ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic บุพเพสันนิวาส] กิจรักข้ามภพ - การะเกด x จันทร์วาด [เกศจันทร์วาด]

    ลำดับตอนที่ #9 : จันทร์เพียงดวงเดียว

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 61


     

    ตอนที่ ๙ : จันทร์เพียงดวงเดียว


             รุ่งเช้าเรือนออกญาโหราธิบดีแลเงียบงัน เพราะออกญาท่านกับคุณหญิงจำปาเดินทางไปทำธุระที่ละโว้ เหลือเพียงขุนศรีวิสารวาจาคอยดูแลเรือนใหญ่

              เรือนน้อยไม่มีใครใคร่จะใส่ใจ ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงนกกระจิบประสานเสียงไก่ร้องเจื้อยแจ้ว ในหอนอนสภาพยุ่งเหยิง ผ้าต่วนสไบแลซิ่นไหมกระจัดกระจายทั่วพื้นห้อง ปรากฏสองร่างอิงแอบแนบชิดมอบไออุ่นให้แก่กัน มุ้งขาวบางขาดรุ่ยเหมือนถูกดึงฉีกจนหลุดออกจากไม้ขึงปรกลงคลุมกายเปล่าที่ปราศจากเครื่องห่มใดๆ

               ร่างน้อยขยับรู้สึกตัว พร้อมรวบรวมสติทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืน ทำเอาหน้ารูปไข่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด

              "เป็นกะไรรือ?" การะเกดลุกมองแม่จันทร์วาดที่นั่งขดหันหลังให้ตน ก่อนใช้มือปัดแต่งปอยผมให้ นางพยายามใช้เวลาทั้งหมดกับคนที่นางรัก เพราะรู้ตัวดีว่ามีเวลาไม่มากนักก่อนเกศสุรางค์จะกลับมาใช้ร่างนี้อีกครั้ง

               จันทร์วาดหยิบผ้าที่ถูกถอดเมื่อคืนขึ้นมาห่มไว้หลวมๆก่อนลุกเดินไปนั่งหน้าคันฉ่อง แลมองรอยจูบที่ประทับไว้บนผิวกายบริสุทธิ์เสียด่างพร้อย

                การะเกดเห็นดังนั้นจึงเดินตามไป แล้วมอบอ้อมกอดจากใจ ที่แม้จะหยาบกระด้างแต่เวลารักใครแล้ว นางจะมอบดวงใจนี้ให้แก่ผู้นั้นเพียงผู้เดียว "หากข้ากระทำรุนแรงต่ออเจ้า ขออภัยข้าด้วยแม่ดอกแก้วของข้า"

               "ข้าหาขุ่นเคืองเรื่องใดไม่ ข้าเพียงแต่สงสัย" จันทร์วาดก้มหน้างุด มือพลางตอบรับอ้อมกอดของอีกฝ่าย "ออเจ้าเหมือนมิใช่แม่การะเกด"

                "จักไม่ใช่ได้อย่างไร ข้านี้แลการะเกด" การะเกดหอมแก้มนวลไล้ยาวไปถึงซอกคอเนียน "จำได้แล้วรือ?"

               จันทร์วาดยิ้มบางพร้อมพยักหน้าตอบไปพอให้พ้นเรื่อง ถึงนางจะมีใจให้แต่นางยังไม่ปักใจ และยังสงสัยว่าแม่การะเกดคนนี้เหมือนไม่ใช่คนเดียวกันกับที่นางมอบใจให้ซึ่งเป็นคนสดใสร่าเริง ขี้เล่นขี้หยอกและพูดจาฟังมิรู้ความ แต่คนตรงหน้าขณะนี้กลับพูดภาษาอยุธยาชัดเจน

                "แม่การะเกด.."

                "เรียกข้าน้องการะเกดเถิดหนา..ออเจ้าอายุมากกว่าข้าคงมิเสียหายกะไร"

                "ข้าเกรงจะไม่เหมาะ หากผู้ใดมาได้ยินเข้าจักฟังดูมิงาม" จันทร์วาดก้มหน้างุดซ่อนความเอียงอาย

                "ใช้เรียกเวลาอยู่กับข้า" ร่างโปร่งโอบรัดจันทร์วาดจากข้างหลังพร้อมเกยคางตรงบ่าออดอ้อน "นะเจ้าคะคุณพี่จันทร์วาด"

                 ผ่านไปถึงเพลาชาย หน้าหอนอนนังผินและนังแย้มกับบ่าวจากบ้านออกญาโกษธิบดีนั่งคอยอยู่อย่างเจียมตัว ทุกคนต่างได้ยินเสียงของเหตุที่เกิดตลอดคืนทั้งหมด ทำเอาข่มตาไม่ลง อดหลับอดนอนตาโกรนกันถ้วนหน้า

                 "อื้อ..เมื่อยจังเลย" ร่างโปร่งบิดขี้เกียจตัวเป็นเกลียว กายขาวถูกคลุมไว้ด้วยผ้าแพรผ้าไหมแบบลวกๆ "หิวข้าวด้วย.."

