ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #11 : ทบทวน (ความทรงจำ)

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 61



    ตอนที่ ๑๑ : ทบทวน (ความทรงจำ)

           ณ เรือนออกญาโหราธิบดี เจ้านายทุกคนนั่งประชุมกันด้วยอาการเครียดขรึม โหราธิบดีถือกระดานชะนวนขีดเขียนบางสิ่งหน้าเข้ม ส่วนขุนศรีวิสารวาจา คุณหญิงจำปาและเกศสุรางค์นั่งรอฟังด้วยสีหน้าเดียวกัน

           โหรชายถอนหายใจ คิ้วหนาสีขาวขมวดชิดกันผูกเป็นปมแสดงความเครียดเคร่ง "เฮ่ย..จากที่ตรวจดวงชะตาดูแล้ว..."

            "ว่าอย่างไรรือคะคุณพี่?" แม่จำปาถามอย่างหวั่นใจ

            "เห็นทีจักไม่พ้นเดือนนี้.."

            "ห๊า..!? พุทโถ่.." หญิงร่างอวบกุมอกด้วยสะท้าน "โถ..โกษาเหล็ก"

              เกศสุรางค์หลุบตาอย่างเสียใจ ถึงจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแต่ก็ทำใจยากอยู่ดี ที่จะเห็นใครคนหนึ่งต้องตาย และยิ่งเธอได้มาผูกจิตพันธ์ใจกับลูกสาวของออกญาโกษาธิบดี ก็ยิ่งสะเทือนอกมากนัก

            "ข้าขอตัวนะเจ้าคะ" มือเรียวประนมไหว้ผู้ใหญ่ด้วยหน้าหมอง ก่อนเดินเข่าออกจากวงประชุมไป

            "น่าสงสารนางหนาขอรับ" ขุนศรีวิสารวาจาเหลียวตามร่างโปร่งที่เดินคอตกไปอย่างเห็นใจ "นางหมั่นไปเยี่ยมคุณลุงเหล็กมิเคยขาด ได้ยินเช่นนี้คงเสียใจมิใช่น้อย"

            "แม่เข้าใจ แม่ก็สงสารทั้งหนูจันทร์วาดกับแม่การะเกดแหล่ะนะ" คุณหญิงจำปาถอนหายใจ "แล้วนั่นก็คงจะไปอีก...แม่เห็นนังผินนังแย้ม เกียมไพลกับสำรับอาหารขึ้นเรือไปโน่น"

            "ปล่อยนางเถิดขอรับ"

            "แม่ก็ไม่เคยเอ่ยปากห้ามหนา"

             เกศสุรางค์ยังคงหมั่นไปเยี่ยมเยียนเรือนออกญาโกษาธิบดี ทั้งเก็บซ่อนความเศร้าในใจที่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จนถึงวันที่เธอกลัวมากที่สุด...

              หากนับจากวันถูกสั่งโบยก็เป็นเดือนที่ ๖ แล้ว นั่นหมายความว่า วันนี้จักเป็นวันสุดท้ายที่ขุนนางชั้นสูง 'ออกญาโกษาธิบดี(เหล็ก)' จักได้เห็นหน้าลูกเมีย เกศสุรางค์นั่งเศร้าคอตกพิงเสาเรือนด้วยอาการเหม่อลอย

            "แม่นาย..." นังแย้มคลานมาจับขาของเด็กสาวที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมรับอาหาร "แม่นายของบ่าวใยจึงเศร้าสร้อยเหลือเกิน" บ่าวร่างผอมเอ่ยทั้งน้ำตา

           "พี่แย้ม คนเรามีพบก็ต้องมีจาก มีเกิดก็ต้องมีตายใช่มั้ยพี่?" เธอถาม มือเรียวพลางเช็ดน้ำตา

          "เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ" มือหยาบบีบคลึงหน้าตักหมายปลอบประโลม

           "แล้วทำไมคนเราต้องตายด้วยล่ะ?"

