ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #6 : สองแควแจกจูบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.56K
      294
      30 มี.ค. 61





          ตอนที่ ๖ : สองแควแจกจูบ

                  จิ๊บ..จิ๊บ

             แว่วเสียงนกกระจิบเกาะกิ่งไม้ร้องเจื้อยแจ้ว ใบไม้สีเขียวไหวตามแรงลม ที่หวนเอากลิ่นดอกมณฑาทองที่เพิ่งผุดพ้นอยู่บนต้นสูง และข้างๆหญิงงามเงยเรียวหน้ารูปไข่ขึ้นสูดกลิ่นหอม ที่แม้นจะอยู่สูงแต่ก็หอมอวลไปทั่วทั้งเรือน

             "แม่หญิงจันทร์วาด ได้เพลากรองมาลัยแล้วเจ้าค่ะ" นังเหมือนบ่าวที่รับใช้เรือนนี้มานานคุกเข่าลงกล่าวอย่างนอบน้อม

              "ขอเพลาข้าสักเดี๋ยวเถิดเหมือน" มือเล็กจับประสานกันหลวมๆไว้ตรงหน้า นัยน์ตาสีนิลสะท้อนแสงตะวันอ่อนเป็นประกายเหม่อมองโกสุมที่โปรยกลิ่นหอมไปตามลม "อกข้าช่างเจ็บนัก"

               "แม่หญิงไม่สบายรือเจ้าคะ?" 

               ไร้ซึ่งเสียงตอบจากร่างบาง มีเพียงเสียงถอนหายใจเอาพิษลมรักออกจากอก ทุกคราเมื่อแลเห็นต้นมณฑาก็ราวกับว่ามีใครเอามือมาบีบหัวใจเสียให้หยุดเต้นด้วยสับสน

                "เอ้า..แม่จันทร์วาด ยังมิไปกรองมาลัยอีกรือ ประเดี๋ยวจักไม่ทันไปวัดเอาหนา" คุณหญิงนิ่มเดินเข้าหาลูกสาวพร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่จันทร์วาดกลับเงียบนิ่งไม่โต้ตอบผิดวิสัย "เป็นกะไร กลัดกลุ้มเรื่องอันใดรือลูกแม่?"

                "ลูกหาได้กลัดกลุ้มไม่เจ้าค่ะ คุณแม่" จันทร์วาดพูดขยับริมฝีปากเพียงเล็กน้อย ด้วยถูกสอนมาแต่เล็กในเรื่องกิริยามารยาท แม้การพูดก็ห้ามให้ผู้ใดเห็นฟัน เพราะดอกพิกุลจักร่วงออกจากปากเสีย

                  "เช่นนั้นก็เร่งมือเถิด และแต่งตัวให้งาม วันนี้ต้องเจอผู้ใหญ่มากหน้าหลายตา" ผู้เป็นแม่ที่มักจะย้ำเตือนลูกสาวในเรื่องมารยาทและการโคจรเสมอ ออกคำแนะนำก่อนเดินไปจัดการธุระของตน

                  "เจ้าค่ะ" จันทร์วาดทำตามคำมารดาสั่งอย่างไม่คัดค้าน เพราะถูกย้ำสั่งย้ำสอนและตีกรอบมาแต่ไหนแต่ไรจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

    ...................................................................

                  เรือนออกญาโหราธิบดีที่มีต้นไม้ปลูกโดยรอบแลร่มเย็น ทางเดินเฉลียงไม้ถูกกวาดทำความสะอาดเสียสะอาดเพื่อรอรับเจ้านายที่จะเดินจากเรือนไปยังท่าน้ำ

                  เด็กสาววัยแรกรุ่นนั่งบรรจงพับดอกบัวอย่างประณีตทีละกลีบ เป็นที่แปลกตาประหลาดใจของบ่าวไพร่ เพราะเคยเห็นแต่แม่หญิงที่เกรี้ยวกราดดุดัน ตบตีดึงทึ้งกระชากหัวบ่าว งานบ้านงานเรือนกรองมาลัยจับเมื่อใดก็มีแต่ทำให้เสียเรื่อง

                  เกศสุรางค์รู้สึกถึงสายตามากมายหลายคู่ที่จับจ้องการกระทำของเธอ แต่ก็ไม่คิดอะไรเพราะคนสวยทำอะไรคนก็ต้องมองเป็นธรรมดา

                  "ลา ลั๊ล ลา ล่า ล๊า~" พอคิดเข้าข้างตัวเอง แม่จอมแก่นก็เผลอหลุดโยกย้ายตัวพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข แต่เหมือนจะผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย แต่ที่น่าจะผิดมากที่สุดก็คือผิดยุค

                  "แม่หญิงการะเกดดูผิดแผกไปนะมึง" บ่าววัยละอ่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น 

                  "เห็นแม่ปริกบอกว่าแม่หญิงวิปลาส ด้วยมนต์กฤษณกาลี"