                  "ตื่นแล้วรือ" 

                  เกศสุรางค์ใช้ตาคมไล่มองร่างเปลือยของหญิงสาวที่นอนทอดกายยิ้มให้เธอแต่หัวจรดเท้า ก่อนใบหน้าสวยจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด

                **เดี๋ยวนะ ฉันจำได้แล้ว...การะเกด...ฉันจมน้ำแล้วหมดสติไป....หรือว่า...**

                  คิดแล้วเกศสุรางค์ก็ทำท่าโอดโอย ทั้งหน้าแดงกับเรื่องที่มโนไปถึงไหนต่อไหน พร้อมสะบัดสะบิ้งดีดแขนขาด้วยรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

                   "ออเจ้าเป็นกะไรไป?" เสียงหวานถามโดยละม่อม มือน้อยพลางลูบใบหน้าเรียวงามอย่างอ่อนโยน "เหตุใดจึงดูผิดแผก?" จันทร์วาดรู้สึกถึงการะเกดคนเดิมที่สดใสร่าเริงก็ดูโล่งใจไปมาก

                  "ข..ข้า...เอ่อ.." เกศสุรางค์มองจันทร์วาดทั้งหน้าแดงฉ่า ก่อนโยนผ้าแพรไปปรกร่างเปลือยของอีกฝ่าย เรื่องที่เกิดขึ้นจะว่าเธอไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้ แต่เพียงแค่ไม่สามารถควบคุมร่างนี้ได้ดังเดิม "ม..เมื่อคืนเรา...โอ้ยนึกออกแล้ว" เกศสุรางค์ทำนิ้วชี้ชนกันซ้ำๆเพื่อถามย้ำ

                  "ใช่ ออเจ้าลืมสิ้นแล้วรือ?" คิ้วงามได้รูปขมวดชิดพร้อมคำถาม 

                   "ข..ข้า.." เด็กสาวคิดวิตกวุ่นวายสับสน แสดงออกทางสีหน้าชัดเจน จนคนมองทราบได้ทันทีว่าหญิงตรงหน้าลืมเรื่องราวเมื่อคืนจนสนิท แต่ในใจลึกๆก็คิดว่าเกศสุรางค์อาจแค่แกล้งลืมเท่านั้น

                    "ออเจ้าจำไม่ได้ แม้คำที่บอกกล่าวแก่ข้างั้นรือ?" ดวงตากลมน้ำตาไหลคลอเรื่อฝืนกัดฟันถาม แต่เห็นว่าอีกคนเหมือนจะไม่อยากรับฟังหรือรับรู้อะไรทั้งสิ้น น้ำตาใสก็ไหลอาบแก้มแดงลงมา "ออเจ้าจงใจลืมสิ้นทุกสิ่ง.."

                   "แม่หญิงจันทร์วาด..คือ ขอข้าอธิบายก่อนนะ " เกศสุรางค์พยายามปรับความเข้าใจ แต่ก็จนหนทางเพราะเธอเองก็พอจำอะไรได้แค่นิดหน่อย เหมือนกับว่าเมื่อคืนการะเกดมาใช้ร่างร่วมกับเธอ

                 "เป็นเช่นนั้น..." นางเลือกที่จะคิดเองเออเอง เมื่อมอบให้ทั้งกายและใจ เหตุผลใดก็ไม่อาจรับฟัง "หากออเจ้ามิอยากจดจำ ก็เลิกแล้วต่อกันเถิดหนา"

                   เกศสุรางค์ได้แต่รับฟังนิ่งเงียบ ก่อนตั้งสติแล้วพยายามเข้าใจสถานการณ์ "เอ่อ แม่หญิงจันทร์วาด..ข้าไม่รู้หรอกนะ ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ข้านะ"

                  "มิใช่ออเจ้า...ออเจ้าวิปลาสไปแล้วรือ?" จันทร์วาดถามทั้งโมโห

                 "อืม..มันก็ฟังดู...วิปลาสอ่ะนะ" เกศสุรางค์มองแววตาจันทร์วาดก็พลันถอดใจจะอธิบาย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ "แต่นั่น..ไม่ใช่ข้าจริงๆแต่เป็น.."