           "สิ่งใดเกิดมาล้วนมีความดับหายเป็นที่ไปถึง หินที่แข็งยังกร่อนหาย แม่น้ำใหญ่ยังมีวันเหือดแห้ง คนเราก็ย่อมต้องตายในที่สุด" เสียงเข้มทุ้มเอ่ยพร้อมปรากฏชายร่างกำยำสูงหล่อเหลาเดินขึ้นเรือนน้อยมา

            "ท่านขุน!?" นังแย้มรีบหมอบทันที

            "คุณพี่มา..มีธุระอะไรคะ?" เกศสุรางค์เช็ดน้ำตาถามเสียงสะอื้น ตอนนั้นเองนังผินก็ถือพานใส่ดอกพุดกับกุหลาบและเข็มสำหรับกรองมาลัย

             "ออเจ้ามิไปฝนไพลรือ? ข้าเคยเห็นออเจ้าทำทุกวัน" ชายหนุ่มถาม

             "ไม่ค่ะ..วันนี้ข้าคิดว่ากรองมาลัยดีกว่า" ว่าแล้วมือเรียวก็บรรจงเสียบดอกพุดใส่เข็มทั้งดวงหน้าที่เศร้าสร้อย ขุนศรีวิสารวาจาเห็นดังนั้นก็ไม่ถามซักไซร้แล้วเดินหลีกไปเงียบๆ

             เวลาสายเรือพายใหญ่จอดเทียบท่าเรือนออกญาโกษาธิบดี ขุนนางใหญ่หลายคนต่างพากันเดินดุ่งไปยังห้องขุนเหล็กทันที รวมถึงคนจากเรือนออกญาโหราธิบดี

             เกศสุรางค์เดินถือพานมาลัยอยู่ท้ายแถว พอเข้าไปถึงห้อง อาการของโกษาเหล็กก็หนักมากแล้ว ตาคมเห็นจันทร์วาดนั่งน้ำตาคลออยู่ข้างเตียง ร่างโปร่งรีบเบียดแทรกผ่านกลุ่มขุนนางโดยไม่เกรงคำติติงที่จะตามมาภายหลัง เพราะตอนนี้ไม่มีใครมีอารมณ์จะปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น

             "คุณลุงเหล็ก!" เกศสุรางค์ที่ในมือถือพานดอกไม้นั่งลงข้างๆ กับจันทร์วาดแล้วมองชายสูงอายุนอนตัวเย็นสั่นอย่างเป็นห่วง

              "แม่การะเกด.." ร่างน้อยหันมองด้วยตากลมแดงคลอน้ำตา "คุณพ่ออาการน่าเป็นห่วงนัก"

              "โกษาเหล็ก" ออกญาโหรธิบดีเดินถือไม้ตะพดช่วยค้ำยันมายืนต่อหน้า ขุนนางชายที่นอนตัวสั่นอย่างเจ็บปวด

             "ส..สมควรแล้วขอรับ" ออกญาโกษาธิบดีฝืนขยับร่างที่หนักอึ้งประนมมือไหว้ชายตรงหน้า ตอนนี้สายตาของเขาพร่ามัวจนมองอะไรไม่เป็นรูป หูก็แทบจะไม่ได้ยินอะไรแม้แต่เสียงพูดของตัวเอง ถึงกระนั้นสติของเขายังมั่นคงจดจำทุกสิ่งได้ดี "กระผมผิดเอง"

            'ออกญาโกษาธิบดี' หรือว่า 'เหล็ก' ไม่เคยกล่าวโทษขุนหลวงหรือใครผู้อื่น เขายอมรับผลแห่งการกระทำนี้อย่างกล้าหาญ ใจเขายังคงจงรักภักดีต่อขุนหลวงและพระนครศรีอยุธยาตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเขา เฉดเช่นวันแรกที่เขาเข้ารับราชการรับใช้แผ่นดิน

           โกษาเหล็กสิ้นลมอย่างสงบ เสียงร้องไห้ระทมดังขึ้นโดยทันที คุณหญิงนิ่มนั่งมองร่างไร้วิญญาณของสามีจากพลับพลาไม้ด้วยจิตตรอมตรมยิ่ง คุณหญิงจำปาเห็นก็ปลอบประโลมด้วยเวทนา