                  ด้วยความเงียบของเรือน เสียงซุบซิบดังกระทบหูเกศสุรางค์ รวมทั้งนังผินและนังแย้มที่นั่งรอปรนนิบัตินายด้วย 

                  บัวที่พับเสร็จแล้วถูกวางลงบนพาน ก่อนร่างโปร่งจะลุกยืนสีหน้าเรียบเฉยพร้อมจิกตาเรียวคมจ้องคนที่แอบนินทาเธอ และด้วยร่างที่เธอมาอาศัยอยู่มีใบหน้าที่คมดุ ก็ทำเอาสองบ่าวซึ่งเคยลิ้มรสฝ่ามือฝ่าเท้าอรหันต์ ก้มหมอบลงหน้าแทบจะแนบลงไปกับพื้น

                  "เมื่อกี้...ว่าอะไรนะ?" เกศสุรางค์แสร้งทำเสียงข่มพร้อมหรี่ตามองเค้นเอาความ

                   นังผินและนังแย้มที่ได้ยินเหมือนกันรีบตามมาสมทบเกศสุรางค์ เท้าสะเอวมองจ้องสองคนที่หมอบอยู่กับพื้นอย่างเอาเรื่อง

                    "พวกมึงนินทาแม่นายกูรึ! แบบนี้มันต้องตบสั่งสอน!" นังแย้มง้างมือเตรียมตบในขณะที่นังผินเท้าเอวจ้องตาเขม็ง

                    "พี่ผิน พี่แย้มไม่ต้อง..ข้าเอง" พูดจบเกศสุรางค์ค่อยเดินเข้าไปยืนต่อหน้าสองคนที่นั่งอยู่ และใช้มือค่อยๆช้อนสองคนนั้นให้ยืนขึ้น

                     คนนินทายืนประนมมือตัวสั่นด้วยกลัวจะต้องถูกตบตีอย่างบ้าคลั่งเหมือนก่อน เห็นแม่หญิงตัวเล็กเกียจคร้านการงานฉะนี้ แต่แรงตบแรงตียิ่งกว่าพลังช้างสาร

                    "ที่ข้าทำเมื่อกี้ไม่ได้วิปลาส ข้าแค่มีความสุข ข้าเลยร้องเพลงแล้วก็เต้น โอเค๊ะ?" แม้จะพูดดีแต่เกศสุรางค์ก็ใช้ตาดุคู่นั้นมองขู่ไปด้วย

                    "โอเค๊ะ!!?" นังผินกับนังแย้มพร้อมใจประสานเสียงช่วยนายตน

                    เกศสุรางค์มองขำบ่าวของตัวเอง แล้วปรายตากลับมาจ้องคนขี้นินทาตรงหน้า "ว่าไงจ๊ะ?"

                    "จ..เจ้าค่ะ!" 

                   "ดีมาก" เกศสุรางค์พอใจกับคำตอบแล้วจึงถอนหายใจ "วันนี้วันพระ เราควรจะพูดถึงแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี ไม่ใช่มานั่งนินทาตบตีกัน"

                  ทั้งเรือนตกอยู่ในความเงียบงัน ไพร่ทั้งหลายไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยิน เป็นคำพูดจากปากของแม่หญิงการะเกด ใจคอโหดเหี้ยมปากร้ายคนนั้น

                  "มีเรื่องอันใดกัน?" เสียงดุดัังขึ้นพร้อมกับร่างอวบของหญิงมีอายุ พร้อมบ่าวคนสำคัญคอยรับใช้สองคนเดินติดตามมา

                   "คุณป้า" เกศสุรางค์ยิ้มแป้นแล้วประนมมือไหว้ผู้ใหญ่

                    คุณหญิงจำปาบดเคี้ยวริมฝีปากมองเด็กสาวอย่างไม่พึงใจนักด้วยมีอคติ ก่อนค่อยๆเดินไปนั่งบนเบาะที่จัดเตรียมไว้ มีโต๊ะเตี้ยซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววางเรียงราย

                     "ข้ามิเคยเห็นออเจ้าลุกเช้ากระนี้" คุณหญิงจำปาขมวดคิ้วพูด พลางเหล่ตาเห็นดอกบัวที่พับเรียบร้อยแล้วด้วยประหลาดใจ

                     "ก็วันนี้วันพระ ต้องตื่นเช้าเจ้าค่ะ" เกศสุรางค์ตอบเสียงซื่อ ก่อนนั่งลงพับบัวต่อ "พี่ผิน พี่แย้มนั่งอยู่ทำไม มาช่วยกันพับเร็ว!"

                    "ออเจ้าเรียกนังผินนังแย้มว่ากะไรนะ?" 

