ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #17 : ความหมาย

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 61




    ตอนที่ ๑๖ : ความหมาย (ของคำว่าผัว)


       เสลี่ยงจีนวางลงหน้าประตูใหญ่วังนอกซึ่งเป็นทางเข้าของตำหนักข้างวัดดุสิดาราม เกศสุรางค์กับจันทร์วาดพร้อมบ่าวผู้ติดตามค่อยๆเดินเข้าไปอย่างเงียบๆเพราะเป็นเวลาค่ำมากแล้วแถมเนื้อตัวยังไม่แห้งสนิท ผ้าผ่อนท่อนสไบก็ไม่ใช่ชุดเดิม หากคุณหญิงนิ่มมาเจอเข้ามีหวังโดนสอบสวนยาว

        จันทร์วาดพาเกศสุรางค์ไปยังหอนอนเล็กข้างตำหนักกลาง จัดแจงหาผ้ามาเช็ดผมที่ยังแห้งไม่ดีนัก ถึงจะชื่อว่าเป็นห้องเล็กแต่ก็โอ่โถงใหญ่กว่าหอนอนตามเรือนปกติ การตกแต่งบางส่วนก็เหมือนมีวัฒนธรรมต่างชาติปะปนอยู่ด้วย เกศสุรางค์เข้าสู่โหมดอเลิร์ทสนใจใคร่รู้กับทุกสิ่งในห้อง

        "บร๊ะเจ้า! คุณพี่นี่ไฮโซสุดๆไปเลยนะคะ" ร่างโปร่งกระโดดสะดีดสะดิ้งพร้อมส่งเสียงดัง

        จันทร์วาดแอบเหลือบมองเงียบๆพร้อมยิ้มในหน้า เพราะฟังคำพูดของแม่สาวเมืองสองแควไม่ออกแม้ว่านางจะพยายามทำความเข้าใจสุดความสามารถแล้ว

        "เย็นชา..แล้วนั่นจะไปไหนคะ?" เกศสุรางค์ลอบเบ้ปากใส่คนที่กำลังแต่งตัวใหม่ เธอมองจันทร์วาดเกล้าผมเป็นโซงโขดงสวมรัดเกล้าแถมยังแต่งองค์ทรงเครื่องแบบจัดเต็มทั้งๆที่ใกล้เวลาเข้านอนอย่างไม่เข้าใจ

        "พี่จักไปขับโคลงให้เจ้าคุณย่าฟัง" มือน้อยไม่อยู่นิ่งจัดพวงมาลัยที่กรองไว้แต่ยังสายวางใส่พานทองที่รองด้วยใบตองสด

       "ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ~" แม่แสนซนวิ่งเขย่งเข้าไปใกล้แล้วเอาตัวถูไถกับอีกคนแบบออดอ้อน

       "ไม่ได้.." คิ้วงามขมวดชิดกันกึ่งรำคาญที่ถูกอ้อนขอให้ทำโน่นทำนี่มาทั้งวัน แต่ด้วยเอ็นดูแม่คนดื้อนี้เหลือเกิน ก็จำต้องปรับหน้ากลับมายิ้มให้ด้วยกลัวจะทำร้ายจิตใจ

        "ทำไมล่ะเจ้าคะ ข้าแค่อยากเห็นว่าคุณพี่ทำอะไรบ้างก็แค่นั้นเอง" เกศสุรางค์ทำงอแงเสียงเล็กเสียงน้อยเอาแต่ใจอ้อนผู้เป็นพี่ตะแหง่วๆ

        "ต้องเชื่อฟังพี่หนาออเจ้า" ใกล้เวลาจะต้องหาเจ้าแม่วัดดุสิตเข้าทุกทีจึงทำให้หงุดหงิดไม่น้อยจึงถอนหายใจแรงแสดงความรู้สึกโมโห

        "ค่ะ..คุณแม่ไม่ไปก็ไม่ไปค่ะ!" ตาคมหรี่จ้องแบบหมึนๆ "จะนั่งเสริมสวยรอตรงนี้นะเจ้าคะ" ร่างโปร่งหันหลังนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ทรงยุโรปหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมพูดจาประชดประชัน

        "พูดผิด..พูดใหม่ได้แลหนา" เสียงใสก้มลงกระซิบข้างๆริมหูคนที่หันหลังใส่

        "ว๊าย!?" เกศสุรางค์รู้สึกถึงลมร้อนๆที่กระทบหูพร้อมกับเสียงหวานก็หันควับไปมองทั้งหน้าแดง "น้องพูดอะไรผิดคะ!?"

         กลีบปากงามกระตุกมุมยิ้มแล้วขยับปลายจมูกเข้าสัมผัสแก้มหอมเนียนนุ่มที่แม้จะเพิ่งไปลงน้ำมาแต่ก็ยังมีกลิ่นของแป้งร่ำจางๆ

         "พี่เป็นผัว..มิใช่แม่"

         พูดเสร็จจันทร์วาดยิ้มย่องนัยน์ตาหวานเยิ้มมากกว่าทุกครั้งก่อนเดินออกจากหอนอน ปล่อยให้เด็กสาวนั่งงันงกหงหน้าเซ่อ เกศสุรางค์แก้มแดงหนักจนรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า ความอายบังคับให้เธอต้องกระโดดขึ้นเตียงเอาหน้าซ่อนหลังหมอนแอบยิ้มอยู่คนเดียว

          "คนบ้า..พูดได้ไม่ละอายปากเลยนะยะ"



    ................................................

         ณ ตำหนักใหญ่ซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าแม่วัดดุสิต หญิงสูงอายุนอนทอดเอนกายอิงหมอนอยู่บนเตียงไม้ประดับทองรอหลานสาวอย่างจดจ่อ มีบ่าวหญิงห่มสไบสีเหลืองนวลคอยโบกพัดวีปรณนิบัติ

        "แม่หญิงจันทร์วาดมาหน้าห้องแล้วเจ้าค่ะ" บ่าวหญิงคลานหมอบเข้ามาทูลความ

        "ให้เข้ามา" เสียงแหบพร่าด้วยความชราแต่ยังฟังดูมีอำนาจเอ่ยพลางเหลือบไปทางประตูที่กำลังเปิดออกรับหลานสาวหัวแก้วหัวแหวน

        จันทร์วาดเดินเข้ามาหยุดตรงฉากกั้นญี่ปุ่น แล้วจึงเปลี่ยนเป็นคลานเข่าเข้าหาเมื่อถึงเขตที่ปูพรมลายกรีก ดวงตากลมทอดมองลงต่ำ ในมือยังถือพานใส่มาลัยไว้ระดับอกก่อนจะวางลงถวายแด่เจ้าแม่วัดดุสิตแล้วขยับไปก้มกราบเท้าของท่าน

        "เอาล่ะแม่จันทร์วาด เงยหน้าขึ้นมาแล้วคุยกับย่า" ท่านกล่าวพร้อมยิ้มสรวญ

        "เจ้าค่ะ เจ้าคุณย่า" จันทร์วาดทำตามที่ย่าบอก

        "หลานอายุเท่าใดแล้วหนา?"