                 "เป็นผู้ใด?" จันทร์วาดสนใจใคร่ฟังคำตอบมาก เพราะฉงนใจอยู่แล้วว่าแม่หญิงคนนี้เหมือนมีสองบุคลิก

                  "นี่...แม่จันทร์วาด มองและฟังข้านะ" เกศสุรางค์จ้องตาคมฉายแววจริงจังไปที่จันทร์วาด ก่อนมือเรียวจะพลันคว้ามือน้อยขึ้นมาจับไว้แน่น "ออเจ้าน่าจะรู้..ข้าขอโทษนะที่ไม่ยอมบอกแต่แรก"

                  "ข้าไม่เข้าใจ?" กิริยาของจันทร์วาดดูผ่อนคลายลง แล้วยอมรับฟังเกศสุรางค์แต่โดยดีด้วยใจลึกๆจันทร์วาดเองก็สงสัยอยู่เป็นทุนเดิม "ออเจ้ากำลังจะบอกว่า ออเจ้ามิใช่แม่การะเกดรือ?"

                    "อืมประมาณนั้น..แต่เมื่อคืนอ่ะ ใช่.." 

                    "ข้าสับสนเหลือเกิน"

                  เกศสุรางค์โผเข้ากอดจันทร์วาดที่สับสนกับทุกๆอย่าง มือเรียวปลอบประโลมร่างน้อยด้วยใจอาทร เพราะเธอเองก็มีใจให้กับจันทร์วาดเหมือนกัน ลึกๆในอกแอบอดหวงแม่หญิงไม่ได้

                   "ไม่เหมือนกัน.." แม้นยากที่จะเชื่อ จันทร์วาดก็รับรู้ได้ผ่านสัมผัส เพราะคนเมื่อคืนบีบรัดกอดนางอย่างตามใจตน ส่วนกับคนนี้กลับกอดประโลมนางอย่างอ่อนโยน แต่หัวใจบอบช้ำรวดร้าวเหลือทน ผู้ใดจักเชื่อลงว่าคนที่นางเผลอไผลหลวมกายใจให้กับคนตรงหน้านี้นั้น มิใช่คนคนเดียวกัน

                  "ข้าขอโทษนะ ที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ถ้าข้าไม่ดื้อดึงกระโดดลงน้ำไปล่ะก็.." 

                  "เงียบปากเถิดหนา ข้ามิอยากจำ" ร่างน้อยยากจะทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตากลมฉายแววโศกเศร้า น้ำตาใสยังคงไหลอาบแก้ม "ข้าจะกลับเรือน.." ร่างเล็กเร่งหยิบผ้าผ่อนท่อนสไบที่กระจายทั่วพื้นห้องขึ้นมาผูกเข้าทีละส่วน โดยไม่หันกลับไปมองเจ้าของห้อง แต่กระนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะเก็บปิ่นปักผมทองประดับพลอยที่เกศสุรางค์มอบให้นำไปด้วย

                   เห็นว่าจันทร์วาดทีท่าขึงขังกำลังจะออกจากห้องไป เกศสุรางค์อดรนทนไม่ได้ ตัดสินใจพูดความออกไป "ข้าชื่อเกศสุรางค์ เรียกข้า...เกศสุรางค์" 

                  จันทร์วาดชะงักเงี่ยฟังก่อนก้าวออกจากหอนอนด้วยอาการเฉยเมย เกศสุรางค์ที่เคยรู้ทันแม่หญิงจันทร์วาดมาตลอด ตอนนี้กลับไม่สามารถหยั่งรู้ได้แม้แต่เศษเสี้ยวความคิด เธอโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

                 "ฉันผิด..ฉันผิดเองทั้งหมด ถ้าฉันไม่เผลอใจรักเธอ ถ้าฉันไม่...โอ๊ย! ปวดสมอง!" เกศสุรางค์โวยวายตามประสา ในใจยังตรึกถึงจันทร์วาดไม่ยอมวาง



    ...................................................................................

                   ล่วงเลยมาถึงเวลาสายเรือน้อยพายมาจอดเทียบท่าเรือ เรือนออกญาโกษาธิบดี คุณหญิงนิ่มและขุนเหล็กต่างยืนรอรับลูกสาวอย่างเคร่งขรึม เพราะเที่ยวเถลไถลไม่กลับเรือน หนำซ้ำยังสร้างข่าวลือหนาหูลือลั่นทั่วพระนครเป็นอันอับอายขายขี้หน้า ต่อตระกูลชนชั้นสูง

                     "แม่จันทร์วาด เรามีเรื่องต้องคุยกันหนา" ผู้เป็นพ่อที่เพิ่งกลับมาจาดละโว้ เอ่ยหน้านิ่งพร้อมขมวดคิ้วเคร่งเครียด "ไว้ขึ้นเรือนก่อนแล้ว.."