                    "ค่ะ...คะ?" เมื่อรู้ว่าตัวเองพูดผิดก็อึ้งจนพูดไม่ออก แต่ก็ตีเนียนทำงานที่เหลือโดยไม่ให้คำตอบ

                    นังปริกและนังจวงหันควับมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ เพราะสี่หูได้ยินไม่ผิดแน่ว่า แม่นายสายโหดเรียกบ่าวของตนว่าพี่

                    "ข้าถามใยไม่ตอบ ทำแชเชือนอยู่ได้" ร่างอวบเริ่มโมโหหนัก

                    "เรียก..พี่ผิน พี่แย้มค่ะ" เกศสุรางค์ถูกสายตาดุบีบจนจำต้องบอกความจริง

                    "พี่ผิน พี่แย้มรึ?" คุณหญิงจำปาย้ำถามด้วยแปลกใจ 

                    "พี่ผิน..พี่แย้มรึ?" บ่าวคนสำคัญของคุณหญิงประจำเรือน ทวนคำพูดของนายโดยพร้อมเพรียง

                    "นังปริก..นังจวง! พวกเอ็งนิ" ตาดุจ้องหน้าสองบ่าวของตน จนทั้งคู่ก้มหน้าลงอย่างหวาดๆ

                    เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาพับกลีบบัว ไม่หันมองคุณป้าจำปาเพราะกลัวจะหลุดพูดผิดๆ แล้วถูกยิงคำถามอีก

    ..................................................................

                  ชาวอยุธยาต่างแห่แหนกันมาที่วัดดูคึกครื้นเป็นพิเศษในวันพระ ผิดจากวันปกติที่จะมีคนมาทำบุญหลอมแหลม เพราะส่วนใหญ่จะอยู่รอใส่บาตรที่ท่าน้ำกันหมด

                  ด้านออกญาโหราธิบดีที่เพิ่งมาถึง ค่อยๆเดินเข้าวัด ทักทายคนรู้จักมากหน้าหลายตา สร้างความตื่นเต้นให้หลานสาวจอมซนเป็นอย่างยิ่ง ตาเรียวคมกราดมองรอบตัวอุโบสถอย่างกระดี้กระด้า จนกลายเป็นประเด็นซุบซิบนินทาในวงสนทนา

                  "อ๊ะ นั่นใช่.." เกศสุรางค์หยุดกราดตาทันที เมื่อบังเอิญมองเห็นคนรู้จัก ก่อนเดินดิ่งเข้าไปนั่งข้างๆ "แม่หญิงจันทร์วาด~"

                  "ออเจ้าก็มารึ" จันทร์วาดเอ่ยถามอย่างสำรวม และยิ้มนิดๆที่มุมปาก "ข้ามิเคยเห็นออเจ้ามาวัด"

                "ก็มาแล้วนี่ไง เห็นซะสิ" 

                 "แม่หญิงจันทร์วาด.." หมื่นสุนทรเทวากล่าวทักทายสาวน้อยกิริยาน่าชมด้วยรอยยิ้ม

                  "เจ้าค่ะ คุณพี่เดช" มือเล็กประนมไหว้ตามมารยาทแล้วยิ้มตอบ 

                   เกศสุรางค์นั่งเบ้ปากมองสองพระ-นาง ที่หว่านรอยยิ้มสเน่หาข้ามหัวเธอไปมาอย่างหมั่นไส้ "เห้อ..เป็นคนยิ้มยาก แต่ถ้าเจอคนหล่อมากๆก็จะยิ้มให้" คนตรงกลางพูดน้ำเสียงกระแนะกระแหน

                   จันทร์วาดเสียวสันหลังวูบด้วยร้อนตัว พลันหุบยิ้มแล้วกลับมานั่งประสานมือทอดตาต่ำเหมือนเดิม สร้างความแปลกใจให้ชายหนุ่ม

                 "ชิ.."  

                "อ้าว แม่การะเกด ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นออกจากเรือน" คุณหญิงนิ่มจีบปากจีบคอพูดพลางเหล่หางตามองเย้ยเกศสุรางค์ "นี่มาวัดได้ด้วยรือ?"

            **คนนะโว้ยไม่ใช่ผี ทำไมจะมาวัดไม่ได้คุณแม่พี่จันทร์วาดนิก็ถามแปลก**

                   "ออเจ้าหายป่วยแล้วรึ แม่การะเกด" หญิงสูงอายุคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

                  ออกญาโหราธิบดีแอบเงี่ยหูฟังกลุ่มผู้รากมากดี กระหน่ำโจมตีหลานสาวเงียบๆอย่างเห็นใจ

                  เกศสุรางค์โดนรุมกดดันจนทำตัวไม่ถูก แววตาใสซื่อลอกแลกมองหาที่พึ่งซึ่งหามีไม่ คราวนี้คงต้องพึ่งพาไหวพริบของเธออีกครั้ง "เจ้าค่ะ คงเป็นเพราะมนต์กฤษณกาลีอวยพรให้ข้า"