        "ตอนนี้สิบแปดแล้วเจ้าค่ะ"

        "น่าเสียดาย ย่าอยากให้หลานอยู่กับย่านานๆแต่อายุสิบแปดเข้าแล้ว..แม่เจ้าคงจะเร่งให้ออกเรือนแล้วซิ"

        จันทร์วาดก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร พลางกวักมือเรียกให้บ่าวส่งกระดานชนวนและดินสอหินมาให้ นางนั่งเหม่ออยู่ครู่หนึ่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ คิดถึงแม่สาวน้อยแสนซนที่ป่านนี้คงนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว ก่อนก้มลงบรรจงเขียนโคลงที่กลั่นออกมาจากใจ

        "แต่งโคลงฤา? ไหนขับให้ย่าฟังซิ"

        "เจ้าค่ะ"

          'ลำนำกลอนก่อนนี้      นางครวญ
           คงไม่เพราะกำสรวญ  ส่งให้
           อารมณ์บ่รัญจวน       ใจเหนื่อย นานวัน
           ขอพี่มาชิดใกล้          กับน้อง คงดี
           เวลานานล่วงล้ำ         ลาลง เสียที
           ดึกดื่นมามึนงง           ไม่แคล้ว
           ฝืนไปไม่นานคง          คออ่อน ตาปรือ
           บอกว่าถึงเวลาแล้ว      อย่าได้ ฝืนเลย'

         เสียงเอื้อนขับโคลงลาโคลงนอนสิ้นสุดลง เจ้าแม่วัดดุสิตอมยิ้มพยักหน้าเบาๆพร้อมเอื้อมมือที่สั่นเทิ้มด้วยชราวัยไปลูบหัวหลานสาวอย่างเมตตา "ขอหลานจงเจริญรุ่งเรือง" ท่านหมายจะขอบน้ำใจที่หลานสาวขยันแต่งโคลงกลอนมาขับให้ฟังทุกคืน

          คำพูดสั้นๆของเจ้าแม่วัดดุสิต ทำให้หญิงสาวมีความสุขยิ่งนัก มือน้อยประนมก้มกราบเท้าของย่าอย่างนอบน้อม

         "หลานกลับหอนอนเถิดหนา"

         จันทร์วาดคลานเข่าถอยหลังออกจากตำหนักก่อนลุกขึ้นยืนเมื่อประตูหอนอนใหญ่ปิดลง

         "ประเดี๋ยวข้าจักกลับหอนอน เหมือน..บุญ ไปเกียมที่นอนให้นังผินแลนังแย้ม คืนนี้แม่หญิงการะเกดจักนอนกับข้า" นายหญิงออกคำสั่งแล้วเดินหลีกไป นังเหมือนและนังบุญหันทำหน้าซีดเจื่อนให้แก่กันก่อนลุกไปทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

         "อีกแล้วฤานี่" นังเหมือนบ่าวที่รับใช้จันทร์วาดมาแต่เด็กเอ่ย

         "เอาหนาพี่เหมือน แม่หญิงทั้งสองไม่นานก็ออกเรือนกันแล้ว"

         "ดังว่าแหล่ะนางบุญ เอ็งก็เกียมตัวให้พร้อมทำความสะอาดเรือนหอเล่า"

         "จ้า หาเรือนหอได้เมื่อใด ข้าก็พร้อมเมื่อนั้นแล"

         หญิงสูงศักดิ์เดินย่ำเท้าเบาๆผ่านแนวทางเดินกว้างที่มีตะเกียงจุดให้แสงสว่างไม่ต่างจากกลางวัน  เมื่อถึงหน้าหอนอน มือน้อยค่อยๆผลักเปิดประตูเบาๆเพราะคิดว่าคนข้างในคงหลับไปแล้ว เกรงว่าเสียงที่ดังเกินจะไปรบกวนการนอน

         ร่างโปร่งสวมชุดนอนเอนนิ่งหันหน้าเข้าผนัง แต่หาได้นอนหลับไม่ เกศสุรางค์ก็แค่แกล้งหลับแล้วเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวของจันทร์วาด

         "หลับแล้วฤาแม่การะเกด" จันทร์วาดแตะที่แขนเรียวเบาๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีการโต้ตอบจึงเดินเหลียวกลับไปเปลี่ยนผ้าสไบและเครื่องทองออกเป็นชุดนอน แล้วนั่งหน้าคันฉ่องแปรงสางผมยาวสลวย

         เกศสุรางค์นอนนิ่งอยู่พักใหญ่ก็เริ่มอึดอัดอยากหันไปมองต้นเสียงกุกๆกักๆเต็มที จึงค่อยๆพลิกตัวหรี่ตาน้อยขึ้นมอง

         "เจ๊ย!?" จันทร์วาดยืนอมยิ้มอยู่ข้างเตียง ทำเกศสุรางค์สะดุ้งด้วยตกใจ "ขุ่นพี่!"

         "ออเจ้าจักแกล้งหลับไปใย" น้ำเสียงใสถามปนหัวเราะในคอ พร้อมหย่อนตัวนั่งที่ขอบเตียงแล้วเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อจะได้มองดูคนที่นอนอยู่ข้างใน

        "เผื่อคุณพี่จะลักหลับข้าไงเจ้าคะ" วงหน้างามขยับเข้าหอมแก้มที่เพิ่งผัดแป้งผสมเมล็ดบานเย็นกลิ่นละมุน มือเรียวพลางจับลูบช่วงแขนของอีกคนไล่ยาวไปจบด้วยการกุมมือทั้งสองข้างไว้ "คุณพี่บอกว่าเป็นผัวก็ต้องรุกตามหน้าที่นะเจ้าคะ"

         "กระเดี๋ยวเหอะ.." ร่างน้อยใช้ศอกกระทุ้งคนข้างหลังเบาๆ แล้วเบือนงุดหน้าที่แดงเรื่อหลบ "พี่มิทำเช่นนั้นดอกแม่การะเกด"

         "ชิ..แบบนี้ต้องเรียกว่าเมียค่ะ" เกศสุรางค์พูดแหย่

        "เมียจักอายุมากกว่าผัวหาสมควรไม่ พี่นี่แลต้องเป็นผัว" คนพูดหันกลับไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาล หน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันแค่คืบ "ออเจ้าเป็นเมียพี่..โอเคนะ?"