                     "พูดกงนี้แลคุณพี่! นี่แม่จันทร์วาด ลูกรู้รือไม่ว่าเขาลือกันทั่วอยุธยาแล้ว ว่าลูกจูบปากแม่การะเกด! ออเจ้าวิปลาสไปแล้วรือ?" 

                    นังเหมือนกับนังบุญน่าจะรู้ดีสุดจึงงุดหมอบหน้าแทบจะติดพื้น 

                     "แล้วอยู่บ้านออกญาโหราธิบดีเสียข้ามคืนข้ามวัน ต่อไปมิลือกันทั่วว่าลูกสาวออกญาโกษาธิบดีเป็นพวก 'เล่นเพื่อน' รือ!" คุณหญิงนิ่มดุด้วยอับอาย "คราวนี้ได้เทื้อคาเรือนแน่เชียว"

                    "คุณแม่เจ้าคะ.. หยุดตอกย้ำลูกเสียที!" เสียงสั่นเครือเอ่ยด้วยสะเทือนอก ก่อนช้อนตามองจ้องมารดาทั้งน้ำตาคลอ "จักเทื้อคาเรือนแล้วอย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อตอนนี้ลูกไม่มีสิ่งใด ไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว!"

                   "ลูกพูดกะไรของลูกแม่จันทร์วาด?" ด้วยความเป็นขุนนางชั้นสูงโกษาเหล็กมองเห็นบางอย่างในแววตาลูกสาวจึงซักถามด้วยเหตุผล "ลูกจักไม่เหลือสิ่งได้อย่างไร?"

                 "ช่างเถิดเจ้าค่ะ ลูกคงวิปลาสไปจริงๆ" สิ้นเสียงตัดพ้อ ร่างน้อยที่ห่มเครื่องแต่งมิดชิดปกปิดร่องรอยถูกละเมิดก็เดินดุ่มขึ้นเรือนผิดวิสัยของนางที่หากถูกตำหนิแล้วจะนิ่งฟังไม่โต้เถียง

                 "ก้าวร้าวเสียจริง! คงติดนิสัยมาจาก..."

                 "หยุดโทษผู้อื่นเถิดแม่นิ่ม ลูกเป็นอย่างไรก็ต้องหันกลับมาดูตัวพ่อแม่แลหนา" ออกญาโกษาเหล็กปรามปากเมียไว้มิให้พูดมาก

                   ร่างบางเร่งเข้าหอนอนก่อนบ่าวทาสจะพากันเห็นน้ำตากันทั่ว เมื่อประตูปิดสนิทความระทมทั้งหมดก็ถูกปลดปล่อยผ่านหยดน้ำใสที่แม้นจะไหลออกจากตา แต่มันคือหยาดแห่งความโศกเศร้าที่หลั่งออกมาจากใจ มือน้อยสองข้างพลางเช็ดปาดน้ำตาด้วยเจ็บใจ

                   ภาพกลอนรักเมื่อคืนตามหลอกหลอนจนแผลใจมิอาจเยียวยา หากมิอาจรู้ว่ากายบริสุทธิ์ของตนจักต้องหม่นหมองเพราะผู้ใด ก็ยังมิเจ็บปวดเท่ากับรู้ว่าเป็นผู้ใดแต่ก็เหมือนไม่รู้ ด้วยความไม่ชัดเจนและสับสน

                 ตากลมเหม่อลอยมองปิ่นสีทองในมือด้วยคิดถึงใครสักคน ดวงหน้ารูปไข่วางพาดซบขอบเตียงอย่างไร้กำลัง คิดไม่ออกแม้จะทำอย่างไรต่อจากนี้

                   "เกศสุรางค์..การะเกด?"

    .......................................................................... .



                 ตึง!

               เสียงโคนไม้ตะพดกระทบพื้น แสดงถึงความกรุ่นกริ้วในใจของผู้ที่ถือมัน ออกญาโหราธิบดีและคุณหญิงจำปาไปรับข่าวร้ายจากทางละโว้กลับมาถึงเรือน แล้วยังมารับรู้ข่าวบัดสีจากคนในเรือน ทั้งออกญาแลคุณหญิงดูกลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย

                 "อุเหม่! พวกคนกรุงศรีล่ำลือกันกระนั้นรือพ่อเดช?" โหราธิบดีถามหน้าเครียด

                  "ขอรับ..แต่ลูกพอเข้าใจว่าการเป่าลมใส่ปาก เป็นการช่วยชีวิตจริงขอรับ..แต่" ขุนศรีวิสารวาจาประนมมือกล่าวแก่ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ก่อนปรับสีหน้าแลจริงจัง