                   ออกญายิ้มอย่างภาคภูมิใจในตัวหลานที่ปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลมในการใช้คำพูด จนเหล่าผู้ดีที่จ้องจับผิด เงียบปากหน้าหงายกันถ้วนหน้า

                   "คุณหญิงนิ่ม จับคนล่มเรือแม่จันทร์วาดได้แล้วรือ?"  หญิงสูงอายุแลสูงศักดิ์เอ่ยถาม "ใครหนา..ช่างจิตใจโหดเหี้ยมเสียจริง"

                   คำถามดึงความสนใจของคนทั้งวัดมาอยู่จุดเดียวกันหมด ออกญาโหราธิบดีเอือมระอาใจ กับพวกกัดไม่ยอมปล่อยเต็มที "มนต์กฤษณกาลี ไม่เว้นให้คนผิดดอกหนา"

                   เกศสุรางค์ยิ้มอย่างโล่งอก ปลาบปลื้มกับคุณลุงที่ออกปากปกป้องตน จนไม่รู้จะขอบใจอย่างไรดี แต่ถึงกระนั้นสายตาคนทั้งวัดก็จ้องเธอแบบไม่เป็นมิตรอยู่ดี

                  ร่างโปร่งหดตัวเข้าเสียจนเกร็งก้มหน้าอย่างอับอาย ตาเรียวคมที่เคยสดใสเริ่มหมองหม่นลงเต็มที เธอทำอะไรผิด ทำไมเธอจะต้องมาเจอแต่คนใจร้ายที่จ้องจะโจมตีเธออยู่ตลอด

                    หมับ!

                   เกศสุรางค์รู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นจากมือนุ่มที่มือของเธอ จันทร์วาดมองดวงหน้าเรียวด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพยุงดึงร่างโปร่งให้ยืนขึ้น

                  "ไปจากกงนี้เถิดหนา แม่การะเกด" พูดจบสองแม่หญิงจูงมือกันเดินออกจากตัวอุโบสถ อกสุดจะทนเห็นคนกล่าวครหา สร้างความงุนงงให้ทุกผู้ แลคุณหญิงนิ่มที่นั่งหน้าเสียมองการกระทำไร้มารยาทของลูกสาวอย่างอับอาย

                  "ม..แม่นาย" นังผิน นังแย้ม นังเหมือนและนังบุญหันมองหน้ากันแล้วคลานเข่าเร็วตามแม่นายของพวกตน

                  สองมือยังคงประสานมอบไมตรีเดินจูงกันจนถึงริมน้ำ ลมตะลิ่งหอบเอาไอเย็นจากผืนน้ำนิ่งขึ้นพัดผ่าน สองร่างเอวบางอรชรที่หันหน้ามองแม่น้ำเงียบๆ

                  เกศสุรางค์เหลือบมองหญิงรุ่นพี่ที่ยืนเหม่อมองผิวน้ำนิ่งด้วยนัยน์ตาสีนิลบริสุทธิ์ เธอชอบความดำขลับของสีผมและดวงตานั้นจนยากเกินกว่าจะหลบไปมองสิ่งอื่น "สวยจังเลย.." เธอเผลอหลุดปากพร้อมยิ้มหวาน

                  "แม่นาย! แม่นายการะเกดเจ้าขา" สองบ่าววิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนก "ใยเดินออกมาเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ?"

                  "แม่หญิงจันทร์วาดกลับเข้าอุโบสถเถิดเจ้าค่ะ พระกำลังจะสวดแล้วหนาเจ้าคะ" 

                   "เงียบปากเถิดเหมือน..บุญ" นังเหมือนนังบุญเพิ่งเคยได้ยินน้ำเสียงดุจากแม่หญิงเป็นครั้งแรก ต่างพากันก้มหน้าเงียบไม่กล้าพูด

                   "แม่หญิงจันทร์วาด..ทำไม?" เกศสุรางค์ไม่เข้าใจเหตุผลที่ไฮโซหญิงอยุธยาจะต้องทำกิริยามารยาทไม่เหมาะสม เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแบบนี้ "ไม่กลัวโดนว่าเหรอ?"

                   "ข้าเองก็กลัว แต่หากลัวเท่าต้องเห็นออเจ้าเสียใจไม่" จันทร์วาดเอ่ยคำตอบสุดซึ้งใจเสียงเบาเครือ แม้นจะแอบหวั่นใจเช่นกัน เพราะรู้ตัวว่าเป็นการหักหน้าพ่อกับแม่ คราวกลับเรือนมิวายโดนเอ็ดไปครึ่งวัน เกศสุรางค์พลันกุมมือที่ทั้งเล็กและนุ่มของอีกคนขึ้นเสมออก พร้อมยิ้มให้ด้วยปลื้มจิต

                  "กลับเข้าวัดเถอะ เดี๋ยวคุณแม่ไม่ปลื้ม" คราวนี้ร่างโปรงเดินจูงอีกคนกำลังจะกลับไปฟังพระสวด กลับปรากฏร่างชายต่างชาติตัวใหญ่สองคน เข้าขวางดักหน้าท่าทางเอาเรื่อง จนเกศสุรางค์ต้องหยุดถอยหลังอย่างขยาด

                   "แน่ะ! แม่หญิงน้อยปากกล้า ยังจำพวกเราได้รือไม่?" 