        "แหม~โอเคเจ้าค่ะ แม่ม้าน้ำของน้อง" เกศสุรางค์แตะปลายจมูกสัมผัสถูกันไปมา ก่อนจูบลงที่คางกลมมนของอีกฝ่าย

        "หยุดลวนลามพี่ แล้วเข้านอนเถิดหนา" ถึงจะฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็เขินอายอย่างบอกไม่ถูก จันทร์วาดบิดตัวเล็กน้อยเป็นการขออ้อมกอดที่เหนียวเป็นหนวดปลาหมึกยอมปล่อยนาง

        "แบบนี้เรียกจู๋จี๋ค่ะ เปล่าใช่ลวนลามเสียหน่อย" เกศสุรางค์ปล่อยมือจากร่างน้อย "แต่คุณพี่ต้องนอนกอดข้านะเจ้าคะ"

        "มิต้องบอกพี่ก็กอดอยู่นั่นแล" ได้ทีก็ถือโอกาสโอบรัดคนที่อายุน้อยกว่าเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมทิ้งตัวลงบังคับให้นอนตามกัน "อย่าแสนซนกับพี่ให้มากนักสิ"

        "ก็มันเป็นนิสัยน้องนี่เจ้าคะ ถ้าคุณพี่ไม่ให้น้องซนกับคุณพี่ เดี๋ยวน้องจะไปซนกับคนอื่น" เกศสุรางค์กอดซบที่ไหล่ของอีกคน

        "ก้อร่อก้อติกเสียจริง" จันทร์วาดหลับตาพลางกระหยิ่มย่องในหน้า

        "คืออะไรคะ?"

        "เจ้าชู้" คำหวานพึมพำเนิบนาบชวนหลงใหล

        "ข้าเปล่าเจ้าชู้นะเจ้าคะ ข้าแค่พูดไปอย่างนั้นเอง" เด็กสาวอมลมแก้มป่อง ก็ไม่ได้เจ้าชู้แค่กะล่อนนิดหน่อย เกศสุรางค์เหลือบดูดวงหน้ารูปไข่หลับใหลจิ้มลิ้มก็อดใจขยับเข้าไปหอมไม่ได้

        "ฝันดีนะเจ้าคะแม่ม้าน้ำของน้อง"

        กระแสความรักความอบอุ่นไหลวนอยู่ในใจ ทั้งสองหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราของค่ำคืนอันยาวนาน

    ............................................



         วันรุ่งขึ้น ณ ฝั่งตะวันตกของเรือนหลวงรับราชทูตซึ่งเป็นส่วนบ้านพักของออกหลวงสุรสาครและภรรยา นางตองกีมาร์กับบ่าวในเรือนตั้งกระทะทองเหลืองเคี่ยวน้ำเชื่อมและผสมไข่เป็ดแดงกับแป้งสาลีแลน้ำตาลเตรียมทำขนมไว้รับแขก

         "แม่มะลิ..เอ่อ แหม่มตองกีมาร์อยู่ฤาไม่?" แขกที่เพิ่งลงจากเสลี่ยงถามหญิงฝะรังคีที่ยืนอยู่หน้าเรือน

         "ทางนี้เจ้าค่ะ" คลาร่าเด็กสาวในอุปการะของมารีคอยยืนรอต้อนรับอยู่แล้วผายมือเข้าข้างในกำลังจะพาเข้าไปแต่ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นหญิงสูงศักดิ์อีกคนที่ตามมาด้วย "แม่หญิงจันทร์วาดใช่ฤาเจ้าคะ?"

        "ใช่ๆ ข้าพามาด้วยน่ะ" เกศสุรางค์ตอบหน้ายิ้ม

       "ข้าเคยได้ยินเขาร่ำลือกันว่าหลานสาวเจ้าแม่วัดดุสิตรูปงามนัก..ได้เห็นแล้วก็จริงดังว่า" กล่าวเสร็จคลาร่าโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วเดินนำสองหญิงเข้าไปในเรือนที่ใหญ่พอๆกับตำหนักข้างวัดดุสิดาราม

       บ้านวิชาเยนทร์ฝั่งตะวันตก..ที่อาศัยของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์และมารี กีมาร์ แล้วยังมีฝั่งกลางและตะวันออกสำหรับรับราชทูต..นอนตายตาหลับแล้วเกศสุรางค์!

        "แม่การะเกด!" มารีในชุดสไบเฉียงลุกขึ้นต้อนรับทันที "พอดีเลย ข้ากำลังทำขนมไว้รอออเจ้า"

        เกศสุรางค์เห็นบรรดาขนมสีเหลืองทองที่ทำจากไข่เป็ดวางเรียงราย บางส่วนยังคงอยู่ในขั้นตอนการปรุง เป็นแพบ้างกลมบ้างและเป็นแผ่นกลมๆบ้างและมีบางส่วนถูกจีบไว้ในถ้วย ซึ่งตอนนี้ขนมเหล่านั้ายังไม่มีชื่อเรียกแต่เธอรู้ดีว่ามันคืออะไร

        "แม่หญิงจันทร์วาดก็มาด้วยฤา? ดีใจจริงๆ" มารียินดีที่มีแขกมาเพิ่มอีกคนเพราะอยากแสดงฝีมืการทำขนมให้คนหลายๆผู้ได้กิน

        จันทร์วาดพยักหน้าตอบตามมารยาททั้งสงวนทีท่าให้ดูเป็นผู้ดีกุลสตรีเรียบร้อย ก่อนหลุบตาลงมองขนมที่แปลกตาไม่เคยเห็น

       "แม่มะลินั่นขนมอะไรเหรอ?" เกศสุรางค์รู้อยู่แก่ใจแต่ก็แกล้งถาม

       "ข้ายังมิได้ตั้งชื่อ.." มารีเอื้อมไปจับมือเกศสุรางค์พร้อมกะลิ้มกะเหลี่ยอยู่ในที "ออเจ้าช่วยข้าตั้งนะแม่การะเกด"

        ร่างน้อยหูผึ่งเบนความสนใจออกจากขนมไข่เป็ดพวกนั้นมาทางเจ้าเรือน เห็นว่าเขากำลังจับมือกันก็ตาเบิกโพลงขมวดคิ้วชนกันโดยอัตโนมัติ

         "ได้สิจ๊ะ..ไม่เห็นต้องทำหน้าอ้อนขนาดนั้นเลย ข้าน่ะเต็มใจช่วยแม่มะลิอยู่แล้ว" มือเรียวที่สวมแหวนทองวงใหญ่จับมือตอบ "คุณพี่จันทร์วาดก็มา...อูย.."