            จันทร์วาดสะอื้นไห้ใหญ่ นัยน์ตาดำขลับมองบิดาใจสลาย นางสูญเสียพ่อผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับมา มือน้อยโอบจับมือหนาเย็นเฉียบเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นแปร๊บเข้าไปในขั้วหัวใจ "เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ลูกเกิดมาเป็นลูกคุณพ่ออีก..ชาตินี้บุญลูกน้อยนัก มิอาจสนองพระคุณ คุณพ่อได้"

            เกศสุรางค์สะเทือนใจกับโกษาเหล็กก็หนักหนาแล้ว เมื่อเห็นแม่จันทร์วาดพร่ำรำพันเช่นนี้อกก็ปวดซ้ำเข้าไปอีก เด็กสาววางพวงมาลัยที่ร้อยเองไปบนมือของร่างไร้ลมหายใจแล้วก้มกราบ ทั้งน้ำตาใสไหลออกจากตาคม

            "แม่หญิงจันทร์วาด" เกศสุรางค์ดึงร่างน้อยเข้ามากอดประโลม เวลานี้ทุกคนต่างต้องการกำลังใจ จันทร์วาดตอบรับอ้อมกอดแนบแน่นแล้วปล่อยโฮร้องไห้น้ำตานอง

            เนตรแลเห็นบิดาทอดเอนนิ่ง
            ดั่งมีดตัดขั้วใจกลิ้งหล่นออกไซร้
            ตะวันดับหมดสิ้นอันสิ่งใด
            อาสัญไร้ลมลับโลกา
            -------***-------
            อันชีวาไป่เที่ยง  เทียมทุกข์
            สูงต่ำขาวดำคลุก  บ่ข้าม
            ยืนทรงศักดิ์อยู่สุข  มีไม่
            ชีพดับสุดหวงห้าม  บ่เว้น ใครแล

            หลังออกญาโกษาเหล็กสิ้นได้ ๔ เดือนเหล่าทหารกรมตำรวจก็จัดการริบราชบาทว์ของมีค่าจากเรือนออกญาโกษาธิบดีตามธรรมเนียม

             เพลาชายเกศสุรางค์นำขนมมาเยี่ยมเยียนตามเคย วันนี้เธอหอบเอาผล 'จันทร์หอม' สีเหลืองนวลมาเต็มตะกร้า แต่ตอนกำลังเดินถึงประตูเรือนก็ต้องหยุดชะงักเพราะเห็นเหล่าทหารกำลังขนหีบกับข้าวของมากมายออกจากเรือน



    {{สมัยนั้นยังไม่มี 'ขนมเสน่ห์จันทร์' ซึ่งหมายถึง ความเป็นที่รัก มีเสน่ห์ น่าเอ็นดู ไรท์จึงใช้ลูกจันทร์หอมแทน}}

            "เขาทำอะไรกันน่ะ?" ตาคมเหลียวเห็นแม่จันทร์วาดและคุณหญิงนิ่มในชุดไว้ทุกข์ขาว นั่งบนพลับพลาไม้กลางเรือนมองทรัพย์สมบัติถูกยึดไปโดยทำอะไรไม่ได้ แล้วมีบ่าวหญิงทาสชายนั่งก้มหน้าคอตกอยู่รอบข้าง

            "ข้าถูกริบราชบาทว์ตามธรรมเนียม เขาจะขนของไปหมดบ้าน ทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายข้าต้องคืนให้ขุนหลวง.." คุณหญิงนิ่มเอ่ยทั้งสะอื้นไห้ จันทร์วาดเห็นแม่สะอึกสะอื้นก็รีบเอ่ยต่อแทน

            "คุณแม่จึงมิอาจเลี้ยงดูพวกเจ้าต่อไปได้" หญิงสาวพูดฉะฉาน ทั้งฝืนกล้ำกลืนน้ำตา "พวกเจ้าเป็นไทแก่ตัวทุกคนมิต้องมาไถ่ถอนอันใด"

            ฝ่ายบ่าวก็ก้มหน้าฟังเงียบๆ ก่อนคุณหญิงนิ่มจะเปิดหีบหยิบเงินก้นถุงออกมาแจกจ่ายให้ทาสบ่าว