                   "พวกนายนี่ยังจะมารังควานกันอีกอยู่เหรอ? " เกศสุรางค์จ้องพวกฝรั่งไม่ละสายตา ในขณะที่เธอกับจันทร์วาดถูกต้อนถอยหลังเสียจนมุมที่ท่าน้ำ 

               ชาวอยุธยาต่างพากันหวาดกลัวพวกฝะรังคี ยิ่งเป็นทหารของออกหลวงสุรสาคร แม้จะเห็นใจสาวน้อยสองคน แต่ก็มิอาจหาญจะยื่นมือเข้าไปช่วย
     
              เมื่อจนมุมหนทางเดียวที่จะรอดคือต้องสู้ เกศสุรางค์ยกมือตั้งการ์ดเผชิญหน้ากับทหารออกหลวง "อย่าเข้ามานะ..ฉันสู้!" ตัวเล็กอย่างกับหนูแต่กลับกล้าท้าฝะรังคีตัวใหญ่ จนจันทร์วาดที่ยืนอยู่ข้างหลังหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

              "เจียมตัวหน่อย..แม่หญิงน้อย" ชายผมน้ำตาลร่างกำยำผลักร่างโปร่งจนเซเสียหลัก ชนร่างเล็กด้าาหลังจนเสียหลักร่วงลงน้ำ

                "กรี๊ด!!" จันทร์วาดหลุดเสียงกรี๊ดดังลั่น ก่อนจะเงียบลงพร้อมกับร่างที่ค่อยๆจำลึกหายลงไป

                  "แม่หญิง!" นังเหมือนกับนังบุญวิ่งไปยืนริมน้ำด้วยตกใจสุดขีดเพราะจันทร์วาดว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนตนเองก็เช่นกัน

                 "แม่หญิงจันทร์วาด!?" เกศสุรางค์ไม่รอช้าปลดผ้าสไบและรองเท้ากระโดดลงไปอย่างไม่ลังเล  สมัยเป็นสาวอวบเธอเองก็ว่ายน้ำเก่งไม่เบา พวกฝรั่งเห็นดังนั้นก็กลัวความผิดวิ่งหนี

                 เกศสุรางค์เร่งตีน้ำว่ายด้วยเห็นท่าไม่ดี เมื่อเห็นร่างน้อยที่ดิ้นตะเกียกตะกายอยู่ไม่ไกล แต่คนที่ไม่เคยรู้วิธีว่ายน้ำอย่างจันทร์วาดก็ลนลานจนอากาศในตัวถูกปล่อยออกมาหมด นางละทิ้งสิ้นความหวังที่จะโผล่พ้นผิวน้ำ 

                 ทันใดกลีบปากงามของคนที่ไร้ลมแต่ยังคงมีสติถูกประกบเข้าแน่นกับของอีกคน ลมแม้จะมีเพียงเล็กน้อยแต่ก็ได้มอบแรงเฮือกสุดท้ายให้กับร่างที่กำลังจะไร้เรี่ยวแรงอยู่ใต้กระแสวารี

                 "แม่นาย!! ผู้ใดลงมาช่วยแม่นายข้าที!" นังผินนังแย้มดำๆผุดๆหาสองแม่นาง พลางส่งเสี่ยงร้องขอความช่วยเหลือ

                   "เอะอะโวยวายกะไรกัน!?" หมื่นสุนทรเทวาพร้อมด้วยผู้คนจากในอุโบสถต่างพากันออกมาสำรวจต้นเสียงโหวกเหวก แลเห็นบ่าวของแม่หญิงจันทร์วาดยืนร้อนใจอยู่ริมคลอง

                   "นังเหมือนเกิดกะไรขึ้น!?" คุณหญิงนิ่มถามด้วยหน้าถอดสี "แล้วลูกข้าล่ะ!?"

                    "คุณหญิงเจ้าขา..ฮึก แม่หญิงถูกพวกฝะรังคีผลักตกน้ำ แม่หญิงการะเกดกระโดดตามลงไปช่วย ป่านนี้ยังไม่โผล่ขึ้นมาเลยเจ้าค่ะ" นังเหมือนและนังบุญยกมือประนมพร้อมกล่าวแจ้งด้วยน้ำตานองหน้า

                    คุณหญิงนิ่มแทบจะเป็นลมล้มพับลงตรงนั้น ด้านหมื่นสุนทรเทวาก็ร้อนใจไม่แพ้กัน 

                   "แม่การะเกด" ร่างสูงกำยำเร่งกระโดดลงน้ำที่มีเรือมากมายพายสัญจร แต่ยังไม่ทันได้ดำหา สองร่างก็กอดพยุงกันขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ

                    "แฮ่ก..แค่ก!" แม่หญิงจันทร์วาดที่ผมโซงโขดงหลุดรุ่ยสำลักเอาน้ำออก ก่อนหันไปมองหน้าคนมอบจูบช่วยชีวิตให้แก่นางทั้งหน้าแดง "ข..ขอบน้ำใจออเจ้า"

                    "ไว้ทีหลังเหอะ รีบขึ้นไปก่อน" เกศสุรางค์ส่งตัวคนที่เกือบจมน้ำขึ้นท่า ซึ่งมีบ่าวคอยรอรับอยู่ เธอไม่ได้คิดอะไรมากกับจูบนั้นเพราะมันเป็นเพียงการช่วยชีวิต

                   "แม่นาย!" นังผินกับนังแย้มเร่งว่ายพยุงร่างเกศสุรางค์อย่างคลายกังวล "ทูลหัวของบ่าว"

                   "แม่การะเกด ออเจ้าเร่งขึ้นฝั่งเถิดหนา" ชายหนุ่มเข้าช่วยอีกแรง สีหน้าของเขาดูเป็นห่วงเกศสุรางค์มาก ไม่เหมือนเมื่อก่อน

                    "บุญ..เหมือนไม่ต้องห่วงข้า ไปช่วยแม่การะเกดเถิด" จันทร์วาดที่ยืนตัวสั่นในอ้อมแขนของพ่อและแม่ แต่ก็มองเกศสุรางค์อยู่ริมท่าอย่างห่วงใย

                   บ่าวหญิงสี่คนช่วยกับพาร่างโปร่งเปียกชุ่มขึ้นจากน้ำ ก่อนสองคนในน้ำตามขึ้นฝั่งมา

                   "คุณพี่! ระวัง!!"

                 ชายหนุ่มลอยตัวมองคู่หมายจากในน้ำ ถูกเรือชาวบ้านพายเข้ากระแทกที่ท้ายทอยอย่างจังจนหมดสติจมลงไป 

                  บ่าวชายเกือบสิบคนกระโจนลงน้ำ พาหมื่นสุนทรเทวาที่หมดสติขึ้นบนท่า ท่ามกลางความตื่นตระหนกของคยทุกผู้ โดยเฉพาะคุณหญิงจำปาและออกญาโหราธิบดี

                  "พ่อเดช!" คุณหญิงจำปาลมจับแทบจะล้มทั้งยืน

                   "คุณพี่..คุณพี่เจ้าคะ" เกศสุรางค์วิ่งดิ่งเข้าหาร่างสูงไร้สติ แล้วใช้มือเรียวตบที่โครงหน้าคมเบาๆ "โหย..ไม่รู้สึกตัวด้วยอ่ะ ทำไงดี"

                  "คุณพี่เป็นอย่างไรรือ?" ร่างน้อยขยับมานั่งใกล้เกศสุรางค์ที่พยายามปลุกหม่นสุนทรเทวา และถามด้วยกังวลใจ "เหตุใดจึงนอนนิ่งเช่นนี้"

                 "คุณพี่ไม่หายใจ" เกศสุรางค์หน้าเสีย ตอบเสียงสั่น ก่อนคิดตัดสินใจช่วยชีวิตด้วยวิธีสมัยใหม่ "แต่ข้าช่วยได้"

                 เกศสุรางค์ประสานมือที่หว่างแผ่นอกแน่น แล้วลงมือป้ำรัว อีกมือพลางบีบจมูกคมที่ไร้ลมหายใจ ก่อนประกบริมฝีปากถ่ายลมให้ชายคู่หมาย

                "ม..แม่การะเกด!?"  จันทร์วาดตะลึงกับภาพที่เห็น พลันทำให้นึกถึงสัมผัสอบอุ่นเมื่อครู่ ทำให้ริมฝีปากนางร้อนผ่าวๆจนต้องใช้นิ้วแตะเพื่อข่มความรู้สึก 

                        'เหตุใด ข้าจึงรู้สึกอิจฉา'

                  ทุกสายตามองเกศสุรางค์อย่างบัดสีพร้อมกับซุบซิบนินทาว่ากล่าวเสียหาย แต่พอหมื่นสุนทรเทวาฟื้นคืนสติ มันก็สร้างความประหลาดใจให้ชาวอยุธยาอย่างยิ่ง

                   ชายหนุ่มโดนประคองขึ้นเรือ ก่อนต่างคนจะต่างแยกย้ายเตรียมจะกลับเรือน เหลือเพียงหญิงรูปงามสองคนยืนมองกัน ในบรรยากาศดูกดดัน

                  "เป็นอะไรถึงมองข้าแบบนั้น แม่หญิงจันทร์วาด" เกศสุรางค์มองคนที่นั่งนิ่งอย่างฉงน "น้ำเข้าปอดจนเพี้ยนรึไง?"