       เกศสุรางค์รีบเชือนหน้ากลับมาทางนางตองกีมาร์เพราะทนมองออร่าความอำมหิตคงของคนขี้หึงไม่ได้ "โกรธใหญ่แล้วล่ะ.." ปากเรียวยิ้มแห้งๆบอกด้วยน้ำเสียงจืดเจื่อน ก่อนค่อยๆปล่อยมือออกจากสาวลูกครึ่ง

        มารีเห็นดังนั้นก็นิ่งสนิทพิจารณาดูอาการหญิงสูงศักดิ์ที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่สักพัก แล้วเดินเข้าหาพร้อมรอยยิ้ม "แม่หญิงจันทร์วาดสนใจมาร่วมทำแลตั้งชื่อขนมด้วยกันฤา? ได้ยินว่าออเจ้าเก่งเรื่องงานบ้านงานเรือนนัก" ตองกีมาร์คว้าจับมือน้อยด้วยไมตรี หวังจะสานสัมพันธ์ให้สนิทกันมากขึ้น

       "ออเจ้าก็กล่าวชมข้ามากไปแหม่มตองกีมาร์" จันทร์วาดคิดว่าอย่างไรเสียมารีก็เป็นเพื่อนสนิทกับว่าที่ภรรยา จึงมอบไมตรีตอบอยู่ในหน้า "ออเจ้าเป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้นวิเสททำงานรับใช้ราชสำนัก ข้ามิเทียมเทียบดอกหนา"

        หลังจากที่ลุ้นจนเหงื่อตกกลัวว่าจันทร์วาดจะแผลงฤทธิ์ใส่มารี เกศสุรางค์ก็โล่งอกที่เห็นทั้งคู่ดูจะเข้ากันได้ ก่อนมารีจะนั่งลงบนโต๊ะเตรียมขนมพร้อมกับแขกผู้มาเยือน

        ภารกิจตั้งชื่อขนมหวานผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง ยังไม่รวมพวกสัมปันนีกับทองม้วนที่นางทำให้แขกทานจนอิ่มกินข้าวมื้อหลักกันไม่ไหว

        "โอย..อิ่มท้องจะแตก" แม่จอมแก่นยืนแอ่นโย้เป็นคนท้องด้วยอึดอัดไส้อึดอัดพุง และยังแอบอมลมปิดปากเรออิ่มจนหูอื้อ

        "มิงาม.." จันทร์วาดก้มลงกระซิบใกล้ๆ

        "อย่าจู้จี้เลยค่ะคุณพี่ แม่มะลิน่ะคนกันเอง" ตาเรียวคมตวัดมองค้อน "เนอะ!แม่มะลิ"

        มารียิ้มพรายเป็นคำตอบ แลสั่งบ่าวทาสให้ฝากสำรับขนมหวานไปถวายแก่เจ้าแม่วัดดุสิต "ขนมเหล่านี้ข้าฝากแม่หญิงจันทร์วาดนำไปให้เจ้าคุณย่าของออเจ้าด้วยหนา"

        "ท่านคงชอบใจยิ่ง เจ้าคุณป้ากล่าวชมรสมือออเจ้ามิเคยขาดปาก"

        "ข้ายินดีหนาแม่หญิงจันทร์วาด"

        "บุญ..เหมือน ยกสำรับกลับด้วย"

        "เจ้าค่ะ"

        "แหม~คุยกันสนุกเลยนะเจ้าคะ" เกศสุรางค์หรี่ตามองจันทร์วาดที่ยอมเปิดใจรับมารีเป็นเพื่อน

        "ไม่ดีฤา?" จันทร์วาดถาม

        "ดีสิคะ.." เด็กสาวฉอเลาะแฟนตัวเองใหญ่ "แม่มะลิข้ากลับแล้วนะ"

        "จ่ะ..แล้วออเจ้าทั้งสองจักออกเรือนเมื่อใดฤา?" มารีถามขึ้น จันทร์วาดที่กำลังจะมุดเข้าเสลี่ยงต้องหันควับกลับมามองหน้าตื่น

        "อีกเจ็ดเดือนจ้า" เกศสุรางค์ยิ้มแฉ่ง "มาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้หน่อยนะแม่มะลิ"

        "ข้ายินดียิ่งนัก..ขอให้ออเจ้าทั้งสองมีความเกษมในชีวิตมากๆหนา"

       "แหม..ไว้อวยพรวันแต่งดีกว่าน่า"

       "แม่การะเกด..ได้เพลาออเจ้าต้องกลับอยุธยาแล้วหนา" จันทร์วาดเอ่ยเสียงเข้ม

        "แฟนดุแล้ว..กลับก่อนนะแม่มะลิ"

        บอกลาสาวฝะรังคีเสร็จสรรพ จันทร์วาดก็อาสามาส่งเกศสุรางค์ถึงท่าจอด ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา พวกนางบอกลากันฉันท์เพื่อน

        เกศสุรางค์เห็นว่านี่ก็บ่ายคล้อยแล้วจึงเตรียมร่มขึ้นมากาง นังผินและนังแย้มก็เร่งฝีพายใหญ่เพราะหากกลับค่ำๆมืดๆก็จะพาลโดนเอ็ด

        พอถึงเรือนออกญาโหราธิบดีก็เห็นบ่าวทาสเริ่มจุดไต้รอบเรือนแล้ว แม่หญิงเร่งเดินขึ้นเรือนใหญ่ที่ต่อพ่วงไปยังเรือนน้อยแต่ก็หยุดชะงักลงเมื่อเห็นขุนศรีวิสารวาจาถือสมุดข่อยหน้าตาพิกลนั่งคุยกับผู้เป็นพ่อ

        "สมุดอะไรน่ะ.." ตาคมหรี่มองเพื่อให้เห็นได้ชัดขึ้น "หนังสือที่ทำงานคุณพี่ขุนงั้นเหรอ"

        "ออเจ้าจักเอาหนังสือมนต์กฤษณกาลีไปทำสิ่งใดพ่อเดช?" ออกญาโหราธิบดีถาม

         "ลูกจะนำไปฝังเก็บขอรับ"

         "ด้วยเหตุอันใด?"