            "เงินก้นถุงที่ให้ไปก็เพื่อทำมาหากินตั้งตัวใหม่ ขอให้มีสุขทุกคน" สิ้นเสียงเรียวหน้ารูปไข่ก็ก้มหลุบและปล่อยน้ำตาที่กลั้นเก็บให้ไหลออก เจ้านายที่มีเมตตาย่อมเป็นที่รักและเทิดทูน บ่าวหญิงชายก้มลงกราบพื้นเชิดชูนายตนเป็นครั้งสุดท้าย

            "แม่หญิงจันทร์วาด" เกศสุรางค์ทนไม่ได้ที่จะเห็นจันทรฺวาดต้องเสียน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือเรียวขยับกุมไว้ที่อกพร้อมกับน้ำใสที่ไหลอาบแก้ม "ขนาดฉันรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า..ฉันยังช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย"

            ทั้งเรือนอยู่ในความเศร้าโศก สูญเสียทั้งเสาหลักและสมบัติ จากเคยมีทุกอย่างแต่ตอนนี้กลับไม่เหลือสักสิ่ง

            จันทร์วาดได้กลิ่นหอมลูกจันทร์จึงเหลือบมองหน้าประตูเรือน ดวงเนตรคลอน้ำตาของทั้งสองคนสบมองกันอย่างเข้าอกเข้าใจ แม้นไม่มีคำพูดใดนางก็รู้สึกถึงคำปลอบประโลมอันอบอุ่นของอีกฝ่าย

             "แม่การะเกด..ขึ้นมาเถิด" คุณหญิงนิ่มพูดเสียงเรียบ โดยไม่หันไปมอง

             "จ..เจ้าค่ะ" เกศสุรางค์เร่งเดินค้อมตัวเข้าไปยืนหน้าเซ่อ พร้อมยกมือไหว้แบบเงอะงะ "คุณหญิงนิ่ม.." 

              "ฮึ" คุณหญิงนิ่มเมินเฉยคำทัก ลุกขึ้นจากที่นั่งเดินกลับเข้าเรือนน้อย พาลให้พวกบ่าวแตกแยกย้ายกันไปคนละทาง เหลือเพียงแต่นังเหมือนกับนังบุญ

             แม้นตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา เกศสุรางค์จะหมั่นมาเยี่ยมเยียนแต่ก็นำพาข่าวลือเสียๆหายๆมาให้ปวดใจ ชาวอยุธยาพากันเล่าลือไปทั่วคุ้งน้ำว่าลูกสาวออกญาโกษาธิบดีชอบพอกับลูกสาวพระยารามณรงค์จากเมืองพระพิษณุโลก เป็นที่รู้กันว่าหากได้มีคนลือหนึ่งปากแล้วข่าวก็กระจายไวปานไฟลามทุ่งเป็นที่น่าอับอายแก่ตระกูลชั้นสูง จันทร์วาดชินชากับปฏิกิริยานั้นแต่เกศสุรางค์ยังปรับตัวกับท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ไม่ค่อยได้

              "ข้าเสียใจกับออเจ้าด้วยนะ..แม่จันทร์วาด" เกศสุรางค์นั่งลงแทนที่คุณหญิงนิ่มแล้วขยับจับมือคนตรงหน้า "แล้ว..บ่าวพวกนั้น.."

              "สมบัติแลเงินข้ามีไม่มากพอจักเลี้ยงดูพวกเขาได้ พวกเขาเป็นทาสสินไถ่จึงเป็นไทโดยมิต้องไถ่ถอน" จันทร์วาดยิ้มเจื่อน

              "แล้วที่เหลือล่ะ?" เกศสุรางค์สังเกตเห็นว่าก็ยังมีบ่าวมีทาสเหลืออยู่บ้างจึงเอ่ยถาม

               "พวกนี้เป็นทาสในเรือนเบี้ย มิอาจไถ่ถอนหรือออกจากเรือน ข้าก็พอจักเลี้ยงดูต่อไปได้.." ใบหน้างามดูหมองหม่นก้มหลั่งน้ำตา เพราะลึกๆยังทำใจไม่ได้กับชะตาทีพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ "ข..ขอโทษด้วย" หน้าหวานแปดเปื้อนคราบน้ำตา กลั้นเสียงสะอื้น