                  "แต่กะไรรือ?" คุณหญิงจำปาที่ตั้งอกตั้งใจรอฟังย้ำถามเมื่อเห็นทีท่างันงกของลูกชาย

                  ขุนศรีวิสารวาจาเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ควรพูด เขาเห็นแม่หญิงจันทร์วาดหายเงียบอยู่ในหอนอนคู่หมายตนจนเพลาชายของอีกวัน เขามองในแง่ดีว่าแม่หญิงจากเรือนออกญาโกษาธิบดีคงไม่ทำเหตุอันเป็นความเสื่อมเสียแน่นอน

                 "ช่างเถิด ตอนนี้เรามีเรื่องที่ใหญ่กว่าจะต้ปรึกษากัน" ชายสูงวัยดูทีเคร่งเครียด แลปรึกษาความเรื่องการรับสินบนของออกญาโกษาธิบดีเหล็กที่ได้ยินถึงพระกรรณขุนหลวง จนโกษาเหล็กถูกกักตัวไว้จึนดึกดื่นแลถูกให้กลับเรือนตั้งแต่ฟ้ามืด

                "ลูกกังวลใจเหลือเกินขอรับ" ขุนศรีวิสารวาจาขมวดคิ้วพูด "ลูกเป็นห่วงคุณลุงเหล็กเหลือเกิน"

                "มีอะไรกันเหรอคะ?" เกศสุรางค์เซ่อซ่าเดินเข้าวงสนทนาแล้วถามหน้าซื่อ ไม่รู้เลยว่าทุกคนเขาพากันกลุ้มอกกลุ้มใจ "ทำไมดูเครียดจัง?"

                "แม่การะเกด! เรื่องนี้มิใช่ธุระของออเจ้า" คุณหญิงจำปาตวัดตาค้อนมองเด็กสาว แล้วคิดว่าคุยจบเรื่องโกษาเหล็กเมื่อไหร่ จะต้องมาสะสางเรื่องข่าวลือบัดสี

              "เอาเถิดแม่จำปา เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงแม่จันทร์วาด ให้แม่การะเกดรับรู้เถิดหนา" ออกญาโหราธิบดีเห็นว่าหลานสาวเป็นคนฉลาดเฉลียวจึงไม่ติดใจที่จะบอกเล่าความ ทำให้คุณหญิงจำปาไม่พึงใจ จิปากจิคอสะบัดสะบิ้งใหญ่


                "ออกญาโกษาธิบดีถูกเล่าลือว่ารับสินบน ตอนนี้เรื่องก็ถึงพระกรรณขุนหลวงแล้ว" ขุนศรีวิสารวาจายกมือไหว้เหนือหัวเมื่อพูดถึงเบื้องบน

                 "ห๊ะ!? คุณลุงเหล็ก..โอย ทำไมมันเร็วเงี้ย?" เกศสุรางค์เรียนด้านประวัติศาสตร์มา เลยรู้ว่าออกญาท่านจักต้องสิ้นชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ เธอยืนแข็งทื่อหน้าเสียจนทั้งสามคนในวงสนทนาฉงนใจ

                  "อะไรเร็วอย่างนั้นรือ?" ออกญาโหราธิบดีถามอย่างใคร่รู้

                  "เอ่อ ข้าคิดว่าฝรั่งฟอลคอนเป็นคนไม่ดี อาจนำพาอันตรายมาสู่คุณลุงเหล็ก เพราะคุณลุงต้องสุงสิงอยู่กับฝรั่งผู้นี้ค่ะ"

                  "ออเจ้านิพูดจาเลื่อนเปื้อน ออเจ้าเป็นหญิงจักไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?" คุณหญิงจำปาเอ่ยขัด

                  "นั่นสิ โกษาเหล็กออกปากชมฝรั่งผู้นี้อยู่ตลอด ไม่น่าจะมีปัญหาอันใด" ออกญาพูด

                 "ใช่ดังนั้นขอรับคุณพ่อ"

                 เกศสุรางค์รู้ตัวว่าถ้าพูดไปก็จะถูกหาว่าวิปลาสแน่ เธอจึงเลือกที่จะนั่งเงียบ แต่นึกตามประวัติศาสตร์แล้ว เธอก็กระวนกระวายใจมาก

             **แม่จันทร์วาด...สิ่งที่เธอต้องเจอต่อจากนี้มันร้ายแรงมากเลยนะ ฉันจะช่วยเธอยังไงดีเนี่ย?**

    .....................................................................