         "ลูกเห็นแม่การะเกดชอบอ่านหนังสือนัก บางคราแอบเข้าหอนอนลูกยามลูกไม่อยู่เพื่ออ่านบันทึก" ขุนศรีวิสารวาจาประนมมือกล่าว "แต่หากนางพบกับมนต์กฤษณกาลีเข้า ลูกเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อนาง"

        เธอแอบฟังจนจบก็สนใจใคร่รู้ "อยากดูจัง.." เกศสุรางค์แอบตามขุนศรีวิสารวาจาลงไปถึงในป่า โดยมีสองบ่าวติดตามไปอย่างไม่เต็มใจ

        "แม่นาย..ไม่เอาเจ้าค่ะ!" น้ำเสียงกังวลของนังผินปรามแม่นายอย่างเป็นห่วง "นี่ก็จักค่ำแล้ว งูเงี้ยวเกี้ยวขอมันเยอะหนาเจ้าคะ"

        "เงียบๆพี่ผิน..พี่แย้มก็ด้วย" คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันมองขู่นังแย้มที่กำลังอ้าปากจะพูดรวมถึงนังผิน ก่อนหันกลับไปด้อมมองขุนศรีวิสารวาจาขุดหลุมเล็กๆพอใส่หีบขนาดย่อมก่อนกลบฝังแล้วตบหน้าดินให้แน่นพร้อมเอาเศษไม้ใบหญ้ามสกลบไว้

        เกศสุรางค์ถอยหลบเข้าไปในเงามืดเมื่อชายหนุ่มเดินวกกลับเรือน พอสบโอกาสก็ย่องเบาเข้าไปขุดตามรอยเดิม

        "แม่นายเจ้าขา บ่าวขอล่ะเจ้าค่ะ" นางแย้มกระตุกชายผ้าสไบยาวเบาๆ

       "พี่แย้มเงียบ! เสียสมาธิหมด"

        "จ..เจ้าค่ะ!" บ่าวขยาดกับใบหน้าที่ดูดุนั้นเพราะจดจำฤทธิ์เดชแม่นายได้มิลืม

       ตาเรียวเบิกโตเมื่อฝาหีบเปิดออก เผยให้เห็นสมุดข่อยลักษณะขลังมีอาคม แต่เพียงเอื้อมมือไปแตะเกศสุรางค์ก็รู้สึกถึงแรงผลักบางอย่างที่หนักหน่วงยิ่งกว่าแรงรถชนเสียอีก

       รู้ตัวอีกทีเธอก็ยืนมองร่างของการะเกดนอนนิ่งจับมนต์กฤษณกาลีอยู่บนพื้น เธอสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนตั้งสติได้แล้วเอ่ยเรียกบ่าวที่หน้าตั้งโผเข้ามาพยายามปลุกร่างที่แน่นิ่ง

       "พี่ผิน!พี่แย้ม! ข้าอยู่นี่ไงไม่เห็นเหรอ?"

       ไร้เสียงตอบรับ นังผินนังแย้มตะโกนขอความช่วยเหลือจนทาสทั้งเรือนรวมถึงเจ้านายทุกคนต่างก็พากันตรงมายังจุดที่กายเย็นนั้นนอนอยู่

        "เกิดอันใดขึ้น!?" ขุนศรีวิสารวาจาเห็นเข้าก็หน้าถอดสี เขาเห็นสมุดข่อยที่ถูกขุดขึ้นมาอยู่ในมือของเด็กสาวก็ยิ่งหน้าเสียหนัก

        "บ..บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!" นังผินน้ำตาตกประคองศีรษะแม่หญิงขึ้นหนุนตักมิให้ต้องเกลือกอยู่บนดิน

         มือกร้านงานของสองบ่าวจับเขย่าร่างแม่นายอย่างมีความหวังว่าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบบ้าง แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งหมดหวังเพราะร่างนั้นยังคงแน่นิ่ง

        "พี่ผิน! พี่แย้ม! จะร้องไห้ทำไมข้าอยู่นี่ไง"

        "พวกมันไม่ได้ยินหรอก"

        เสียงพูดยานคางกังวาลชวนขนลุก จู่ๆก็มีลมเย็นหอบพัดมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ทั้งดวงจิตของเกศสุรางค์และกลุ่มคนมุงต่างพากันขนลุกขนพองไปตามกัน

        "การะเกด! นี่เธอจะมาทวงร่างเธอคืนเหรอ?" เกศสุรางค์ถอยห่างออกจากวิญญาณการะเกดที่มาในสภาพซีดเผือดอย่างหวาดๆ

       "หาได้ไม่ ข้าหมดบุญแล้วหนาพี่เกศสุรางค์"

       "ล..แล้วตอนที่เธอเข้าร่างมา...พี่จันทร์วาดล่ะ?"

        "นั่นพี่มิใช่ข้า"

        "ไม่ต้องมามุสาพูดเลยนะยะ!"

        "นั่นล้วนเป็นความปรารถนาในใจพี่ หากพี่มิยอมข้าก็มิอาจทำได้ดอกหนา"

        "หยุดๆ..เลิกพูดเรื่องนี้..เธอมาทำอะไรที่นี่การะเกด?" เกศสุรางค์พูดในน้ำเสียงที่อ่อนผ่อนคลายลง

        "ข้ามาลา" การะเกดตอบสั้นๆแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม

        "ธ..เธอจะไปไหนเหรอ?" เกศสุรางค์เดินเข้าใกล้พร้อมคว้ามือของการะเกดมาจับไว้ "ที่ว่าจะมาลาน่ะ"

        "ข้าก็ต้องไปตามวิบากของข้าแลหนา" ดวงจิตเคยดุร้ายดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด "พี่ทำให้แม่หญิงการะเกดเป็นคนดี..เป็นที่รักของคนทุกผู้ ข้าขอบน้ำใจพี่มาก"

       "แล้วฉันจะกลับคืนร่างได้มั้ย?"

       "ข้าต้องไปแล้ว..ดูแลคุณพี่จันทร์วาดให้จงดี"

       "อ้าว! เดี๋ยวก่อนสิ!?" การะเกดเลือนหายไปต่อหน้า ปล่อยให้เกศสุรางค์ต้องงุนงงหลงทางกับเรื่องเหนือธรรมชาติ แม้นจะพยายามแค่ไหนเธอก็กลับเข้าร่างไม่ได้

       "ไม่นะ..นี่ฉันตายแล้วจริงๆเหรอเนี่ย"

        ดวงตาเรียวคมมีน้ำเนตรเอ่อคลอเมื่อคิดถึงคนรัก อีกไม่กี่เดือนเธอก็กำลังจะออกเรือนกับจันทร์วาด เกศสุรางค์หลงทางและแรมรอนในขณะที่ร่างของเธอถูกอุ้มขึ้นเรือนใหญ่ไป

    ......................................................



      ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว..เวลาเช้าตรู่ในกรุงเทพมหานคร คุณยายนวลและคุณสิปางยืนรอใส่บาตรกันด้วยอาการโศกเศร้า คนเป็นแม่ปาดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อคิดถึงภาพเด็กสาวร่างอวบแสนร่าเริง

       พอพระสงฆ์เดินมาหยุดเปิดบาตรตรงหน้าคุณสิปางประนมมือไหว้อย่างเคารพก่อนตักข้าวและวางกับข้าวถุงลงในบาตรนั้นอย่างระวัง แล้วถวายดอกบัวสีชมพูปนเขียวอ่อน

        "หลวงพี่เรือง สบายดีนะคะ?"