                เกศสุรางค์โอบมือจับเรียวหน้าเศร้าพลางใช้นิ้วหัวแม่มือปาดเช็ดรอยน้ำแห่งความโศก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองหญิงตรงหน้าด้วยความสงสารจับใจ "หากร้องแล้วสบายใจ ก็ร้องออกมาเถอะ ข้าจะคอยเช็ดน้ำตาให้แม่จันทร์วาดไม่ยอมไปไหน จนกว่าความเศร้าในใจจะคลายลง"

             "ขอบน้ำใจออเจ้า" จันทร์วาดยิ้มปลื้มใจพลางโอบจับมือที่คอยซับเช็ดน้ำตาให้

             "อืมๆ ช่วงนี้ออเจ้าดูผอมไปนะ มา! วันนี้ข้าทำช่อม่วงมาให้ กินเยอะๆจะได้อ้วนขึ้นหน่อย" เกศสุรางค์เปิดสำรับอาหาร เผยให้เห็นขนมช่อม่วงที่บรรจงทำอย่างประณีต พร้อมกับผักเครื่องเคียงหลายอย่าง



              "เป็นหญิงมิควรปล่อยให้ตัวอ้วนแต่ยังสาว" เจ้าของเรือนถอนหายใจ ทำท่ายักแย่ยักยันไม่ยอมหยิบขนมกิน "ข้าเหนื่อยมากนัก มิค่อยหิวหรอกหนา"

              "ก็ตัวเองผอมมาก ก็ต้องกินเยอะๆ" เกศสุรางค์จิปากเสียทีหนึ่ง ก่อนมือเรียวจะจีบจับช่อม่วงวางใส่ผักและเครื่องเคียงห่อแล้วยื่นไปจ่อใกล้ปากคนตรงหน้า "ต้องให้ป้อนเหรอคะถึงจะยอมกิน?"

              จันทร์วาดขมวดคิ้วมองขนมหนึ่งคำในมืออีกคน แล้วเหลือบมองบ่าวของตนสลับกับบ่าวจากเรือนโหราธิบดี

               "ก็แค่อ้าปาก..แล้วก็อ้าม~~" เกศสุรางค์ทำท่าอ้าปากสาธิตให้ดู แม้จะรู้สึกว่ามิเหมาะมิควรแต่จันทร์วาดก็ยอมอ้าปากรับช่อม่วงแต่โดยดี "ดีมาก..เอาน้ำชาหน่อยมั้ย?"

               บ่าวสี่คนยกมือป้องตาก้มหน้าไม่ให้เห็นภาพแม่หญิงสองคนที่กำลังป้อนข้าวป้อนน้ำกัน

             "แสบ" คนพูดอมยิ้มนิดหน่อย "ฝีมือดีมิตกเลยหนา"

             "แซ่บไม่ใช่แสบ..เอ้า! กินอีก"

             เมื่อเห็นว่ายอมกิน คนทำก็ขยันป้อนให้จนเกือบหมดสำรับ ฝ่ายบ่าวก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าแม่ชายหางตามองแม่นายของพวกตน

             "ข้าอิ่มมากแล้ว..พอเถิด" ร่างน้อยพูดเสียงแผ่วด้วยรู้สึกจุกท้อง ก่อนหยิบฝาชีทรงสูงกำลังจะปิดสำรับ

             "เดี๋ยวๆๆ..!ที่เหลือสามชิ้นข้ากินเอง เสียดาย" เกศสุรางค์ดึงสำรับหลบฝาชี

             "ไม่กินพร้อมข้าแล้วมากินของเหลือจากข้านี้รือ?" จันทร์วาดไม่ใคร่สบายใจที่จะให้หญิงที่มีศักดิ์มากินของเหลือจากตน "มิควรเลยหนา"

              "ข้าไม่ถือ" เกศสุรางค์หรี่ตามองหญิงเจ้าพิธีรีตรองพร้อมลอบเบ้ปากใส่ แล้วไม่ได้สนใจคำทัดทานหยิบขนมช่อม่วงเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย "อื้ม~!อร่อยจัง"