               ที่เรือนหลังใหญ่ของออกญาโกษาธิบดี ค่ำคืนผันผ่านไปอย่างเจ็บปวดระทมอก ไม่มีผู้ใดข่มตาหลับลงแม้สักคนจนถึงเพลาเช้า

               "คุณพี่..กินข้าวกินปลาสักหน่อยเถิดหนาเจ้าคะ" คุณหญิงนิ่มแบ่งวางสำรับพิเศษไว้จำเพาะหน้าสามีที่นั่งเหม่อลอยกลัดกลุ้ม "วันก่อนคุณพี่กลับมาแต่กลางดึกมีเรื่องอันใดรือ?"

                ออกญาโกษาเหล็กยังคงนั่งเงียบไม่พูดไม่จา แม้ภรรยาจะเว้าวอนเพียงใด

                "คุณพ่อ..คุณแม่" จันทร์วาดเดินก้มหน้าออกจากหอนอนอย่างสำนึกผิดโดยมีนังเหมือนกับนังบุญติดตามมา ก่อนค่อยๆนั่งลงกราบเท้าบิดามารดา แล้วขยับไปตรงหัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับโกษาเหล็ก "คุณพ่อเป็นกะไรรือเจ้าคะ?" เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อดูซึมผิดสังเกตจึงไต่ถาม

               "ขุนหลวงทรงถามพ่อว่า ได้รับสินบนจากพวกกรมการเมืองรือไม่" ออกญาโกษาเหล็กพูดเสียงค่อยแลไม่ยอมมองหน้าใคร ด้วยร้อนอกร้อนใจกลัวความผิด

                ทั้งเรือนถูกความเงียบเข้าครอบงำ จันทร์วาดกับคุณหญิงนิ่มอกสะท้านหวั่นเกรง เพราะรู้ดีว่าหากเรื่องนี้กลายเป็นความผิดขึ้นมา ลูกเมียก็ไม่ถูกละเว้น มิวายต้องถูกลงโทษทัณฑ์และริบราชบาทว์ เสียสิ้นทรัพย์สินและอาจจะถึงแก่ชีวิต

                 "คุณพี่ก็แค่รับเป็นสินน้ำใจ อย่ากลัดกลุ้มไปเลยหนาเจ้าคะ" คุณหญิงนิ่มแสร้งยิ้มให้สามีสบายใจ "วันนี้มีแต่สำรับอร่อยๆทั้งนั้น คุณพี่กินเยอะๆนะเจ้าคะ...ลูกก็กินเยอะๆนะจันทร์วาด" ผู้เป็นเมียฝืนพูดทั้งน้ำตาตกใน แล้วสั่งบ่าวไพร่ให้จัดแจงสำรับให้ลูกสาวด้วย

                   พ่อแม่และลูกนั่งรับอาหารร่วมกันอย่างเงียบๆ ทั้งที่สามคนไม่มีใครรู้สึกหิวกินเข้าไปก็แทบกระเดือกไม่ลง แต่เพื่อความสบายใจของทุกคนก็จำต้องทำตัวให้เป็นปกติ

                    อาหารหลักถูกกินจนเสร็จ นังเหมือนและนังบุญช่วยกันยกของหวาน วางให้เจ้านายทีละคนจนครบ

                    "วันนี้มีฟักทองแกงบวด ของโปรดคุณพี่" 

                   มือยังไม่ทันได้หยิบช้อนบ่าวชายวิ่งหน้าตั้งขึ้นมาบนเรือน ตามมาด้วยเหล่าทหารจากกรมตำรวจสามนาย ภรรยาแลลูกสาวของออกญาโกษาเหล็กหันมองอย่างตื่นกลัว

                  "มีคำสั่งให้มาคุมตัวออกญาโกษาธิบดีขอรับ!"  เหล่าทหารมิรอช้าเร่งเข้าคุมตัวออกญาโกษาธิบดีตามหน้าที่ 

                   "ค..คุณพ่อเจ้าคะ!?" จันทร์วาดเอ่ยเสียงสั่นทั้งหน้าเสีย เมื่อทำท่าจะลุกขึ้นตามผู้เป็นพ่อไปก็ถูกคุณหญิงนิ่มดึงห้ามไว้

                   "อย่าร้อนใจไปแม่จันทร์วาด ประเดี๋ยวพ่อก็จักกลับเรือน พ่อเพียงไปฟังรับสั่งจากขุนหลวง"  ออกญาโกษาเหล็กรู้ดีถึงชะตากรรมตรงหน้า แต่ก็พูดโกหกให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนไม่ร้อนใจ



                   "คุณพ่อ...คุณพ่อเจ้าคะ..."   