        "อาตมาสบายดี ขอให้โยมน้าและโยมยายสุขภาพแข็งแรง" กล่าวเสร็จหลวงพี่เรืองที่รู้สึกผิดจนบวชตลอดชีวิตให้กับเพื่อนรักที่จากไปก็ให้ศีลให้พรแก่ครอบครัวคุณสิปาง ก่อนหันเดินรับบิณฑบาตต่อไป

       คุณยายนวลจับโถกรวดน้ำด้วยมือที่สั่นเทิ้มจากอายุมาก ใจระลึกถึงหลานสาวที่จากไปทั้งน้ำตาตกไหลอยู่ในอก

       "ยายจ๋า..แม่จ๋า.." ด้วยแรงบุญนั้นดึงดวงจิตของเกศสุรางค์ให้กลับมาในยุคปัจจุบัน เธอยืนมองแม่และยายห่วงหาอาลัยเธอแต่ก็ทพอะไรไม่ได้ "แม่..ยายได้ยินหนูมั้ย?"

        คุณสิปางประคองหญิงชราเดินเข้าบ้าน และมแม่บ้านคอยเก็บหม้อชามรามไหตามเข้าไป

       เกศสุรางค์ล่องลอยเหม่อดูแม่และยายในบรรยากาศที่โศกเศร้าอย่างไม่มีสิ้นสุด แต่ก็ดีเหมือนกันที่ได้มาเห็นหน้า เธอจึงเอาแต่ยืนและยืนอยู่แบบนั้น

        กริ๊ง~

        เสียงกดออดหน้าบ้านดังขึ้นในช่วงสาย คุณสิปางวานให้แม่บ้านไปเปิดประตูดูว่าแขกที่มาเยือนนั้นเป็นใคร

       "อ้าว?คุณเดือน โห~เปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ"

        "หนูเดือนมางั้นเหรอ?" สิปางเดินดุ่มๆรีบไปรับทันที

        "ยัยเดือน? ยัยหมูอ้วนที่แข่งลดหุ่นกับฉันนี่" เกศสุรางค์ยิ้มตุ่ย เมื่อนึกย้อนไปถึงสมัยที่เรียนมหาลัย นอกจากเรืองฤทธิ์แล้วเธอก็มีเดือนนี่แหล่ะที่เป็นทั้งเพื่อนซี๊ เพื่อนตายและสหายกิน "ไม่ได้เจอตั้งเป็นปี..ป่านนี้จะอ้วนจนต้องกลิ้งเอาเลยรึเปล่าเนี่ย"

        บ้านเดือนทำธุรกิจรับซื้อของเก่าของโบราณหายาก บ้านของเดือนจึงเป็นที่โปรดปรานของเด็กเรียนประวัติศาสตร์อย่างเกศสุรางค์มาก

        "สวัสดีค่ะคุณแม่สิปาง สวัสดีค่ะคุณยายนวล"



        เพียงเห็นหญิงสาวเดินเข้ามา ดวงจิตแรมรอนนั้นก็อึ้งสนิท เพราะยัยหมูอ้วนที่เธอว่าไดเอทจนหุ่นเฟิร์มอย่างกับนางแบบอินเตอร์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกศสุรางค์ตกใจหรอกนะ

        "คุณพี่จันทร์วาด!?"

         เดือนมีหน้าตาเหมือนกับจันทร์วาดลูกสาวออกญาโกษาธิบดีเหล็กไม่มีผิดเพี้ยน..

       "เสียใจด้วยนะคะ" เดือนก้มหน้ากล่าวเสียงเครือ "หนูขอไปหาเกศได้มั้ยคะ?"

        "ได้สิหนูเดือนทางนี้จ่ะ" สิปางเดินนำเพื่อนของลูกสาวเข้าไปในห้องที่วางกรอบรูปสีเทาดำ "เดี๋ยวแม่ไปดูแลคุณยายก่อนนะลูก"

         เดือนพยักหน้าตอบแล้วหันกลับมามองที่รูปของเพื่อนรัก พลางหยิบกล่องเก่าๆใบหนึ่งออกมาวางต่อหน้าภาพถ่ายนั้น

        "เฮ้..นี่ยัยเกศ แกจำได้มั้ยวะที่แกบอกว่าถ้าแกลดหุ่นได้ไม่ทันฉัน แกจะบอกความลับสุดยอดกับฉัน"

        "จำได้สิ..ฉันจำได้" ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน แต่ก็ตอบออกไปเพียงเพื่อบรรเทาความห่วงหาอาทร

        "ฉันชนะแล้วนะ..ไม่คิดจะบอกอะไรกับฉันหน่อยเหรอวะ" เดือนเอ่ยทั้งน้ำตาพลางเปิดหีบ "เห็นว่าแกชอบของโบราณ พ่อฉันไปได้นี่มา..ฉันเอามาให้แกนะ"

        ปิ่นปักผมทองสุกประดับพลอย จะบังเอิญเกินไปรึเปล่าที่มีลักษณะเหมือนปิ่นที่เธอมอบให้จันทร์วาดในสมัยสามร้อยกว่าปีก่อน

        "คุณพี่.."

        "เกศ..ฉันมีเรื่องในใจจะบอกแก" เดือนพยายามฝืนกลืนน้ำตา แต่มันก็ยังไหลอาบนองหน้าสุดจะห้ามได้ "ฉันรักแก..ฉันแอบรักแกมานานแล้วนะ..แกว่าฉันบ้ามั้ยล่ะที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน"

        "ฉันรู้..เดือน..ฉันรู้..คุณพี่จันทร์วาด"

        เกศสุรางค์คุกเข่าลงใกล้ๆร่างน้อยสะอึกสะอื้น มือเรียวที่มิใช่เนื้อกายเอื้อมหมายจะสัมผัสปลอบใจ แต่ก็หลุดวืดผ่านไปด้วยอยู่คนละมิติเพียงแต่เป็นภพที่ทับซ้อนกัน ดวงจิตเป็นมโนซึ่งละเอียดเกินกว่าจะจับต้องกายหยาบได้

       คะนึงคิดจิตลงคอยล่องลอยหาย
       จักสลายสรรพสิ้นเสียฤาหนอ
       ไป่หนทางไร้ถนนแรงไม่พอ
       ฉันใดหนอจึ่งจะกลับไปพบพาน

       "แม่เกศสุรางค์!"