             ด้วยเป็นคนไม่เคยสำรวมมารยาทการเดินยันการกินมาตั้งแต่ยังเป็นสาวอวบ แค่เคี้ยวขนมก็ปล่อยให้หลุดออกมาเปื้อนปาก จันทร์วาดมองกิริยาไม่น่าชมอย่างอึ้งๆ ก่อนกระตุกยิ้มป้องปากหัวเราะ "ฮึ ฮึ...ฮ่ะๆๆๆ"

           "หัวเราะอะไร?" ตาคมตวัดมองค้อนหญิงที่หัวเราะเธอ

           "เป็นสาวแล้วยังกินเลอะเทอะอยู่อีกหนา" มือนุ่มเอื้อมเข้าเช็ดเศษไส้ขนมที่เลอะขอบปากเรียวสวยพร้อมยิ้มอ่อน ก่อนเหลือบมองบ่าวสี่คนที่นั่งหดอยู่ข้างๆ "เหมือน..บุญพวกเอ็งไปช่วยกันเกียมสำรับมื้อต่อไปเถิด"

           "เจ้าค่ะแม่หญิง" สองบ่าวเร่งคลานเข่าออกไปตามคำสั่ง เหลือเพียงนังผินนังแย้ม

            จันทร์วาดส่งสายตาพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่งสัญญาณซึ่งนังผินและนังแย้มรู้ดีว่าเป็นการไล่

           "เอ..ประเดี๋ยวบ่าวช่วยยกลูกจันทร์ไปให้นะเจ้าคะ" นังแย้มฝืนยิ้มแห้งๆแล้วคลานเข่าไปยกเอากระจาดลูกจันทร์เดินตามนังเหมือนไป

           "เอ๊า! อีแย้ม!?" บ่าวร่างอวบมองตามสหายด้วยท่าทีงันงก ก่อนหันกลับมายิ้มเจื่อนๆให้แม่หญิงจันทร์วาดที่ส่งรังสีอำมหิตผ่านรอยยิ้ม "บ่าวเพิ่งนึกออกว่าลืมผูกเรือ..ขอตัวหนาเจ้าคะ"

            "อ้าว..ไปกันหมด" เกศสุรางค์เคี้ยวขนมหน้ายู่สงสัยว่าทำไมบ่าวของเธอจะต้องไปทำอะไรที่ไม่จำเป็นด้วย  

             "หญิงผู้ดีมิควรกินอะไรให้เลอะปาก" ตากลมหรี่มองแม่จอมแก่นอย่างเอาเรื่อง

             "คำก็ผู้ดี สองคำก็ผู้ดี ข้าไม่ใช่ผู้ดีซะหน่อย" เกศสุรางค์พูดเสียงขุ่น





             เมื่อสบโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง ร่างน้อยขยับเข้าหาเด็กสาว ก่อนเชยคางเรียวเข้าใช้กลีบปากบาง ช่วยเช็ดขนมช่อม่วงชิ้นสุดท้ายที่ทิ้งเศษเปื้อนไว้บนแก้มเนียน แล้วเลื่อนวงหน้าแทรกเข้ากระซิบใกล้ๆหูที่แดงฉ่าของอีกคน "หากกินเลอะเทอะให้ข้าเห็น ข้าจักไม่ใช้มือเช็ดอีกแล้วหนา"

              "อ..อ..อะ..!?" เกศสุรางค์ตัวแข็งทื่อหน้าเปลี่ยนสีแดงฉ่าเป็นลูกหมากต้องแล่ง มือเรียวพลันแตะลูบแก้มนวลที่โดนหอม

               "เข้าใจรือ?" ตากลมมองหวานเยิ้มด้วยรอยยิ้ม

               "ง่วง..ข้าง่วงแล้วอ่ะค่ะ..ขอกลับห้องก่อนนะคะ" เด็กสาวอายจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่แชเชือน พร้อมเหลือบมองหาบ่าวของตนที่หายไปไหนก็ไม่รู้