                เมื่อข่าวถึงหูออกญาโหราธิบดี ก็ต่างพากันขึ้นเรือเพื่อไปยังเรือนของจำเลยช่อราชบังหลวง ด้วยเป็นห่วงทั้งตัวเขาแลลูกเมียของเขา

                เรือถูกจอดเทียบท่า ขุนศรีวิสารวาจา ขุนเรืองราชภักดี ออกญาโกษาธิบดีปาน ออกหลวงสรศักดิ์ และแม่การะเกด(เกศสุรางค์) ที่ดื้อดึงขอติดมาด้วย

                 "พ่อปาน..ช่วยคุณพี่ด้วย" เมื่อเห็นหน้าน้องชาย แม่นิ่มก็ลู่เข้าหาทั้งน้ำตา

                 "ใจเย็นเสียก่อน ประเดี๋ยวพวกเราไปหารือกันบนเรือนเถิดหนา" โกษาปานเอ่ย

                 ทุกคนเดินเรียงแถวขึ้นเรือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนนั่งลงบนพลับพลาไม้แล้วหารือกัน โดยที่เกศสุรางค์ถูกสั่งห้ามเข้าไปนั่งร่วมวงสนทนา

                 "อะไรวะ..ทำไมต้องเป็นเราทุกทีเลยให้ตายสิ!" เกศสุรางค์แอบชะเง้อมองกลุ่มขุนนางแลเจ้าของเรือนเจรจากัน ถึงไม่ได้ยินแต่ดูจากท่าทีขึงขังเอาจริงก็พอเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องไม่สู้ดี ก่อนดวงตาเรียวคมจะพลันเห็นแม่จันทร์วาดในชุดลำลองที่นั่งฟังทั้งน้ำตาคลอ

                  ใจของเกศสุรางค์เจ็บราวโดนมีดกรีด เธอรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่แม่หญิงคนนี้ต้องเผชิญ 
    เรื่องบัดสีบัดเถลิงเมื่อคืนก่อนก็ทำร้ายจิตใจนางมากเกินทนแล้ว บัดนี้ยังต้องมาเจอเหตุการณ์ร้ายซ้ำซ้อน ร่างโปร่งคิดด้วยระทมอกพลางก้มหน้าด้วยเจ็บใจ

                  หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนเกศสุรางค์ก็มั่นใจในความรักที่มีต่อแม่หญิงสูงศักดิ์ แลความคิดสับสนวนเวียนขัดแย้งกันเอง ในทีแรกหวังเพียงทำเพื่อให้ได้กลับคืนร่างดังเดิม แต่ตอนนี้กลับปักอกรักใคร่ แม้คิดว่าจะต้องจากกัน ใจก็เจ็บเกินพรรณนา

                   "อ๊ะ! มาแล้ว" กลุ่มขุนนางที่เจรจาความกันเสร็จกำลังจะเดินผ่านมาถึง ปลุกเกศสุรางค์ให้หลุดจากห้วงความคิด ตาคมเหลียวเห็นแม่จันทร์วาดที่เดินตามหลังมาแต่ไม่กล้าพูดอะไร

                   จันทร์วาดหยุดเดินที่ตรงหน้าเกศสุรางค์พร้อมใช้ตากลมสวยจ้องเรียวหน้างามด้วยแววตาเศร้าสร้อยล่องลอยที่ช่างยากจะคาดเดาได้ว่า เจ้าของนัยน์ตาคู่นี้คิดอะไรอยู่

                   "ม..แม่จันทร์วาด?" เกศสุรางค์ยิ้มแหยหยั่งเชิง "นี่..เรื่องคุณลุงเหล็กน่ะ..."

                 "คุณพ่อเหล็กถูกสั่งโบยยกครึ่ง แต่ขุนหลวงมิทรงสั่งขัง จักส่งกลับเรือนวันพรุ่ง" จันทร์วาดเบือนหน้าหนีพร้อมฝืนพูดด้วยเสียงเครือ 

                  "ยกครึ่ง?"

                  "๖๐ ที" คนพูดเอ่ยทั้งกลั้นน้ำตา

                 เกศสุรางค์ผงะอึ้ง คนโดนโบยทีเดียวเขาก็ว่าเจ็บตัวแทบขาด นี่หกสิบทีมิตายคาหวายก็เลี้ยงไม่โตแน่นอน เธอคิดอะไรไม่ออก พลันจับมือน้อยของอีกคนขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมบรรเทาความเศร้า "นี่แม่จันทร์วาด..ฟังนี่นะ"

               'จันทร์ตระหง่านส่องแสงแวววับ
                จักจมดับมลายลับหาไม่
                เมฆจระคลุ่มบังยังสดใส
                นภาไซร้มีจันทร์เดียวเอย'
                