        หลังจากที่จิตหลุดลอยเบาละล่องไร้จุดหมาย เกศสุรางค์ก็รู้สึกถึงกายหนัก ท้องของเธอร้องด้วยความหิวอีกครั้ง สติเริ่มถูกดึงกลับเพราะเสียงที่ไม่รู้ว่าพร่ำเรียกมานานเพียงใดแล้ว

        หนังตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออก สิ่งแรกที่เห็นคือดวงหน้างามดูเศร้าสร้อยรอคอยที่จ้องดูมายังตัวเธออย่างดีใจที่เห็นการตอบสนองเป็นครั้งแรกในช่วงหลายวัน

        "ออเจ้าฟื้นแล้ว..แม่เกศสุรางค์!"

        "โอย..การะเกดค่ะ" ถึงจะมึนๆแต่ก็มีสติพอจะพูดโต้ตอบได้

        "พี่คิดว่าออเจ้าจักมิกลับมาหาพี่เสียแล้ว" จันทร์วาดนั่งรอคอยเฝ้าคนรักมาตลอดสามวันเต็ม นางกังวลเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับด้วยใจหาย ดูจากเปลือกตาและหนังตาที่ปูดบวมกว่าปกติก็พอรู้ว่าผ่านทั้งการอดนอนและร้องไห้มา "ใยจึงนอนนิ่งเนิ่นนานกระนี้..ใจพี่แรมรอนแทบจักฉีกออกเป็นชิ้นๆแล้วหนา"

         'เวอร์น่ะ' เกศสุรางค์แอบคิด แต่ก็ดีใจที่ได้กลับมา

       "ต้องกลับสิคะ..สินสอดตั้งแพงต้องได้นับก่อนตายค่ะ" ร่างอ่อนแรงดันตัวลุกขึ้นช้าๆจันทร์วาดเห็นดังนั้นก็ช่วยประคอง

       "ทำเป็นพูดเล่นไปโน่น" จันทร์วาดจับตามเนื้อตามตัวเกศสุรางค์ส่องหน้าส่องหลังสำรวจดูทุกกระเบียด "เป็นอย่างไรแล้วหนอออเจ้า?"

       "น้องโอเคแล้วเจ้าค่ะแค่หิวนิดหน่อย..แต่คุณพี่นั่นแหล่ะค่ะที่ไม่โอเค" เด็กสาวอมกลั้นขำไว้ในปากพลางเอื้อมมือจับเรียวหน้าซีดโทรมด้วยใจอาดูร "ไปนอนพักได้แล้วเจ้าค่ะ"

        "ประเดี๋ยวพี่จักไปบอกนังผินแลนังแย้มให้จัดสำรับมาให้.."

        "ไม่ต้องเจ้าค่ะ" อีกฝ่ายกำลังจะลุกเดินมือเรียวก็พลันคว้าดึงไว้ก่อน "น้องอยากให้คุณพี่อยู่กับน้องตรงนี้มากกว่า"

        "ออเจ้านี่หนา งอแงเอาแต่ใจไม่เข้าเรื่อง ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งสามวันสามคืนต้องกินอะไรบ้าง"

        เกศสุรางค์รู้สึกโล่งอกปานว่ายกลูกภูเขาออก เมื่อตื่นมาเห็นจันทร์วาดคนเดิมที่ยังคงเป็นห่วงจู้จี้เธอเหมือนก่อน

        "ทำตัวเป็นแม่อีกและ.." เกศสุรางค์จำต้องปล่อยคนหน้าดุไปตามบ่าวทาส

        ก่อนหน้านี้จันทร์วาดขออนุญาตจากเจ้าแม่วัดดุสิตเพื่อมาดูแลเกศสุรางค์ เห็นว่าเป็นเพื่อนรักของหลานจึงปล่อยมาโดยไม่ว่าอะไร

        ร่างน้อยห่มสไบสีม่วงซึ่งแทบจะเป็นสีประจำตัวเดินผึ่งผายตรงไปยังโรงครัวเรือนน้อยที่นังผินและนังแย้มกำลังช่วยกันต้มน้ำและยาสมุนไพร

        นังแย้มเห็นแม่หญิงสูงศักดิ์เดินมาแต่ไกลก็ปรี่เข้าหาด้วยความหวังว่าแม่นายตนอาจจะฟื้นคืนมาแล้ว แต่อีกใจก็แอบหวั่นว่าจะเป็นข่าวร้าย "แม่นายเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ!?"

        "แม่นายของเอ็งฟื้นแล้วหนานังแย้ม ไปบอกบ่าวสหายของเอ็งให้เกียมกับข้าวแลน้ำท่า เร่งไปช่วยกันดูแล ประเดี๋ยวข้าจักไปแจ้งแก่พวกออกญาท่าน"

        "เจ้าค่ะ!" บ่าวร่างผอมสาวเท้าเร็วกลับเข้าครัวอย่างดีอกดีใจ "นังผิน! แม่นายฟื้นแล้ว รีบนำกับข้าวกับปลาแลยาต้มไปให้แม่นายเถิด"

        "งั้นฤา!?..แล้วแม่นายเป็นอย่างไรบ้าง?" นังผินมีอาการเดียวกับนังแย้มเมื่อครู่แล้วถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนดีใจ

       "ข้าก็ไม่รู้เอ็งเงียบปากแล้วเร่งมือเข้า!" นังแย้มยกน้ำต้มใบเตยหวานกับยาต้มนำไปก่อน ฝ่ายบ่าวร่างอวบก็จัดแจงเตรียมสำรับอย่างเร่งรีบ

        คนในเรือนรู้ว่าเกศสุรางค์ฟื้นก็พากันไปรวมตัวที่เรือนใหญ่กันทั้งนายทั้งบ่าว

        "แม่การะเกดเป็นอย่างไรบ้าง?" คุณหญิงจำปาห่วงหลานมากจนใจแป้วหน้าเจื่อน

        "ดีแล้วเจ้าค่ะ"

        ขุนศรีวิสารวาจาคิดว่าไม่พูดเรื่องสมุดข่อยน่าจะดีกว่า ยิ่งเห็นจันทร์วาดนั่งเคียงกับหญิงที่เขารักก็แทบไม่กล้าเชือนตามองเพราะกลัวหัวใจจะรับแรงบีบจนทนไม่ไหว

        เกศสุรางค์รับกับข้าวและยาจนเสร็จสรรพผู้คนทั้งหลายต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ จันทร์วาดและนังผินนังแย้มช่วยกันประคองคนเกือบป่วยเข้าหอนอน ก่อนร่างโปร่งจะทอดกายบนเตียงอย่างอ่อนแรง

        "แม่นายไหวฤาไม่เจ้าคะ?" นังผินถาม

        "ไหวจ่ะ.." นายหญิงยิ้มแห้งๆ "คุณพี่มาดูแลข้าแบบนี้เจ้าแม่วัดดุสิตไม่ว่าเอาเหรอคะ?"