             **พี่ผิน..พี่แย้มไปไหนกันหมดวะเนี่ย!?**

               "ที่นี่เรือนข้า ออเจ้าจักกลับหอนอนได้อย่างไร?" ตากลมจ้องจับผิด

               "เอ่อ...? งั้นข้ากลับเรือน"

                "เห็นออเจ้าบ่นง่วง กว่าจักถึงเรือนมิหลับกลางทางก่อนรือ?" ร่างน้อยเดินเข้าหาทำท่าคุกคาม แล้วเอียงคอมองเด็กสาวใกล้ๆ "นอนพักเรือนข้าจักดีกว่า"

                "ม..ไม่เป็นไรค่ะ" เกศสุรางค์ลุกจากพลับพลาไม้แก้ขัดเขิน เธอคาดไม่ถึงว่าแม่หญิงเรียบร้อยขี้อายที่เธอเป็นฝ่ายรุกจีบก่อนตลอดจะกลับหวนมาจู่โจมเธอซะเอง

                   หมับ!

               "ข้ายังไม่ให้กลับ" เสียงหวานเอ่ยพลางคว้าแขนเรียวหยุดการเคลื่อนไหวของเกศสุรางค์ ก่อนลุกขึ้นยืนแนบชิดร่างโปร่งจากด้านหลัง "ข้าเศร้าและเหงามากนัก..คืนนี้อยู่กับข้าได้รือ?"

              แว่วกระซิบรักที่ริมหูแผ่วๆ เกศสุรางค์รู้สึกถึงเรียวแขนที่โอบรัดเธอจากข้างหลัง มอบสัมผัสนุ่มนวลชวนหวั่นไหว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเองก็อ่อนยวบยาบไปกับคำออดอ้อนนั้น

               "เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้าจะไม่ดีนะคะ" วงหน้าเรียวก้มหลบลมหายใจร้อนที่ไหลรดต้นคอ พร้อมเหลือบมองคนข้างหลังด้วยหางตา

          "เช่นนั้นก็ไปคุยกันต่อในหอนอนข้าซิ" 

           เสียงหวานพูดในโทนทุ้มต่ำแสดงถึงความปรารถนาอันร้อนรุ่ม เกศสุรางค์โอนอ่อนยอมตามเข้าไปแต่โดยดี หอนอนที่ปิดสนิทถูกประดับด้วยเครื่องสังคโลกทองเหลืองและดอกบัวสีชมพูส่งกลิ่นหอมอวลอ่อนๆชวนหลงใหล แสงไฟริบหรี่ส่องสว่างจากตะเกียงลายประณีต แม้นจะยังบ่ายคล้อย แต่ก็ทำให้รู้สึกเหมือนเวลากลางคืน

          "ข..ข้าว่า..." เกศสุรางค์งุดหน้าเอียงอาย พลางเหลือบมองสาวตรงหน้าเป็นระยะ

          "ออเจ้าพูดเหมือนมิเคยทำกับข้าฉะนั้น" อยู่ในหอนอนมีความเป็นส่วนตัวมากพอที่จะพูดหรือทำอะไรก็ได้ จันทร์วาดถามเกศสุรางค์ตรงๆน้ำเสียงเย้ายวน

           "ก็บอกแล้ว..ว่าจำไม่ได้" เกศสุรางค์หันหน้าเข้าประตูอย่างลนลานเคอะเขิน

           "เช่นนั้น..พี่ทบทวนให้ดีรือ?" คนที่จำภาพได้ทุกตอนไม่รีรอที่จะโลมเล้า สายสร้อยสังวาลย์ถูกปลดออกพร้อมผ้าต่วนสไบ ฝ่ามือนุ่มค่อยเคล้าคลึงร่างอรชร แม้ว่าลึกๆจะปรารถนาใคร่อยากมากเพียงใด ทุกสัมผัสที่ส่งผ่านออกมากลับช่างอ่อนโยน ด้วยเกรงว่าผิวขาวนวลเนียนจะมีรอยด่างพร้อย

