของเกศสุรางค์เข้าไปก็ถึงกับหลงเข้าข้างเอาใจไปเสียทุกเรื่อง "งามปานนี้เจ้าบ่าวคงมิปล่อยออกจากหอนอนแน่เจ้าค่ะ"

       "แม่ปริกก็!" คนโดนแซวหน้าแดงฉ่า "พูดอะไรก็ไม่รู้"

       "จริงอย่างแม่ปริกว่าเจ้าค่ะแม่นาย มิดีฤาเจ้าคะจักได้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง" นังผินพูดเสียงเล็กเสียงน้อยเอียงอายแทนนาย

       คนอยุธยาเขาคงไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงท้องกับผู้หญิงไม่ได้...

       เกศสุรางค์รออย่างใจจดใจจ่อ และด้วยไม่เคยเห็นตัวเองสวยขนาดนี้มาก่อน พอหันส่องคันฉ่องก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เครื่องทรงมีมูลค่ามากทั้งหมดฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคนตระเตรียมไว้ คงหมายความโดยนัยว่า เธอมีค่ามากสำหรับจันทร์วาดมากเพียงใด

       "มาแล้วเจ้าค่ะ!" นังแย้มที่มากับเรือฝ่ายเจ้าบ่าวเดินขึ้นมาถึงห้องเก็บตัว

       "นับเสร็จกันแล้วฤา?" แม่ปริกถามพลางเงยมองแสงท้องฟ้าที่บอกเวลาบ่ายคล้อย

       "ยังเลยแม่ปริกยังมิได้ครึ่งเลยจ่ะ"

       "นี่ก็ ๖๐ บาท(๖ ชั่วโมง)เข้าไปแล้วหนา"

       "จ่ะ เจ้าบ่าวเลยมาก่อน เกรงงานจักช้า"

       "ข้าว่ากลัวได้เข้าหอช้ามากกว่าว่ะนังแย้ม" แม่ปริกพูดเหน็บแซวคู่บ่าวสาวพาให้บ่าวทั้งหลายแลเพื่อนเจ้าสาวต้องหลุดขำ ทำเอาเจ้าสาวของเราหน้าแดงยิ่งกว่าแป้งสีที่ใช้ผัดแก้ม

       "สินสอดมากมายคงนับจนย่ำรุ่งกระมัง" บ่าวร่างอวบพูด "ข้าเริ่มจักริษยาแม่นายแล้วว่ะเอ็ง"

        "แม่ปริก!พี่ผิน พี่แย้ม! พอเลย!" ตอนนี้แทบจะเอาหน้าซุกผืนธรณีหนีที่บ่าวรักทั้งหลายร่วมกันแซวแซะจนทำอะไรไม่ถูก

        ด้านหน้าเรือนหอลูกเล็กเด็กโตจากทางละโว้รวมกันถือเส้นกรองดอกรักเป็นประตูเงินประตูทองยาวเหยียดหลายคู่ตั้งแต่ท่าจอดเรือ เมื่อจันทร์วาดมาถึงก็หยิบห่อใส่เงินสีแดงที่เตรียมไว้จ่ายเป็นค่าผ่านทาง กว่าจะถึงบนเรือนก็ต้องผ่านมาถึงแปดประตู

        ด้านออกญาโหราธิบดีพร้อมลูกเมีย โกษาปานและคุณหญิงนิ่มก็ขึ้นเรือนจากท่าอีกฝั่ง

        "แม่หญิงจันทร์วาดขึ้นเรือนมาแล้วหนาเจ้าคะแม่นาย"

        พิธีการเริ่มขึ้นเมื่อคู่บ่าวสาวอยู่พร้อมกันบนเรือนพร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่

        เกศสุรางค์และจันทร์วาดก้มกราบขอพรจากผู้ใหญ่ ออกญาโหราธิบดีแลดูพระขนิษฐาซึ่งถูกเชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวสีหน้าหน้าจืดเจื่อน ด้วยเคยสั่งไว้ว่าห้ามทำอะไรเอิกเกริก

        "ขอให้ลูกทั้งสองครองคู่กันเป็นไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีแต่ความสุขความเจริญตราบชั่วตลอดชีวิต" คุณหญิงนิ่มกล่าวอวยพรด้วยหน้าอิ่มเอิบ แม้ว่าลึกๆจะไม่เห็นด้วยกับการทำผิดจารีตแต่เมื่อได้เห็นลูกสาวมีความสุขนางก็กล้ำกลืนเอาความรู้สึกทั้งหมดไว้คนเดียว เหลือเพียงภาพความปิติที่แสดงออกมาภายนอก

         หลังจากนั้นก็เริ่มพิธีซัดน้ำโดยมีพระสงฆ์ที่นิมนต์มาคอยพรมน้ำมนต์อวยพรแก่คู่บ่าวสาวและแขกผู้ร่วมงาน เสียงเพลงบรรเลงเอื้อนขาลขับกล่อมเป็นพยานยืนยันความรักของทั้งสอง

         ตกค่ำก็ถึงเวลาอันสมควรที่ผู้ร่วมงานทั้งหลายต้องแยกย้ายกันกลับและส่งคู่รักเข้าหอ...

    -----.(ฉากหลังม่าน).-----

    อันนี้ต้องรบกวนรีดทุกท่าน ติดตามฉากได้ที่ Bio Twitter : @MMahalawalert
        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×