                 "แม่หญิงเมืองสองแคว เที่ยวแจกจูบกันฉะนี้รือ?" นางเอ่ยเสียงเครือ พลางใช้ตากลมมองเขม็งเกศสุรางค์ 

                 "นี่ ที่ข้าทำไปน่ะมันเป็นการช่วยชีวิต เวลาคนจมน้ำ สำลักควัน หยุดหายใจก็ใช้วิธีนี้แหล่ะ" ร่างโปร่งยังคงไม่รู้สึกถึงความขุ่นเคืองจากอีกฝ่าย จึงอธิบายยาวเป็นหางว่าว

                 "งั้นรือ แล้วออเจ้าช่วยมากี่ผู้แล้วเล่า จึ่งได้มิละอายที่จักจูบคนสองผู้ในเพลาไล่เลี่ยกัน?" คนที่ขวัญเสียอยู่แล้ว กระแทกคำพูดแดกดันคนตรงหน้าโดยลืมไปเลยว่าเกศสุรางค์เพิ่งช่วยชีวิตตน

                 เกศสุรางค์โกรธหนักที่โดนคนที่เธอช่วยชีวิตมาพูดจาดูหมิ่น และว่าเธอเสียๆหายๆ "อ้าวเห้ย ทำไมพูดจาดูถูกกันแบบนี้ล่ะ!? ฉันช่วยเธอนะ รู้งี้ปล่อยให้จมน้ำไปซะก็ดี!" ความโมโหทำให้เก็บอารมย์และคำพูดไม่อยู่จึงว่าไปเสียไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนฟัง

                 "เช่นนั้นก็คงดี ข้าขอจมลงไปเสียดีกว่า ให้แม่หญิงเที่ยวแจกจูบมาช่วยข้า ซึ่งเป็นกิริยาที่หญิงผู้ดีมิกระทำกัน!" บทสนทนาเริ่มเข้มข้นและเดือดดาล น้ำตาไหลเอ่อคลอเบ้าตากลมฉายแววโกรธเคือง

                 "ฮึ งั้นรึ เช่นนั้นการทำตัวเป็นวรรณทองสองใจ  ชายตาให้หญิงบ้างชายบ้าง คงจะเป็นกิริยาของหญิงผู้ดีสินะ..." เกศสุรางค์เคี้ยวฟันพูดเสียงสั่น ก่อนหันหลังให้จันทร์วาด "พี่ผิน..พี่แย้มกลับกัน" 

                 "เจ้าค่ะ" บ่าวเหลือบมองแม่หญิงสองคนที่ทะเลาะกันอย่างกล้าๆกลัวๆ พลางเตรียมเรือไปด้วย

                 "กลับเรือนเถิดเจ้าค่ะ แม่หญิงจันทร์วาด" 

                 หญิงน้ำตาคลอตัวเปียกชุ่มพยักหน้าพร้อมปาดน้ำตาที่กำลังจะไหลลงอาบแก้ม แลค่อยนั่งลงกลางลำเรือที่มีบ่าวชายนี่งขนาบคอยพาย แต่สองตากลมเรื่อไปด้วยน้ำตายังคงมองตามเรือของเกศสุรางค์อยู่

                  "เช่นนั้นรือ..แม่การะเกด"

    ..................................................................

               ณ เรือนออกญาโกษาเหล็ก บ่าวทาสก้มหน้าหมอบกับพื้นกันถ้วนทั่ว ในเวลานี้บรรยากาศของเรือนทั้งหลังดูตึงเครียด เด็กสาววัยละอ่อนนั่งพับเพียบก้มหน้าสำนึกผิดบนพลับพลา โดยข้างๆมีหญิงผู้เป็นแม่ยืนมองนางด้วยแววตาที่ดุมากกว่าที่เคย

                 "ออเจ้าทำกะไร เคยคิดตรองถึงหน้าพ่อกับแม่บ้างรือไม่?" คำถามกึ่งต่อว่าดีงขึ้นท่ามกลางความเงียบ

                  "ลูกขอรับประทานโทษเจ้าค่ะ" คนตอบก้มหน้าเสียงสั่นเครือ

                  "การกระทำของออเจ้า ช่างไร้มารยาท แม่ไม่เคยอบรมออเจ้าฉะนี้!" คุณหญิงนิ่มจ้องลูกสาวที่ได้แค่ก้มหน้าก้มตารับคำว่ากล่าว

                  "ลูกสำนึก..แล้วเจ้าค่ะ" เสียงแผ่วเอ่ยพร้อมสะอื้นไห้

                  "ออกตัวปกป้องแม่หญิงบ้านนอก ซ้ำยังก่อเรื่องจนออเจ้าต้องตกน้ำตกท่า" เสียงดุใส่อารมย์มากขึ้น "มิรู้แล ตั้งแต่บัดนี้ห้ามข้องแวะกับแม่การะเกดเกินจำเป็น แม่ขอสั่งคำขาด"