            ร่างโปร่งหันกลับตอบรับข้อเสนอ กายร่างเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆตามราคะอารมณ์ ริมฝีปากหวานฉ่ำประกบแลกความดูดดื่ม มือเรียวไม่อยู่นิ่งปลดเปลื้องเครื่องห่มขาว เผยให้เห็นเอวบางที่คอดลับกับสะโพกโค้งเว้าได้รูปของอีกคน

            เกศสุรางค์เดินต้อนกายเปลือยเปล่าเข้าชิดเตียงใหญ่ ก่อนใช้กายอุ่นกดร่างบางลงนอนทอดตัวบนผ้าปูสีขาวสะอาดตา ทำให้ตาคมสามารถเห็นทุกสัดส่วนเรือนเว้าของคนข้างล่างได้ชัดมากขึ้น

            "จำได้แล้วรือ?" คนที่ถูกกดให้นอนราบยิ้มร้อนแรงพรายพริ้มถาม พลางขยับมือโอบเรียวหน้าแดงเรื่อ ที่ส่ายหน้าปฏิเสธมาเป็นคำตอบ

             "จำไม่ได้หรอก..แต่ข้าอยากให้เราจดจำช่วงเวลาต่อจากนี้..ตลอดไป"

               สองเรือนร่างเสน่หากอดรึงรัด
               บิดสะบัดโลมไล้สุดวาบหวาม
               ครางครวญปวดปนปะร้องเรียกนาม
               ประกาศความรักซึ้งถลำไกล
               เปลี่ยนสลับผลัดทีขึ้นครามคร่อม
               จูบละม่อมดูดดื่มเกสรหวาน
               สัมผัสเสียวกระสันไป่เคยพบพาน
               สุดเนิ่นนานเผลอไผลระรื่นเริง
               หยาดเหงื่อหยดร้อนรุ่มยากหยุดยั้ง
               จิตภวังค์ตรึงติดตราสุขสม
               มิคิดหน่ายบ่เลิกขอชื่นชม
               หอมน่าดมเรียมเอ๋ยมิอยากลา

                แฮ่ก..แฮ่ก~

             เสียงลมหอบกระเส่ายังต่อเนื่องจนฟ้ามืด เป็นทีของร่างน้อยจะครองอำนาจเหนือกว่า จันทร์วาดกดค้ำประสานมือกับร่างสะโอดสะองที่นอนโรยแรงอยู่ใต้ร่าง "น้องการะเกดรักพี่รือ?" แว่วกระซิบแหบโหยถามย้ำทั้งขยับแทรกเรือนร่าง

              "ข้า...น้องรัก..รัก..อือ" สัมผัสวาบหวามจู่โจมร่างที่ไร้แรงจนหอบอ่อนระโหย "พี่จันทร์วาด.."

              "พี่เองก็รักออเจ้า..ช่วยบอกรักพี่เช่นนี้อีกสักคราเถิดหนา"


    ((จบตอนที่ ๑๑))

    เสิร์ฟเลิฟซีนอีกแล้ว สรุปก็เหมือนการเฉลยว่าคู่นี้ เสะ ๕๕๕๕๕๕ พี่จันทร์ -///-
    งามยุ่งแต่ยังปัันนะจ๊ะ ตอนนี้เนื้อเรื่องยังไม่ไปไหนไกล รอลุ้นกันตอนหน้าว่าจะดราม่าอะไรอีก! ยังไงก็ฝากฟิคไว้ในใจทุกท่านดังเดิมนะคะ ติชมกันได้นะคะแล้วจะนำไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป //เบญจางคประดิษฐ์รีดทุกท่าน ????????????

    ##แล้วเฉลยจากตอนที่ ๑๐ คือ ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าตอนที่ ๑๐ พี่จันทร์ไม่เรียกน้องเกศว่า 'การะเกด' เลย เพราะเกศบอกพี่จันทร์ว่าเธอไม่ใช่การะเกด แต่ตอนที่ ๑๑ เรียกการะเกดเหมือนเดิม สืบเนื่องจากคำบอกของน้องเกศท้ายตอนที่ ๑๐##

    ช่วงนี้ไรท์เหนื่อยเหลือเกิน TT จะซบตักรีดคนใดได้บ้างหนอ //น้ำตาไหลแบบพี่จันทร์



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×