        "ท่านอนุญาตแล้ว..แลยังบอกแก่พี่ว่าให้ดูแลออเจ้าให้หายดีเสียก่อนด้วย"

        "งั้น..น้องจะแกล้งป่วยตลอดเจ็ดเดือน..ให้คุณพี่อยู่เป็นเพื่อนน้องจนถึงวันแต่งเลยดีมั้ยเจ้าคะ?" เพิ่งฟื้นก็แผลงฤทธิ์ซุกซนเย้าแหย่จนจันทร์วาดขมวดคิ้วผูกกันยู่

        "บาปกรรม"

        "แต่น้องรู้น๊า ว่าคุณพี่ก็อยากอยู่กับน้องนานๆเหมือนกัน" เกศสุรางค์ดีดตัวขึ้นนั่งแล้วยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆกับอีกฝ่าย

        "พี่อยากอยู่กับน้องตลอดไปเลยหนา" จันทร์วาดเริ่มไม่อยู่นิ่งมืออุ่นโอบกอดรอบเอวคอดกิ่วตอบรับคำพูดยียวนชวนให้เอ็นดู "แลตอนนี้พี่ก็อยากจูบออเจ้ายิ่งนัก" ตาหวานหว่านสเน่ห์ออดอ้อนพร้อมมือน้อยจับเชยคาง โดยลืมไปเลยว่ายังมีบ่าวของเกศสุรางค์ และบ่าวของนางที่นั่งรออยู่หน้าหอนอน

        "คุณพี่~คนออกเยอะแยะ ทำตัวเป็นฝรั่งไปได้"

        "ได้ยินแล้วก็ออกไปเสียซิ" จันทร์วาดเอ่ยพลางเหลือบจ้องนังผินและนังแย้มที่นั่งงุดหน้าตัวแข็ง "นังผิน..นังแย้ม"

        สองบ่าวได้ยินก็ก้มหน้าคลานถอยด้วยกลัวน้ำเสียงกึ่งขู่ๆนั้น

       "แลปิดประตูหอนอนด้วย"

       "งื้อ!?" เพิ่งฟื้นจากการนอนเป็นผักไปสามวัน ได้ยินดังนั้นก็พลันเสียววูบไปทั้งตัว เกศสุรางค์ส่ายนัยน์ตามองคนตรงหน้าตาไม่กระพริบ ทั้งนั่งงันงกในอ้อมกอดอ่อนโยนของเขา "คุณพี่จะทำอะไรเจ้า..ว๊าย!?"

       แก้มขาวสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ จันทร์วาดสูดกลิ่นแป้งร่ำหอมอ่อนๆเข้าจนฉ่ำปอด ก่อนไล้กลีบปากมาประกบจูบอย่างอ่อนละมุน

        "คุณพี่..คุกคามน้องตลอด" ทันใดที่จูบถูกถอนออกเสียงหวานก็บ่นขึ้นมา

        "เขาเรียกจู๋จี๋มิใช่ฤา"

        "แหม~ยอกย้อนนะเจ้าคะ นี่แน่ะ!" มือเรียวทั้งสองข้างตีแก้มของจันทร์วาดอย่างหมั่นไส้ เกศสุรางค์หลงใหลเกินกว่าจะละสายตาออกจากความงดงามตรงหน้า เพราะเป็นทั้งเพื่อนรักในยุคสมัยใหม่และเป็นคนรักที่เธอมอบใจให้อย่างมั่นคง

        "อย่าหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้อีก หากคราหน้าออเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาพี่จักอยู่อย่างไร"

        "พูดดีอยู่หยกๆ บ่นอีกละ" เกศสุรางค์หรี่ตาเบะปาก

        "พี่มิได้บ่นพร่ำเพื่อ พี่พูดจริงจัง หากมิเชื่อฟังล่ะก็..." ตากลมฉายแววเอาจริง

        "จะทำไมเจ้าคะ?" แม่จอมแก่นเคยกลัวอะไรที่ไหน ยิ่งเห็นท่าทีข่มขู่แล้วก็ยิ่งไม่ยอม "คุณพี่จะทำอะไรน้องคะ?"

        "รู้ฤา 'ผัว' หมายความว่ากะไร?"

        "...." เธอเงียบมอง

        "ผู้ที่มีอำนาจเหนือคนที่ชื่อว่าเมีย มีสิทธิในการสั่งสอนตักเตือนแลเมียก็ต้องเชื่อฟังผัวให้จงดี หากออเจ้ามิทำตาม พี่จักใช้อำนาจผัวลงโทษออเจ้า"

        เกศสุรางค์เงียบปากไปสักพักก่อนเอ่ยเถียง "ขู่น้องเหรอคะ?"

        "ไม่ได้ขู่..หากออเจ้ามิเชื่อฟังผัว ผู้เป็นผัวจักโบยออเจ้าก็หาผิดไม่"

        "คุณพี่ไม่กล้าทำหรอกค่ะ หรือถ้ากล้า ข้าก็จะวิ่งหนีไม่ยอมใก้คุณพี่โบย" เถียงแต่ก็แอบหวาด เพราะแววตาของจันทร์วาดดูขึงขังเอาจริง "วันๆก็เห็นแต่หอมน้องจูบน้อง"

        "จองหองนัก ประเดี๋ยวเถิด"

        "ก็จริงนี่คะข้าไม่เชื่อหรอกว่าคุณพี่จะทำ"

        "ไม่เชื่อพี่ฤา?"

        "ไม่เชื่อค่ะ!"

        เกศสุรางค์เถียงคำไม่ตกฟาก จนจันทร์วาดต้องจำยอม นางส่งเด็กสาวแสนซนเข้านอนจนเสร็จสรรพก่อนไปนั่งข้างหน้าต่างครุ่นคิดถึงวันออกเรือนจนใจว้าวุ่น 'อยากแต่งใจจะขาดอยู่แล้ว'

    ((จบตอนที่ ๑๖))

    ก่อนอื่นต้องขออภัยที่อัพช้าเจ้าค่ะ มัวแต่ไปตามติ่งเลดี้ปราง แม่หญิงจันทร์วาด -//////-
    ตอนหน้าก็จะแต่งแล้วหนาาาา ไรท์มีบทพิเศษจักมอบให้รีดทุกผู้ในตอนที่ ๑๗
    อย่างไรติดตามไรท์ได้ในทวิตเตอร์ @MMahalawalert ซึ่งเป็นเรือสำราญขนาดย่อมของ #เกศจันทร์วาด ถถถถถ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×