                  "แต่นางช่วยชีวิตลูก" 

                  "หากมิช่วยนางก็จักมีความผิด ลูกก็รู้ว่านางผู้นี้เป็นคนโหดร้าย มิเห็นแก่ผู้อื่นดอกหนา" 

                 จันทร์วาดนั่งเงียบคอตกซบเซาน้ำตาไหล แม้จะเต็มใจหรือไม่ คำสั่งของคนเป็นแม่ก็เป็นเด็ดขาด 
                 
                  "เอาล่ะ เข้าหอนอนออเจ้าเถิดหนาลูกแม่" คนเป็นแม่เห็นน้ำตาลูกก็ระทมใจนัก คุณหญิงนิ่มพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งปลอบประโลม แต่ถ้าหากไม่ตักเตือน คราหน้าคราหลังก็อาจจะทำเสียอีกหลายเรื่อง 

                  ร่างน้อยก้าวเร็วเข้าหอนอนปิดประตูใส่กลอนไม่รอให้บ่าวผู้ติดตามสองคนเข้าไปด้วย

                   "เล่นกับพวกบ้านนอก หากปล่อยไว้ก็จักติดเป็นนิสัยสันดาน ต้องเช่นนี้แลเจ้าค่ะคุณพี่" คุณหญิงนิ่มเอ่ยกับสามี

                   "เฮ่ย..แม่นิ่ม ข้าว่ามิเป็นเช่นนั้นดอกหนา แม่การะเกดก็เป็นลูกพระยา ออกญาโหราธิบดีท่านเป็นโหร ท่านรู้อะไรมากกว่าพวกเรา หากแม่การะเกดชั่วร้ายจริง ท่านคงมิเอ็นดูฉะนี้" ออกญาโกษาเหล็กแย้ง

                   "แน่ะ คุณพี่.." ด้วยเป็นเมียจะเถียงสามีมากก็ไม่ควร คุณหญิงนิ่มได้แต่มองโกษาเหล็กแสดงอาการไม่พึงใจ

                   ฝ่ายลูกสาวซึ่งวิ่งเข้าหอนอนไป ก็เอาแต่นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่าง แม้น้ำตาไม่ไหลแต่ภายในใจยังตรอมตรม คิดถึงแต่ภาพอีกคนที่ถูกสั่งห้ามมิให้สุงสิง "แม่การะเกด..ออเจ้าช่างมีความสุขเสียจริง" ภาพความสดใสร่าเริงของเกศสุรางค์ผุดขึ้นในหัวของนางเต็มไปหมด ความรู้สึกถาโถมจนน้ำตาที่เหือดแห้งกลับมาปริ่มที่เบ้าตากลมอีกครั้ง   "หากออเจ้าอยู่กงนี้ จักปลอบประโลมข้ารือไม่.." 

    ...................................................................

               ด้านเรือนออกญาโหราธิบดี เกศสุรางค์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินไป เดินมาหน้าหอนอนอยู่หลายเที่ยว จนบ่าวสองคนที่คอยมองตามคอยอกคอเคล็ดไปตามกัน

               "แม่นายกลุ้มใจอันใดเจ้าคะ จึงเดินไปแล้วก็เดินมา" นังผินถาม

                "นั่นสิเจ้าคะ บ่าวนี่คอยอกหมดแล้วหนา" ยังแย้มช่วยเสริม

                 "เฮ้อ! ก็ทะเลาะกับแฟน ใครจะไม่กลุ้มล่ะพี่ ดันพูดแรงส์มากด้วยจะมองหน้ากันติดรึเปล่ายังไม่รู้เลอะ" ร่างโปร่งหยุดเดินแต่ยังไม่หยุดกลุ้มใจ ดวงหน้างามยังคงแสดงความหดหู่ออกมา

                 "แต่แม่หญิงจันทร์วาดก็พูดแรงส์กับแม่นายหนาเจ้าคะ" นังแย้มจดจำคำพูดของแม่หญิงได้ดี "ก็ควรแล้วล่ะเจ้าค่ะที่แม่นายจะพูดแรงส์!"

                 "พอเถิดอีแย้ม น้ำหมากมึงกระเด็นใส่หน้ากู" นังผินใช้ศอกกระทุ้งบ่าวสหายเสียทีหนึ่ง แล้วหัวเราะ

                 "เดี๋ยวเถิดอีผิน!" 

                 "เออๆๆ เอาน่ะพวกพี่ ไว้มีโอกาสได้เจอกันค่อยขอโทษ" เกศสุรางค์ถอนหายใจหน่ายๆ

            **แต่จะง้อได้รึเปล่ายังไม่แน่ใจเลย ดันตอกหน้าหงายเงิบไปซะขนาดนั้น เห้อ ไม่น่าเลยตู**

                  

                   
    ((จอบตอนที่ ๖))
               



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×