    {{ขยายความ : ดวงจันทร์สวยส่องแสงสว่างสไวไม่มีวันจะดับลง แม้นมีเมฆบดบังก็ยังส่องสดใส และผืนฟ้ากว้างใหญ่มีดวงจันทร์เพียงดวงเดียว}}
    {{ถอดความ : เจ้าช่างงามสง่าดุจดวงจันทร์ จะมองอย่างไรก็เด่นอยู่อย่างนั้น แม้จะมีมลทินแปดเปื้อนบ้าง แต่ตัวข้าก็มีเจ้าเพียงผู้เดียว}} - ไรท์แต่งเอง#

                "ข้ารู้ว่าออเจ้าชอบกลอน ถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ข้าหวังว่าจะช่วยให้ออเจ้ารู้สึกดีขึ้น" เกศสุรางค์กุมมือจันทร์วาดแน่นพร้อมพรายยิ้ม ก่อนค่อยๆปล่อยแล้วเดินตามหลังกลุ่มขุนนางชาย

                 สัมผัสที่มือบอกว่าหญิงคนนี้เป็นคนละคนกับเมื่อคืนก่อนจริงๆ ทั้งน้ำเสียงสดใสและความเจ้าบทเจ้ากลอนอันคุ้นเคย จันทร์วาดเหม่อตามร่างโปร่งด้วยความประทับจิตเอ่อล้น ใจยังกังวลเรื่องบิดาเสียระทม แต่ก็คิดทบทวนถึงคำที่เกศสุรางค์เคยได้บอกไว้ ว่าเธอไม่ใช่ 'การะเกด'

                   "แม่เกศสุรางค์..งั้นรือ?"

    .............................................................

                  ในหอนอนจัดแต่งแบบเมืองเหนือ เจ้าของห้องนอนทอดกายก่ายหน้าผากหมองหมาง พลางพลิกไปพลิกมา จนบ่าวผู้จงรักทั้งสองอดห่วงมิได้

                   "แม่นาย..เป็นกะไรไปอีกเจ้าคะ บ่าวมิใคร่จักสบายใจเพลาแม่นายดูกลัดกลุ้มฉะนี้" บ่าวร่างอวบคลานเข่าไปบีบนวดให้แม่นาย

                   เกศสุรางค์นอนค้ำคางหน้าบูดเบี้ยวไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เอาแต่ถอนหายใจกับพร่ำบ่นออกมาด้วยคำที่ฟังไม่รู้ความ

                   "เรื่องแม่หญิงจันทร์วาดรือเจ้าคะ?" นังแย้มถามพลางงุดหน้าอย่างอายปาก

                   "อืม พี่รู้ได้ไงอ่ะ?" เกศสุรางค์หน้านิ่วถามเสียงเอื่อย "แม่จันทร์วาดกำลังตกที่นั่งลำบาก"

                   "?? รือเจ้าคะ บ่าวคิดว่า..." 

                   "ว่าอะไรพี่แย้ม?" อารมณ์ยิ่งไม่ดีไม่อยากฟังอะไร เกศสุรางค์ถามบ่าวของตนด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างรำคาญ

                   "ก็เมื่อคืนก่อนบ่าว..ได้ยิน.." 

                   "เสียงร้องเหรอ~?" เกศสุรางค์พูดเสียงยียวนแซวให้นังแย้มอายหนัก

                   "เจ้าค่ะ..อ..เอ่อ ได้ยินทั้งแม่นายกับแม่หญิงเลยหนาเจ้าคะ!"

                  เกศสุรางค์ส่ายหน้ามองบ่าวอย่างหน่ายๆ ก่อนกลับมานั่งกลุ้มครุ่นคิดเรื่องเดิม

            **การะเกดนะ..การะเกด ตายแล้วยังก่อเรื่งอีก ฉันไม่สาดข้าวสารเสกแล้วจับเธอถ่วงน้ำก็ดีเท่าไหร่แล้ว! เห้อ..ส่วนฉันคิดถึงเธอจังเลยจันทร์วาด สงสารเธอจัง โอย เกศสุรางค์..เธอนี่ช่างมีแต่เรื่องให้ปวดหัวจริงๆ**

    ((จบตอนที่๙)) 

    หากผู้ใดมิเข้าใจเรื่อง การะเกด-เกศสุรางค์ เรื่องฉาก  nc เกศสุรางค์รู้สึกตัวส่วนการะเกดครองอำนาจเหนือกว่าจึงใช้กายร่างของตนได้ ส่วนใจลึกๆเกศสุรางค์ก็ -/////-....... เอาเถิดหนา โอร้ย มันออกจะ 3 p  ถถถถถ
    ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อนะคะ เรื่องกำลังจะถึงจุดพีค เป็นกำลังใจให้กันต่อไปน้าาา ขอบน้ำใจออเจ้าทุกคนเจ้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×